วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความกังวลใจเป็นศัตรูของชีวิต


หลายปีที่ผ่านมา...ได้เห็น "ความกังวลวิตก" ในหมู่มวลมิตรแล้วกลุ้ม... 
โดยเฉพาะกังวลเรื่อง "สุขภาพ" ก็เข้าใจว่ามันสำคัญ 
แต่ที่เห็น คือ ไอ้ที่วิตกมากๆนั่นแหละ..ป่วยกว่าเพื่อน !! 
จึงได้คิดว่า..ความกังวลนี่มันเป็นศัตรูตัวกลั่นของชีวิตเลยนะ 

จริงๆมันก็ไม่ผิดอะไรเพราะความกังวลเป็นเรื่องธรรมชาติของคน
และมันก็ดีสำหรับการเผชิญปัญหา ผลักดันให้คนเราแก้ปัญหาและคิดพัฒนาอะไรได้  
แต่ถ้าความคิดวิตกกังวลมันมากเกินจนไม่เหมาะสม จนมีอาการมากเกินไป คือ อะไรก็ไม่ได้ กินก็ระวังจนเคร่ง นอนก็ต้องมีท่า นั่งก็ไม่เป็นสุข จะเดินจะเหินก็ดูแปลกๆ ขนขวายแต่เรื่องซ้ำซากอยู่นั่น 
มันจัดเป็น "ความผิดปกติ" แบบหนึ่งที่ควรได้รับการดูแลรักษานะ 
...เพื่อลดความทรมานกาย ทรมานใจ (ตัวเองและผู้อื่น) ไปบ้างก็ดีเหมือนกัน

คือ...ถ้าปล่อยไว้ มันจะกลายเป็นลักษณะประจำตัว เป็นเรื้อรัง และกลายเป็นความกังวลไปทั่วๆ ทุกเรื่อง เรื่องราวต่างๆดูจะมีความสำคัญจนวางใจไม่ลง หรือ อาจจะห่วงกังวลไปล่วงหน้า ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ   อาการหนักทางกายที่ตามมา คือ ตึงเครียด อาจมีข่มตาหลับยาก ตกใจง่าย หงุดหงิด ไม่สบายตัว ไม่มีสมาธิ ปวดหัว ปวดท้อง ปวดเข่า ปวดข้อ ปวดๆเจ็บๆมันไปไม่สิ้นสุดสักที คือ คาดว่าระบบประสาทอัตโนมัติทำงานมากเกินไป คือ ใจสั่น ใจร้อน ใจเต้นเร็ว ถอนหายใจบ่อย ฉี่บ่อย เหงื่อแตก พาลนึกว่าตัวเองเป็นโรคร้ายแรง ยิ่งกังวลมากขึ้น อาการเลยยิ่งแย่ลง วนเป็นวงจรอุบาทว์ไปเลย

เป็นแบบนี้มันรบกวนการมีชีวิตที่มีคุณภาพนะ

ไอ้ปั่นป่วนแบบนี้ ถ้าไม่ใช้เป็นกรรมพันธุ์ก็พอจะเยียวยา โดยไม่ต้องใช้ยา

แค่ให้รู้ทันความเครียด แค่สำรวจใจตัวเอง รู้ว่าเครียดต้องถามตัวเองว่า..มันเครียดมากไปหรือเปล่า ถามคนรอบข้างก็ได้ ระบายมาบ้างก็ได้ คือ ทุกปัญหามันมีทางแก้ แต่แน่ๆ คือ อย่าหลอกตัวเองว่าไม่เครียด อย่าหลอกตัวเองว่าที่คิดๆอยู่มันคิดหาทางแก้ปัญหา มันไม่ช่วยเลย มันทำให้ยิ่งเครียดแล้วสารพัดโรคจะตามมา อย่าวิกจริตเกินเหตุ ควรเอาสมองไปคิดเรื่องรื่นรมย์โสมนัส เพราะถ้าหงุดหงิด ไม่สมใจ ไม่อารมณ์ดี วิตกจริตมันจะไปฝังตัวอย่างแน่น ทีนี้แกะออกยากแล้ว เรื่องอะไรไร้สาระก็ทำให้มันเป็นสาระได้ทุกเรื่อง การเรียงลำดับเรื่องสำคัญชีวิตจะผิดพลาด คิดเรื่องง่ายๆไม่ออก จะทำอะไรก็ต้องพึ่งชาวบ้านทุกเรื่อง กลายเป็นไม่ยอมขนขวาย แบบนี้น่าเป็นห่วงจริงๆนะ

