วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การย้ายตำแหน่งไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน


ต้องเริ่มแบบนี้ก่อนนะ ต้องเชื่อว่าการเปลี่ยนย้ายตำแหน่ง การหวุนเวียนงานเป็นเรื่องดีในองค์กร มันเป็นเรื่องการพัฒนาสายอาชีพ มันเป็นโอกาสดีที่คนทำงานจะได้เรียนรู้งานเพิ่มเติม และได้พัฒนาศักยภาพตัวเอง 

ที่เห็นชัดๆ คือ เติบโตในสายอาชีพแน่นอน เพราะมันเป็นการผลักดันให้เกิดการพัฒนาศักยภาพในตัวเองของคนทำงาน  ซึ่งต้องไม่กลัว ถ้ากลัวก็ไม่โตนะ และถ้าเรามีสมรรถนะเพิ่มมากขึ้น เราก้าวหน้าแน่นอน มีอนาคตในการทำงานที่มั่นคง เติบโตแน่นอน  เพราะเราจะพร้อมด้วยการมีทักษะและความรู้ที่จำเป็นมากขึ้น เพราะต้องรับผิดชอบมากขึ้น 

โอกาสอีกอย่างหนึ่ง คือ ได้เรียนรู้การทำงานในหน้าที่อื่น ๆ อาจได้วิธีคิดวิเคราะห์ปัญหา ที่แตกต่างไปจากเดิม  สิ่งสำคัญ คือ อย่าอคติ ให้นึกถึงความก้าวหน้า และความท้าทายในการทำงานเป็นหลัก หากมุ่งหวังที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานจริง อยากให้องค์กรก้าวหน้าจริง เราต้องไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง

การได้ทำงานหลากหลายนั้น ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก จะทำให้เราทำงานได้รอบด้านมากขึ้น เพียงแต่เราต้องเข้าใจจุดประสงค์ของการเปลี่ยนย้ายตำแหน่งงานให้ชัดเจน ยิ่งถ้าเป็นการโยกย้ายเพื่อการไปสู่การเป็น “ทายาทการบริหาร” ยิ่งไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่ได้ หรือมันแปลกแยกไปจากสิ่งแวดล้อมเดิม  

กล้าๆหน่อย มันมีแนวทางให้อยู่นะ ในการก้าวสู่ตำแหน่งใหม่ 
  • เน้นที่คนก่อน ครองใจคนให้ได้ : ช่วงแรกซื้อใจคนให้ได้  ถ้าไม่รู้จะทำยังไงก็เก็บทีละคน ช่วยเหลือเวลาคนลำบากนี่เป็นสุดยอดแห่งการซื้อใจ เพราะเขาจะจำฝังใจเลยว่าเราเป็นคนช่วย  หรือสังเกตุหัวหน้าโจร ถ้าซื้อใจหัวโจกได้ที่เหลือ ไม่เป็นปัญหา 
  • สร้างเครดิต : คือ สร้างการยอมรับ อันนี้ต้องเป็นคนเก่งจริงๆนะ ดูที่ปัญหาแล้วเข้าไปมีส่วนร่วม เข้าไปเป็นผู้นำในการสะสางให้ปัญหามันคลี่คลาย อันนี้ได้ใจแน่ มันต้องใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ยามปกติไม่ค่อยมีใครฟังคนใหม่ แต่ยามเดือดร้อน การเข้าแทรกแซงนี่สะดวกกว่าเยอะ คนพร้อมจะยอมรับเลย 

ถ้ามีการขอให้ย้าย ให้เปลี่ยน...ให้ไวเลยนะ มันไม่ใช่วิกฤติ แต่มัน คือ โอกาส
มองให้ไกลกว่าปัญหาที่กำลังเจอในแต่ละวัน 
มองให้เห็นอนาคต...การที่เราพัฒนา มันแปลว่าองค์กรเรามีแต้มต่อมากขึ้น

….ขอให้มีความอดทน ต่อสู้ อึดๆเข้าไว้...ความสำเร็จปูเสื่อรออยู่ข้างหน้า !!

