วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 1: พิ้นฐานของการจัดการเชิงประกอบการ (Fundamentals of Entrepreneurial Management)

แนวคิด หลักการ และการปฎิบัติทางการจัดการเชิงประกอบการ                                                      
(Entrepreneurial Management: Concepts, Principles and Practices)

รากฐานของการจัดการเชิงประกอบการ 
คือ วัฒนธรรมและสังคมแห่งการประกอบการ
การที่จะศึกษาและเข้าใจเรื่องการจัดการเชิงประกอบการ (Entrepreneurial Management) เราคงต้องดูที่รากก่อนว่าการเกิดขึ้นของรูปแบบการจัดการที่เรียกกันว่าการจัดการเชิงประกอบการนั้นเป็นอย่างไร มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้ประกอบการอย่างไร และเป็นผลดีที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างไร ไม่มีอะไรในโลกที่อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาเอง การจัดการเชิงประ กอบการก็เช่นเดียวกัน อันที่จริงแล้วเราจะคุ้นเคยกับคำว่าผู้ประกอบการ (entrepreneur) และการประกอบการ (entrepreneurship) กันมานานนับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา นิยามของคำว่า “ผู้ประกอบการ”  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่เพื่อความเข้าใจที่แน่ชัด เรามาลองพิจารณาบางนิยามที่ใช้กัน     เริ่มจาก  Alfred Marshall นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันดี  อธิบายถึงผู้ประกอบการว่าเป็น “ผู้ที่ดำเนินการทางธุรกิจโดยนำปัจจัยการผลิต  แรงงาน ต้นทุนเพื่อที่จะผลิตสินค้าหรือบริการให้เพิ่มมากขึ้น” ซึ่งการเพิ่มผลผลิตถือว่าเป็นการเพิ่มพูนความมั่งคั่งและความเพียบพร้อมทางสังคมให้มากขึ้น   ส่วน David  McClelland  นักพฤติกรรมศาสตร์ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการฝึกอบรมสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจที่เน้นสัมฤทธิผลและแรงจูงใจ  ได้ให้นิยามของผู้ประกอบการว่าเป็น “คนที่จัดการและดำเนินธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งโดยยอมรับความเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไร”  คำนิยามสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในที่นี้ เป็นคำนิยามของ William  Bygrave  จาก Babson College ซึ่งแม้จะเป็นคำนิยามที่สั้น แตก็่ฟังดูง่ายและสมศักดิ์ศรีผู้ประกอบการเป็นที่สุด มีใจความว่า “ผู้ประกอบการคือคนที่เล็งเห็นโอกาสและสร้างการจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่โอกาสอำนวย”  จากคำจำกัดความเราคงจะเริ่มมองเห็นเค้าลางแล้วว่าการจัดการเชิงประกอบการจะมีความเกี่ยวพันกับลักษณะการบริหารจัดการของผู้ประกอบการอย่างแน่นอน  
การศึกษาที่ผ่านมาได้พิสูจน์ว่าการเป็นผู้ประกอบการมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ เป็นกลไกหลักสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจของประเทศ กล่าวคือ สองทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ถือเป็นช่วงที่มีการเติบโต การขยายตัวของประเทศต่าง ๆ ทางซีกโลกตะวันตกอย่างกว้างขวาง  และในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่มีการขยายตัวทางด้านสาขาวิชาการต่างๆ เช่น ในสาขาสังคมศาสตร์  สังคมวิทยา  จิตวิทยา รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการสาขาต่าง ๆ ได้มีการพิจารณาขอบข่ายของสาขาวิชาของตนและเกิดความพยายามในการประมวลแนวความคิดจากสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันในลักษณะของสหวิทยาการ   Everett Hagen ก็เป็นผู้หนึ่งที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างการก่อรูปขึ้นของบุคลิกภาพและภาวะความเป็นผู้ประกอบการกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม  แนวความคิดนี้  Hagen  เขียนไว้ในหนังสือชื่อ On the Theory of Social Change : How Economic Growth Begins  ซึ่ง Hagen มองผู้ประกอบการในฐานะที่เป็นผู้แก้ไขปัญหาที่มีความคิดสร้างสรรค์  