วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย


การจุดไฟวาระเร่งด่วน: เป็นการสร้างการรับรู้ว่าต้องเปลี่ยน create a sense of urgency แต่ยังไม่สามารถรับประกันถึงความสำเร็จนะ มันเป็นแค่เหตุแค่ผลที่ให้คนรับรู้ว่าต้องเปลี่ยน  คนไทยอาจพอรู้แต่ไม่ได้เข้าใจ  อยู่ในหัวแต่ไม่ได้เข้าถึงใจ  การบอกต่อความจริงที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอย่างต่อเนื่อง การชุมนุมของกองทัพประชาชนล้มล้างระบอบทักษิณที่สวนลุม กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทยที่อุรุพงษ์ และการชุมนุมรวมตัวกันที่สถานีรถไฟสามเสน เป็นการจุดไฟแห่งการเปลี่ยนแปลงขึ้น โดย   
  • มีการระบุถึงอุปสรรคใหญ่ คือ ระบอบทักษิณที่ทำลายความเป็นธรรมของประเทศและการโกงกิน การปราศรัยสร้าง scenario ที่จะแสดงให้เห็นถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนไทย ลูกหลานไทยบ้างในอนาคต เราจะชิบหายอย่างไร และในขณะเดียวกันก็เท่ากับเป็นการสำรวจตรวจตราดูโอกาสที่เป็นต่อ ลองจุ่มดูว่าน้ำอุ่นหรือเย็นกันเลยทีเดียว
  • มีการเปิดโอกาส สร้างเวทีให้คนเสวนา วิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียงกันอย่างมีสีสรรและสร้างสรรค์ ไม่เผาบ้านเผาเมือง ใช้ความสงบ สันติ อหิงสา
  • พร้อมกันนั้นก็หากองหนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชนและภาครัฐเอง มาสนับสนุน ตอกย้ำวาระเร่งด่วนให้ทั่ว
ที่ต้องทำแบบนี้เพราะคนในประเทศไทยนี้ มีทั้งพวก everything is fine ไร้กังวล ซึ่งอาจพลาดพลั้งไม่สามารถตอบสนองต่อสัญญาณ ทำให้พลาดมานักต่อนัก  และยังมีพวกหลับหูหลับตาทำงาน work hard for the money ไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้น   แต่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ จะสร้าง spark ได้หรือไม่  ซึ่งกำนันสุเทพ spark ได้ทุก shot   ชวนคนเดินจากสถานีรถไปสามเสน ไม่บอกว่าจะไปไหน แต่ในที่สุดก็จอดที่ราชดำเนิน มัน spark เห็นๆ spark ชัดเจน คนทั้งหลายเข็มขัดสั้นไปเลย คือ คาดไม่ถึง อันนี้เป็นจุดเริ่มที่ให้คนกลายเป็นกลุ่มคนที่ชัดเจนขึ้น มีพฤติกรรมรวมตัวแบบเร่งด่วนมากขึ้น ทำให้เกิด gut-level determination ที่จะเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะกลุ่มกำนันสุเทพ  กลุ่มพล.อ.ปรีชา กลุ่มคุณนิติธร คุณอุทัย และแกนนำทุกกลุ่ม มุ่งที่ใจ เชื่อมค่านิยมดีๆ สำนึกใฝ่ดีที่อยู่ลึกๆในใจคนไทยทุกคน สร้างความหวังให้คน ลากเอาจิตสำนึกและประสบการณ์ออกมาตีแผ่ สร้าง message ที่ชัด ง่ายที่ inspire คน  ได้ชะงัด ไปดูเอาเองได้ในเฟสบุค มีเยอะแยะ จึงสามารถทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาลุยพร้อมกันแบบใจเกินร้อย