ยอมรับความไม่เที่ยง...อายุมากขึ้น ความเดี้ยงเป็นเรื่องธรรมดา มันทุพลภาพไปคนละอย่างสองอย่าง และมันจะมาเรื่อยๆตามสภาพการใช้งานร่างกายของเรา...ซึ่งจะโทษใคร เราใช้มันแบบนี้เอง เราเลือกกินแบบนี้เอง เราเลือกอยู่แบบนี้เอง เราเลือกบังคับตัวตนของเราเองแบบนี้ !! 

อย่าเก็บกดความวิตก อย่างกเอาไว้เพราะเก็บไว้มากๆมันเด้งกลับ..แรงกว่าเดิมอีกต่างหาก เอาแค่เฝ้าดูมัน แต่ไม่เอาใจไปผูกกับมัน ไปทำอะไรสร้างสรรค์ที่ทำให้ใจมันสบาย วาดรูปได้ วาดไป ไปเที่ยวได้ก็ไป อยากไปทำบุญก็ทำ อยากทำ mindful meditation ก็ทำไป

ที่สำคัญ...อย่าอยู่กับอารมณ์ด้านลบ..มันเสียหาย ความอยากได้ดีกว่า อยากได้มากกว่าโดยไม่คิดว่าเป็นการเอาเปรียบคนอื่น แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ผิด เพราะมันจะเพาะเชื้อความวิตกเข้ามาเพิ่มอีก แม้แต่ความความกระวนกระวาย เศร้า โกรธ ความรู้สึกผิด ล้วนแล้วแต่ไม่อาจหยุดยั้งความกังวลได้ มันจะทำให้อยู่ในสภาพอารมณ์แย่ๆจนเกินจะควบคุม กลายเป็นนิสัยติดตัวไปจนตาย

ลากความกังวลออกไป...อยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้ยังสภาพดี อย่าไปกังวลอนาคต มันยังมาไม่ถึง เผลอๆมันจะไม่มา จะตายวันตายพรุ่งไม่มีใครรู้...อยู่กับความสุขน้อยๆ ความสุขเล็กๆที่หาได้ด้วยตัวเองดีกว่า 

รักตัวเองเข้าไว้...อย่าทำร้ายตัวเองไปจนตายนะพี่น้อง !!

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่มันสำคัญขนาดนั้น...
ไม่มีเลยจริงจริง...แม้แต่ line play 555 แต่ดันตื่นมาเล่นทุกวัน..ยิ่งเล่นยิ่งไปกันใหญ่ 
ช่วยแนะนำหน่อย...ไปถ้ำไหนดีที่มีตัด line play ^_^

คิดดีเป็นศรีแก่ตัว


As he thinks, so he is; as he continues to think, so he remains.
James Allen 

'ความคิด' คือ สิ่งที่กำหนดตัวตนให้เป็นไปตามที่คิด 

เชื่อว่า..ทุกอย่างไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เกิดจาก "ความคิด" ทุกอย่างมีเหตุและเป็นผล

ความคิดมีพลัง...และเป็นเหตุที่ทรงพลังที่สุด
ยิ่งเป็นความคิดที่ชัดเจน พลังอำนาจของจะยิ่งสูง
ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ
เพราะเราเป็นคนกำหนด เราเป็นคนคิด และเราเป็นคนทำ

เราอาจกำหนด "เหตู" ได้ยาก
แต่ต้องฉลาดพอที่จะมองเห็น "ผล" (ก่อนลงมือทำ) 
จะเห็น "ผล" ได้ต้องมีนิสัยชอบเรียนรู้ !!