และเป็นผู้ที่ให้ความสนใจทั้งเรื่องเทคโนโลยีและเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต และที่สำคัญที่สุดผู้ประกอบการมีแรงบันดาลใจแห่งความสำเร็จ คือ รู้ว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ให้สำเร็จให้ได้    แนวคิดของ Hagen  ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของคนกับการมีแรงจูงใจของผู้ประกอบการนั้น เกิดจากทฤษฎีบุคลิกภาพ เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า  “the authoritative - creative personality dichotomy” ที่ว่าบุคลิกภาพคนสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะต่างกันคือ บุคลิกภาพครอบงำ (authoritative  personality) กับบุคลิกภาพสร้างสรรค์  (creative personality)    Hagen  เชื่อว่าบุคลิกภาพของผู้ประกอบการก่อเป็นรูปขึ้นจากวัยเด็ก  และเด็กจะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการครอบงำจากบิดาในระดับต่ำ  มีความอบอุ่นจากมารดา  มีการฝึกให้พึ่งตนเองและรู้จักมาตรฐาน รู้จักความเป็นเลิศ  เด็กที่เติบโตในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ก็จะเติบโตเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์  และเมื่อเผชิญกับอุปสรรคหรือการปิดกั้นทางสังคมอันเนื่องมาจากแนวความคิดแบบเก่าๆก็จะสามารถตอบโต้ในลักษณะของผู้ประกอบการ คือ สามารถแก้ไขปัญหาอุปสรรคเชิงคุณภาพเชิงสร้างสรรค์ได้ ซึ่ง Hagen เชื่อว่ากระบวนการในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นในสังคมต่างๆ และยังผลให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจในที่สุด
Thomas  Cochran  เป็นนักวิชาการรุ่นแรก ๆ อีกผู้หนึ่งที่พยายามชี้ให้เห็นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างความเป็นผู้ประกอบการกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ  Cochran  พิจารณาประเด็นทางวัฒนธรรมในลาตินอเมริกา และดึงประเด็นออกมา 3 ประเด็นที่สำคัญได้แก่  ค่านิยมทางวัฒนธรรม (cultural  values)  ความคาดหวังของสังคมที่เกี่ยวกับบทบาทของคนในสังคม  (role  expectations)  และการแทรกแซงทางสังคม (social sanction)  ตามแนวคิดของ Cochran  ผู้ประกอบการไม่ได้เป็นคนที่มีบุคลิกภาพแตกต่างหรือเบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานหรือเป็นคนพิเศษไม่ธรรมดา  แต่เป็นคนมีบุคลิกภาพเฉพาะตัว  ซึ่งไม่ว่าในสังคมใดบุคลิกภาพเฉพาะตัวจะถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากการเลี้ยงดูและการศึกษาซึ่งเป็นเรื่องวัฒนธรรม  โดยพฤติกรรมการดำเนินธุรกิจของคนจะได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัย 3 ประการ คือ 
  1. ทัศนคติที่มีต่องานอาชีพ (การเป็นผู้ประกอบการ) 
  2. ความคาดหมายของสังคมเกี่ยวกับบทบาทของตน (ในทางธุรกิจ) และ
  3. เงื่อนไขหรือสภาพในการทำงาน  หรือ ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง  
ปัจจัยสองประการแรกเกิดจากระบบค่านิยมของสังคม  เมื่อใดที่ระบบค่านิยมของสังคมส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมของผู้ประกอบการในสังคมนั้น ความก้าวหน้า ความเติบโตก็จะบังเกิดขึ้น ถือเป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้นว่าผู้ประกอบการที่มีค่านิยม มีวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์จะทำให้เกิดการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจที่มั่นคง 
นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการอีกหลายคนที่มีความเชื่อว่า บุคลิกลักษณะของคนไม่สามารถแยกออกจากสถานการณ์ทางสังคมที่หล่อหลอมบุคลิกลักษณะของคนผู้นั้นได้  มีวิธีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการกับความเติบโตทางเศรษฐกิจอีกวิธีหนึ่ง  โดยนักวิชาการเหล่านี้ศึกษาประวัติของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ  เพื่อพิจารณาถึงความแตกต่างของถิ่นที่อยู่อาศัย  ภูมิหลังทางครอบครัว  การมีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธุรกิจก่อนการประกอบธุรกิจของตน  และประเด็นอื่น ๆอีกมาก ความสำคัญของการศึกษา คือ การมีข้อมูลมากขึ้นจะช่วยในการส่งเสริมการประกอบการธุรกิจในสถานการณ์ต่าง ๆได้ดีขึ้น     Frank  Young ผู้ศึกษาลักษณะของการประกอบการในชนกลุ่มน้อย ซึ่งจำแนกโดยเชื้อชาติหรือวัฒนธรรม  กล่าวไว้ว่า  “เมื่อกลุ่มชนใด มีความแตกต่างกันมากในด้านอาชีพ จากการยอมรับของชนกลุ่มใหญ่ในสังคม  กลุ่มชนนั้นก็จะยิ่งมีการติดต่อสื่อสารกันภายในกลุ่มอยู่ในระดับที่สูงขึ้น แน่นแฟ้นขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความคิดเห็นหรือความรู้สึกร่วมกันภายในกลุ่มต่อสถานการณ์เดียวกัน”  เครือข่ายของผู้ที่มีความสัมพันธ์กันใกล้ชิด  และเป็นไปในลักษณะวางใจซึ่งกันและกันเช่นนี้    จะทำให้เกิดคนกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นในธุรกิจอันได้แก่  นักบัญชี นักการเงินการธนาคาร  ผู้ซื้อและผู้จัดส่งวัตถุดิบ เป็นต้น   ถือเป็นแนวคิดที่กล่าวถึงกันมากในการศึกษาเกี่ยวกับการเกิดของผู้ประกอบการและแนวคิดนี้ก็เป็นแนวทางหลักในการอธิบายลักษณะของวัฒนธรรมหรือธรรมเนียมของการประกอบการ
ผู้ที่ศึกษาทฤษฏีการเชื่อมโยงการประกอบการกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด น่าจะได้แก่ David  McClelland  นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Harvard  ที่ได้ทำการศึกษารูปแบบค่านิยมซึ่งดำรงอยู่ในสังคมก่อนที่จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและเขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสือชื่อ  The Achieving  Society       McClelland  เริ่มต้นโดยตั้งสมมติฐานว่าความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กันกับการมีวัฒนธรรมที่ต้องการความสำเร็จในสังคม ยิ่งมีวัฒนธรรมที่ต้องการความสำเร็จแพร่หลายมากเท่าไหร่ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจก็มีมากขึ้นตามไปด้วย  ซึ่งถือเป็นความรู้สึก ความต้องการ แรงขับที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ได้ทำสิ่งนั้น เพื่อให้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยไม่ได้คาดหวังที่จะได้มาซึ่งอำนาจ  ความรัก  การเป็นที่ยอมรับ  หรือแม้แต่ผลกำไร  วิธีการหลักที่ McClelland  ใช้ในการศึกษา คือ  ศึกษางาน ข้อเขียนที่แพร่หลายในช่วงต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์และจัดระดับความสำคัญของงานนั้นโดยพิจารณาถึงภาพลักษณ์ ความสำเร็จในการดำเนินการ จากนั้นก็มีการศึกษาหาสิ่งซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ความเติบโตที่รวดเร็วทางเศรษฐกิจ  ซึ่งตีค่าความสำคัญสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของความสำเร็จที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเอาชนะมาตรฐานและความเป็นเลิศที่มีอยู่  ความตั้งใจระยะยาว และความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับผู้อื่น       McClelland  ใช้หลายสิ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ความเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น  การเพิ่มขึ้นทางด้านการใช้ไฟฟ้า  ซึ่งก็เป็นที่น่าสงสัยว่าจะไม่ใช่วิธีการหรือดัชนีบ่งชี้ที่ถูกต้อง แม้ทฤษฎีของ McClelland  จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง  แต่ก็ยังมีการยอมรับ  McClelland  ว่าเป็นคนแรกที่เริ่มประยุกต์ทฤษฎีเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการมาใช้กับโครงการส่งเสริมการประกอบการทางธุรกิจสำหรับคนทั่วไป ซึ่งมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และงานของ  McClelland ก็ถือกันว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัด ที่สำคัญในทางทฤษฎี กล่าวคือ  เป็นรูปแบบของพฤติกรรมของผู้ประกอบการทีี่ตามนัยของ McClelland  ถือว่าตัวผู้ประกอบการนั้นเป็นทั้งผลผลิตของสังคมและผู้ก่อให้เกิดมาตรฐานใหม่ ๆ ขึ้นในสังคม

