วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โครงการความสุข











ใครๆก็บอกว่า “happiness is a CHOICE” ไม่รู้จริงไหม 
แต่เป็นประโยคที่ฮิตมากมากแน่นอน  อันที่จริงก็พอจะเข้าใจได้นะ  
สำหรับตัวเองมันยาก มันใหญ่มาก ... 
เอาเป็นว่า จะเปลี่ยน จะตั้งเป้าหมายอะไรให้ชีวิตมันมีความสุขมากขึ้น  
มันคงไม่เกี่ยวว่าจะ “ได้” หรือ “มี” ขนาดนั้น แต่ไอ้ที่เกี่ยวมากๆ คือ 

อารมณ์..

สำหรับคนอื่น ไม่รู้   
แต่เชื่อว่า...มันทรงอำนาจที่สุด ควบคุมยาก ตามไม่ทันถึงขั้นหมดสุข ปีที่จะถึงนี้.. 
น่าจะอารมณ์นิ่ง (...อยู่หนิง หนิง) 
สิ่งแวดล้อมอื่น คนอื่นช่างมันไปก่อน 
เพราะว่าเป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา   
ถ้าเลือกโครงการความสุขประจำปี.. อันนี้..ต้องเลย มันเป็นด่านแรก...

ความตั้งใจที่จะเป็นสุข and it pays! พอนิ่ง หนิง หนิง ก็น่าจะค้นพบว่าเราต้องการอะไรจริงๆในชีวิตที่จะเกิดสุขและคงหาทางเลือกได้มากขึ้น

เปลี่ยนความคิด... 

Leo Tolstoy: If you want to be happy, BE. 

และ B1
มันต้องเริ่มที่นี้ด้วย.. สุขได้ 
ความคิดเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คนสุข หรือ ทุกข์นะ 
มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่ต้องถามใคร มันเป็นของเรา 
มันเป็นการเลือก.. เข้ากับที่เขานิยมกัน ที่บอกไปแล้ว คือ “happiness is a CHOICE” 
ไม่ต้องวิลิศ บรรเจิด...เอาธรรมดา อยู่กับ “จริง” มากขึ้น 
เอาที่มันเคยคิดโง่ๆออกไปบ้าง 

Colette: Be happy.  It's one way of being wise.

Anonymous: Being happy doesn’t mean that everything is perfect. It means that you’ve decided to look beyond the imperfections.       

รู้จักชื่นชมชาวบ้านบ้าง เมตตา เมตตา อันนี้ไม่มีใครแย่งแน่ๆ และคนอื่นก็คิดแทนไม่ได้ซะด้วย 
หาความสุขเล็กเล็ก...

Ralph Waldo Emerson: Can anything be so elegant as to have few wants, and to serve them one's self?

คือใหญ่ๆก็ได้แค่อยาก.. มากเกินปวดหัว ปีนลำบาก จะไม่สุข... 
การมีความสุขตลอดเวลามันยากจริงจริง หนักเข้า มันทุกข์มากกว่าสุข  
ดังนั้น อีกโครงการความสุขปีนี้.. คือ
ได้ขับรถเที่ยวคนเดียวโฉบเฉี่ยวไปจังหวัดต่างๆในบ้านเราก็พอ  
เริ่มมันตั้งแต่สองอาทิตย์สุดท้ายปลายเดือนมกราก่อนเลย  เดือนอื่นๆ ค่อยๆว่ากันใหม่... 

Mahatma Gandhi: Happiness is when what you think, what you say, and what you do are in harmony.
เชิญแบ่งปัน.. ปีหน้าจะสุขกันยังไงดี

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำดี ต้อง ได้ดี


ก่อนสิ้นปีนี้ ขอระบาย.. เพราะเซ็งกับแรงขับเคลื่อนที่ผิดที่ ผิดทาง เบื่อกับแนวคิดบ้าๆบอๆของผู้ประกอบการไทย และ คนไทยที่คิดว่า.. 

