วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 63


จะปล่อยกระแสไฟทำร้ายใครหรือเปล่า
คนปกติทั่วไปมีแนวโน้มที่จะเชื่อฟังคำสั่งของคนที่มีอำนาจเหนือกว่า คนที่ยังต้องพึ่งพา หรือคนที่เป็นจ่าฝูงในกลุ่ม แม้ว่าบางทีก็เป็นการทำร้ายคนอื่น ตั้งแต่เล็กๆน้อยๆแค่เจ็บใจ ไปจนกระทั่งถึงความตายก็มี 

อันนี้ไม่ได้ว่าเอาเองนะ มันเป็นผลมาจากการวิจัยชื่อ The Milgram Experiment (ที่ว่ามันผิดจรรยาบรรณนั่นแหละเพราะเอากระแสไฟฟ้ามาเล่นช็อตคนอื่น) Stanley Milgram ทำการทดลองนี้ที่มหาวิทยาลัย Yale มันสรุปพอได้ว่า...ถึงคนจะไม่เต็มใจ เครียด กดดัน แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบ ก็ยังทำตามคำสั่งในการทำร้ายผู้อื่นได้อยู่ดี เป็นการพยายามศึกษาเรื่องความขัดแย้งระหว่างการเชื่อฟังผู้มีอำนาจกับจิตสำนึกส่วนตัว ที่เรียกว่า "มโนธรรม"

ในชีวิตจริงของเรานั้น ตัวคำสั่งมันมาในหลายรูปแบบด้วยกัน รุนแรงต่างระดับกันไป อาจเป็นแค่ให้แซวกัน ด่ากัน ไปจนถึงทำร้ายกันจนตายไปก็มี เมื่อตกอยู่ภายใต้ “คำสั่ง” คนไม่ค่อยมีการปฎิเสธ อะไรที่เป็นการทำร้ายคนอื่น มันออกดอกออกผลทันที เพราะว่า....
“ไม่งั้นจะเสียเพื่อน”
“ไม่งั้นจะเข้ากับใครไม่ได้”
“ทำตามหน้าที่”
“ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็ทำ”
“นายสั่งมา ไม่ทำไม่ได้”
“มันเป็นประเพณีของเรา”
ฯลฯ
จิตตกทั้งนั้น และใช้มันเป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง
มันดูเหมือนเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคน แต่อย่าลืมว่า...สิ่งที่ทำให้คนต่างจากสัตว์ คือ “มโนธรรม” การรู้ผิดชอบชั่วดี และคนมีอิสระที่จะทำถูกหรือทำผิด...ทุกคน

คำสั่งไม่เชื่อก็ได้ !!

ในสภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนถูกบีบบังคับให้ตกเป็นส่วนหนึ่งของการทำร้ายคนอื่นนั้น หากไม่มีใครลุกขึ้นมายืนหยัดต่อสู้ ทุกคนก็ปิดปากเงียบและปล่อยเลยตามเลย...
มันใช่การมีชีวิตที่ชอบธรรมหรือ 
มันใช่คุณค่าแห่งการมีชีวิตไหม

ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วคนเราไม่มีใครอยากแตกต่างแปลกแยก คนอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม คนดีๆ บางครั้งจึงเพิกเฉยต่อสิ่งผิด เพราะกลัวการแตกฝูง (อันนี้แสงแห่งมโนธรรมส่องไปไม่ถึงนะ) 

ตอนนี้อาจยังไม่ซึ้ง...แต่ไม่ช้าหรือเร็ว เขาว่าทุกคนก็ต้องผ่านการทดลองกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า ส่งปีศาจในตัวออกไปทำร้ายคนอื่น ซึ่งการจะเลือกกดปุ่มหรือไม่กดปุ่มอยู่ที่เรานะ...เลือกได้...เลือกบุญเถอะ...เลือกเป็น 35% ของกลุ่มตัวอย่างใน The Milgram Experiment ที่เดินออกจากห้อง ปฏิเสธที่จะกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าไปทำร้ายคนอื่น !!