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลักธรรมความรักในพระพุทธศาสนา

หลักธรรมความรักในพระพุทธศาสนา

1.เบญจศีลหรือศีล 5
ใช้สำหรับความรักขั้นที่ 1 คือ รักตัวกลัวตาย เพราะหากมีความรักขั้นนี้มาก อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่น เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมยของผู้อื่น ล่วงละเมิดของที่ผู้อื่นหวงแหน เป็นต้น จึงควรนำใช้ศีล 5 มากำกับไม่ให้รักตัวเองมากเกินไปจนเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น และศีล 5 ยังเป็นหลักประพฤติปฏิบัติที่นำทางมนุษย์ไปสู่ความเจริญอีกด้วย
2.ทิศ 6
เหมาะสำหรับความรักขั้นที่ 2 และ 3 คือ รักใคร่ปรารถนาและรักเมตตาอารีเนื่องจากทิศ 6 เป็นหลักธรรมที่ใช้กำกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่น ประกอบด้วยทิศเบื้องหน้าคือบิดา มารดา ควรทิศเบื้องขวาคือครูอาจารย์ ทิศเบื้องหลังคือ บุตรและภรรยา ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหาย ทิศเบื้องล่างคือ คนรับใช้และคนงาน ทิศเบื้องบน คือพระสงฆ์ สมณพราหมณ์
หลักธรรมทิศ 6 ช่วยให้ทราบว่าควรปฏิบัติต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร หรือแสดงความรักรูปแบบใดจึงจะเหมาะสม เช่น บิดามารดา ควรเลี้ยงดูบุตรให้อยู่ในทำนองครองธรรม และบุตรก็ควรตอบแทนบุญคุณบิดามารดาเมื่อเติบโตขึ้น หรือสามีควรยกย่องภรรยาให้สมฐานะ ไม่นอกใจและไม่ดูหมิ่น ขณะที่ภรรยาก็ควรกระทำเช่นเดียวกัน เป็นต้น
3.พรหมวิหาร 4
ใช้สำหรับความรักขั้นสูงสุด คือ รักที่มีแต่ให้ เป็นความรักที่ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีการแบ่งแยก พรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย เมตตา คือความรักปรารถนาดีอยากให้ผู้อื่นมีความสุข และควรพัฒนา “เมตตา” ให้กลายเป็น เมตตาอัปปมัญญา คือเมตตาอย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ แผ่ไปทั่วสรรพสัตว์ กรุณา ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มุทิตา ยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข และ อุเบกขา การวางใจให้เป็นกลาง พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมเบื้องต้นที่ทำให้ปุถุชนทั่วไปพัฒนาความรักจากขั้นพื้นฐานไปสู่ความรักอันบริสุทธิ์ได้
ที่มา :
วิทยานิพนธ์ “การศึกษาความรักในพระพุทธศาสนา” ของ นางสาวณัฐมา ขันติธรรมกุลมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ.2553

เป็นหัวหน้า...อะไรจะดีไปกว่ารักลูกน้อง

รักลูกน้อง คือ ความรู้สึกที่ดี คิดดี หวังดี อยากให้ลูกน้องได้ดีอย่างจริงใจ ทำได้โดย

ทำดีต้องชื่นชม : ลูกน้องทำงานได้ดี มีผลงานดี หัวหน้าที่รักลูกน้องต้องให้ความสำคัญ ชื่นชมผลงานด้วยความจริงใจทั่วถึงกันทุกคนอย่างยุติธรรม เป็นการให้ความรักที่เท่าเทียม ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

ผิดพลาดต้องตำหนิ : ถ้าลูกน้องมีพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควร ผลงานไม่ได้ตามตกลงกัน ต้องบอก ต้องเตือน รักกันไม่ได้แปลว่าอวยทุกเรื่อง ทำไม่ดีต้องตำหนิ แต่ด้วยความรัก ความหวังดี
สร้างบรรยากาศรักกัน : การทำงานด้วยกันอย่างรักกัน เป็นมิตร เป็นสุข คือ บรรยากาศแห่งความรักที่หัวหน้าต้องสร้างขึ้นในที่ทำงาน เพราะมันจำเป็นสำหรับการจูงใจในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รักอย่างมีสติ : อันนี้หัวหน้าต้องสร้างขึ้นในตัวเอง ทัศนคติเกี่ยวกับความรักมันเป็นเรื่องข้างใน เป็นเรื่องความคิด หัวหน้าต้องมี ต้องรักเป็นก่อนจึงจะสามารถเผื่อแผ่ไปให้ลูกน้องได้ ถ้าหัวหน้ามีสติกำกับ คิดดี พูดดี ทำดี ความรักดีๆจะขจรขจายไปทั้งองค์กร