การรวมพล “คนที่ใช่”: การรวมกลุ่มเครือข่ายที่มี power ทั้งกลุ่ม position power ผู้เล่นตัวสำคัญที่เป็นหมากตัวแรกอย่างคุณชวน คุณอภิสิทธิ์ คุณกรณ์และคนในพรรคประชาธิปัตย์ทีี่ออกเดินสายทั่วประเทศ  พวก expertise เช่น กลุ่มนักวิชาการ คณาจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจารย์แก้วสรร ดร.เสรี ดร.เจิมศักดิ์ เป็นต้นซึ่งเป็นผู้ชำนาญการ เป็นคนเก่งที่ฉลาดในการใช้ปัญญาและข้อมูล ให้พาเหรดทะยอยกันออกมา  คนที่มี credibility อย่างเช่น หลวงปู่พุทธอิสระ ที่ได้รับการยอมรับ เพราะท่านประกาศอะไรออกไปคนจะเชื่อและจริงจังด้วย ผู้เสียหายอย่างคุณนิชาภรรยาพลเอกร่มเกล้าที่เสียชีวิตปกป้องความสงบของชาติ ยังมีดาราทั้งหลายอย่างคุณสินจัย แต่ที่สำคัญ คือ กลุ่มพวกนักศึกษาที่เป็นพลังบริสุทธิ์  รวมถึงกลุ่มที่มี leadership มีภาวะผู้นำที่เด่นชัด คนที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนที่ “สามารถ” เช่น คุณสุริยะไส เป็นต้น  การรวมพล"คนที่ใช่"สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเห็นว่าแกนนำทำโดย
  • สร้างวิสัยทัศน์ที่ใช่  นั่นคือ ประเทศไทยต้องมีความเป็นนิติรัฐ นิติธรรม
  • ใช้การสื่อสารกว่้างไกลทุกรูปแบบครอบคลุมกลุ่มคนจำนวนมาก เรียกได้ว่ากระหน่ำทั้งข่าวสาร สัญลักษณ์ คำคมบาดใจในทุกสื่อ (ยกเว้นฟรีทีวีและสื่อขี้ข้า) 
  • กำจัดจุดอ่อนหลัก คือ ตัวกำนันสุเทพเองยังเป็น สส.ประชาธิปัตย์ มันเป็นข้อกังขาที่ไม่อาจให้เกิดขึ้นได้ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กำนันและสส.ประชาธิปัตยหลายคนจึงลาออกจากการเป็น สส. ออกมาต่อสู้กับปะชาชนอย่างสามารถติดคุกอย่างเท่าเทียมกัน
  • ฝังวิธีการใหม่ๆการคิดใหม่ๆเข้าไปในการปราศัยทุกครั้ง คือ กะให้ซึมเข้าเลือดกันไปเลย
การสร้างวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงที่คนสามารถเข้าใจได้ภายในเวลาอันสั้น : ชีวิตนี้มันต้องชัดว่าอนาคตประเทศไทยจะแตกต่างจากอดีตอย่างไร  แค่ชื่อของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษตริย์เป็นประมุข (กปปส.)ก็อธิบายเสร็จสรรพว่าทำไปเพื่ออะไร พูดอธิบายไปเดี๋ยวจะยาว แต่ฟังที่กำนันแถลงไป จะเห็นว่าได้กำจัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้คนเข้าใจง่ายว่าจะไปไหน จะทำอะไรและคนต้องทำตัวอย่างไรบ้าง อันนี้จบข่าวเลย  ที่ทำได้เพราะมีการประสานลึกล้ำกับเครือข่ายที่หลากหลายตกลงกันได้เสร็จเรีบยร้อยแล้ว และกลุ่มแกนนำไม่เคยทิ้ง “การจูงใจ” คนอย่างซ้ำๆแบบต่อเนื่อง เพราะวิสัยทัศน์เป็นการสื่อสารที่เป็น real guidance คือ ครบเครื่อง ทั้ง...
  • Imaginable: ให้ภาพชัด คนสามารถจินตนาการตามได้
  • Desirable: ให้ประโยชน์มากพอต่อความต้องการของคนไทยที่รักชาติ รักความเป็นธรรม 
  • Feasible: เป็นจริง..คว้าได้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า
  • Focused: ชัดพอที่จะใช้ช่วยในการตัดสินใจ...ออกมา ออกมา ออกมา
  • Flexible: คนสามารถปฎิบัติได้ถึงแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออุปสรรค
  • Communicable: เห็นแล้วเข้าใจ สื่อสารต่อได้ทันที
การสื่อสารให้เกิด buy-in : กลุ่มแกนนำใช้ hour-by-hour activities แบบ anywhere และ anytime ทำมัน 24 ชั่วโมงทุกที่  คนขึ้นปราศัย theme เดียวกัน ต่างเรื่องเท่านั้น ถนนทุกสายมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ทำ พูดในทุกโอกาสที่มีในทุกวัน ในทุกครั้งที่มีปัญหา  มันเป็นเรื่องการต่ออายุให้วิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลงยืนยาว ทำให้มันสดใหม่หอมหวลอยู่เสมอ  ซึ่งคนไทยจะจำและตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น  แต่ที่สำคัญที่สุด คือ กำนันสุเทพเป็น a living example ที่ “walk the talk”  ที่ถือเป็นการส่งสาร สื่อสารที่ดีที่สุด ที่ได้ผลมากที่สุด  เพราะ ไม่มีการสื่อสารชนิดใดที่ชัดและได้ผลมากเท่ากับการแสดงออกของตัวผู้นำเอง ไม่มีคำกล่าวใดที่แรงและกินใจได้เท่ากับพฤติกรรม !! มันเป็นสุดยอดของ message เป็นการจูงใจ แรงบันดาลใจ โดนใจ และสำคัญยิ่ง คือ เกิดความมั่นใจ ให้ผู้คนเคลื่อนตามอย่างไม่อิดออด และยังฮึกเหิมอีกด้วย

