วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 284

เพื่อน ไม่จำเป็นต้องดีนางฟ้าเทวดา เอาแค่ “เพื่อนกันจริง” ก็พอ 


วันนี้ไปอ่านเรื่อง คุณสมบัติของความเป็นเพื่อนที่ดีของพศิน  อินทรวงค์มา ก็ให้หวนนึกถึงว่า...เพื่อน..ทำไมมันต้องมีคุณสมบัตินู่นนี่ให้เยอะ แค่เป็นเพื่อนกันมันไม่พอเหรอ เพื่อนจะดีจะเก่งแค่ไหน มันก็แค่เพื่อนเรา หรือถ้าไม่เอาไหนนิสัยไม่ดี มันก็แค่เพื่อนเรา เอาแค่..... 

  1. เข้าใจธรรมชาติตัวตน เพื่อนก็คน มีผิดบ้างพลาดบ่อยก็ปล่อยมันไป 
  2. พูดกันดีดี ไม่ทำให้เพื่อนรู้สึก “ตัวเล็ก” ถนอมน้ำใจน้ำมิตรมีเมตตา   
  3. ให้กำลังใจเวลาจำเป็น ไม่พร่ำเพรื่อจนเป็นมารยาทที่ใช้กับคนอื่น 
  4. เพื่อนต้องถึงแก่นกะพี้ แก่นกะพี้ คือ เพื่อน เปลือกคือคนรู้จัก อย่าใช้เปลือกกับเพื่อน ถ้าใช้เปลือก หรือกลัวเปลืองตัว เราเป็นคนอื่นต่อกันนะ มารยาทไม่ต้องมาก แมนๆไป ไม่ได้รู้จักกันเมื่อวาน
  5. เพื่อน คือ ความสุขของเรา และเราต้องเป็นความสุขของเพื่อน แลกสุขกัน เพื่อน คือความผ่อนคลาย  เอนกาย สบายใจ 
  6. มีอะไรดีดีต้องบอกเพื่อน ชวนเพื่อนไปชมดอกไม้ทั้งโลกด้วยกัน สว่างไสวด้วยกัน
  7. เพื่อนไม่ต้องเห็นดีเห็นงามด้วยกัน พร้อมเปิดพื้นที่อิสระให้เป็นตัวของตัวเอง  
  8. เพื่อน คือ เท่าทัน  ทัดเทียม  ไม่มีฐานะ  ไม่มีเพศ  ไม่มีวัย  ไม่มีคำนำหน้า  ไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ แม้แต่หมาก็เป็นเพื่อนแท้ได้ 
  9. เพื่อนกันได้แค่แนะนำ และต้องเข้าใจว่าคำแนะนำคือคำแนะนำ  จะทำตามหรือไม่ทำก็ได้  อย่าใช้คำสั่งเพราะถ้าไม่ทำย่อมนำมาซึ่งอารมณ์เสีย และพาลไปหลายเรื่อง 
  10. เพื่อนให้เกียรติกัน สิ่งใดที่เพื่อนชอบ รัก เคารพ ก็ดูแล ส่งข่าว บอกเล่า มันเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ยั่งยืน เพื่อนไม่ต้องเป็นสิ่งใหญ่โต เป็นดอกไม้เล็กๆที่ให้ความสดชื่นก็พอ 
  11. ความเป็นเพื่อน คือ สิ่งยิ่งใหญ่ จับต้องอาจไม่ได้แต่รู้สึกได้เสมอ ยกย่องกันพอประมาณ ไม่ต้องถึงกับสรรเสริญบูชาเพราะเพื่อนไม่ใช่พระ 
  12. เพื่อน แค่คิดถึงก็พอ จะบอกรักกันทำไม และเอาแค่..กินข้าวกันไหม ก็พอ..เหลือๆ  