คิดวันละอย่าง # 114

คนหลายสี

คนในโลกนี้เกิดมามีสีเป็นของตัวเอง มันหลากหลายมากนะ 
บางคนขาว บางคนเขียว บางคนเหลือง บางคนดำ 
หรือบางคนมีหลายสีในตัวก็มี 
มันคือความแตกต่างกันของคน individual differences

บนโลกนี้จึงมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย เป็นสีสรรของโลก
มันสวยงามนะ ถึงแม้จะเป็นสีที่เราไม่ชอบ 
ก็ยังสวยงามตามท้องเรื่อง..อยู่ดี

เราจึงไม่อยากจะโทษใคร เพียงเพราะ
คนอื่นสีไม่เหมือนเรา
คิดช้า เรียนรู้ช้ากว่าเรา
คิดเร็ว เรียนรู้เร็วกว่าเรา
คิดไม่เหมือนเรา

จะให้ดี...ย้อนมาดูสีของตัวเองดีกว่า 
ดูว่า...สีที่เป็นอยู่มันให้ความสุข ความทุกข์อะไรกับเราบ้าง
ไม่ต้องไปเพ่งสีคนอื่น มันจะแสบตา
พิจารณาสีคนอื่นมาก จะแสบเข้าไปถึงใจ

เปิดใจดีกว่าเปิดสมอง

open brain ไม่เท่า open mind 


วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 113



เห็น qoute นี้แล้ว couldn't agree more !!

คิดว่าคนไม่เปลี่ยนมีสองอย่าง คือ ไร้ปัญญา กับ ยังเจ็บไม่พอ
ใจคน นิสัยคน...เปลี่ยนยากที่สุด
ไม่เรียนรู้ หรือ เรียนรู้ไม่มากพอ = ไร้ปัญญา = ไม่เปลี่ยน
รัก หรือ เกลียดไม่มากพอ = เจ็บไม่พอ = ไม่เปลี่ยน

ความเจ็บนี่มันเป็นตัวขับเคลื่อน ตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงจริงๆนะ
คนที่ปกติใจกระด้าง ยากจะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าโดนซัด โดนกระหน่ำด้วยความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดจะเรียนรู้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อ ลด หลีก หรือเลี่ยง ความเจ็บปวดเพื่อความอยู่รอดปลอดทุกข์

แต่ไม่รู้ว่าโชคดี หรือ โชคร้ายที่คนเรามัก "ทนเจ็บ" จึงไม่อยากเปลี่ยน ไม่ถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนสักที หรือมันเป็นแบบที่ Marshell Goldsmith ว่าไว้เกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มี 3 ข้อ

ข้อแรก
เราไม่ยอมรับว่าจำเป็นต้องเปลี่ยน จึงมีข้อแก้ตัวที่ซับซ้อน เพื่อที่จะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต

ข้อสอง
เราไม่เห็นถึงพลังขี้เกียจที่ครอบงำเราอยู่ การไม่ทำอะไรเลยมันง่ายกว่าการทำสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย

ข้อสาม
เราไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพื่อเปลี่ยนแปลง คือไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีความรู้ และไม่มีความสามารถ ถึงจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ แต่ขาดความรู้และความสามารถการเปลี่ยนแปลงก็ไม่เกิดขึ้น

เอวังก็มีด้วยประการละฉะนี้...ตามเวร ตามกรรมไปนะ

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เธอผู้ไม่แพ้

พลเรือเอก William McRaven ตอนมียศนายร้อยเคยถูกไล่ออกจาก Navy SEAL ยอมรับว่าล้มเหลว ออกไปทำงานอื่น แต่ไม่สาแก่ใจ จึงหันมาสู้จนกลับเข้ามาใหม่ เพราะคิดว่าตัวเองเป็น Navy SEAL ที่ดีที่สุดและต้องการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าทีม Navy SEAL ต้องไม่ยอมแพ้ นี่เป็นความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งสำคัญมากๆกับชีวิตการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ภายหลังพลเรือเอก William McRaven ได้รับมอบหมายภาระกิจคว่ำบินลาเดนในปี 2011 งานนี้โลกสะท้าน 

