วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

สุดมือสอย ก็ปล่อยไป


ถ้าอะไรไม่เป็นไปตามที่คิด มันมาจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และมั่นใจว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ก็ปล่อยมันไปเถอะ

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ทบทวนให้ดีกับการใช้ชีวิต


คนเราต้องมีการทบทวน จัดการเรื่องราวต่างๆให้มันดีกับชีวิต
📌 ทบทวนความเชื่อ อะไรบ้างที่เป็นความเชื่อที่มีเหตุผล หรือ ที่ไม่มีเหตุผล จะได้ลดความเชื่อเดิม ๆ เพื่อเปิดใจให้กว้างสำหรับการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีหลักการ
📌 ตอนนี้ที่ไม่เปลี่ยน คือ ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน การจัดการกับเวลาใหม่ให้มันสมดุลกันทั้งเวลางานและการใช้ชีวิต
📌 กลั่นกรองการรับข่าวสาร อย่าตามติดจนโควิดเข้าสิง ไม่ใช้เวลากับการรับข้อมูลข่าวสารในแต่ละวันนานไปเพราะชีวิตเราก็ต้องเดินหน้า ข้อมูลข่าวสารมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ อย่าตกเป็นทาส รับอย่างมีสติ ไตร่ตรองก่อน อย่าเชื่อเพราะอยากจะเชื่อ
📌 มุ่งเน้นการให้ที่มากขึ้น ความสุขจากการเป็นผู้ให้ มันจะทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจไม่ว่าสถานะการณ์จะลำบาก เปลี่ยนไปอย่างไร การอาสาช่วยเหลือนี่อมตะนิรันดร์กาลที่ทำให้โลกมันน่าอยู่ขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของเงินทองเท่านั้น การช่วยเหลือเล็กน้อยของเราอาจมีความหมายยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่ต้องการ ทำดีวันละนิด
📌 มันเป็นเวลาของการเปิดโลกใหม่ให้ตัวเอง โลกแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้ได้ทักษะใหม่ๆที่ไม่จำเป็นต้นเป็นด้านวิชาการเสมอไป อาจเป็นสิ่งที่เราชอบ สนใจ หรือสิ่งแปลกใหม่ที่อยากลอง เช่น ทำอาหาร เย็บผ้า วาดรูป โลกนี้มีอะไรอีกมากที่รอให้ค้นพบ

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 265


ไม่รู้อารมณ์ไหน แต่อยากเขียนไว้ เรื่องความรักความสัมพันธ์

มันดูเหมือนว่าเรื่องความสัมพันธ์นี้...
ในที่สุดจะถึงกาลแห่งความเบื่อหน่าย” 
โดยเฉพาะหลังจากที่อยู่กันมานาน และถ้าเรายอมให้มันเกิดขึ้น

รักไม่ใช่ความรู้สึก มันคือ commitment ที่จะรักทุกวัน 
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในความสัมพันธ์ไม่ได้มีแต่เรื่องยิ้ม หัวเราะ รื่นรมย์

ส่วนใหญ่คนจะเบื่อเมื่อความหฤหรรษ์หยุดลง 
แล้วไปหาที่น่าอภิรมย์ใหม่ๆ 
the spark is gone !! ซึ่งมันไม่ work เลย

ถ้าเราอยากให้มีคนรักแบบไร้เงื่อนไข รักกันตลอดไป
ต้องทำให้มันสาสมกัน เราต้องเปลี่ยนแปลงได้
ชีวิตจริงต้องเปลี่ยนได้ มันไม่ใช่นวนิยายที่คนอื่นเขียนนะ

รักเมื่อไม่อยากรัก ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร จะห่วยแตกแค่ไหน
ทำได้แบบนี้ คือ รักได้ รักเป็น 


วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

การเคลื่อนไหวสำคัญ แต่มากไปอาจมีเครียด



ชาวญี่ปุ่นนิยมกินปลาสดอย่างยิ่ง การกินปลามาก จับปลามากขึ้นทำให้เรือประมงญี่ปุ่นต้องแล่นไปหาปลาไกลขึ้นๆ และการขนส่งที่ไกลขึ้นนานขึ้นทำให้เนื้อปลาที่จับได้ลดความสดและความอร่อยลง จึงเป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า เรือประมงบางลำติดตั้งแทงค์น้ำขนาดใหญ่บนเรือ ใส่ปลาที่จับได้ในนั้น ภายในแทงค์น้ำมีปลาฉลามตัวหนึ่งว่ายวนอยู่ เมื่อปลาเล็กอยู่ใกล้ฉลาม ก็ต้องว่ายหนีตลอดเวลา เมื่อขึ้นฝั่ง ก็ได้ปลาที่มีชีวิตและเนื้อยังสดอยู่  แต่ทีนี้มันก็คิดได้ว่าปลาทั้งหลายที่ว่ายหนีฉลามนี่ มันจะเครียดหรือเปล่า ถ้าเครียดมากมันจะยังอร่อยอีกไหม 

สำหรับคนในมิติกายภาพ การเคลื่อนที่มันสำคัญอยู่ เพราะยังไงร่างกายนี้ต้องการการเคลื่อนไหว คือไม่เคลื่อนก็เฉาตาย อยู่เฉยๆเผลอๆอายุจะสั้นเอาด้วย จึงมีการออกมารณรงค์ให้ออกกำลังกาย เช่น แกว่งแขนบ้างเพื่อให้น้ำเหลืองกระจายไปทั่ว เพราะระบบน้ำเหลืองของคนไม่มีปั๊มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจปั๊มเลือดไปทั่วร่าง เราจึงต้องเคลื่อนไหว ให้ระบบน้ำเหลืองทำงานไหลเวียนดีขึ้น และไม่เจ็บป่วยง่าย หรือจะว่ายน้ำก็ได้  