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 283

เมื่อมันย้อนแย้ง เราต้องแม่นยำ 

เราว่าอยู่ที่ใจ แต่ ทุกอย่างที่ทำไปเพื่อกายทั้งนั้น 

เราว่าให้คือเมตตา แต่ คาดหวังสิ่งจะได้มาเสมอ

เราว่าชอบความเรียบง่าย แต่ เงื่อนไขมันเยอะทุกครั้ง

เราว่าความจริงสำคัญ แต่ ทำตามความเชื่อตลอด

เราว่าไม่เป็นไร แต่ ไม่เคยพอใจอะไรเลย

เราว่าปฎิบัติธรรม แต่ ไม่ได้นำมาใช้ให้ลดราวาศอก  

เราว่าคบกันจริงใจไม่หลอก แต่ ดีไม่ดีก็ไม่บอกให้ชัดเจน  

เราว่าเห็นใจ สงสาร แต่ มีรำคาญไม่สังฆกรรม 

เราว่าต้องยุติธรรม แต่ แอบเนียนเก็บงำประโยชน์ส่วนตัว 

เราว่าใจถึงถ้วนทั่ว แต่ จวนตัวแล้วพึ่งไม่ได้ 

เราว่าเรารักกัน แต่ ต้องตามใจฉันเท่านั้นนะ 

เราว่าพอแล้วดี แต่ มีแล้วก็ไม่พอสักที 


อะไรกันนี่มนุษย์ !!!! 

มันคงมีีอีกหลายอย่างที่ทำให้ต้องใคร่ครวญดีดี 

เรายังแม่นยำอยู่หรือเปล่า...ทั้งหัวและใจ  





วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 282

เมื่อยังเด็ก เรารู้สึกถึงอนาคตที่สดใส เราจึงพยายามที่จะไม่ทำอะไรผิดพลาด เราจะอยู่ในระบบระเบียบขอบเขตที่เราคิดว่าจะไม่มีปัญหา แต่พอโตขึ้นจะรู้เลยว่าอนาคตนั้นสร้างจากความผิดพลาด ยิ่งพลาด ยิ่งมีประสบการณ์ ยิ่งเรียนรู้ การมองโลกจะเป็นจริงมากกว่าแค่มองว่าโลกมันสวย ใจจะกว้างขึ้น พร้อมจะยอมรับ เคารพ เข้าใจคนและสิ่งที่เปลี่ยนแปลง 


สนับสนุนให้โอบกอด value “กล้าพลาด” 

มันวิเศษกว่าวนเวียนอยู่กับความสมบรูณ์แบบ (ที่ไม่มีอยู่จริง) 

ทุกอย่างต้องเป๊ะ มันคือความเยอะที่ทำให้เสียเวลาชีวิต 

ที่หนัก คือ มันหล่อหลอมความเห็นแก่ตัว


คนที่ต้องดีทุกอย่าง ทุกอย่างต้องได้ต้องดีไม่มีพลาดนั้น มันคือการแย่งชิงบางอย่าง แทนที่จะแบ่งปัน มันคือการฉกฉวย แทนที่จะให้โอกาสที่เท่าเทียม แบบนี้ไม่ “รัญจวน” ถึงจะได้ถึงจะดีแต่ก็เป็นดีแบบ mediocre ชีวิตไม่เคยฟิน ไม่มี breakthrough ไม่เคยจะเท่จริง 


พลาดๆไปบ้างก็ได้ ไม่ถึงตาย แต่ได้เรียนรู้ ได้เรื่องใหม่ !!! 




วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 281

ในช่วงชีวิตเราเห็นเรื่อง “ทุน” ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจสังคมมามาก มันมีทุนประเภทหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครคิดว่ามันเป็นทุน แต่มันเป็นและทรงอิทธิพลล้นเหลือ เพราะมันเป็นทุนที่เกี่ยวกับอารมณ์ความเป็นคน Catherine Hakim นักชีววิทยาชาวอังกฤษเรียกมันว่า Erotic Capital พวกนักเศรษฐศาสตร์อาจเรียกว่า personal asset ตอนที่นางพูดในหัวข้อ The Relative Value of Beauty and Brains เมื่อปี 2011 Catherine Hakim ว่ามันไม่ใช่แค่ physical beauty แต่ทุนนี้จะพาคนไปไกลกว่านั้นมาก ทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัวและเรื่องการงาน มันเป็น a mixture of social and physical attractiveness ที่พร้อมมีบทบาทเคียงข้างไปกับเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ทุนมนุษย์และทุนทางสังคม ที่เราไม่ค่อยได้หยิบเอามาคิดก็เพราะมันมีความคลุมเครืออยู่ แต่ยืนยันว่ามันมีนัยสำคัญกับทุกเรื่องในชีวิต 