เราก็ไม่ควรยอมแพ้อะไรง่ายๆ...you're not gonna quit now !!
และถ้าหันกลับไปมองสิ่งที่ทำไปแล้ว ก็ควรจะคิดว่า เราจะทำให้มันดีกว่าที่ทำได้อย่างไร 

อันนี้แถม...พลเรือเอก William McRaven เขียนหนังสือเรื่อง Make Your Bed มันมีความน่าสนใจที่พวกเราควรต้องนำมาคิด คือ การทำเตียงให้เรียบร้อยในตอนเช้าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทีม Navy SEAL ต้องทำ ซึ่งมันเป็นเรื่องเดียวกับ sense of discipline การมีวินัย แค่ทำเตียง คนอาจคิดว่ามันง่าย แต่จริงๆแล้ว ถ้าเตียงมันจะสวยงามเรียบร้อย มันต้องทำตามขั้นตอน ซึ่งต้องทำอย่างถูกต้อง ไม่ใช่แค่โยนผ้าไปคลุมเตียง คลุมหมอนแล้วเสร็จ พลเรือเอก William McRaven บอกว่า It's about making your bed right and walking away and going, "OK, that's good. That looks good. I'm, as simple as it sounds, I'm proud of this little task I did." 

สรุปง่ายๆ คือ เมื่อทำเตียงเสร็จ เราสามารถหันกลับไปมองดูแล้วสามารถชื่นชมกับความถูกต้อง เรียบร้อยได้เต็มตา และจากนั้นทั้งวัน...ทุกอย่างที่ทำมันต้องถูกต้องและเนี๊ยบเหมือนกับการจัดเตียงตอนเช้า ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นทุกวันด้วยดี


เธอผู้แข็งแกร่ง


คิดว่าคงรู้จัก Arnold Schwarzenegger กันนะ มิสเตอร์ยูนิเวิร์ส มิสเตอร์โอลิมเปีย ชาวออสเตรีย-อเมริกัน นักเพาะกายปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน นักแสดงชาย นักธุรกิจ นักการเมือง อดีตผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียคนที่ 38 ของอเมริกา 

วันนี้มีคำพูดคมๆจาก Arnold Schwarzenegger มาฝาก 

“Everybody pities the weak; jealousy you have to earn.”

ชัดและตรงประเด็น...ถูกสงสาร คนอ่อนแอที่ไหนก็ทำได้ แต่ถูกอิจฉานั้นต้องเก่งหน่อย...ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกอิจฉาได้ การจะถูกอิจฉาได้ มีความหมายโดยนัยว่าเรามันไม่ธรรมดา ความสามารถต้องถึงเท่านั้น  

มีแถมอีกอัน...

“Strength does not come from winning. Your struggles develop your strengths. When you go through hardships and decide not to surrender, that is strength.” 

ความแข็งแกร่งไม่ได้มาจากการชนะอะไร แต่มาจากการสู้เพื่อพัฒนากำลังพัฒนาพลังของตัวเอง โดยเฉพาะตอนที่เจอกับอะไรที่ "หนักหน่วง" แล้วเราไม่ยอมแพ้...อันนั้นคือ ความแกร่งที่แท้จริง !! 