สังคมแห่งการประกอบการ 
(An Enterprising Society)

เพราะมีความเชื่อว่าผู้ประกอบการโดยเฉพาะในวิสาหกิจขนาดกลาง และ ขนาดย่อมเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ  เนื่องจากในแต่ละประเทศทั่วโลกนั้นมีจำนวนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นจำนวนถึง ร้อยละ 80-90 แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความจริงที่ว่า หากเราปราศจากความเข้าใจในการประกอบการที่แท้จริงและการส่งเสริมพัฒนาการประกอบการที่เข้มแข็ง ก็จะไม่มีผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจเช่นกัน สังคมแห่งการประกอบการไม่ใช่แค่เรื่องการสร้างผู้ประกอบการเหมือนดังเช่นการส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการใหม่แล้วหวังว่าสังคมนี้จะเป็นสังคมแห่งการประกอบการ  อันที่จริงแนวคิดในการฟูมฟักการประกอบการควรประกอบด้วยกลยุทธ์ที่ลึกซึ้ง ที่เกี่ยวข้องกับทั้งด้าน
  • การพัฒนาคน เปลี่ยนตัวแบบแนวคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมคนในสังคม
  • การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาการประกอบการ
  • การเชื่อมโยงคนเข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นโอกาส
  • การให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเกี่ยวกับเทคนิคหรือการผลิต การเงิน การตลาดและการจัดการ
  • การเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ที่มุ่งการเรียนรู้จากการปฎิบัติ ไม่ใช่แค่ฟังบรรยาย
เมื่อพิจารณาดูให้ดี นั่นหมายความว่า หากจะสร้างสังคมแห่งการประกอบการแล้วจะต้องครอบคลุมกว้างถึงทุกคนในสังคม เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เป็นเรื่องของการสร้างสังคมใหม่ที่มีคุณภาพในทุกระดับชั้นทางสังคม ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้ถ้าเอาแต่ฝึกอบรม เพราะว่าสังคมแห่งการประกอบการ (ที่ไม่ใช่แค่สังคมของผู้ประกอบการ) จะเป็นสังคมใดก็ได้ที่สมาชิกมีความเข้าใจลึกซึ้ง ประยุกต์ใช้และแสดงออกถึงคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนพันธุ์พิเศษ (A special breed of persons) ซึ่งแสดงออกถึงความใฝ่หาความสำเร็จ เน้นการบรรลุเป้าหมาย การที่จะมีคุณลักษณะดังกล่าวแปลว่าปัจเจกบุคคลในสังคมนั้นจะมีเอกลักษณ์ คือ มีจิตวิญญาณแห่งการประกอบการ (Entrepreneurial spirit) มีความคิดเชิงประกอบการ (Entrepreneurial mindset) และมีพฤติกรรมการประกอบการ (Entrepreneurial behavior) คิด ประพฤติ ปฏิบัติเหมือนผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จโดยไม่จำเป็นต้องประกอบธุรกิจนั่นคือ 
    • ถ้าเป็นข้าราชการ ก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความซื่อตรง มีทัศนคติแห่งการให้บริการเต็มหัวใจ
    • ถ้าเป็นผู้บริหารหรือผู้จัดการ ก็เป็นผู้นำที่มีแรงบันดาลใจสามารถจูงใจให้ลูกน้องทำงานด้วยประสิทธิภาพ สูงสุด ไม่มีความพอใจผลงานที่แค่ใช้การได้
    • ถ้าเป็นหมอ ก็ต้องเป็นหมอมืออาชีพที่สามารถดึงรอยยิ้มจากคนไข้ทุกคน 
    • ถ้าเป็นพนักงานขาย ก็คือคนที่มีความสามารถในการโน้มน้าว ขายสินค้าราคาแพงให้ดูเหมือนเป็นการที่ลูกค้าต่อรองได้  
    • ถ้าเป็นคนงานจะเป็นคนที่สามารถให้ทีมทำงานร่วมกัน และทำงานของตนเองด้วยความสามารถสูงสุดของตนเอง            
    • หรือแม้กระทั่งการเป็นแม่ ก็จะเป็น An enterprising mother เป็นผู้หญิงที่สามารถแก้ปัญหา ผู้ต่อสู้ให้เกิดความสมดุลระหว่างอาชีพและหน้าที่ในครอบครัว
สรุปแล้วคือการจัดการเชิงการประกอบการ (Entrepreneurial Management) จะขึ้นได้ เราคงต้องสร้างรากฐาน สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้สมาชิกในสังคมมีลักษณะต่อไปนี้ คือ
      • มีความสามารถในการพัฒนาตนเองสูงเพื่อมองหาโอกาส
      • สามารถทำสิ่งธรรมดาให้ไม่ธรรมดา คือ สามารถเพิ่มคุณค่าในสิ่งธรรมดาที่เคยปฏิบัติ
      • มีการกำหนดความท้าทายใหม่ๆที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่เป็นจริง
      • work hard and smart 
      • หยั่งรู้ว่าเมื่อใดจะแข่งขันและเมื่อใดควรร่วมมือ
      • ยืนหยัดถึงแม้จะพบกับอุปสรรค 
      • เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส 
      • แสดงออกถึงความมุ่งมั่น ความมั่นใจ ความเป็นอิสระ การมีพันธะต่อคุณภาพและมีการคำนวณความเสี่ยง
      • มีประสิทธิภาพมาตรฐานในการทำงานสูง 
คุณลักษณะเหล่านี้มีคุณูปการไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการเท่านั้นแต่เป็นประโยชน์สำหรับสมาชิกทุกคนในสังคมและสังคมโดยรวม  ซึ่งเป็นสาระจำเป็นของการสร้างสังคมแห่งการประกอบการ ถ้าเราสามารถปลูกฝังคุณลักษณะเหล่านี้ให้กับทุกคนในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นใคร.......เด็ก หรือ คนแก่ ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย คนจน หรือ คนรวย เราจะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานของสังคมแห่งการประกอบการ และถ้าเราสามารถกำจัดคำว่า ด้อยประสิทธิภาพ (inefficiency)ออกจาก vocabulary ของเรา และถ้าเราสามารถขยายแนวคิดให้คนรู้จักการแก้ใขปัญหา มีนวัตกรรม มีความสามารถก้าวข้ามอุปสรรคเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ นั่นหมายความว่าเราสร้างรากฐานที่มั่งคั่งและมั่นคงให้กับประเทศชาติ ดังคำกล่าวของคุณอานันท์ ปัญยารชุนที่พอจะสรุปได้ว่า สังคมแห่งการประกอบการจะต้องหาวิธีการที่สร้างสรรค์ในการรับมือกับโลกปัจจุบัน ทำอย่างไรจะสร้างความสมดุลระหว่างความร่วมมือและการแข่งขันกับต่างชาติ สร้างความสมดุลทั้งด้านการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนรักษาความสมดุลของความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้าเราคุ้นเคยกับคำว่า “เอื้ออาทร” ก็คงเข้าใจว่าสังคมแห่งการประกอบการจะต้องเป็น a caring society  คือ เป็นสังคมที่กำหนด มาตรฐานทางศีลธรรมให้กับสมาชิก มีเกียรติศักดิ์ศรี แสดงออกถึง ความเคารพและความรับผิดชอบต่อผู้อื่น ทำงานเพื่อชาติและมนุษยชาติ ซึ่งสังคมแห่งการประกอบการนี้เองที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เกิดการจัดการเชิงประกอบการขึ้นมาได้จริง (ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้) 