โกงภาษีได้.. คือ เก่ง การเสียภาษีถูกต้อง คือ โง่ 

ที่จะเขียนความรู้สึกแบบนี้ได้เพราะ คนเล็กๆอย่างเราตั้งแต่เกิดมาและมีรายได้ ต้องเสียภาษี.. ไม่เคยโกง พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเสียเต็มที่มาตลอด เสียจนบางครั้งมีหลายคนมองว่า มันโง่หรือเปล่า  บางปีเสียมากกว่าธุรกิจที่มีกำไรเป็นหลายๆล้านด้วย ที่บอกนี่ไม่ใช่รวย จะยกตนข่มท่าน หรือ มีรายได้มาก ยังจนเหมือนเดิม จนชนิดที่ตัวเองยังงงอยู่  ว่าทำงานมาตลอดชีวิต ยังจนอยู่ได้...ถ้าคนจนอย่างเราต้องเสียภาษีมากขนาดนี้ ลองคิดว่าถ้ารัฐสามารถเก็บภาษีได้ถูกต้อง... มันจะวิเศษขนาดไหนที่จะได้มีเงินมาพัฒนาบ้านเมืองเรา แทนที่จะกองท่วมอยู่ในบ้านเศรษฐี  หรือ ผู้ประกอบการที่โกงภาษี (...บาปนะโยม..เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า..ไม่ใช่ไม่มีกิน) และไม่ต้องคิดแบบกลวงๆว่า อ้าว เสียเยอะทำไม เสียให้นักการเมืองไปถลุงเล่น นั่นเป็นอีกเรื่อง..เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในความสามารถที่ (หากจะทำ) เราทำได้ทันที...

โครงสร้างธุรกิจในประเทศเราที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ทุกวันนี้ เป็นรูปปิรามิด...ที่ยอดเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีเพียงเล็กน้อย ถัดมาเป็นบริษัทขนาดกลางรวมทั้ง 71 แห่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ที่เหลือมีอีกเป็นสองล้านกว่ากิจการที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กๆ (คงประมาณนี้.. )  มันเป็นการกระจายตัวที่ดีแล้วหรือ  ทำไมไม่ทำให้สองล้านกว่าๆนั้น ยกระดับขึ้นมาปลายยอดบ้าง สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถือเป็นการพัฒนาผู้ประกอบการที่แท้จริง ตัวจริงเสียงจริง เพราะไม่ใช่ผู้ประกอบการทุกคนที่จะสร้างคุณภาพให้เกิดขึ้นและเป็นพลังการเติบโตของสังคม เศรษฐกิจ แต่มันต้องเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ ผู้ประกอบการที่กล้าหาญในการสร้างระบบรายรับ รายจ่าย ระบบภาษีที่ถูกต้อง เพื่อเป็นแรงส่งให้บ้านเมืองเคลื่อนในทั้งความมั่งคั่งทางใจและทางกายภาพ ในทิศที่ถูกที่ควร ซึ่งมีน้อยมาก.. และกำลังน้อยลงทุกวันเพราะมันแข่งขันกันไม่ได้ กลายเป็น SME นอกระบบที่รัฐเก็บภาษีไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มันไม่ใช่ไม่ดีอย่างเดียว แต่มันบั่นทอนจิตสำนึกดีๆที่กลายเป็นเชื้อชั่วในสังคม  ผู้ประกอบการหลายคนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่กล่าวว่ารัฐไม่ได้มีแต้มต่อสำหรับคนทำดี ทำถูก ไม่ได้มีรางวัลสำหรับคนทำดีอย่างเพียงพอที่จะกระตุ้น ส่งเสริมให้คนทำดี.. ฟังแล้วมันเศร้าใจ   แบบนี้ยังจะมุ่งหวังให้ประเทศเกิดความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันที่ยั่งยืน.. มันเป็นฝันกลางวัน มันเป็นฝันของคนที่ไม่มีวันตื่นมาพบความเป็นจริง บ้าหรือเปล่า.. 