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 112

ชีวิตไม่ควรยาก...มีสองเรื่องต้องทำ คือ ให้ไวและเปลี่ยนได้

ดร.เดมมิง ว่าไว้ every decision is prediction ตัดสินใจอะไรต้องให้ไว เวลาน้อยบ้านไกล การตัดสินใจครั้งแรกของเราเป็นความรู้สึกจริง มันคือธรรมชาติที่เราเป็น มันอัตโนมัติ แต่หลังจากนั้นมันจะปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ยิ่งช้าจะยิ่งไกลความเป็นตัวของตัวเอง ครั้นพอตัดสินใจตามการปรุงรส....คิดดูแล้วกันว่าไอ้ผลที่ไม่ได้มาจากความรู้สึกจริงๆ ความต้องการจริงๆ เรายังจะแฮบปี้กับมันไหม เราจะอยู่กับมันได้ตลอดชีวิตหรือเปล่า หลายคนอาจจะงงว่าการตัดสินใจมันต้องใคร่ครวญกลับไปกลับมาให้ถ้วนถี่ไม่ใช่เหรอ มันถึงจะดี ก็เพราะแบบนี้แหละ มันถึงเกิดเรื่องขึ้นเยอะในโลกนี้ เพราะมันไปใคร่ครวญเรื่อง “ข้างนอก” จน “ข้างใน” เบลอ เลือนลางจากความเป็นตัวของตัวเอง การใช้ชีวิตที่ออกจากข้างในตัวเองแค่ครั้งเดียว มันจะส่งผลไปยังการตัดสินใจอย่างอื่นไปเรื่อยๆ ออกจากตัวเองไปเรื่อยๆเพราะปรุงมันไปเรื่อยๆ กลับไม่ได้ไปไม่ถึงกันเลยทีเดียว ไม่ได้เป็นนางฟ้า เทวดา เป็นคนนะ ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซนต์แน่ๆ ชั่วตรงไหน แสดงไปตรงๆ คนอื่นจะได้มีการตอบสนองได้ถูก และคนอื่นที่เมตตาจะได้สั่งสอนถึงข้อไม่ดี เผื่อจะพัฒนาได้ ถ้าไม่เข้าใจ ยังงงงง ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดดูแค่ว่าอะไรที่มัน “ไม่ใช่”....มันจะ “ใช่” ได้ยังไง 

คนต้องเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทางเลือก มันเป็นสิ่งจำเป็นของการมีชีวิตและการใช้ชีวิต ถ้าไม่ใช่ ป่านนี้เราอาจจะยังถือกิ่งไม้ไล่จิ้มตัวต่างๆเอามาเป็นอาหาร ผู้หญิงก็อาจยังเจอตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำ เพราะในชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน อย่าทำให้มันยาก ปรับ เปลี่ยนกันไปตามยุคตามสมัย ตามเหตุการณ์ที่เจอ จะได้ไม่เหนื่อย ยอมรับ บ่นได้เล็กน้อยและเข้าใจมันไป จะได้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่เป็นโรคประสาท ทดลองเปลี่ยน เรียนรู้ไป จะมาใช้คัมภีร์เดิม ความรู้เดิม วิธีคิดทัศนคติเดิมๆมาสู้กับการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันนั้น มันหนังคนละม้วน จะมาถือหอกวิ่งไล่เครื่องบินหรือจรวดเนี่ยนะ ไม่ไหวกระมัง ไม่สงสารตัวเองก็สงสารคนดูบ้างก็ได้ ทุกคนที่ชอบชีวิต “ไม่ยาก” พวกใจกว้างน่ะ...เปลี่ยนได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะแก่ขนาดไหน

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชีวิตคนเราแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน

ขอเขามาหนึ่งท่อน...ชอบใจ
เราผ่านชีวิตไปอย่างรวดเร็ว
แต่เราเข้าใจชีวิตได้อย่างเชื่องช้า
หลังจากอายุเลยเลข 20
บ้านเกิดหรือบ้านใหม่แทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - ค่ำไหนนอนนั่น
หลังจากอายุเลยเลข 30
ตอนกลางวันหรือตอนกลางคืนแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แทบไม่มีเวลานอน
หลังจากอายุเลยเลข 40
เรียนสูงหรือเรียนน้อยแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - คนเรียนมาน้อยอาจมีเงินมากกว่าคนเรียนระดับสูง
หลังจากอายุเลยเลข 50
สวยหรือขี้เหร่แทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - ต่อให้สวยมาก่อน ตอนนี้ทั้งฝ้า กระ และรอยตีนกาอาจมาเยือนเต็มใบหน้า
หลังจากอายุเลยเลข 60
ตำแหน่งใหญ่หรือต่ำแหน่งเล็กแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - เกษียณแล้วได้ชื่อว่าเป็นคนชราเหมือนกัน
หลังจากอายุเลยเลข 70
บ้านหลังใหญ่หรือบ้านหลังเล็กแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - สังขารเริ่มเสื่อมถอย ลุกก็โอย นั่งก็โอย
หลังจากอายุเลยเลข 80
มีเงินมากหรือมีเงินน้อยแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - ต่อให้อยากใช้เงินเหมือนเก่า ก็ใช่ว่าจะได้ใช้เหมือนที่เคย
หลังจากอายุเลยเลข 90
ผู้ชายหรือผู้หญิงแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน - เนื้อหนังเหี่ยวย่น ผมเผ้าประปราย หูตึง ตาพร่า มือสั่น เหมือนๆกัน
หลังจากอายุเลยเลข 100
จะนอนหรือนั่งแทบไม่ต่างกัน - นอนก็มองเพดาน นั่งก็มองประตูบ้าน รอวันสิ้นลม
ชีวิตคนเราแทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน
ต่างกันแค่ความดีกับความชั่ว