ในความเป็นจริงเราอาจจะกำหนด 'ผล' ไม่ได้ทั้งหมด
แต่เราสามารถฝึก 'เหตุ' ของมันได้ ถ้าเชื่อว่า..ชะตาเรากำหนดเอง
คือมันต้องหมั่นป้อนความคิดดีๆ เข้าสมองอย่างต่อเนื่อง

อ่านให้มาก
ฟังให้มาก
อารมณ์ดีเข้าไว้

มันจะช่วยให้เราสั่งสมความคิดดีดี...ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันชีวิต
ต่อให้อะไรแย่ๆเข้ามาในความคิด..มันก็จะอยู่ได้ไม่นาน
และถ้าฝึกดีแล้ว..ความคิดไม่ดีจะผ่านเข้ามาเป็น "เหตุ" ได้ยาก

สัจธรรม คือ คิดดี --> ทำดี --> ผลลัพธ์ย่อมดี
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุและผลของมัน !!

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557



จะสูง หรือ ต่ำ อยู่ที่จัดวาง
ตัวตน...อยู่ที่จัดวาง
อยู่ที่ "ใส่" อะไรลงไป...
ใส่ "นิสัยไม่ดี"....ก็ต่ำ
ใส่ "ความดี ความเมตตา"....สูงขึ้นมาเอง

รักในหลวงที่สุด....อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี

พระสถิตย์ในใจไทยทั่วหล้า
ทรงเป็นเทวดาในดวงใจไทยทั้งผอง
ข้าพระพุทธเจ้ามอบชีวีด้วยใจปอง
ใจแซ่ซ้องร้อง "จงรักภักดี"....ตราบชีวีมลาย
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อะไรสำคัญ



















ส่วนหนึ่งของชีวิต ...ที่ 'ไม่สำคัญ'

ไม่สำคัญว่า ... คุณขับรถยี่ห้ออะไร ? 
สำคัญว่า... คุณเคยให้คนที่ไม่มีรถ " นั่ง " มาด้วยกี่ครั้ง

ไม่สำคัญว่า ... คุณทำงานล่วงเวลามากขนาดไหน ? 
สำคัญว่า ... คุณให้ "เวลา" แก่ครอบครัว และคนที่รักมากแค่ไหน

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีเสื้อผ้าทันสมัยกี่ชุดในตู้ ?
สำคัญว่า ...คุณเคยให้เสื้อผ้าแก่คนที่ " ขาดแคลน " ใส่กี่ชุด

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีฐานะอะไรในสังคม ?
สำคัญว่า ... คุณ " วางตัว " ในระดับไหน

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีทรัพย์มากเท่าไหร่ ?
สำคัญว่า ... สิ่งที่คุณมี มันมี "อำนาจ " ชี้ขาดชีวิตคุณแค่ไหน

ไม่สำคัญว่า ... เงินเดือนสูงสุดของคุณเท่าไร ?
สำคัญว่า ... คุณต้องสละ " อุดมการณ์ " เพื่อได้มันมาหรือไม่

ไม่สำคัญว่า ... คุณได้เลื่อนขั้นกี่ขั้นแล้ว ?
สำคัญว่า ... คุณเคย "สนับสนุน" ใครให้ได้เลื่อนขั้นบ้างไม่สำคัญว่า ...

คุณมีตำแหน่งการงานอะไร ?
สำคัญว่า ... คุณทำงานสุด " ความสามารถ " หรือไม่

ไม่สำคัญว่า ... คุณมีเพื่อนกี่คน ?
สำคัญว่า ... คุณเป็น " เพื่อนแท้ " กับใครบ้าง

ไม่สำคัญว่า ... คุณเรียกร้องและปกป้องสิทธิของตัวเองอย่างไร?
สำคัญว่า ...คุณทำอะไรเพื่อ " ช่วยและปกป้อง " สิทธิคนอื่น

ไม่สำคัญว่า ... สิ่งที่คุณทำสอดคล้องกับคำพูดของคุณกี่ครั้ง ?
สำคัญว่า ...มีกี่ครั้งที่คำพูดของคุณ " ไม่สอดคล้อง " กับการกระทำ

ขอบคุณ ปันกันอ่าน

ทนุถนอมทุกสิ่ง ทุกคนที่มีอยู่ในเวลานี้ให้ดี


ใกล้ปีใหม่เข้ามาทุกที...
เห็นรูปเด็กหญิงในประเทศอิรักทีไร..สะท้อนใจทุกครั้ง...