การประกอบการในฐานะที่เป็นรูปแบบของการจัดการ 
(Entrepreneurship: A Style of Management)
คำว่า “การประกอบการ” (Entrepreneurship) ในประเทศเรามักจะเข้าใจว่าเป็นการประกอบธุรกิจเพราะว่่ามีความเกี่ยวพันโดยตรงกับผู้ประกอบการ (Entrepreneur) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ได้มีการส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการใหม่กันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ จึงทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการประกอบการเป็นเรื่องของผู้ประกอบการเท่านั้น แต่อันที่จริงแล้ว การประกอบการกินความกว้างกว่านั้นมาก ดังที่ได้เกริ่นนำมาแล้ว กล่าวคือ การประกอบการเป็นรูปแบบหนึ่งของการจัดการ (A style of management) ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการทำงานทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นงานที่เก่ียวกับอาชีพอื่นนอกเหนือจากการประกอบธุรกิจหรือแม้แต่การใช้ชีวิตส่วนตัว ถ้าจะพูดไปแล้วไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในชีวิตนี้ถือเป็นการประกอบการทั้งสิ้น เช่น การเป็นครูก็สามารถเป็นครูเชิงประกอบการ (enterprising teacher) หรือแม่บ้านก็เป็นแม่บ้านเชิงประกอบการได้ และเรายังมีการกำหนดคุณลักษณะของคนว่าเป็นผู้ประกอบการแท้จริงจากวิธีการที่พวกเขาบริหารจัดการกับสิ่งแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในธุรกิจไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาเป็นใครหรือทำอะไร ความเชื่อและความจริงเกี่ยวกับผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ความเชื่อ
ความจริง
ผู้ประกอบการโดยรวมเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างงาน
เฉพาะผู้ประกอบการของ dynamic companies เท่านั้นที่เป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างงาน 
ผู้ประกอบการที่พึ่งพาตนเองและมีความอุตสาหะสูงจะทำให้กิจการมีการเติบโตพัฒนาขึ้น
ผู้ประกอบการที่ยอมรับและใช้การบริหารจัดการแนวใหม่  สร้างตัวขึ้นมาจากทีมงานหรือการร่วมแรงร่วมใจก่อให้เกิด dynamic companies
ผู้ประกอบการที่มีการเติบโตจะมุ่งเน้นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ
ผู้ประกอบการของ dynamic companies จะมุ่งเน้นตลาดเป้าหมายที่ตนมั่นใจว่าจะสามารถสร้างความได้เปรียบในการเป็นผู้นำหรือเป็นผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่ง
ผู้ประกอบการที่มีการเติบโตมุ่งเป้าไปที่ตลาดในประเทศที่ตนมีความได้เปรียบ
ผู้ประกอบการของ dynamic companies จะเปิดโอกาสให้กับตนเองในการเจาะตลาดส่งออกเสมอ เพื่อให้บริษัทได้เรียนรู้และเติบโต
ผู้ประกอบการที่ประสบผลสำเร็จจะใช้การลดต้นทุนการผลิตเป็นกลยุทธ์หลักในการแข่งขัน
ผู้ประกอบการของ dynamic companies จะแข่งขันที่คุณภาพ การคิดค้นนวัตกรรมและการให้บริการที่เหนือกว่า

ดังนั้นการประกอบการจึงถูกนำมาเป็นรูปแบบของการจัดการ ที่จะก่อให้เกิดความสำเร็จขององค์กร เป็นองค์กรที่มีนวัตกรรม เน้นการเรียนรู้และพัฒนาองค์กรร่วมกัน        โดยเฉพาะในสภาวะปัจจุบันที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและการแข่งขันทางการค้าอย่างรวด เร็ว ความสำเร็จขององค์กรที่จะสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนนั้นต้องอาศัยกลุ่มคนขับเคลื่อนที่มีคุณลักษณะพิเศษของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพียงแค่บริหารตามหน้าที่ทางการจัดการ (Management Functions) ทั่วไป  ที่ประกอบด้วย การวางแผน จัดองค์กร จัดคนเข้าทำงาน อำนวยการและควบคุมเท่านั้น