การกระจายอำนาจอย่างแนบเนียน: เมื่อเห็นคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ที่ยืนกันพรึ่บเต็มเวทีแล้วให้รู้สึกหนาวแทนรัฐบาล  ทุกเครือข่ายได้รับการกระจายอำนาจกันไปเต็มๆ ทั้งรัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา พันธมิตร คปท กองทัพธรรม กองทัพประชาชน  มันเป็นความร่วมมือที่สวยงามและ empower กลุ่มคนอย่างเซียน คือมันเป็นการก้าวข้าม structural barrier และพวก troublesome แบบไม่เห็นหัวเห็นหาง 

การสร้าง short-term wins: อันนี้สร้างมาอย่างต่อเนื่องเป็นคลื่นกระทบฝั่งรัฐบาลเลย ทั้งเดินขบวน ทั้งยึดสถานที่ราชการที่สำคัญๆและที่เป็นสัญญลักษณ์ของการต่อสู้ ที่คนคาดไม่ถึงคือกระทรวงการคลัง มันเป็นสัญญาณว่าการโกงกินต้องสิ้นสุด ที่ต้องมีชัยชนะเล็กๆน้อยๆก่อนเพราะเราขี้เกียจรอ คนไทยม่อดทนพอที่จะรอความสำเร็จใหญ่แต่ยาวนาน  แกนนำรู้ดีว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวทำไม่ได้ในสถานะการณ์นี้  การเปลี่ยนแปลงที่คิดแต่ในระะยาวมีแต่แพ้และเสี่ยง  ความสำเร็จระยะสั้น คือ การประกันความสำเร็จของกระบวนการเปลี่ยนแปลง มันเป็นขวัญกำลังใจ การได้พวกเพิ่มและเป็นการยืนยันความเป็นไปได้ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่มแกนนำ  อย่าลืมว่า ไม่มีอะไรที่จูงใจคนได้เท่ากับความสำเร็จ ที่ผ่านมาล้วนแต่สำเร็จโดยปราศจากการใช้กำลัง ไม่เสียเลือดเนื้อ เป็นอารยะขัดขืนมี่นับได้ว่าสวยงามที่สุดในโลก (ถ้ารัฐบาลและตำรวจไทยจะไม่ทำพังซะก่อนนะ) 

การ “กัดแล้วต้องไม่ปล่อย” : ประชาชนได้ใจมากงานนี้ เรากัดแล้ว งับให้ถึงที่สุด การกัดไม่ปล่อย คือ การหาแนวร่วมให้มากขึ้น การเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่อง การเสียสละตัวตน ตำแหน่ง ทรัพย์ เวลา และทำให้เกิดการลดช่องว่างในกลุ่มคน ตอนนี้ไม่มีเหลือง ไม่มีสีสันพันธุ์ไหนๆแล้ว ไม่มีชนชั้นอาชีพกันแล้ว นี่ คือ การกัดไม่ปล่อยที่สามารถรักษา sense of urgency ไว้ได้เหนียวแน่น  ปราศจากความรู้สึกเร่งด่วน มันจะแผ่ว ที่สำคัญแกนนำมีวิธีการใหม่ๆมาทำให้คนประหลาดใจได้เสมอ 

A long road 
การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยนั้นทางยังอีกยาวไกล  การเปลี่ยนแปลงที่แท้นั้นมันลึกล้ำ มันเป็นการเดินทางไกลของทุกคน เพื่อพบกับความสำเร็จใหม่ อนาคตใหม่ของประเทศ  พวก quick wins เป็นเพียงจุดเริ่มที่ต้องทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว  ความสำเร็จแต่ละครั้งเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างสิ่งที่ถูกที่ใช่สำหรับประเทศไทย 