คนทำดีต้องได้ดี 

รัฐต้องเน้นให้ถูกที่ ไม่เช่นนั้นบ้านเราก็จะมีแต่... คน(ที่คิดว่า)ฉลาด โกงภาษี คน(ที่ถูกมองว่า..)โง่ เสียภาษีถูกต้องจะลดจำนวนลง... แล้วคิดดูว่า มันจะก้าวไปทางไหน.. คุณไม่ได้อดอยาก คุณทำบุญมากมาย คุณมีชีวิตที่ดีกว่าอีกหลายคนที่ไม่มีแม้แต่จะกิน เจ็บป่วยไม่มีเงินรักษา แก่เฒ่าไม่มีเงินประทังชีพ โชคดีขนาดนี้ ยังจะโกงกันอีกหรือ ... ยังจะหลอกตัวเองว่ารักในหลวง รักแผ่นดินไทย รักชาติ  แค่ทำให้ถูกต้องยังทำไม่ได้  เรื่องที่อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของตัวเอง ทำดีจริงๆทำบุญให้ประเทศไม่ได้หรือ  จะเอาอะไรกันมากมาย ชีวิตอาจไม่อยู่ถึงร้อยปีนะ...  เริ่มที่ตัวเอง.. อย่างกไม่เข้าท่า อย่าเห็นแก่ตัว สร้างค่านิยมใหม่ อย่างน้อยก็ในกลุ่มเล็กๆของเราเอง.. 

บทบาทหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง.. ก็ส่งเสริมอะไรก็ไม่รู้ ผิวเผิน ทำให้งานจบไปวันๆ เดินทางดูงานกันสนุกสนาน เบิกบาน บินกันจ้าละหวั่นจนมีบัตรทองการบินไทย มีพริวิเลจนั่งลอยหน้าอยู่ในเลาจน์อย่างภาคภูมิ ในขณะที่คนเสียภาษีได้แต่ยืนมองอยู่ข้างนอก  ส่วนสรรพากรก็ไร้เดียงสา ยังมี(หน้า)มีสมมุติฐานอีกว่า ธุรกิจที่ส่งเงินให้ทุกปี มีบัญชีเล่มเดียว เก็บแค่ไหนแค่นั้น ธุรกิจนอกภาษีไม่มี.. ทำไมไม่เล่นเป็นทีม ทุกหน่วยงานมาคุยกัน.. สร้างเครือข่าย (ที่ขยันทำให้ผู้ประกอบการ กระตุ้นการรวมตัว ..แต่ตัวเองยังไม่มีเลย แค่จะรวมในกรมกระทรวงเดียวกันยังทำไม่ได้ แล้วชอบเสนอหน้าไปทำให้คนอื่นอีก กลุ้ม)  เครือข่ายที่มีอัลติเมทเป้าหมาย กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนให้คนเสียภาษีถูกต้อง.. เลือกเล่นที่ผู้ประกอบการนี่แหละ ช่วยกัน ใครเสียภาษีถูกต้อง ให้แต้มต่อ ให้รางวัล กระทรวงมีคนเก่งๆเยอะแยะ คิดได้ถมเถ อย่าไปคิดเรื่องเลื่อนลอย เอาที่จับต้องได้ ให้รัฐมีตัวเงินเพิ่มขึ้นนี่แหละ วัดได้จริง (หรือจะกลัวว่าวัดจริงแล้ว ไม่ขึ้น ไม่มีฝีมือจริง)  รู้อยู่แล้วว่าผู้ประกอบการทั้งหลายมีปัญหาด้านบัญชี กรมกองที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ..แทนที่จะส่งเสริมให้สร้างกิจการใหม่ ส่งเสริมนวัตกรรม (ที่ดูโก้.. แต่กินไม่ได้)  หันมาจับมือกันทำเรื่องหญ้าปากคอกนี่แหละ ทำให้เกิดระบบบัญชีที่โปร่งใส ได้แค่ไหน จ่ายภาษีแค่นั้น N=1 อย่างถูกต้อง จัดสัดส่วนงานใหม่ สร้างกระบวนงานใหม่ให้เหมาะสมว่าต้องโฟกัสเรื่องอะไรที่สำคัญ น่าทำ ในการสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันที่แท้จริง สถาบันการเงินก็ต้องช่วยกัน อย่าเห็นแก่เงิน เห็นแต่เงินตัวเดียว ต้องส่งเสริมผู้ประกอบการดีๆให้มีกำลังใจ คิดใหม่ จัดกลุ่มลูกค้าใหม่ จัดชั้นพวกเสียภาษีถูกต้องให้เป็นลูกค้าชั้นดีที่สุด ไม่ใช่พวกโกงแต่มีเงินเยอะ

เรื่องภาษีเข้ารัฐเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าทำที่สุด  ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องการขับเคลื่อนจิตสำนึกของผู้ประกอบการให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นการตอกย้ำ ทำดีต้องได้ดีในสังคม.. แบบนี้จะเป็นต้นแบบของคนไทยที่เหลือ ให้อยากทำดี เพราะทำดีจะต้องได้ดี เป็นการสร้างสังคมแห่งการประกอบการที่แท้จริง ... 