เรื่องของ Integrity


ตอนนี้ที่โลกฮือฮามาก คือ นายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศออกจาก Paris Agreement ที่เป็นข้อตกลงของประเทศเกือบทั้งโลกเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน คือ จะทำทุกทางให้ในปี 2100 โลกไม่ร้อนขึ้นเกิน 2 องศา เพราะว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยสิ้นปี 2100 โลกจะร้อนขึ้น 4.2 องศา แปลว่าไม่ใช่แค่ร้อน ธรรมชาติจะเปลี่ยนไปในทางแย่ลงมหาศาล โลกแปรปรวนถึงขีดสุดส่งผลให้ การทำนายอะไรจะถึงขั้นทำไม่ได้กันเลย ทุกคนในโลกจะเดือดร้อนทรมานทรกรรมไปหมด ทีนี้ไม่ว่าอเมริกาสมัยโอบามา จีน ญี่ปุ่นประเทศในยุโรป แม้แต่ไทยเราก็เซนต์ให้ความร่วมมือ ซึ่งมีข้อตกลงอย่างหนึง คือ ประเทศที่ร่ำรวยจะช่วย เรื่องการเงินเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน

อยู่ๆนายทรัมป์ก็ประกาศยกเลิกข้อตกลงซะงั้น กลายเป็นประเทศที่ 3 ที่ไม่ยอมอยู่ในข้อตกลงนี้ กับ อีก 2 ประเทศที่ไม่ยอมแม้แต่เซ็นต์ คือซีเรียกับนิคารากัว เพราะนายทรัมป์บอกว่า...โลกร้อนเป็นเรื่องตลกและ...อเมริกาต้องมาก่อน !!

ผู้นำระดับโลกหลายประเทศออกมาโวยซะไม่มี แต่ที่เด็ดสุดที่อยากจะให้รับรู้กัน คือ Elon Musk CEO ของรถไฟฟ้า Tesla รถพลังงานสะอาด คนนี้ถือว่าเป็นบุคลที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับที่ 21 ของโลก พี่แกพูดง่ายๆเลยว่า You quit Paris, so I quit You จากนั้นก็ลาออกจากการเป็นทีมที่ปรึกษาทำเนียบขาวทันที

อันนี้แหละ คือ Integrity ความมีศักดิ์ศรีในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ สิ่งที่ดีงามสำหรับส่วนรวม
ทำอะไรไม่ใช่แค่ดีสำหรับตัวเอง แต่ต้องดีสำหรับคนอื่นด้วย !!

ไม่ต้องแปลกใจที่ Tesla ขายรถได้ปีละแสนคัน ในขณะที่ Ford กับ GM ขายได้ปีละหกล้านคัน แต่มูลค่าของ Ford กับ GM มีมูลค่าน้อยกว่า Tesla ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 51,000 ล้านเหรียญ ถือเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงสุดทั้งที่ขายรถได้น้อยที่สุด !!
เห็นฤทธานุภาพของคนมีของ มี Integrity แล้วหรือยัง !!