pastedGraphic.pdf

ถ้าเราพิจารณาหลักการของการจัดการเชิงประกอบการ (Entrepreneurial Management) ที่โดดเด่น 3 ประการหลัก ๆ ที่ทำให้การจัดการเชิงประกอบการแตกต่างจากการจัดการทั่วไป (Ordinary Management) จะพบว่าประการแรก คนที่เป็นผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทั้งภายนอกและภายใน และเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่ก่อให้เกิดความต่างจากสภาวะปกติ เป็นความแตกต่างอย่างเหนือชั้น แต่คนที่เป็นผู้บริหารธรรมดา (conventional manager) จะสนใจในเฉพาะสิ่งที่ก่อเกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงนั้น คือ การเน้นหรือจุดเน้นที่ความเปลี่ยนแปลง (A Focus on Change) ต่างกัน  ประการที่ 2 เกี่ยวกับจุดเน้นเรื่องของโอกาส (A Focus on Opportunity) ผู้ประกอบการสนใจในการติดตามและแสวงหาประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้น โดยใช้ทรัพยากรในการเสี่ยงเพื่อตอบรับโอกาสนั้น แต่ผู้บริหารทั่วไปจะให้ความสำคัญกับการประหยัดทรัพยากรและการจำกัดความเสี่ยงของตนเองในการมองโอกาสที่เกิดขึ้น ประการที่ 3 จะเกี่ยวข้องกับการจัดการเชิงองค์รวม (Organization-wide Management) ซึ่งผู้ประกอบการจะบริหารจัดการธุรกิจเชิงบูรณาการในองค์กร ผู้บริหารทั่วไปจะมุ่งเน้นเฉพาะส่วนงานที่ได้ทำการแบ่งแผนกงานตามหน้าที่  ความแตกต่างหลัก ๆ นี้จะช่วยทำให้เรามองภาพการจัดการเชิงประกอบการกับการจัดการทั่วไปได้ชัดเจนขึ้นว่ามีความต่างกันอย่างไร  การจัดการทั่วไปเน้นการบริหารตามหน้าที่แต่การจัดการเชิงประกอบการเน้นการบริหารให้คนกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ตามคุณลักษณะของผู้ประกอบการเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

การแปลงรูปแบบการจัดการในองค์กรนวัตกรรม
จากการจัดการแบบดั้งเดิมสู่การจัดการเชิงประกอบการ
ความแตกต่างระหว่างวิธีการจัดการแบบดั้งเดิม (Traditional Management Approach) กับการจัดการเชิงประกอบการ (Entrepreneurial Management) เป็นความเข้าใจพื้นฐานสำคัญในการที่จะนำหรืออำนวยการ ขับเคลื่อนให้เกิดองค์กรนวัตกรรม   อย่างไรก็ตามในการพัฒนาและปรับปรุงศิลปะทางด้านการจัดการและการดำเนินการภายในองค์กร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เรียกกันว่า Emerging Industries มีคนเคยแปลว่า อุตสาหกรรมผุดบังเกิด ที่ฟังแล้วไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน ดังนั้นในที่นี้จึงอยากอธิบายว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่เริ่มต้นจากสิ่งประดิษฐ์ (Invention) ไปสู่นวัตกรรม (Innovation) เช่น อุตสาหกรรมที่มีการคิดค้นวัตถุดิบใหม่ อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เป็นต้น ที่นับว่าเป็นกุญแจสำคัญของอุตสาหกรรมใหม่ภายใต้การแข่งขันและความร่วมมือในระดับโลกก็แล้วกัน ใครอยากจะแปลอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งในที่สุดอุตสาหรรมเหล่านี้จะก่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ อย่างมหาศาล นอกจากนี้แล้วยังจะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ทางนวัตกรรมอีกด้วย
Emerging Industries จึงเป็นตัวการสำคัญในการผลักดันให้เกิดแนวความคิดใหม่ทางการจัดการ อันเนื่องมาจากความจำเป็นขององค์กรที่ต้องการนวัตกรรมที่เป็นเลิศและการธำรงรักษาไว้ของความเยี่ยมยอดทางนวัตกรรม ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีความแตกต่างที่มากกว่าแนวคิดของผู้บริหารมืออาชีพแบบดั้งเดิม (Traditional Professional Manager) เพียงอย่างเดียวดังที่เป็นเช่นทุกวันนี้