เด็กหญิงคนนั้นไม่มีแม่...ใช้พื้นดินในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า..วาดรูปแม่ 
จากนั้นค่อยๆถอดรองเท้า ด้วยความระมัดระวัง..แล้วนอนหลับในอ้อมอกแม่

เห็นแบบนี้แล้วไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดๆมาบรรยาย

เรายังจะมีสิทธิ์และเหตุผลอะไร ที่จะว่าตนเองมีความสุขไม่เพียงพอ
เราโชคดีกว่าหนูน้อยคนนี้มากมายนัก
เรามีความสุขอยู่แล้ว..เพียงแต่เรา..ไม่พอ !!

ลองมองดูรูปนี้ดีดี มองนิ่งๆ เราอาจจะซาบซึ้งจนน้ำตาไหล

ใกล้ปีใหม่แล้ว...ลองคิดดูว่าเรามีอะไรบ้าง...
ทนุถนอมทุกสิ่ง ทุกคนที่มีอยู่ในเวลานี้ให้ดี
ก่อนจะสายเกินไป....

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

ธุรกิจเล็กแต่ใจใหญ่ชัดเจน


ร้านกาแฟเล็กๆนี้ชื่อ "หลวงพระบาง กาแฟ" แต่ติดธงชาติไทยปลิวไสวสวยงามสง่า  ดูๆไปก็เหมือนร้านกาแฟตามต่างจังหวัดทั่วไป..แต่เข้าไปแล้วมันมีกลิ่นอายของศักดิ์ศรี ของ unigueness โชยมาเลย...    มันอยู่ที่แนวคิดการสร้างบรรยากาศร้านของผู้ประกอบการที่เป็นหญิงสาวท่าทางห้าวหาญเหมือนนักรบหญิง จริงจังกับธุรกิจ  แนวคิดร้าน..สะท้อนออกมาจากป้ายต่างๆที่ติดไว้สื่อสารกับลูกค้า..ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่น หรือ นักท่องเที่ยวจะรู้เลยว่าต้องทำตัวยังไง เช่น..


"กาแฟ ชา แก้วละ 40 - 55 บาท ห้องน้ำครั้งละ 100 ขอโทษที่ไม่สะดวกใจในการให้บริการ..." (แปลว่าไม่ต้องขอเข้าห้องน้ำ)
"ร้านนี้เน้นคุณภาพ..ปริมาณไม่เน้น..." (ตั้งใจชง..ต้องรอ)
"คนชงการแฟมีน้อย กรุณาใช้สอยอย่างประหยัด" (ชงอยู่คนเดียว)
เป็นต้น 


อาจจะออกแนวดุดัน แต่ก็มีลูกค้าประจำ..ทักทายกันน่ารัก พูดจากันอย่างสนิทสนมเหมือนเพื่อน เหมือนญาติ ไม่มีชนชั้น ทุกคนเท่าเทียม รู้สึกได้เลยว่าเป็น community ที่มีคุณภาพแห่งหนึ่ง มันแน่น มันเต็ม...

บางทีการที่เรายืนหยัดในหลักการของเรา..ใช้การสื่อสารชัดเจน มุ่งสร้างความเข้าใจ ไม่โอนอ่อนตามกระแสตลาดที่ต้องเอาใจลูกค้า พร่ำเพรื่อ จนเสียระบบ มันเป็นการแสดงถึงศักดิ์ศรีของผู้ประกอบการ ที่มั่นใจในบริการ คุณภาพที่มอบให้ลูกค้าได้เช่นกัน  นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างการเรียนรู้ที่จะคบค้ากันต่อไปในอนาคต 

ธุรกิจแบบนี้ถึงจะเล็กแต่ก็มีคุณค่ามากกว่าธุรกิจใหญ่..ทำเงินมาก แต่ไร้เกียรติเพราะโกงคุณภาพ เอาเปรียบลูกค้าและพนักงาน 


การเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ...ศักดิ์ศรี ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ตรงไปตรงมาสำคัญนัก... 