กลัวเจ็บ ท้อ = รอวันตาย

เคยได้ยินเรื่องการรักษาชีวิตตัวเองของนกอินทรีย์ไหม นกอินทรีย์จริงๆแล้วเป็นนกที่อายุยืนที่สุดในโลกสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 70 ปี  แต่ตอนอายุ 40 ต้องฝ่าฝันวิกฤติการเสื่อมร่างของมันให้ได้ก่อน ไม่งั้น คือ ไม่รอด เพราะตอนนั้นเล็บของมันจะเสื่อมสภาพ จงอยปากของมันจะงุ้มและยาวแทบถึงหน้าอกตัวเอง จับ จิกสัตว์อะไรมากินไม่ได้  ปีกจะหนักเป็นสิบเท่าของปกติ ขนปีกจะขึ้นยาว หนาแน่นและหนัก ทำให้บินได้ยากมาก มันมีทางเลือก คือ รอความตาย หรือ ทนกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสอีก 150 วัน กับการเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยตัวเอง

ถ้าจะรอด คือ พาตัวเองบินขึ้นสู่ยอดเขาที่ปลอดภัยที่สุดให้ได้ สร้างรัง อดทนกับเวลา และบินไม่ได้  จากนั้นต้องใช้จงอยปากจิกกระแทกกับหินผา จิกจนกว่าจงอยปากจะหลุด จากนั้นรอคอยจงอยปากจะงอกขึ้นมาใหม่  เมื่อจงอยปากงอกขึ้นและมีความแข็งแรง ต้องใช้จงอยปากอันใหม่จิกให้เล็บเก่าหลุดไปจากนิ้ว  และเมื่อเล็บเท้างอกขึ้นมาใหม่ ต้องใช้เล็บดึงปีกเก่าออกทีละอันจนหมด แล้วรออีก 5 เดือน ให้ขนของปีกอันใหม่งอกขึ้นจึงบินออกไปสู่โลกได้อีกครั้งและได้รับชีวิตใหม่เป็นเวลาอีก 30 ปี

ชีวิตการทำงานของเรา คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอวิกฤติ...ประมาณจะรอด หรือ ไม่รอด ถ้าจะรอดไปเจอโลกใหม่ที่ไฉไล ต้องอดทน ต้องทิ้งความเป็นตัวตนเก่าๆ นิสัยความเคยชินเก่าๆ เราถึงจะสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้  

ขอเพียงยอมทำใจเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความคิดและวิธีการเก่าๆ เพื่อเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ เรียนรู้วิธีการใหม่ๆ ศึกษาเทคนิคใหม่ๆ  พวกเราทุกคนมีศักยภาพแฝงที่อยู่ภายในกำลังรอคอยให้ค้นพบ...แบบนกอินทรีย์ที่ยอมอดทนเปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่รอด เพื่อสามารถบินอย่างสง่างามได้อีกครั้ง  


ถ้าท้อใจ กลัวเจ็บ ก็คงต้องรอวันตายไป...

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ความเป็น “เมืองขึ้น” = ความเป็น “ทาส”

ทุกวันนี้คนเรากลายเป็นเมืองขึ้นของอะไรต่อมิอะไรเยอะมาก 
…แต่กลับอยากได้ “ความสุข” “ความสบายใจ”...ดูมันย้อนแยงพิกลนะ
เมื่อมาคิดดูแล้ว...การเป็นเมืองขึ้นนี่...ไม่ค่อยดี เสียอิสรภาพไปจนถึงเสียศูนย์