รักในหลวงจริง ทำสิ่งที่ถูกต้อง
สร้างค่านิยมดีในบ้านเมืองเรา
ชีวิต..อีกไม่กี่ปีก็ตาย
ลงมือวันนี้..ไม่มีคำว่าสาย


ขออโหสิกรรมหากว่าเกิดอาการระคายเคือง..

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รักแล้วรอหน่อย..การปลีกวิเวก


ชีวิต คือ การกระเพื่อมตามขันธ์ 5 
ดร.พระมหาจรรยาเรียกว่า "กอง" 

รูปขันธ์ กองรูป 
เวทนาขันธ์ กองเวทนา 
สัญญาขันธ์ กองสัญญา 
สังขารขันธ์ กองสังขาร 
วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ  


มันมีหลายกอง จึงเป็นของหนัก  บ่อยครั้งจึง "อยากอยู่เงียบๆคนเดียว" หลุดจากจ๊อกแจ๊กจอแจ ไปเก็บอารมณ์ที่วน ติด ข้อง ค้าง คา ซึ่งจริงๆก็ไม่หลุด เพราะคิดว่าต้องไปเอา ต้องไปรู้ ต้องเจริญสติ อะไรที่ต้อง อะไรที่ตั้งนั้น ตัวใครตัวมัน... 

มันไม่ต้อง มันต้องไม่ตั้งทั้งนั้น 

ไอ้ที่จะหลุดจากกายจิต ถือการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาธรรมชาติ พ้นจากอนิจจัง แต่ตั้งไว้.. กองไว้ อยากสติ อยากสมาธิ.. ท่าทางจะมิจฉา มากกว่า สัมมา ... 

เอาไงดี... เอาเป็นว่า...สังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่มีอะไรจริงสักอย่างเดียว 

ไปยึดไปเกาะกับสิ่งที่เป็นอนิจจัง เป็นสมมติมันก็ไม่วิเวก ไม่หลุด (แต่ยังอยากปลีก..เฮ้อ) 

มันไม่หลุด มันไม่หลุด ยุ่งอยู่แบบนี้มานาน หาอุบายก็ตั้งมั่นอีก.. งงแล้ว

เอาแบบไม่ต้องไม่ตั้งนั่นแหละ..ได้ไหม 

และไม่ต้องเอาอะไรกับกายกับจิตเท่านั้นมันก็คงจะเริ่มวิเวกไปเองกระมัง.. (ยังแอบหวังอีก..)

สรุป คือ เพื่อนร่วมโลกฮะ ช่วยด้วย ช่วยหน่อย 


ช่วยไม่ตั้ง ไม่คาด ไม่หวัง.. ช่วยกันไปแบบนี้


อยู่กันไปเรื่อยๆ ไม่มีอารมณ์มากหรือน้อย ไม่ดีใจ ไม่โมโห ไม่ส่อเสียด ไม่บาดใจ

เมตตาข้าน้อยด้วยเถิด 

โอ๊ะ..แอบหวัง แอบตั้ง แอบขออีก คนไทยชัดเจน..ช่างขอ ไม่ยอมช่วยตัวเอง จะถึงไหนเนี่ย..

ถึงก็ช่าง..ไม่ถึงก็ช่าง

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อิ่มเดียว หลับเดียวของในหลวง


มีคนส่งอีเมล์มาให้นานแล้ว.. กลับมาทบทวนก็ยังชอบใจ ซึ้งเหมือนเดิม เลยต้องทบทวนบ่อยๆ และอยากให้เพื่อนทบทวนด้วย (บังคับ)   นี่ลอกเขามาเลย..

ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ใหม่ๆ  ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น ( กางเกงขาสั้น )    

ในยามดึกเวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับต่างทำหน้าที่กันตามจุดต่างๆไม่มีบกพร่อง  ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อ เฮฮา ไม่มีส่งเสียง อึกทึกหรือเล่นหัวกัน  เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัยแด่องค์พระประมุขของชาติ จอมคนของปวงชนชาวไทย  แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี    ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก ใครจะนึกบ้างเล่าว่า...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา ทรงพระราชดำเนินไปรเวท(เดินเล่น)บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวรประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี  แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี... 

ตอนนั้นทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า  ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต   ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า   จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า

ชีวิตมนุษย์เรานี่...อิ่มเดียวหลับเดียว...เท่านั้น   


ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปจนลับพระองค์ ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ    นึกไม่ออกว่าทรง หมายความว่าอย่างไร  จนรุ่งเช้าออกเวร แล้วจึงได้กลับบ้าน อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา  จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า

ท่านมหาขอรับ  คำว่า...อิ่มเดียวหลับเดียว....นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ

ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย   ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า

โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ” 

ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ  ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่า
โยมเฉลิมศักดิ์  คำนี้น่ะ  ผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์ อันมีความหมายยาวให้ ย่นย่อเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่า...อิ่มเดียวหลับเดียว...นั้นมาจากพระพุทธพจน์   ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ชีวิตเป็นสุข ให้รู้จักคำว่า ...พอ...  เพราะมนุษย์เรานั้นจะกิน ได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน  พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่ม นอนของตัวเองเท่านั้น   มนุษย์เรานั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จัก...อิ่ม...   ได้มาอิ่มแล้ว ก็ยังอยากได้อีก นอนอิ่มแล้ว  ก็อยากนอนอีก อยากได้ให้มันมากขึ้นไปอีก ถ้าคนเรายึดในหลักว่า....อิ่มเดียวหลับเดียว....โลกก็จะเป็น...สุข...
ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีและแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่วคนเรานะโยม จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอม โอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุกน้ำปลา หรือ กินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น กินเข้าไปไม่ได้แล้ว   จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง  อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ  นอนในสลัม หรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น...... เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน  ก็เท่าเทียมกันด้วย

...อิ่มเดียวและหลับเดียว...นี่แหละ

สุดยอด...ไม่ต้องบรรยาย

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ศันสนา..วิปลาส




















หลังจากเลิกอ่านหนังสือธรรมมะมานาน... เพราะมันเหนื่อย 
แต่ว่าเหลือบไปเห็นหนังสือของพระครูใบฎีกาอำนาจ โอภาโส... พระศิลปิน
เห็นชื่อเขียนว่า อยู่กับมาร  อือ ท่าจะม่วน เลยอ่าน 
โอ๊ะ ปรากฎว่าเหมือนเดิม ศัพท์แสงที่ไม่เคยเข้าใจ ก็ยังอยู่... 
เหนื่อยไม่เลิก..​ แต่ก็มีอะไรที่ชอบหลายอย่าง เป็นประโยชน์ต่อใจและความคิดในหัว 

ชอบที่สุด ได้เรียนรู้ที่สุด (ประยุกต์ใช้..รอก่อน) คือ 
ความจริงที่คิด กับ ความจริงที่เป็นธรรมชาติ
(อันนี้แปลเข้าข้างตัวเอง เพราะท่านเขียนว่า สมมติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ 
...งง เป็นแบบนี้ทั้งเล่ม) 

อยู่กับอันแรกมานาน จนนึกว่ามันจริงไปแล้ว ลืมไปเลยว่าธรรมชาติเป็นยังไง
เอาตัวอย่างง่ายๆที่เพิ่งเกิดกับตัวเองนี่เลย..
เฟซบุค... หลงไปโกรธ ด่าคนน่ารัก (น่ารัก=ความที่คิดว่ามันจริง) เสียนาน 
หรือชื่นชมลมๆแล้งๆกับหลายสิ่ง หลายอย่าง
ลืมไปเลยว่า มันไม่เป็นจริง มันเป็นแค่โลกเสมือนจริง 
ไอ้เราเลยโง่จริงจริง...