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

การพึ่งพาตนเอง


การพึ่งพาตนเอง (Independent) เป็นความสามารถของคนเราที่จะช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด โดยไม่เป็นภาระคนอื่น ไม่ร้องขอถ้าไม่จำเป็น ไม่ทำอะไรเกินตัว ทำให้เกิดความสมดุล ความพอดีในชีวิต...ซึ่งการที่เรายึดหลัก "พึ่งตนเอง" นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกสุดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงของเรา... ยึดไว้..ชาติไทยเจริญ.. ไม่ต้องเป็นหนี้ ไม่ต้องทดแทนบุญคุณใคร..ไม่มีลูบหน้าปะจมูก...จึงไม่ต้องเกรงใจที่จะทำความดี ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง...ด้วยตัวเอง...

"การพูด"สำคัญนัก...


หลายคนยึด "เงียบ" ทั้งๆที่ถึงเวลา "ต้องพูด" ซึ่งจะพูดแนวคิด คำแนะนำ หรือ สิ่งที่ตนเองได้สังเกตุ...อะไรก็ได้.. แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะ กลัวโง่บ้าง กลัวทำร้ายคนอื่นบ้าง คิดว่าเลือกที่ไม่สื่อสารดีกว่า แต่หารู้ไม่ว่า...บางทีการเงียบนั้น คือ การสื่อสารที่เลวร้ายที่สุด มันมีเหตุผลที่ควร "พูด" ดังนี้...

1. การเงียบ คือ การยอมรับ : ถ้าคิดว่าการเงียบจะทำให้ตัวเองพ้นจากข้อขัดแย้ง..โปรดคิดใหม่นะ ถ้าคิดว่าไม่เห็นด้วย..แต่เงียบนั้น มันไม่สามารถทำให้หลุดพ้นไปได้ง่ายๆ เมื่อปัญหายังอยู่แล้ว ไม่พูดอะไรเลย...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คนจะคิดว่าเป็นความผิดของเรา ที่สำคัญเราจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอีกด้วย การเงียบในสถานการณ์ที่เลวร้าย ถือเป็นการสมยอม และอีกหน่อยจะไม่มีใครเชื่อถือ หรือ ไว้ใจเราอีกต่อไป

2. การทำดีเพื่อส่วนรวมต้องเป็นลำดับแรกที่สำคัญกว่า : การเงียบเพราะไม่อยากวิจารณ์คน ไม่อยากทำให้คนอื่นเสียใจ เท่ากับว่าเราไม่ยอมก้าวออกมาจาก comfort zone ลอยตัวไป อันนี้เห็นแก่ตัวมาก ยิ่งถ้าพรรคพวก เพื่อนร่วมงานตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก มันเท่ากับทรยศกันเลยนะ ถึงการพูดจะนำไปสู่การโต้แย้ง แต่นั่น คือ การที่นำไปสู่การตัดสินใจเช่นกัน การพูดเพื่อให้ผลแก่ส่วนรวมย่อมสำคัญมากกว่า

3. แสดงความจริงใจให้คนได้รู้ : ถ้าเขาเชิญไปร่วมประชุม ร่วมเสวนา แต่เราไม่ยอมเสวนานี่มันแปลกๆอยู่นะ มันไม่ใช่แค่ไปโชว์ตัวก็ถือว่ามีส่วนร่วมในกระบวนการ การพูดในวงสนทนา การแสดงความคิดเห็นมันเป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ที่สามารถนำไปสู่ความไว้วางใจ ทำให้คนอื่นเห็นว่าเรานั้นพึ่งพาได้