บางคนเรียกว่าทุนแห่งกามตัณหา ทุนทางกามรมณ์ ซึ่งก็คงประมาณนั้น คนเรามีกิเลส มีกามตัณหาเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต อย่าบอกว่าไม่จริง ชั้นบริสุทธิ์สดใสไม่เคยต้องมือชาย แค่อยากแต่งตัวสวยๆอยากหุ่นดีผอมนั้นก็กามตัณหาแล้ว จะสวยไปทำไมถ้าไม่อยากให้คนมองแล้วเกิดอารมณ์ชอบ ไม่งั้นก็นุ่งขาวห่มขาวไปนะ และอีกประการที่คนไม่ค่อยอยากเสวนาเรื่องนี้เพราะมันดูแรง แต่ถ้าเราคิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของคน ก็ไม่ต้องดัดจริตขนาดนั้น ถ้าไม่มีเรื่องกามนี่ เราก็ไม่ได้เกิดมานะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติการสืบเผ่าพันธ์ุของคน อย่าไปคิดเลยเถิด และยังมีมุมมองพวกปรมาจารย์กับพวกทฤษฎีของ feminist อีกต่างหากที่คอยห้ามไม่ให้ผู้หญิงทั้งหลาย capitalize สินทรัพย์นี้ คนเลยอึกอักที่จะค้นคุยเรื่องนี้ 


อย่าประมาท erotic capital นะ ที่โควิด 19 ระบาดหนักอยู่ตอนนี้ก็กระหน่ำกันใช้ทุนนี้แหละ คลัสเตอร์ที่เป็นตัวการก็เริ่มจากคริสตัลทองหล่อที่มีฟ้าใสฟ้าซวยอะไรนี่ใช้ทุนนี้จนโอละพ่อไปทั้งประเทศ ส่งผลเดือดร้อนกันไปทุกองคาพยพ มันไม่ธรรมดาเลยนะ สมัยนี้   คนหล่อคนสวย มีบุคลิกภาพดี มีเสน่ห์ทางเพศ มีทักษะทางสังคมและมีทักษะในการนำเสนอตนเองสูง มักได้เปรียบเหนือคนอื่นเสมอ 


Catherine Hakim ว่าไว้เรื่อง erotic capital นี่มันมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอยู่หลายเรื่อง เช่น เรื่องความงาม ก็เป็นไปตามสังคมในแต่ละช่วงกำหนดว่าแบบใดที่เรียกว่างาม เรื่องเพศวิถีเรื่องแรงดึงดูดทางเพศและทางสังคมซึ่งไม่ใช่แต่เรื่องรูปร่างเซ็กซี่เท่านั้นมันโยงไปถึงบุคลิกภาพและสไตล์ของคน ความมีชีวิตชีวาที่เห็นได้จากความมีสุขภาพดี ความสุภาพ อารมณ์ขัน มีพลังทางสังคม ความมีเสน่ห์ที่เป็นทักษะทางสังคม ความสามารถที่ทำให้คนชอบ อยู่ด้วยแล้วสบายใจมีความสุข รวมไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิต ทรงและสีผม การแต่งตัว เครื่องประดับที่สะท้อนสถานะภาพทางสังคม  พวกนี้มีความสำคัญมากขึ้นทุกทีโดยเฉพาะในเรื่องวัฒนธรรมเพศวิถีในสังคมสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและส่งผลกระทบไปหลากหลายทั้งการสื่อสารมวลชน การเมือง โฆษณา กีฬา และศิลปะรวมถึงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในชีวิตประจำวันด้วย 


