วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทุกสิ่งมีชีวิต ทุกอย่างมีพลัง ทุกอย่างสวยงาม


Washington D.C. Post ได้ทำ social experiment ที่ด้านนอกสถานีรถใต้ดิน Washington D.C. โดยให้นักไวโอลินระดับโลกแต่งตัวธรรมดา สวมหมวกแก๊ป สีไวโอลินอย่างไพเราะจับใจให้ผู้คนที่ผ่านไปมาในบริเวณนั้นฟัง ปรากฎว่ามีคนผ่านเป็นพันคน แต่ไม่มีใครสนใจเลย งานนี้เล่นทั้งวันได้เงินมา 30 เหรียญ ในขณะที่โชว์ของคนนี้ใน arena นั้นมีราคาที่นั่งละ 100 เหรียญ !!

เหตุการณ์นี้น่าคิด... อาจเรียกได้ว่าสีซอให้ควายฟัง 

คนไม่สังเกตุเห็นความดี ความงาม ความเก่ง หรือประกายฟรุ้งฟริ้งความเป็นไปของสิ่งเล็กสิ่งน้อยในโลกนี้ คือพลาดเรียกว่าพลาดโอกาสที่จะได้พลังชีวิตกันเลยก็ได้นะ

เพราะอะไร????
เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องเด่นดังที่เห็นในทีวีเหรอ หรือ มันไม่ได้มาในรูปแบบที่เคยเป็น รูปแบบที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น ??? เราจึงไม่สนใจจะฟังจะมอง...

ทุกสิ่งมีชีวิต ทุกอย่างมีพลัง ทุกอย่างสวยงาม
แต่เราไม่มีตาสำหรับมอง
เรามีตาไว้แค่รับรู้ แต่ไม่ได้มีตาไว้ชื่นชม
เราจึงพลาดประกายแห่งความงาม ความเจิดจ้าที่มีพลัง 

ช้าลง..ไม่ได้แปลว่าเราพลาดความก้าวหน้าใดใด
แต่มันทำให้เราชาร์ตพลังต่างๆเข้ามาได้ต่างหาก
อย่าหันหลังให้สิ่งต่างๆ สิ่งเล็กๆน้อยๆเลย
เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะนำพาความรู้สึกดีดี พลังดีดีเข้ามาในชีวิต
นั่น คือ เราสามารถเห็นชัดขึ้น ได้รับรู้รับฟังมากขึ้น

เราจะเห็นความสวยงามของโลกได้ เมื่อ....
เปลี่ยนมุมในการมองสิ่งต่างๆ
แค่ตั้งใจมอง เอาใจใส่ลงไปให้มากขึ้น
ฝึกสังเกตุให้ดีขึ้น คือ เป็นผู้สังเกตุมากกว่าแค่เป็นผู้ร่วมเหตุการณ์


วันนี้...มองให้เห็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ เราอาจได้อะไรดีดีมากกว่านะ

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561

อะไรที่ผ่านมาในชีวิต...ลองคิดดู

ความยึดมั่นเป็นตัวทุกข์
มีความยึดมั่นในสิ่งใดก็เป็นทุกข์ในสิ่งนั้น
ถ้าปล่อยวางได้ก็ไม่ทุกข์เราจึงควรรู้เท่าทันสิ่งนั้น
อย่ายึดอย่าถือให้มันรุนแรง แต่ให้รู้ว่าสิ่งนี้มัน
ไม่ใช่ของแท้ของจริงเป็นสิ่งที่ผ่านมาในวิถีชีวิตของเรา 
มันเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
พระธรรมาโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
====================
อะไรที่ผ่านมาในชีวิต...ลองคิดดู
ความสุขผ่านมา
ความทุกข์ผ่านมา
เงินผ่านมา
ความรักผ่านมา
อายุป่านนี้คงมีมากมายที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป...
เราปล่อยให้มันผ่านไปหรือเปล่า
หรือยังยึดติด...จนเจ็บตัว เสียใจ และยังเป็นทุกข์ !!


วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เป็นนายที่ดี..ต้องมีเมตตา


ปัจจุบันโลกมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย ทำให้คนกล้าต่างมากขึ้น คนมีความคิดเห็นของตัวเอง มีมุมมองของตัวเอง การดูแลคนที่มีความคิดต่างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะที่ต่างจากคนเป็นนาย มันทำให้การเป็นนายที่ดีมันก็ยากอยู่นะ แต่คงลืมไม่ได้ว่าหน้าที่อันดับต้นๆของการเป็นนาย คือ การมีเมตตาต่อลูกน้อง 
มันมีผลวิจัยสนับสนุนอยู่ว่า....
⏩การชื่นชมดลบันดาลผลงานดีกว่า
เมตตา คือ การแสดงถึงการชื่นชมจริงใจต่อความสำเร็จของคนอื่น จาก Global research พบว่า recognition การได้รับการยอมรับ คือ สิ่งที่คนทำงานต้องการมากที่สุดจากเจ้านาย ต้องการมากกว่าเงิน มากกว่าการได้รับการโปรโมท
⏩ความสัมพันธ์ก่อให้เกิดไอเดียที่ดีกว่า
คนมีเมตตาจะหาเวลาสร้างเครือข่าย สร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับคนอื่น เป็นวงสัมพันธ์ที่จริงใจ งานวิจัยพบว่า โพรเจคต่างๆที่ประสบความสำเร็จนั้น 72% มาจากการสร้างการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะด้วยการพูดคุย การถามคำถามกับคนหลายคนในองค์กร แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้อง หรืออยู่วงในโพรเจคนั้นโดยตรง มัน คือ การแคร์กัน ความเมตตาจะทำให้ได้มุมมองอื่นๆตามมา ซึ่งจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนั้น ไม่ใช่ประเด็น
⏩การช่วยแก้ไขสามารถเพิ่มระดับความสัมพันธ์
คนเป็นนายนั้น ความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง คือ การทำให้คนรู้ว่าที่ทำๆไปนั้นมันไม่บรรลุความคาดหวังที่กำหนดไว้ การเรียกมาให้ทำการแก้ไขข้อผิดพลาดอาจดูไม่ใช่เมตตาสำหรับบางคน แต่ถ้านายทำด้วยความตั้งใจ อยากให้คนสามารถพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น นั่นคือ เมตตานะ งานวิจัยจาก Harvard Business Review ในเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า เหตุผลสำคัญอันดับหนึ่งของการเป็นนายที่ไม่เจ๋ง คือ การไม่สามารถสร้าง trusting relationships แต่ถ้าอยากเป็นนายเจ๋งๆ ก็ต้องเมตตาช่วยแก้ไขให้พัฒนา จะสามารถสร้างความไว้วางใจได้เต็มๆ
สำหรับ “เมตตา” ไม่มีเร็วไป
เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเร็วแค่ไหนมันจึงจะไม่สายเกินไป

"You can not do a kindness to soon, for you never know how soon it will be too late.” Ralph Waldo Emerson

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 176

น้ำใจไม่(ควร)มี catagory 
ชีวิต...คนอื่นมองยังไง อันนั้นไม่เกี่ยวกับเรา
เราใช้ชีวิตยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ที่เกี่ยว คือ มโนธรรมสำนึก
เราไม่ลืมคนที่มีน้ำใจ คนที่เคยให้อะไรกับเรา คนที่เคยช่วยเหลือ
ไม่อย่างนั้น...ทางเดินชีวิตมันจะยิ่งแคบลงๆ คนเดินด้วยก็น้อยลงๆ
ชีวิตอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมคนที่เคยดีกับเราและยังดีกับเรา
แม้ว่าจะเป็นคนอื่นที่...เราไม่ได้คิดว่าเป็นเพื่อนก็ตาม 
ลำพังโลกนี้มันก็อยู่ยากขึ้นทุกวัน
อย่าทำให้มันยากกว่านี้เลย เดี๋ยวไม่มีใครคบ จบข่าว


วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 175

ถ้า “ใช่” มันคือ “ใช่”
👌ใช้ชีวิตด้วยความสง่างามแบบเราๆ มันแปลว่า ไม่ต้องกระเสือกกระสนมาก ราบรื่น เรื่อยๆ ยอมรับเป็นธรรมชาติไป เราอยู่ในโลกปัจจุบันที่เห็นๆกันว่ามีแต่ low-grade narcissism ต้องเก๊กมีฟอร์ม ต้องดีทุก move ต้องเพอเฟคทุกที่ทุกเวลา มันเลยกลายเป็นดิ้นรนทำอะไรผิดธรรมชาติตัวเอง ยืนในที่ที่เป็นตัวของตัวเองแบบสบาย-สบาย เดิน เหิน กิน ทำงานรับผิดชอบชีวิตตัวเองไป carry yourself with grace บิดเบือนตัวตน หมดราศี ไม่ได้สง่างาม
👌เชื่อในความเป็น “คน” “ปัญญา” คือ เคารพสรรพสิ่งรอบตัว คนทุกคนมีสิทธิ์ของความเป็นคน เกิดมามีเลยและมีสิทธิ์จะผิดพลาดได้ทั้งนั้น ซึ่งคาดว่าคนคงจะเรียนรู้ความพลาดของตัวเองในที่สุด ยิ่งเหนือกว่าคนอื่น ไม่ว่าด้วยอำนาจ วัย หน้าตา ฐานะ หรืออะไรก็ตาม มันจะมีเรื่องมาท้าทายความอดทนตลอด การเคารพความเป็นคนและปัญญาไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วย เอออวยยอมรับทุกกรณี แต่มันคือการย้อนกลับมาที่เรา ego ของเรา ซึ่งไม่ใช่การพิสูจน์ว่าเราต้องถูกทุกครั้ง ดังทุกที่ในทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเราจะถูกจริงๆก็ตาม
👌ละเอียดเข้าไป เราคงต้องมาทบทวนกันมั่งกับชีวิตที่ใช่ เรามี personal brand นะ ทั้งในฐานะที่เป็นคนและอาชีพ ไม่ว่าจะเก่ง เจ๋ง นางฟ้า เทวดาแค่ไหน หากไม่จริงใจ ไม่ละเอียดจริง มีหลุดทุกราย คนจะจับได้ sooner or later ทุกอย่างในตัวคนมันบ่งบอก การแต่งตัว การกิน การอยู่ การพูด การเอาใสใส่จริงหรือหลอก มันออกมาหมด คนจริงไม่หลบตา ไม่มีวาระซ่อนเร้น จง rock details !! มันมีผลต่อความสัมพันธ์ อาชีพการงาน มันคือการควบคุมชีวิตของตัวเอง
👌อย่าทึกทัก เป็นนัก big assumptions เพราะมันไม่ได้จริง มันไม่ใช่ เราทึกทักไปเองว่าใครเร็วใครได้ คือ ถูก เราทึกทักไปเองว่ามีเงินแล้วมีความสุข เราทึกทักไปเองว่าเราเป็นคนแบบนี้ ยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้ ยิ่งทึกทักบ่อย ก็ยิ่งปักใจเชื่อ ใจเริ่มติด...คิดไปเอง รู้สึกไปเอง ตัดสินไปเอง การใคร่ครวญมันเลือนหายไป เลิกทึกทักแล้วมันจะ “ใช่” มันจะทำให้คนมีทบทวน มีใคร่ครวญ มันจะช่วยยกระดับการตัดสินใจที่มีความรอบคอบและรอบด้านมากขึ้น ทำให้ระบบประมวลผลของตัวเองทำงานได้อย่างมีคุณภาพ ทึกทักมันได้ผลลัพธ์ก็จริงแต่ขาดคุณภาพแน่นอน คาถากัน “ทึกทัก” คือ “สติ” และ “ความกล้า” เท่านั้น มีสติจะทันการทึกทัก มีความกล้าจะสามารถรับผิดชอบในการก้าวข้ามการทึกทักด้วยตัวเอง เช่น ถ้าเราไม่ได้เป็นดังที่ใครคาดหวัง เรากำลังจะทึกทักไปว่าคนคงรับเราไม่ได้ สติจะมาละนั่นแน่ ทึกทัก ทึกทัก ความกล้าจะช่วยให้เข้าไปถามเลย “ ถ้าไม่เอออวย ยังจะช่วยเหลือกันเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า” คำตอบมันรออยู่ จะได้รู้ว่าทึกทักหรือของจริง แต่ทว่า กลัวคำตอบเกินกว่าที่จะถามมันออกไปไหม เอาแค่กล้านะ ได้คำตอบแน่ แต่ถ้าบ้าบิ่นนั้นไม่ไหวจะเคลียร์ เพราะความบ้าบิ่น อยู่ตรงที่เชื่อในสิ่งที่ทึกทักอย่างสนิทใจ ไม่ว่าจะมีใคร มีอะไรมาขัดแย้ง ก็ยังบ้าพอจะหาคำอธิบายมายืนยันความเชื่อนี้ให้ได้ คือ ไม่อยากรับรู้อะไรที่ต่างไปจากนี้อีกแล้ว อันนี้ก็ตัวใครตัวมันไปนะ
ใช่ คือ ใช่
ไม่ใช่ จะให้ใช่มันก็ไม่ใช่ !!


วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทัศนคติอย่างเดียวเท่านั้น

ฉันเป็นคนน่าเกลียด
อย่าพยายามบอกว่า
ฉันนั้นสวย
เพราะตอนสิ้นวันทุกวัน
ฉันเกลียดตัวเองทุกเรื่อง
และฉันจะไม่โกหกตัวเองว่า
ความสวยข้างในนั้นในสำคัญ
ดังนั้น ฉันจะเตือนตัวเอง
ว่าฉันไร้ค่า ฉันแย่
และไม่ว่าใครจะพูดยังไง ก็ไม่ทำให้ฉันเชื่อว่า
ฉันสมควรได้รับความรัก
เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ฉันไม่ดีพอที่จะถูกรัก
ฉันไม่ได้ถูกทำให้เชื่อว่า
ความสวยงามมันอยู่ในตัวฉัน
เพราะทุกครั้งที่มองในกระจก..ฉันคิดว่า..
ฉันน่าเกลียด...ดังที่คนอื่นว่าหรือเปล่า 


(เอ้า..อ่านย้อนกลับขึ้นไป..)