4. การพูดทำให้เราไม่โดดเดี่ยว : อย่ากลัว..การพูดจะทำให้เรารู้ว่าเราไม่โดดเดี่ยว คนอื่นที่เห็นด้วยจะเริ่มแบ่งปันความคิด ทุกอย่างต้องมีเสียง..เสียงเท่านั้นที่ทำให้เรารู้สถานการณ์ได้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

NEED ที่คนเราไม่ควรละเลย


อะไรที่จำเป็นในการสร้างชีวิตที่ดี  คนในโลกนี้คิดมานานแล้วว่า...มันจะมีอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องการสร้างสมดุลในเรื่องงานกับครอบครัว...ขอยืนยันว่าไม่ใช่แค่นั้น  
นักจิตวิทยาชื่อ Abraham Maslow ได้เสนอแนวคิดที่นำเอาความจำเป็นพื้นฐาน basic needs ไว้ล่างสุดในบรรดาความจำเป็นทั้งหลายของคน แล้วสร้างบันไดความต้องการที่สูงขึ้นจนถึงขั้นสูงสุด  กล่าวคือ เรื่องความปลอดภัย ความมั่นคงมาก่อน ส่วนเรื่องศิลปะ เรื่องจินตนาการ เรื่องการบรรลุนั้นมาทีหลัง  ซึ่งเจ้าบันไดที่เรียกว่า "hierarchy of needs” นั้นสร้างความสั่นสะเทือนวงการมาก มันเข้ากันกับสามัญสำนึกของคนได้เป๊ะ  ชีวิตที่ดีจึงต้องเริ่มที่การมีรากฐานที่มั่นคงก็จริง  แต่ชีวิตมันเปลี่ยนไปทุกขณะ  มันมี need ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ถ้าไม่มี need อันนี้   ไม่ว่าเงิน หรือ ครอบครัว อาชีพที่มั่นคง ตำแหน่งใหญ่โตก็ไม่มีความหมาย มันจะทำให้ทุกอย่างพังได้เลย   Deepak Chopra เรียกว่าเป็น “need for self-care” คนเราจำเป็นต้องดูแลตัวเอง 
การดูแลตัวเองนั้น...ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่มันเป็นการดูแล “ความเชื่อ” ถ้าเราคิดว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว คือ เรื่องจริง  เราก็ควรมีความเชื่อใหม่ มี model ใหม่สำหรับ self-care ซึ่งก็คือ 
- ให้ความสุข (ที่แท้) เป็นความสำคัญลำดับต้นของชีวิต 
- ต้องทำให้ชัด ให้แน่ว่าชีวิตของเรามีเป้าหมาย มีความหมาย
- ใช้ชีวิตตามวิสัยทัศน์ตัวเอง...มุ่งมั่น อย่าหลงทาง
- สร้างการตระหนักรู้ในทุกช่วงชีวิต มีสติ...ไม่ง่าย แต่ต้องทำ
- สละเวลาเพื่อการพัฒนาตัวเอง...ช่วยรักตัวเองกันหน่อย
- สนใจในชะตากรรมของโลกที่อาศัยอยู่.. เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก
- เลือกกินอาหารดี (good diet) และออกกำลังกาย...ไม่ได้ยากขนาดนั้น
- reset สมอง ทำให้ว่างๆบ้างในแต่ละวัน...อย่ามัววุ่น วีน เหวี่ยง
- เรียนรู้ตัวเอง ทบทวนโลกภายในตัวเอง 
- ฝึกชื่นชมชาวบ้าน ฝึกสำนึกผิดชอบชั่วดี 
- เรียนรู้ที่จะรักและถูกรัก...มีคน มีญาติโยมให้เรียนรู้เรื่องรักเยอะ ลองมองดู


ความเชื่อเก่าๆนั้นมันมาถึงทางตัน  ยิ่งคิด ชีวิตยิ่งทื่อ หาความสุขไม่ได้  อย่าลืมว่าสังคมการบริโภคนิยม  consumerism มันเป็นระเบิดเวลาที่เร่งเร้าชีวิตที่เป็นสุขให้เหือดหาย  ประเภท "work hard and play hard" มันจะทำให้ชีวิตเฉาและทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม  อย่ารีรอ อย่าเลื่อนความสุขไปไว้หลังเกษียณ..มันเสียเวลา  ลองคิดสักนิด...self-care มันเป็น need ที่เราไม่ควรละเลย  มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่...ถ้าคิดได้...มันจะทำให้ชีวิตในอนาคตสดใสทุกวัน....