เป็นเมืองขึ้นของเวลา :
เป็นเมืองขึ้นอดีตและอนาคต แต่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นของปัจจุบันที่มันจริงยิ่งกว่าจริง 
เป็นเมืองขึ้นของบุญ :
จดจ่อกับบุญจนกลายเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งความเจริญก้าวหน้าทางธรรม 
เป็นเมืองขึ้นของความรัก :
กระเสือกกระสนดิ้นรนหา ไข่วคว้าจนลืมว่ารักจริงคือไม่ปรารถนาแม้แต่การรักตอบ
เป็นเมืองขึ้นของสังขาร :
ยื้อจนสุด ไม่ได้คิดเลยว่าคนนี่มันแค่เกิด แก่ เจ็บตายนะ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผอมก็ตาย อ้วนก็ตาย สวยหล่อก็ตาย ยังไงก็ตาย ให้ธรรมชาติจัดสรรไป
เป็นเมืองขึ้นของเกียรติ :
ตัวใหญ่มาก แตะต้องไม่ได้ เกียรตินี่ต้องคนอื่น “ให้” ไม่ใช่ยึดมาแล้วจะมี
เป็นเมืองขึ้นของการกิน :
แดกก็มาก อดก็มี ยั้งๆเอาแต่พออยู่พอสุขพอดี 
เป็นเมืองขึ้นของความเก่ง :
ไม่ใช่เก่งไม่ดี แต่เน้นเก่งนั้นมันทำให้โลกนี้ไม่สมดุล ต้องได้ที่ 1 มันมีอยู่ที่เดียว แล้วคนที่เหลือละ ถูกละเลยหรือไง ใจร้ายไปนะ สังคมอยู่ไม่ได้ 
เป็นเมืองขึ้นของเงิน :
คำเดียวง่ายๆ คือ “งก” และเลยเถิดไปเป็นไร้ศักดิ์ศรี ให้คนว่าได้ เงินต้องมีก็จริง แต่จ้องจะเอาจนเดือดร้อนชาวบ้านนั้น ไม่ไหวนะ มั่งคั่ง 4.0 ไปไหม
เป็นเมืองขึ้นของคน :
คนนี่จะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน คนร่วมงานหรือคนอื่นได้หมด มันแปลว่าเราเปิดประตูให้คนเข้ามาจัดการชีวิตของเรา เป็นสุขก็ดีไป ถ้าเป็นทุกข์ก็หาทางปลดแอกไป
เป็นเมืองขึ้นของความกลัว :
โลกนี้สิ่งน่ากลัวมีมาก กลัวไปหมดก็ไม่ต้องอยู่กันแล้ว กลัวก็อยู่บ้านไป ความกลัวเป็นโรคติดต่อ มันแพร่ไปง่ายมาก เป็นตัวแม่ “แพร่กลัว” นี่มันจะบาปนะ ไม่พัฒนาอะไรให้ดีขึ้นได้เลย ไม่เปลี่ยนแปลง เดิมๆไป..มันจะดีหรือ...

คงมีอีกมากมายนะ...ที่เราเป็น “เมืองขึ้น” กันอยู่ทุกวันนี้
ถ้าชีวิตคนเราต้องขึ้นกับ...นู่นนี่นั่นจึงจะสุข.. มันสุขจริงหรือ
ถ้ายอมสุขแบบนั้น มันแปลว่า ชีวิตถูกปล้น !!
และถูกปล้นแล้วปล้นเล่า...ปล้นไปเป็นทาสอยู่ทุกลมหายใจกันเลยนะ...
เลือกเอา จะถูกปล้นกันทั้งชาติก็ว่าไปตามนั้น
กรรมใคร..กรรมมัน...
ความเป็น “เมืองขึ้น” = ความเป็น “ทาส”
(อนุสนธิจากการไปร้อง hotel california มาเมื่อวันก่อน 55)

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 111

จริงใจสำคัญแค่ “จริงใจ”

บางครั้งคนอาจมีรันทดท้อใจว่าเราจริงใจ ทำไมคนอื่นไม่รับรู้
เรื่องจริง คือ เราบังคับให้ชาวบ้านเข้าใจ รับรู้ในสิ่งที่ “เราเป็น” ไม่ได้เลย
คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรามีเยอะ หลายเผ่าพันธุ์ หลากความคิด
อยู่เป็นตัวตนได้ทุกวันนี้...แบบไม่หลงผิด หลงทางก็ดีจะแย่แล้ว

บางคนแอบนางฟ้า เทวดา คนมองว่าจริงใจ
ทีเราโคตรจริงใจ...คนกลับเฉยๆ หรือ เลยเถิดไปมองว่าเราเสแสร้งก็มี
คิดแค่ว่า...
ใครจะตัดสินยังไง...มันไม่ใช่เรื่องของเรา
ใครจะชอบใคร...ไม่ชอบเรา...มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราอยู่ดี

สำคัญอยู่ที่ว่า...เราจริงใจหรือเปล่า...ถ้าเราจริงใจ คือ จบข่าว !!
มีความสุขกายสบายใจของตัวเองไป...ชีวิตจะดีขึ้นมาก...


ใครไม่รู้ว่าไว้....ใจกว้างหนึ่งศอก ทางเดินย่อมกว้างขึ้นอีกหนึ่งวา...