ดังนั้น หลังจากความสำเร็จระยะสั้น ต้องมานั่งวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ต้องทำ ตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างความสมดุลในการเปลี่ยนแปลง  ทำให้ต่อเนื่องและทำการเปลี่ยนแปลงมันต้องสดใส ต้องใหม่ทั้งคน วิธีการและกระบวนงาน 

Make It Stick

ต้องช่วยกันปลูกฝังค่านิยมใหม่ที่ดีให้ลูกหลานไทยเพื่อความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลง

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

A Winning Company Culture



Ben Kirshner - CEO ของ Elite SEM ที่ได้รับ award-winning digital marketing agency และได้อีกหลายรางวัลที่แสดงถึงการเป็น the best place to work ได้ให้คำแนะนำใน Forbes เกี่ยวกับองค์ประกอบในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเลิศของ Elite SEM ที่เขาว่าเราอาจจะนำไปประยุกต์ใช้ได้ ดังนี้

Put core values first

Ben Kirshner เชื่อว่าค่านิยมหลักดีๆนั้นเป็นการจัดวางกรอบการทำงานที่สามารถก่อให้เกิดความสำเร็จแก่ธุรกิจ มันเริ่มตั้งแต่การจ้างงานซึ่งการจ้างเพราะเข้ากับวัฒนธรรม ค่านิยมองค์กรนั้น สำคัญพอๆกับการจ้างเพราะมีทักษะเกี่ยวกับการจัดการและทักษะการตลาดออนไลน์ เขามีความเห็นว่าคนต้องมีความสุขและได้รับผลตอบแทนที่ดี เราอาจจ้างคนเก่งได้มาก แต่การรักษาคนเก่งนั้นจะส่งผลถึงความสำเร็จ ความพึงพอใจของลูกค้า

Empower your employees to manage their schedules

ที่ Elite SEM นั้น CEO ให้ความสำคัญต่อการที่ทำให้พนักงานมีความสุขมากกว่าที่อื่น เช่น เวลาพักร้อน เวลาส่วนตัวและการลาป่วยแบบไม่จำกัด อยากไปอินเดีย อยากไปดูคอนเสิร์ต ไปเลย...ตราบใดงานที่รับผิดชอบไม่เสียหายและได้ตามเป้าหมาย มีคนรับผิดชอบงานแทน ไปนานเท่าไหร่ก็ไป นโยบายนี้เริ่มได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน Ben Kirshner ถือว่ามันสร้างขวัญกำลังใจและทำให้งานมีประสิทธิภาพ

Give them free lunches

เช่นเดียวกับคนที่ทำงานในสำนักงานของ Google และ Twitter ใครที่ไม่ได้ไปพักร้อน ไม่ได้ลา มีอาหารกลางวันฟรี น้ำชากาแฟฟรี ของว่างฟรี คนทำงานมีความสุขมากและยังมีความสัมพันธ์กันดีขึ้นด้วย นี่ยังเป็นการทำให้มีเวลามากขึ้นในการทำงาน เพราะไม่ต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอก

Don’t hire employees — look for owners

ทุกคนใน Elite SEM เป็นเจ้าของบริษัทเพราะทุกคนถือหุ้น มีส่วนในผลกำไรของบริษัท ส่วนเรื่องโบนัสจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ต้องทำได้สอดคล้องกับเป้าหมายของลูกค้า

ความใจถึงพึ่งได้แบบนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าลูกน้องจะทำงานให้สุดลิ่มทิ่มประตู และไม่ต้องสงสัยว่าได้รับรางวัลบริษัทที่มีวัฒนธรรมดีเด่นมาตลอด

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ชื่นชมแต่ตา กายใจไม่ขยับ


เรื่องนี้สำหรับท่านผู้ชื่นชมธรรม...แต่ไม่ค่อยได้ปฎิบัติธรรม ได้ยินมาจากพระอาจารย์เมื่อวาน.. จี๊ดเข้าไปถึงทรวงเลย... เรื่องมีอยู่ว่า....