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

What Should HR Leaders Focus On In 2014?


บทความใน Forbes เขียนถึง main focus สำหรับองค์กรว่าควรมุ่งไปที่ talent management และ talent development ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างในธุรกิจ คนที่ทำงานด้าน HR ต้องคุยกันให้ชัดว่าอะไรเป็นเป้าหมายองค์กร อะไรเป็นกลยุทธ์ของธุรกิจ และวางตำแหน่งของตัวเองเพื่อทำ talent management ให้สามารถตอบสนองต่อการดำเนินงานและประสิทธิภาพขององค์กร เพราะนี่คือทางเดียวที่ HR จะ add value ให้องค์กรได้

สิ่งสำคัญที่ HR ต้องมุ่งเน้น คือ การประเมินทักษะที่องค์กรต้องการเพื่อปฎิบัติตามกลยุทธ์ได้ว่ามีอะไรบ้าง วางแผนการคัดคนและบริหารจัดการพวก talent อันนี้สำคัญมาก HR ต้องเข้าใจว่าความสามารถขององค์กรขึ้นอยู่กับการสร้าง การพัฒนา talent และต้องเป็น "the right talent" ไม่ว่าจะพัฒนาจากคนใน หรือ เอาคนนอกเข้ามาเพื่อทำตามกลยุทธ์สู่ฝันองค์กรให้ได้ แปลว่าเอากลยุทธ์ธุรกิจเป็นตัวนำในการจะฝึกคน จัดการคน ไม่เช่นนั้นกลยุทธ์จะจะกลายเป็นแค่กระดาษ เป็นแค่แผนที่ไม่มีวันสำเร็จ

Google เป็นตัวอย่างที่ดีในการบริหารจัดการพวก talent มีการระบุ critical positions ในองค์กรเลยว่ามีตำแหน่งอะไรบ้างที่ต้องการคนที่มีความสามารถพิเศษ ที่จะทำให้องค์กรแตกต่างไปจากคู่แข่งขัน ทำการคัดเลือก สรรหาคนที่มีคุณสมบัติที่ตรง ทักษะที่จำเป็นมาดำรงตำแหน่ง มันเป็นเรื่องการปฎิรูปกระบวนการสรรหาและคัดเลือกกันใหม่ทั้งหมด ในการคัดเลือกนั้นถึงขั้นทำแบบทดสอบกันเลย ว่ามี key skills ที่ต้องการสำหรับตำแหน่งหรือไม่

อันนี้เหมือนกับ 3M เมื่อทศวรรษที่แล้ว ที่ให้ทุกคนสามารถใช้เวลา 10-15% ของการทำงานในการทำ project ที่คิดที่ฝันให้สำเร็จ ซึ่งกลายเป็น business ideas และ business projects ใหม่ๆให้องค์กร นี่เป็นการพัฒนาคนอย่างแยบยล คนเก่งๆจึงอยากเข้ามาร่วมงาน ไม่ใช่ให้ตะบี้ตะบันทำแต่งานประจำ

แต่ผู้นำในหลายองค์กรไม่ค่อยเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ บางคนกลับคิดว่าตัวเองสามารถทำงานได้ดีโดยไม่ต้องมีพวก talent คิดว่าความรู้ทักษะของตัวเองในเรื่องเบสิค เช่น การเงิน การปฎิบัติการต่างๆในองค์กรก็เพียงพอแล้ว ซึ่งน่าเสียดายโอกาส เพราะหลายครั้งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากทักษะพิเศษของคนเก่งคนอื่น และสามารถสร้างความแตกต่างให้กับองค์กรได้

...พวกนี้ก็จงมืดมนต่อไป...