pastedGraphic.pdf

Emerging Industries เป็นอุตสาหกรรมที่ท้าทายในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ไปยังสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม และในที่สุด คือ การค้า ดังนั้นผู้บริหารหรือผู้จัดการเชิงประกอบการ (Entrepreneurial Manager) จึงต้องเกี่ยวข้องกับทั้งวิชาการการจัดการใหม่ ๆ เพื่อที่จะสามารถประสบความสำเร็จในการประสานเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับการค้าที่บริษัทระดับโลกกำลังแข่งขันกัน ส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด คือ การจัดการเชิงประกอบการกับการจัดการแบบมืออาชีพ ปัจจุบันเป็นที่ตระหนักว่า ผู้บริหารหรือผู้จัดการมืออาชีพจะต้องเคลื่อนตัวไปสู่การจัดการเชิงประกอบการมากขึ้น สวมวิญญาณผู้ประกอบการทั้งในด้านแนวคิด พฤติกรรมและสไตล์การบริหารที่เน้นนวัตกรรม เน้นการพัฒนาใหม่ๆทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์ การตลาด และวิธีการดำเนินงาน 
จะเป็นการล้าสมัยมากถ้ายังคิดว่าการประกอบการ (Entrepreneurship) กับการจัดการแบบมืออาชีพ (Traditional Professional Management) ต้องแยกส่วนกัน ถึงแม้แนวคิดของทั้งสองวิธีการ หรือ แนวทางจะแตกต่างกัน ทั้งทางการศึกษาและการปฏิบัติ แต่ในที่สุดมีการแสดงให้เห็นว่ามีการริเริ่มที่จะผสมผสานทั้งสองแนวคิด โดยเฉพาะในการจัดการบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่า Intrapreneurship
ผู้จัดการเชิงประกอบการ
(Entrepreneurial Manager)
Entrepreneurial Manager ถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าภาวะผู้นำมีนัยสำคัญในการสร้างให้องค์กรสามารถตอบสนองและรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะหากองค์กรนั้นต้องอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีและการพัฒนาด้านตลาด ซึ่งต้องมีการจัดการเกี่ยวพันกับการสร้างคุณค่าที่แท้จริงของธุรกิจของเศรษฐกิจ สามารถปรับเชื่อมโยงความมุ่งมาดปรารถนาส่วนบุคคลกับวัตถุประสงค์ขององค์กร  หากว่าเทคโนโลยี คือ การขับเคลื่อนแล้ว นั่นหมายถึงในทศวรรษหน้าเทคโนโลยีจะทวีความสำคัญขึ้นทั้งในด้านที่เป็นทรัพยากรของชาติและของโลกในฐานะที่เป็นตัวก่อให้เกิดความมั่งคั่ง เป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดผลิตภาพและการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เป็นความเสี่ยงของทั้งรัฐบาลและเอกชนที่ต้องประเมินให้ดี เป็นปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงองค์กรการศึกษาและการฝึกอบรมของทั้งผู้จัดการตลอดจนทรัพยากรบุคคลทั้งหลาย  หมายความว่า Entrepreneurial Manager จำเป็นต้องใส่ใจด้านเทคโนโลยีนอกเหนือจากงานด้านการจัดการ  ความเป็นจริง คือ Entrepreneurial Manager และ Traditional Manager ในองค์กรใหญ่ บางครั้งไม่สามารถไปด้วยกันได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กรณีการปะทะกันในหลายเรื่องของ Roger Smith กับ Ross Perot ที่บริษัท GM แต่ก็มีอีกตัวอย่างหนึ่งของการเป็น Entrepreneurial Manager ที่มีความมุ่งมั่น เป็นเรื่องเกิดขึ้นที่โรงงาน 3M หลายปีก่อน คือ มีนักวิจัยคนหนึ่งถูกให้ออกจากงาน แต่เขายังคงกลับเข้ามาทำงานในห้องแลบเพื่อค้นคว้าโครงการโดยไม่ได้รับเงินเดือน ถือว่าเป็นคนเขามุ่งมั่นและในที่สุดได้ประสบความสำเร็จ เขาถูกจ้างกลับให้เข้าทำงานที่บริษัท 3M โครงการของเขากลายเป็นแผนกหนึ่งในโรงงานและสุดท้ายเกษียณด้วยตำแหน่งรองประธานบริษัท เราเชื่อว่า Entrepreneurial Manager เป็นกุญแจสำคัญในการริเริ่มสิ่งใหม่ในองค์กร เพราะเป็นพวกเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง มีจุดยืนที่ชัดเจน ซึ่งอาจจะเป็นการยากในการจัดการคนกลุ่มนี้เนื่องจากมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ต่างจาก Traditional Manager ที่จะทำงานตามคำสั่งได้ง่ายกว่าเนื่องจากไม่ค่อยเข้าใจว่าตนเองจะคิดอย่างไรและต้องการอะไร     ในขณะที่ Entrepreneurial Manager จะมีวิสัยทัศน์ที่ชัดแจ้ง ไม่ใช่พวกฝันกลางวัน เป็นตัวซุปเปอร์แมนหรือ     สไปเดอร์แมนที่ขับเคลื่อนและดำเนินงานแบบก้าวข้ามกรอบและพร้อมเผชิญปัญหาทุกรูปแบบ นอกจากนั้นพวกนี้ยังเชี่ยวชาญทั้งด้านการเมืองในองค์กรและด้านเทคนิควิชาการ
ดังนั้นพวก Entrepreneurial Manager จึงทำงานได้ดีในสถานการณ์และเป้าหมายที่ท้าทาย ที่ไม่ธรรมดา อยู่ในสิ่ง   แวดล้อมทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ารวมถึงด้านวิชาการและการตลาด เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องการเพื่อเข้าถึงแหล่งทรัพยากร กลุ่มนี้ต้องการการรับประกันการสนับสนุนเมื่อโครงการหรือแผนงานบางอย่างติดขัด และยังต้องการรางวัลที่เหมาะสม รวมถึงการยอมรับในหลายด้านมากกว่าด้านการเงินอย่างเดียวดังเช่นธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ ให้ความสำคัญกับเส้นทางการเติบโตในอาชีพถ้าไม่เช่นนั้นพวกนี้ก็จะออกจากองค์กรไป  สิ่งสำคัญสำหรับการจัดการเชิงประกอบการในที่นี้จะหมายถึงการเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับการพัฒนาตลาดใหม่ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสองอย่างที่สำคัญ เนื่องจากการอยู่รอด การประสบความสำเร็จ และการเจริญเติบโตขององค์กรในการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดโลก องค์กรจะเจอกับสิ่งที่เกิดขึ้น คือ เทคโนโลยีที่ล้าสมัยและการแพร่กระจายของเทคโนโลยีใหม่สำหรับการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ การจัดการควบคุมสินค้าที่มีวงจรชีวิตสั้นลง การให้การศึกษากับลูกค้าหรือตลาด ตลอดจนการพัฒนานโยบายการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก หนทางที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ในเวลาที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ คือ การจัดการเชิงประกอบการและโดยกลุ่ม Entrepreneurial Manager เท่านั้น