ส่วนตัวคิดว่า Erotic Capital นี่มันเป็นเชื้อเพลิงของนวัตกรรมเลยนะ มันเป็น “พลัง รัญจวน” (ต้องขอบคุณผู้ประกอบการที่คิดคำนี้ให้ ดีกว่ากามตัณหาเยอะ) ที่จะทำให้คนคิดสร้างสรรค์อะไรที่ตรงกับความต้องการลึกลับของคน มันอาจไม่ใช่ความจำเป็น แต่มันทำให้ชีวิตได้รับประสบการณ์ที่มากกว่าความสุนทรีย์ มันคือความรัญจวนที่คนต้องโหยหา ซึ่งมันจะมาจากความสวยงาม ความมีเสน่ห์ การดึงดูดที่เบ็ดเสร็จ แค่ทำให้มันถูกคน ถูกที่และถูกเวลา 





วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

 Toxic positivity : เรื่องอันตรายสำหรับวิทยากรที่เน้นการมีส่วนร่วม

การเป็นวิทยากรที่เน้นการมีส่วนร่วม ต้องระลึกไว้ว่าคุณไม่ใช่แม่พระพ่อพระมาโปรด สิ่งที่สำคัญ คือ การรู้แจ้งเห็นจริงในปัญหาและแนวทางการแก้ไขของผู้เข้าร่วม ดังนั้นวิถีการคิดบวกโลดจึงไม่ใช่ทาง เพราะมันขัดขวาง “ความจริงที่เกิดขึ้น” มันทำให้ความจริงลดความสำคัญลงไปฮวบฮาบ ไม่เกิดการเรียนรู้จริง จะมา “just think positive” นี่มันไม่ใช่ละ คนที่มาอยู่กับเรานี่ล้วนมีปัญหา ต้องต่อสู้กับอุปสรรคหลายอย่าง มีความคับข้อง เจ็บปวด เขาต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่ปลอบใจปลอมๆ สบายใจชั่วครู่ กลับไปก็แก้ปัญหาไม่ได้เหมือนเดิม มันอาจเป็นความตั้งใจที่ดี แต่มันออกแนว naive ไปนะสำหรับท่านวิทยากร
ประสบการณ์และชีวิตรันทดที่เจอของคนแตกต่างกันมาก เราไม่สามารถใช้การเปรียบเทียบ ประมาณว่า...คุณอยู่ในสถานะการณ์ที่ดีกว่าคนนู้นมาก หรือ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว มองบวกเข้าไว้ เอา scale อะไรมาวัดว่าแบบนี้ดี หรือ แย่กว่ากัน มันไม่ได้ช่วย มันกลายเป็น anti-negativity ซึ่งมันไม่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง และจะยิ่งเป็น terrible feeling เพราะมันฝืนธรรมชาติที่รู้สึกตามจริง it doesn’t fit the vibe !! ยิ่งถ้าเรารู้สึกไม่ดีไปด้วย แล้วดัน fake positive vibes ก็เท่ากับปฎิเสธความจริง ซึ่งก็จบลงที่การไม่ได้แก้ปัญหา จริงอยู่ไอ่ความรู้สึกลบๆมันก็ไม่ค่อยดี แต่ที่ดีในการรู้สึก คือ เรารู้ว่ามีเรื่อง มีปัญหาต้องแก้ ไม่ใช่แค่แฮบปี้ๆแล้วทำอะไรไม่ได้ เป็นวิทยากรต้องแม่นๆความรู้สึกหน่อยนะ เพราะในการเน้นการมีส่วนร่วมเราต้องการความรู้สึกจริง ต้องการอารมณ์จริงของผู้เข้าร่วม จะมาให้แค่ “staying positive” หรือ “everything happens for a reason” นั้นมันไม่สมศักดิ์ศรี
คนไม่ได้ต้องการหวานหู cliche แต่อย่างใด คนต้องการจะรู้ว่าเรายอมรับ ประมาณ it is okay to feel และไอ่ true feelings นี่แหละ มันนำไปสู่ actions !! วิทยากรที่เน้นการมีส่วนร่วมจะไม่ phony-baloney toxic positivity จะไม่ fake happiness หรือ always cheerful เราไม่ต้องเป็น cheer leader ทุกสถานะการณ์ก็ได้


วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 280

รักแท้เป็นเรื่องง่ายๆ

รักเป็นเรื่องใจที่ใครๆก็ควรจะ “รักเป็น” เพราะมันแผ่กว้างไกลไปหลายรูปแบบที่เข้ามาในชีวิตคนเรา แต่รักแท้มันเป็นยังไง เชื่อว่าหลายคนในโลกนี้มีปัญหาเรื่องความรัก ไม่ว่าจะรูปแบบไหน เพราะมุมมองบิดเบี้ยวไปจากธรรมชาติของรัก 

รักแท้มีทุกคำตอบแม้ไม่ได้ถาม : รักแท้ไม่ต้องการการยืนยัน เพราะมันมีคำตอบอยู่แล้ว ที่บ้านมีใครถามพ่อแม่ทุกวันว่ารักลูกไหม คือเรื่องแบบนี้มันไม่ต้องถาม เมื่อรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย วางใจสงบได้นี่ จะมาเสียเวลากับการต้องถามทำไม คำตอบใหญ่ๆมันอยู่ตรงหน้าแล้ว คือถ้ารักกันจริงมันจะไม่มีความสงสัย แต่ถ้ารักไม่จริงมันจะมีแต่คำถาม 

รักแท้ไม่มีดราม่า : แค่เห็นกัน มองหน้าเงียบๆก็มีความสุข คือถ้าชีวิตต้องตามค่านิยมสังคมหรือสวยหรูดูดี มันจะมีความคาดหวัง ไอ้แบบนี้ไม่ว่าชีวิตคู่ หรืออยู่กันเป็นครอบครัว หรือในบรรดาเพื่อนฝูง ดราม่าจะเข้ามาเอี่ยวทันที เพราะต้องเติมให้กันตลอด ไม่เต็มสักที ต้องสละตัวตนเพื่อให้อีกคนหรือหลายคนพอใจ แบบนี้คือไม่รู้จักสร้างความสัมพันธ์ที่ดี อยู่กันสักชั่วโมงก็เหนื่อยจะแย่แล้ว รักแท้มันง่ายกว่านั้น ไม่ทำอะไรก็รู้สึกเต็มในใจ ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร ไม่มีช่องว่าง แค่ได้ใช้เวลาด้วยกันก็ดีมากแล้ว 

รักแท้ไม่แคร์ความต่าง หรือต้องเหมือน : และไม่คาดหวังให้มาเติม จะคาดหวังให้คนมาเติมอะไร ถ้าคนมันเต็มพอใจในตัวเอง ก็หนึ่งบวกเข้าไป จะบวกในการเป็นสามีภรรยา เป็นแฟน เป็นเพื่อน เป็นลูก เป็นพี่เป็นน้อง ก็มีมาเพิ่มให้มันเป็นสุขไป แต่ไม่ใช่มองหาสิ่งที่ตัวไม่มี ให้มาเติมอีกครึ่งของชีวิต แล้วถ้าคนนั้นมันไม่มีก็มีการบังคับให้มันมี ต้องปรับตัวให้ได้ อันนี้ไม่ใช่ความรักแท้ รักแท้ไม่เรียกร้องให้ใครต้องปรับตัวเข้าหา แต่ให้เกียรติความต่าง ให้พื้นที่กับคนในการใช้ชีวิตและเจริญตามที่ใจต้องการ เป็นกำลังใจสนับสนุนให้ทำในสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ ลูกไม่ต้องมาเติมอะไรให้พ่อแม่ แฟนก็ไม่ต้องมาเติมส่วนที่ขาด เอาตัวเองให้เต็มก่อนจะได้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องต้องเหมือนหรือต้องต่าง

รักแท้ไม่ต้องเร่ง : รักแท้มีจังหวะเวลา ชิวๆไป ไม่ต้องรีบร้อน จะบอกรักจะชื่นชมก็ดูจังหวะมันให้ดี เร่งเหมือนกระหน่ำปุ๋ยบังคับออกดอกนั้นไม่ได้ มันจะสำลักตายไปก่อน ถ้าเจอจังหวะนรกหรือไม่มีจังหวะนี่โอละพ่อมาก รักแท้สื่อสารด้วยหัวใจ ให้มันเป็นไปอย่างอิสระและธรรมชาติ คนรักกัน คนในครอบครัว แม้แต่เพื่อนฝูงก็มีมาและจากไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความรักแท้นั้นจะไม่หายไปด้วยเวลา ยังไงก็อยู่ตลอด 