ในมิติจิตใจ เรากลับพอใจในความมั่นคงลงตัว คือ อยู่เฉยๆก็สบายแล้ว แบบนี้มันจะเหมือนเดิมทุกวัน ไม่สร้างสรรค์ ไม่พัฒนา ชีวิตเฉื่อยลง อาจต้องไปหาฉลามมาไล่ให้มันมีความท้าทายขึ้นมาบ้าง องค์กรก็เช่นกัน ถ้าทำตัวแบบเสือนอนกิน แมวนอนหวดก็จะอุ้ยอ้าย ปรับตัวยาก เจอปัญหาก็จะรับมือไม่ไหว มีปัญหาบางทีก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ได้คิด ได้กระตือรือล้น ได้ลงมือแก้ไข ซึ่งจะทำให้แกร่ง แข็งแรงขึ้น ถ้าแบบนี้ จะถือว่าปัญหาเป็นวาสนาก็พอได้เหมือนกันนะ

แต่มันก็เหมือนที่ว่าไว้ เคลื่อนมากไป เร็วเกินไปจากการถูกผลักดันสุดสุด มันก็จะทำให้เครียด พอเครียดนี่ อะไรก็ช่วยไม่ได้ โรคภัยตามมา ผลิตภาพก็อาจไม่เท่ากับที่คาดหวัง เสียเวลา เสียทรัพยากร เหมือนกับเอาแท้งค์น้ำขนาดใหญ่ไปติดตั้งบนเรือ มันเป็นเรื่องยุ่งยากและเรือก็หนักขึ้น ปลาที่ได้ก็ไม่รู้อร่อยจริงไหม 


วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 264

เข้าใจผิด หรือ ไม่เข้าใจ 
เมื่อพูดถึงเรื่องความไม่เข้าใจ หรือ เข้าใจผิด มันแสดงว่าเรากำลังติดกับมุมมองหรือความคิดของคนอื่น อยากได้ความเข้าใจ จนบางทีกลายเป็นทุกข์ใจ การใส่ใจความคิดและความรู้สึกของคนอื่นไม่ใช่ไม่ดี มันเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ายึดไว้มากเกินไปจนใจรวนเร ไม่มีหลักที่หนักแน่น ใจก็จะแกว่งไปมาทางนู้นที ทางนี้ที หาทางกลับมาหาตัวเองยากขึ้น ความสุขทุกข์ก็จะขึ้นอยู่กับคนอื่นอยู่ร่ำไป หลงลืมคุณค่าตัวเอง ซึ่งคุณค่าของเรามันไม่ได้ขึ้นกับความเข้าใจของใครนะ อย่าไปหม่นหมอง เสียใจโดยใช่เหตุ ไม่ใช่เราคนเดียวในโลกที่ถูกเข้าใจผิด แม้องค์ปฎิมายังราคิน ศาสดาในโลกนี้ล้วนเคยถูกเข้าใจผิด ถูกคิดลบร้าย คนที่ทำคุณงามความดีมากมายยังโดนประณามหยามเกียรติก็มี 
การที่เรานำคุณค่าจากสายตาคนอื่นมาเป็นเครื่องชี้วัดตัดสินคุณค่าของตัวเอง มันไม่ใช่แล้วนะ คุณค่ามันอยู่ที่เรามองตัวเอง การตีตราหรือให้ค่าจากภายนอกมันไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงแท้และยั่งยืน มันเปลี่ยนแปลงได้ตามอารมณ์ สถานการณ์ และปัจจัยอื่นๆมากมาย ถามตัวเองให้ดี จะเลือกฝากคุณค่าของตัวเองไว้ที่เครื่องตีตราหรือตาชั่งของชาวบ้านนี่จริงหรือ มันทุกข์นะ
เข้าใจผิดมันแค่เรื่องเข้าห้องใจคนละห้อง ใจมีหลายห้อง เข้าไปห้องคนละห้องก็คนละความรู้สึก มันเลยเข้าใจผิด ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่เข้าใจ มันเข้าห้องผิดกัน คนละเอียดอ่อนต่างกัน ความเปราะบางไม่เท่ากัน เหตุผล ปัญญาก็แตกต่างกันไปตามบุญตามกรรม เข้าใจผิดมันเลยไม่ได้แปลว่าไม่เข้าใจ แต่มันเป็นการเข้าใจเราในแง่มุมอื่น ใจไม่ได้เข้ากัน ซึ่งบางทีก็ดีนะ ได้เห็นตัวเองในแง่มุมอื่นบ้าง แทนที่จะหลับหูหลับตาเห็นแต่มุมตัวเอง 
ทำใจไปได้ก็ดี แต่ถ้าทำไม่ได้และ “อยากมาก” อยากให้คนมาอยู่ห้องเดียวกับเรา อยากให้คนอื่นเข้าใจให้ถูก (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถูกเราจะถูกเขาหรือเปล่า) ก็ลองออกมาจากห้องใจตัวเองดูก่อน ไม่ต้องเล่นซ่อนแอบ สื่อสารเต็มเหนี่ยวไปว่าเรารู้สึกอย่างไร เผื่อบุญหนุนนำอาจเข้าใจกันได้มากขึ้น