ต่อให้เป็นชีวิตเรา..ชีวิตที่หายใจอยู่นี้ 
เป็น เรา หรือ เป็น เขา (ที่แบ่งกันจัง แยกอยู่ได้) ก็ไม่มีจริง
เป็นแค่ชื่อที่ใช้สื่อสาร ใช้เรียกให้เข้าใจ..มันเลยติด มันเลยยึด คิดว่าจริง (รู้เรื่องไหมนี่..)
ศันสนาเนี่ย...ความจริงตามธรรมชาติ 
เป็นก้อนเนื้อ เป็นหนัง เป็นกระดูก เป็นเอ็น 
เป็นชิ้น (รอวัน) เปื่อย.. 
อันนี้ทุกคนเหมือนกันหมดนะคะ ไม่ใช่ศันสนาคนเดียว (เดี๋ยวเหงา...)
มันไม่มีหรอก..ศันสนา คุณศันสนา ดร.ศันสนา อีศันสนา เนี่ย... สมมุติเอา 
แต่มันซวยตรงที่คราวนี้..คิดว่ามันมีอยู่จริง เป็นตัวตนจริง ใครแตะ เป็นมีเรื่อง...
ลามปามไปถึง เพื่อนศันสนา ของศันสนา หมาศันสนา เรียงกันมา..เป็นไม่จบ
ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ได้ดังหวัง... เลยถือเป็นจริงเป็นจัง..  
สมมุติ คิดเอง ดันถือว่าจริง.. ทั้งโง่และบ้า อวิชชา มิจฉาทิฐิของแท้

และนี่ยังไม่นับ ความรู้สึกนะ.. ความรู้สึกต่างๆในชีวิต ที่มันไม่จริง..
(เหมือนชื่อเรา ที่ว่าสื่อเป็นเรา ที่เราคิดว่าเป็นตัวตนจริง ก็ไม่จริง) 
ความรู้สึก คือ ความรู้สึก 
จะร้อน หนาว รัก เกลียด เป็นแค่เรียกกัน.. สมมุติกัน อยากจะสื่อกัน
ตามธรรมชาติ คือ ความรู้สึกเท่านั้น จบข่าว
แต่ก็เต้นสุข เต้นเศร้าไปตามมันนะ... 

อันตรายอยู่ที่ ไอ้ความจริงที่คิดเองนี้ 
มันส่งผลต่อมุมมอง ทัศนติของก้อนเนื้อหนังกระดูกศันสนานี่ซิ
ส่วนใหญ่..ที่ไม่ดี ไม่ดี จะแบบนี้ คือ...
....มีเรา (ที่ไม่มีจริง) เข้าไปแฝงอย่างต่อเนื่อง
....มีผลประโยชน์เข้าไปเพิ่ม งกเข้าไป
....อิงกับสิ่งสมมุติตลอดเวลา 
ไม่มีปัญญาจะรู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ

พระท่านว่า...กลายเป็น วิปลาส
คิดว่า รูป นาม  หลงผิด ความฝัน..มันเป็น เรา
เที่ยงก็ว่าไม่เที่ยง ไม่เที่ยงดันหาว่าเที่ยง
ทุกข์กลายเป็นว่าสุข สุขของจริง ไปมองเป็นทุกข์
งามว่า ไม่งาม ไอ้ที่ไม่งาม ดันงามซะได้... และอยากได้ด้วยนะ ไม่งาม ที่คิดว่างามเนี่ย..
FITFLOP ^_^
ตีค่าจากอุปาทาน....กลุ้ม
มันมาจาก ขันธ์ห้า นี่แหละ.. (ถ้าจำไม่ได้ก็ไปหาเอาเอง)

บ่นไปงั้น...คนมันกลวง..
ให้รู้ว่า มันเป็นทุกข์..และที่สำคัญ ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา...ก็พอกระมัง
เอาเป็นว่า...เผลอแล้วรู้..น่าจะได้
(เรียกกันว่า สติ..ซึ่งเหนื่อย เบื่อ ...เฮ้อ ความจริงที่คิดเอาเอง..ออกจะบ่อย)
ศันสนาเริ่มวิปลาสมานาน และยังวิปลาสอยู่....