สาวกของพระพุทธเจ้าท่านหนึ่งมีนามว่าพระวักกลิ มีความเลื่อมใสในพระรูปพระโฉมของพระองค์ ไม่อิ่ม ไม่เบื่อหน่ายในการดู อยากจะดูทุกเมื่อ เฝ้าติดตามดูพระรูปโฉมของพระบรมศาสดาอยู่ตลอดเวลา   แทนที่จะท่องสาธยายธรรมและบำเพ็ญเพียรในกรรมฐาน พระองค์ก็มิได้ตรัสว่าอะไร ท่านก็เที่ยวตามชมเชยอยู่เช่นนั้น ครั้นต่อมาพระบรมศาสดาตรัสสอนว่า 

ดูก่อนวักกลิ เธอต้องการดูกายที่เปื่อยเน่านี้เพื่อประโยชน์อะไร 
ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม 

แม้พระองค์ทรงตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระวักกลิก็ยังไม่ลดละ พระบรมศาสดาจึงทรงดำริว่า ภิกษุนี้ ถ้าไม่ได้ความสลดใจเสียบ้างแล้ว ก็จะไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร ครั้นทรงดำริในพระทัยอย่างนี้แล้ว เมื่อจวนจะถึงวันเข้าพรรษา พระองค์จึงเสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์มหานครในวันเข้าพรรษาพระองค์จึงมีพระพุทธฎีกา ประณามขับไล่พระวักกลิเสียจากสำนักของพระองค์ว่า “อเปหิ วกฺกลิ”  ดูก่อนวักกลิภิกษุ เธอจงหลีกไปให้พ้นจากสำนักของเราเถิด

พระวักกลิเกิดความน้อยใจว่า พระบรมศาสดาจะไม่ทักทายปราศรัยกะเราอีกแล้ว เราก็ไม่อาจจะอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ตลอดไตรมาส มีความเสียใจที่จะไม่ได้เห็นพระองค์ จึงหลีกออกจากพุทธสำนัก แล้วคิดว่าเรามีชีวิตอยู่จะมีประโยชน์อะไร เราจะกระโดดภูเขาตายเสีย ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงขึ้นไปสู่ยอดเขาคิชกูฎ 

พระบรมศาสดาทรงทราบซึ่งความลำบากของท่าน จึงแสดงพระองค์ให้ปรากฏในที่เฉพาะหน้า และตรัสสอนด้วยธรรมีกถามีประการต่าง ๆ ท่านเกิดปีติและปราโมทย์อย่างแรงกล้า มาเฝ้าพระบรมศาสดาโดยทางอากาศ นึกถึงพระโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสอน ข่มปีติบนอากาศเสียได้แล้ว ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ลงมาถวายบังคมพระบรมศาสดาที่เฉพาะพระพักตร์

พวกเราชื่นชมธรรม เฝ้าตามพระอาจารย์ ฟังธรรมไม่รู้จักกี่หน  แต่ปฎิบัติกันจริงๆน้อยนิดเหลือเกิน การปฎิบัติภาวนานั้นไม่ต้องห่วงความสวยงาม ท่านว่าไม่ต้องห่วงว่าท่าจะไม่สวย  เวลาจะจมน้ำให้ตะกุยทั้งมือเท้า เอาให้รอดเสียก่อน  พวกเราจะห่วงสวย ต้องนิ่ง ต้องสงบ ต่้องนุ่งขาวห่มขาว ต้องหลับตาทำสมาธิ เดินจงกรมท่าสวย  ให้ดูหมาไว้ เวลาโยนมันลงน้ำมันยังตะกุยจนถึงฝั่งจนรอด ไม่ห่วงท่าสวย หมาไม่จมน้ำตาย ดังนั้นจงเอาให้รอดเสียก่อน  

ปฎิบัติที่ไหน เมื่อไหร่ อยู่กับใครก็ได้... ทำได้ทุกที่ ทุกวี่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกขณะจิต...แค่อย่าส่งใจออกนอก อยู่กับปัจจุบัน...ฝึกไป  ทำจนเป็นธรรมชาติ  เหมือนเด็กตั้งใข่ ล้มแล้วต้องลุก ล้มอีกลุกขึ้นอีก ใช้ความเพียรให้เต็มที่ อยู่กับร่างกายก้อนนี้ให้เต็มที่  สักวันจะลุกเดินเหินได้อย่างสบายเอง  แต่ต้องทำ นึกได้ต้องทำ ให้มีใจจดจ่ออยู่กับ "ขณะนี้"  อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตไม่เกี่ยว ไม่ต้องคิด เอาแค่รู้ ไม่ต้องวิเคราะห์...โง่ๆไปเลย แค่รู้ตัว รู้สึกแล้วหยุดแค่นั้นในทุกอย่างที่ทำในชีวิตประจำวัน 

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