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 62


เรามีความลำเอียง...มองจากมุมอื่นบ้าง
เรามีความโน้มเอียงที่จะคิดเป็นส่วนๆ (ส่วนที่ถูกใจ)
....มากกว่าการมองภาพรวม...
มันเกี่ยวข้องกับการ "ได้-เสีย" 
คือ ชอบตัวเลือกที่ได้ รังเกียจตัวเลือกที่เสีย
อันนี้มันเป็นบ่อเกิดของความวุ่นวาย

90% ปลอดไขมัน กับ 10% มีไขมัน
เหมือนกันมั๊ย แต่เราเลือก 90% ปลอดไขมัน 
...เพราะว่ามันดูเหมือน "ได้"
คนมักเน้นปริมาณ มักได้...ชอบ "เยอะ"

ตัวเลือกของเราบิดเบี้ยวไปด้วยวิธีการนำเสนอต่างๆของชาวบ้าน
...หรือบางทีก็คิดเอาเองว่ามันใช่
ก็นะ..เราไม่อาจเพิกเฉยต่อการนำเสนอข้อมูลเป็นส่วนๆได้ มันเร้า !!
แต่สำคัญคือให้รู้ว่าในตัวเรามันมีความลำเอียงแบบนี้อยู่ 
ซึ่งประสบการณ์กับปัญญาที่ดีขึ้นเท่านั้นที่จะสามารถสู้กับความลำเอียงนี้ได้
และมาตรการง่ายๆที่จะหลีกเลี่ยงการมองมุมเดียว คือ พิจารณาตัวเลือกของมากกว่าหนึ่งมุม...อันนี้ แน่นอนกว่า

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 61

ป่วยรักษาด้วย "ใจ" 
ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนพี่น้องที่กำลังทุกข์เรื่องเจ็บป่วย...

อันที่จริงเรื่องแบบนี้...ใครไม่เป็น ไม่เกิดกับใคร..มันไม่รู้ซึ้งจริงหรอกนะ
แต่ที่จริงแท้แน่นอน คือ ธรรมะช่วยได้และมีแต่ตัวเราเท่านั้นที่ทำได้
ไม่ใช่ให้ไปนุ่งขาวห่มขาวนะ
...เอาแค่อยู่กับปัจจุบัน คือ มันเกิดขึ้นแล้ว แปลว่าทำอะไรไม่ได้ จบข่าว !!
ยอมรับ ตั้งสติ ไม่รู้จะทำอะไรก็หายใจลึกๆยาวๆ นานๆ
รู้ตัวว่าคิดมาก...ทำซ้ำอีก...หายใจลึกๆยาวๆ นานๆ
หมอกับการรักษาก็ทำไปตามนั้น
สำคัญ คือ "ใจ" เอาให้มันแกร่งด้วยการอยู่กับลมหายใจ
กาย คือ กาย
ใจ คือ ใจ
ดูมันไป..อย่าคิดไปเอง
กายมันแสดง มันทำให้ดู...ก็ดูมันไป
เจ็บ คือ เจ็บ
ป่วย คือ ป่วย
แล้วยังไง...ห้ามรื่นเริงเหรอ ห้ามกินอะไรๆเหรอ ห้ามทำสิ่งที่ชอบเหรอ
Just ยักใหล่ แล้ว "มีชีวิต" "ใช้ชีวิต" ไปให้หนำใจ
สู้กับมันด้วยใจ...เป็นอะไรไม่สำคัญ แค่สู้ พลังจะมีมากที่สุด

มันทำอะไรเราไม่ได้หรอกไอ้พวกโรคเนี่ย
...มันก็แค่มาอาศัยอยู่ในกายเราอย่างหน้าด้านๆ
มันไม่ได้กินเราไปถึงใจ... ไม่มีวัน !!
อย่ายอมให้มัน "กินใจ" ได้
ใจเรายังสวยงามและจะสวยงามเสมอ
ไม่มีอะไรมาทำลาย "ใจ" เราได้นะ
สู้โว้ย..สวยโว้ย !!

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 60



ที่หนึ่ง..เหนื่อยมั๊ย
คนแรก ที่แรก ไปทำไม
บางทีก็ไม่เข้าใจว่าคนจะแย่งกันเป็นที่หนึ่งไปทำไม นี่ยังไม่นับว่าเป็นที่หนึ่งของอะไรบ้างนะ มันทำให้เกิดการไม่พอเพียงหรือเปล่า ??? 
หรือถ้าไม่คิดแบบที่หนึ่ง แบบต้อง "กว่า" คนอื่น....มันจะทำให้เราล้าหลังกันแน่ ???