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเสียใจครั้งเก่ากับหมาใหม่

หนูดีลูกรัก

.... ตอนหนูดีตายคิดว่าจะไม่เลื้ยงหมาอีกแล้วในชีวิต เพราะเสียใจ โหยไห้ไม่พบปะผู้คนไปเจ็ดวัน หลับตา ลืมตาก็คิดถึง นั่งอยู่เฉยๆก็สามารถน้ำตาไหล เห็นมันชัดไปหมด แม้แต่ทุกวันนี้ เห็นทุกมุมของบ้านก็หวนคิดถึงหนูดี.... น้ำตาซึมได้ตลอด มันเป็นหมาพิเศษ เป็นลูกรัก เป็นหมาที่หน้าตาร้าย กวน เล่นตัว (ต้องถามแม่เอิ่บ..) และชอบแกล้งคน  (อันนี้...แม่หมวยซาบซึ้ง....)  สำหรับเจ้าแม่อย่างแม่จิ๋ม หนูดี...ยอมทุกครั้ง... ในชีวิตหนูดีไม่เคยกลัวอะไรนอกจากพี่ต้นไม้กับโอ่งพลาสติกสีส้ม หนูดีกลัวหัวหด  ใครแปลกหน้าเข้ามาต้องจ๋อยเพราะมันดุเหลือเกิน บ้านขังหนูดีไม่ได้ รั้วสูงก็กั้นไม่อยู่.. หนูดีกระโดดข้ามไปอย่างง่ายๆ  คุณไปรษณีย์ประสาทกินกับหนูดีทุกทีที่ต้องมาส่งจดหมาย  ต้องรีบเอาจดหมายใส่กล่องแล้วเผ่น... วันไหนประตูบ้านเปิดเป็นอันไม่ได้รับเอกสารเพราะพี่แกจะเลี้ยวกลับทันที  หนูดีเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่เล็ก ไม่มีใครบังคับได้ (ไม่รู้เลี้ยงกันยังไง..เป็นกันทั้งบ้าน...)  กินยากกินเย็น ชอบจิ้นทอดและขนมเอสแอนด์พีเท่านั้น อย่างอื่นเมิน...อาหารเม็ดไม่กิน กว่าจะกินได้ต้องง้อกันนาน และที่น่าประหลาด คือ กินสุภาพมาก ค่อยๆงาบ ค่อยๆเคี้ยว ไม่มูมมาม ถือว่าเป็นลูกชาติลูกตระกูลคนหนึ่ง.... เข้านอก ออกในบ้าน เปิดประตูเอง ถ้าเปิดไม่ได้ มีทะลุมุ้งลวดเข้ามา.... วันดีคืนดี พาเพื่อนมาอยู่บ้าน... ไอ่ขาวเลยสิงสถิตย์เป็นหมาอีกตัว เป็นลูกน้องหนูดี  ไอ่นี่ก็ดีมาก ไม่ออกนอกบ้าน... หนูดีหนีเที่ยว ก็ยังมีขาวเฝ้าบ้าน... 

....บ้านนี้ไม่มีหนูดีมานานมาก.. ไม่อยากจำ ไม่อยากคิดว่าตาย ช่วงชีวิตของหนูดีเป็นช่วงที่ทุกคนในบ้านหัวเราะได้ตลอด เรียกได้ว่าเป็นลูกเล็ก ขวัญใจ... ทำอะไรได้หมด ทางบ้านให้อภัยเสมอ สายตาหนูดี ไม่มีอะไรจะเปรียบได้ มันมากกว่ารัก ภักดี มากกว่าผูกพัน...ยิ่งกว่าสายตาคน.. เวลาทำผิดหูจะลู่เป็นพิเศษ ทำหน้าตาหม่นหมองได้ใจ แต่เวลาเฮี้ยว เช่น ตอนอาบน้ำนี่ สุดยอด.. เพราะไม่ชอบ อาบเสร็จจะวิ่งเข้าในห้อง สบัดน้ำเกลื่อน และที่เด็ดคือ โดดขึ้นเตียงกลิ้งตัวไปมา ลากลงมาก็โดดขึ้นไปใหม่ พร้อมส่งสายตาท้าทาย... สายตาหนูดีมันหลากอารมณ์ ส่งความรู้สึกได้ทันที  