เชื่อมา..ปัญญาจาก


ฟังหู..ไว้หู ไว้ดูให้ชัด
ความเชื่อเข้ามา..ปัญญาจะจากไป
จะเชื่อตัวเอง...มองตัวเอง
จะเชื่อคนอื่น....ดูตาม้าตาเรือให้ดี
จะเชื่อใคร..กลั่นกรอง ตรองดู ฟังหู ไว้หู..อีกที

เมื่อคนอยากเป็นนาย..แต่กลายเป็นทาส


นั่งมองนู่น มองนี่..เริ่มแปลกแยกอีกแล้วท่านผู้ชม.. ใครเป็นนาย ใครเป็นทาสกันแน่..

นั่งคิดว่า..มันมีสองอย่างที่ทำให้คนที่อยากเป็นนาย..กลับกลายเป็นทาส..

หนึ่ง.. ความคิดของคนที่ไม่ได้มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  อยู่ได้เพราะธรรมชาติ ไม่ได้สำนึกในบุญคุณธรรมชาติ เห็นธรรมชาติเป็นเพียงสิ่งเพื่อสนองความต้องการ

และหนักกว่านั้น คือ เข้าใจว่าคนคือนายของธรรมชาติ (คิดไปได้...) 
โลกนี้...ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินธรรมชาติ (พูดกันเยอะ..ใครก็รู้..) เทคโนโลยีสมัยใหม่นานาชนิดไม่ว่าจะทำได้จริงหรือมีประสิทธิภาพแค่ไหน ก็ไม่สามารเอาชนะธรรมชาติได้  มันเพียง...เพียงแต่ชะลอปัญหาจากธรรมชาติเท่านั้น เช่น ร้อน..เปิดแอร์ดับร้อน..ได้ชั่วคราว..แต่กระหน่ำเปิดกันมากขึ้น.. ซวยเข้าไปใหญ่ รถประหยัดนำ้มันก็เที่ยวขับกันถี่ขึ้น... ในที่สุด..โดนนายลงโทษ แล้วก็คร่ำครวญ..

....ไม่อาจยกเหตุการณ์นายลงโทษมาไว้ที่นี้ได้..มันเศร้าเกินไป.. เห็นๆกันอยู่แล้ว

สอง...ที่มาคู่กันเลยคือ คนอย่างเราเห็นว่าความสุขคือการครอบครอง กิน ใช้ ใส่ สวม พก ห่อ ห้อย แขวน มีมากเท่าไหร่ เสพมากเท่าไหร่..ก็มีความสุขมากเท่านั้น.. เวรกรรม 

เราวัดค่าชีวิต การพัฒนา ความก้าวหน้าจากจำนวน ชนิดของสิ่งที่มี บ้านที่มี รถที่มี เงินที่มีและอะไรอะไรที่มีอีกมากมาย แข่งกันเข้าไป ไม่เคยรู้สึกพอซักที ยังต้องการไม่หยุดหย่อน.. กลายเป็นทาสตัวจริงของความอยากไปซะฉิบ.. โดนนายลงโทษให้หาแต่ความสุข...ที่มีวันได้เพิ่มขึ้น 

คนกลายเป็นทาสที่..เหินห่าง หมางเมิน แปลกแยกกับนาย (ธรรมชาติ)  ยังไม่พอ..ยังไม่พอ ยังห่างเหิน หมางเมิน แปลกแยกกับตัวเองอีกต่างหาก  คนทนอยู่กับตัวเองคนเดียวไม่ได้  หนีตัวเองตลอดเวลา และกลับไปเบียดเบียนนาย... เดี๋ยวจะโดนลงโทษอีก...เพราะว่า..ความผันผวน ปรวนแปรที่เราได้รับรู้ รู้สึกรู้สมอยู่นี้..มาจากภายในคน..ที่มีทุกข์ อ้างว้าง และว่างเปล่าในส่วนลึกของวิญญาณคน..  ต้องเติม..ต้องเติม..แต่เติมยังไงก็เติมไม่เต็มนะ (เพราะมัวแต่เสพนายเกินไป..ขัดขืนธรรมชาติมากไป) เติมวิญญาณตัวเองไม่เต็มซักที...

สรุปว่าจากนี้..ท่องคาถา "พอเพียง" ของในหลวงเข้าไว้... เข้าใจนาย เคารพนาย อย่าใช้นายมาก ไม่ต้องอยากมาก..มีอะไรก็ใช้ไป..กินไป.. และเชิญพี่น้องไปปลีกวิเวก อยู่กับธรรมชาติกันเถิด..เดี๋ยวธรรมะจะมาเอง.. จะได้เลิกเป็นทาสเสียที.. หรือว่า เป็นทาสมันสนุก สุขกันนัก..เอวัง..