สำหรับใครจะยังไงไม่รู้ แต่ข้าพเจ้าว่ามันเป็นที่มาของ
...ฉันต้องเลิศหรูกว่า
...รถฉันต้องใหญ่กว่า
...บ้านฉันต้องสวยกว่า
...ฉันต้องขั้นกว่าคนอื่น
และอะไรที่ "กว่าๆ" อีกมาก
แล้วมันจะเลยเถิดไปถึง...การ "หาไม่หยุด" การ "ยอมไม่เป็น" 
การ "อภัยไม่ได้" ซึ่งเป็นที่มาของความเหนื่อย ความยุ่งยากทั้งหลายบนโลกใบนี้

ไม่ได้รังเกียจความเก่ง ความดีอะไรนะ เพียงคิดไปเองว่า...ถ้าทุกคนต้องการที่หนึ่ง ต้องการเป็นหนึ่ง ต้องการดีกว่า ต้องการรวยกว่า ต้องการอำนาจมากกว่าและอีกหลายๆกว่า เราจะยังสุขสบายดีอยู่หรือ มันคงเหมือนเปรตแย่งส่วนบุญ หมาแย่งกระดูกอันใหญ่ คนโกงหน้าด้านที่เห็นๆกัน

แล้วมันจะสุขสงบได้ยังไง ใครจะคืนความสุขให้ประชาชน ( ฮา ฮา )

ไอ้ความคิดแบบนี้มันฝังมาในการศึกษาที่ให้คนต้องท่องว่าอะไรเป็นแห่งแรกของโลก คนแรกของโลก โดยไม่สนใจเรื่อง "ทำไม"

เฮ้ย..มันถูกไหมนี่..ต่อให้ตอบถูกทั้งหมด..แล้วยังไง

แล้ว "ทำไม" เราจึงละเลยเรื่อง "ทำไม" 
ทั้งๆที่มันเป็นคำถามที่นำสู่การคิดที่มากกว่า 
การ "รู้จริง" ที่ดีกว่า และ การมี "ปัญญา" ที่ตระหนักรู้มากกว่า 

ไม่สรุป...เหนื่อย กลัวได้ที่หนึ่ง !!

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แด่หัวใจเข้มแข็งทุกดวง

William James นักจิตวิทยาว่าไว้... คนเราโดยทั่วไปใช้สมรรถนะที่เจ๋งๆของตนเองแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อันที่จริงเราสามารถนำเอาขุมทรัพย์ที่อยู่ในร่างกาย จิตใจ ความคิด มันสมอง ออกมาใช้ประโยชน์ได้อีกตั้งมากมาย

....เคารพตัวเอง
....เชื่อมั่นตัวเอง
....ศรัทธาในสิ่งที่เชื่อ

อยากทำอะไรไม่ต้องรอพร้อม...ทำได้เลย..ตอนนี้เลย..
ทุกคนมีความสามารถอยู่ในตัวอยู่แล้ว

ขอให้กำลังใจแด่หัวใจเข้มแข็งทุกดวง
ขอให้ใช้ใจเด็ดเดี่ยวบุกเบิกเข้าไปจนสำเร็จดังที่หวัง

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Employee Work Passion = Why


Ken Blanchard ได้ทำการวิจัยและศึกษาหาปัจจัยที่จะทำให้คนเกิดความรู้สึกรักในงานและมีความปรารถนาที่จะทำงานในองค์กรนั้นอย่างเต็มใจ ดูว่าในองค์กรจะต้องมีอะไรบ้าง (Organizational Factors) ที่ทำให้คนรู้สึกมี passion ในการทำงาน ซึ่งสรุปได้ 4 ปัจจัย คือ

• Collaboration องค์กรมีการสนับสนุนให้พนักงานได้มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน เปิดใจ แสดงความคิดเห็นกันได้อย่างเปิดเผย มีการทำงานเป็นทีมที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ดี มีความรู้สึกที่ดี จะทำให้พนักงานเกิด passion ในการทำงานได้
• Distributive Justice องค์กรมีการกระจายความเป็นธรรมสู่พนักงานในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ค่าจ้างเงินเดือน การใช้กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ และการบริหารทรัพยากรในองค์กร เพื่อให้คนได้เห็นว่าองค์กรต้องการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกคน
• Growth โอกาสที่จะเติบโตในองค์กรทำให้คนเกิด work passion รักและความทุ่มเทให้กับการทำงานมากขึ้น
• Performance Expectation องค์กรต้องสามารถทำให้คนรับรู้ว่า องค์กรคาดหวังผลงานอะไรและทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างไร 

คนเราถ้ารู้ว่า why ของตัวเองคืออะไร 
how จะตามมาเอง 
why คือ passion 

ปัจจัยทั้ง 4 ข้างต้น คือ why ของคน หน้าที่ผู้นำองค์กรต้องทำให้คนเกิด why แล้วมันจะมี how เกิดขึ้น ถ้ามีแต่นโยบาย มันจะเป็นแค่นโยบาย มันไม่ใช่การขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไม่ได้ 

ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ WHY ยิ่งต้องใหญ่กว่า !!
มีเงิน กับ มีใจ....ให้เลือก "มีใจ" เท่านั้น !!