....เวลาผ่านมานาน เหมือนไม่นาน ไม่นาน เหมือนนาน มันเป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งของชีวิตคนว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรในชีวิต.. (ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจนเกินทนจนตายไปก่อน).. LIFE GOES ON  ชีวิตมันมีทางไปของมัน เศร้ายังไง โศกสลดหดหู่ เบื่อหน่ายยังไง... มันก็ดำเนินไปแบบนี้ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ..เป็นปกติ เป็นธรรมชาติ วนเวียน วนเวียนอยู่... เก่าไป ใหม่มา และใหม่มา เก่าไป เป็นฉากชีวิตคน... ตอนนี้มีหมาใหม่ เป็นอะไรในชีวิตที่ไม่คาดคิด อือ..ก็เกิดขึ้นได้   จะว่าปกติก็ไม่เชิงเพราะมันเปลี่ยนจากปกติ..เลยเจอกับหมาใหม่..เพราะชีวิตปกติคือประชุมที่นิ่มซี่เส็งสำนักงานใหญ่เชียงใหม่ ไม่เคยสัญจรเวลาไปตามสาขาเพราะเบื่อการประชุมที่พูดแต่เรื่องประจำวัน แต่คราวนี้มันมีวาระซ่อนเร้นเลยต้องออกนอกพื้นที่ ..ไปประชุมสัญจรสาขาลำปาง  เจอหนูมาดีถูกมัดอยู่แถวที่พักคนขับรถ ไปเล่นกับมัน... ได้รู้ว่ามันถูกคนเอามาคืนเมื่อเช้าเพราะไปไล่ขุดต้นไม้ ไล่กัดสิ่งของ คนที่คาดว่าจะเอาไปเลี้ยงทนไม่ได้ พามันกลับมา.. ไอ่ตัวนี้มีพี่น้องห้าตัว แม่เป็นพุดเดิ้ล พ่อเป็นบางแก้ว ตัวอื่นสีขาว ขนปุย สวยน่ารักเหมือนแม่ คนแย่งกันเอาไปหมดแล้ว มีหนูมาดีตัวเดียวที่ขี้เหร่ ดำๆด่างๆ เหมือนพันธุ์ทาง ถูกทิ้ง ไม่มีอนาคต ไม่มีใครอยากได้... เห็นแล้วคิดถึงหนูดีทันที เป็นบางแก้วพันธุ์ทางเหมือนกัน สายตาดูคล้ายกัน... (แต่ไม่แรงเท่า) ซนเหมือนกัน  เลยขอเขามาซะโดยไม่ได้นัดหมาย คนที่ให้ก็ดีใจเพราะไม่ต้องเป็นภาระ... เขาว่ามันถูกแยกจากแม่มาตั้งแต่เด็กเพราะแม่ตัวเล็กมาก คลอดออกมาห้าตัว คลอดเสร็จสภาพย่ำแย่ เกือบตายถ้าเอาไปหาหมอไม่ทัน..เฮ้อ มันเกินตัวไปหน่อย ทำอะไรไม่พอดี หรือ ดีพอ..ทุกข์มาเยือน    การเอาหนูมาดีมาเลี้ยงที่บ้าน..จะฝึกคนในบ้านหลายคน เป็นสีสรรใหม่.. โดยเฉพาะลูกเล็กของแม่บ้านที่กำลังโต แต่มันนรก มันงกเหลือเกิน แม่ตามใจจะเสียคนแน่ การมีหนูมาดีคาดว่าจะทำให้มันอ่อนโยน มีจิตเมตตา เผื่อแผ่ รู้จักแบ่งปันมากขึ้น... คุณยายจะได้หายเหงา มีเรื่องให้คิดให้สนใจมากกว่าญาติโยม ต้นไม้ก็จะได้ออกมาจากที่กบดานบ่อยขึ้น สรุปคือทั้งบ้านจะมีวาระร่วมกันอีก จากที่ต่างคนต่างอยู่..หนูมาดีจริงจริง   อย่างไรก็ตาม...เรื่องนี้มันต้องคิด ทำให้ต้องคิดว่า.. เวรกรรม ถ้ามันจะมา ไม่ต้องรอ..เดี๋ยวมาเอง ต่อให้ตั้งใจอะไร อย่างไร วิบากกรรมหนีไม่พ้น... เซลาวี..แต่ว่า..นง อองโครส...
หนูมาดี...