สรุปๆคือ รักแท้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่มันขึ้นกับตัวเอง ตัวต้นเหตุ ต้องกลับมามองตัวเองนั่นแหละว่าจะเรียนรู้พัฒนาในการรักตัวเอง เติมเต็มตัวเองได้ก่อนไหม แล้วค่อยก้าวเข้าไปดื่มด่ำความรักของชาวบ้าน  แบบไม่คาดหวัง ไม่กะเกณฑ์ แล้วจะพบความสบาย สวยงาม อบอุ่น 




วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 279

 อาจเป็นเรื่องเล็กสำหรับใคร แต่แบบนี้ไม่ไหวจะเคลียร์ 

อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะในวงเพื่อนหรือในวงงาน มันมีเรื่องต้องเคลียร์อยู่ไม่กี่เรื่องที่จะทำให้อยู่ดีมีสุขด้วยกัน 

➡️การไม่เสมอต้นเสมอปลาย : คนแบบนี้ผิดหลักสมานัตตตาในสังคหวัตถุ 4 นะ เป็นเพื่อนก็จะจัดการได้ยาก เพราะปฏิบัติกับเพื่อนไม่เท่าเทียมกัน ร่วมทุกข์ยาก อยากแต่จะร่วมสุข เพื่อนจะเพลียมาก และยิ่งถ้าทำงานด้วยนี่ จะยากแสนเข็ญ ไม่รู้จะเอายังไงแน่ time line การจัดการเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน พูด สัญญาอย่างไรก็ไม่ทำตามนั้น อันนี้มันทำให้ไม่เหลือความไว้วางใจ และจะพลอยมีวัฒนธรรมลื่นไหลโกหกเพื่อเอาตัวรอดตามมา 

➡️การอยู่แต่ใน Comfort Zone : กลัว ไม่กล้า ซ่อนสบายใจในกะลาตัวเอง แบบนี้มันจะสร้างสรรค์อะไรได้ ไร้การพัฒนาเรียนรู้ใดใดเลยนะ ยิ่งถ้าเป็นพวกหวังได้แต่ไม่คิดไม่ทำ มันจะเหมือนอยากถูกหวยแต่ไม่ยอมซื้อหวยประมาณนั้น ถ้าอยู่ในองค์กรมันจะเป็นบรรยากาศที่คนจะสนใจแต่งานตัวเอง ต่างคนต่างทำ ไม่ปรึกษาหรือแลกเปลี่ยนไอเดียกัน ไม่มีภาพของการแบ่งปันความคิด การทำงานไม่สนุกไม่มีความสุข คนก็แค่มาทำหน้าที่ให้จบไปวันๆ องค์กรจะไม่มีการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์เพราะคนไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ 

➡️การไม่ซื่อ : อันนี้บาปหนัก ถ้าเพื่อนกันโกงกันหน้าด้านๆ แบบนี้ไม่ไหวนะ อันนี้ถือว่าร้ายแรงบ่อนทำลายองค์กรที่สุด ไม่จัดการทันทีจะกลายเป็นวัฒนธรรมที่เลวร้าย คนที่ทุจริตคิดไม่ซื่อจะเหมาเอาเองว่าการกระทำทุจริตไม่ใช่อาชญากรรม และลามปามไปถึงมุมมองที่คนในองค์กรจะเห็นพฤติกรรมทุจริตว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิด จะทำให้คนสามารถกระทำการทุจริตในงานได้อย่างหน้าตาเฉย เป็นการส่งเสริมให้คนกระทำการทุจริตโดยปราศจากความรู้สึก สำนึก และตระหนักว่าการกระทำนั้นผิดจริยธรรมหรือกฎหมาย แบบนี้มีแต่เสื่อมลงทุกวัน ไม่มีวันเจริญ 



วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 278

เวลาไม่ใช่สิ่งที่รับรองความสัมพันธ์ว่าต้อง “ฟิตเฟิม” ยิ่งอยู่กันนานยิ่งเข้าใจนั้น บางทีไม่จริง คนมันเปลี่ยนน่ะ ทั้งร่างกายจิตใจ ส่งถึงความคิดอ่าน หลักการอะไรก็มีเพี้ยน เข้ากันได้มั่งไม่ได้มั่ง
ดังนั้น อะไรที่ไม่เข้ากัน ก็ไม่ควรผลัก ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต เพราะสุดท้ายยังไงๆก็ไม่สามารถลงล็อคพอดีได้ ฝืนไปไม่ใครก็ใครต้องเชือนเนื้อเถือหนัง และคนที่ยอมนั้น จะยอมไปได้ตลอดหรือ แล้วไอ่คนที่ไม่ยอมก็ได้ใจเชือนเอาๆก็ได้หรือ มันไม่สมดุล มัน “ฟิตเฟิม” ไม่ได้

ชีวิต จะอยู่สบาย..ไม่ควรฝืน เพราะยิ่งฝืน คนที่จะบ้าก่อน คือ ตัวเอง ลองดูนะ มีอาการแบบนี้มั่งไหม

- เพลีย ไม่มีแรง บางทีแน่นท้อง ท้องผูก ปากคอแห้ง อันนี้อาการทางกาย

- สมาธิแย่ลง เหม่อลอย ไปไหนมาสามวาสองศอก ผิดๆถูกๆ หลงลืมง่าย

- ลังเล ตัดสินใจไม่ค่อยได้ ต้องถาม ไม่มั่นใจ คับข้อง ทรมานใจแปลกๆ

- เบื่อหน่าย เก็บตัว เคยทำอะไรแฮบปี้ ตอนนี้ไม่อยากจะทำ ไร้อารมณ์ร่วมใดใด

ถ้าถูกทุกข้อนี่ ตัวใครตัวมันนะ

คาถาเดียว คือ อย่าฝืน !!!

ชอบก็ว่าชอบ ไม่ชอบก็บอก
ธรรมชาติๆไป ใครรับได้ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องเรา
มีชีวิตแขวนที่ความคาดหวังคนอื่น มีแต่เหนื่อย
ศีลไม่เสมอกัน ก็ตามมารยาทไป ไม่ต้องเยอะ
ความสุขเรา คนอื่นไม่เกี่ยว
มีชีวิตมาได้ขนาดนี้ถือเป็นบุญ
ทำอะไรไม่ได้ก็ สวดมนต์แผ่เมตตา จบข่าว



📍


วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564

คิดวันละอย่าง # 277


โดนด่าเป็นธรรมดาของคนบนโลก

จงสบายๆไปนะ 😊
1 พวกนี้อาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรามาแต่ชาติปางก่อน แผ่เมตตาไปรัวๆ เราอาจเคยว่าร้าย ทำไม่ดีมาก่อน ให้อภัยไป
2 ขำขำไปบ้างก็ดี ยิ่งถูกบิดเบือนใส่ร้ายเรื่องไม่จริงก็ยิ่งแปลว่าพวกนี้หมดหนทางไป นิ่งไป ใส่อารมณ์ขันจะทำให้สงบสุขได้ พึงขำชนะความโกรธ
3 มันแค่ “เป็นไปแบบนั้น” เกิดได้ก็จบได้ ใครมันจะมานั่งด่าเราตลอดชีวิต ถูกหมาเยี่ยวรดบ้าง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีเหตุให้จิตตกขนาดนั้น
4 คนโดนด่า คือ คนที่มีจุดยืนชัดเจน จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ คนที่ไม่โดนด่าคือคนกลางๆลอยๆไม่มีข้อขัดแย้งกับใคร อยู่โซนปลอดภัย ไร้จุดยืน จงสบายใจที่โดนด่าเพราะเราหลักการชัด
5 ความดีย่อมเป็นเกราะคุ้มภัย ถ้าเราดีจริง ต่อให้ขุดโคตรขึ้นมาด่า ก็จงอย่าสะเทือน อย่าทุกข์ใจ ยิ่งด่าเท่าไหร่ แปลว่าสิ่งที่ทำนั้นมันถูกต้องแล้วตามทำนองคลองธรรม จงภูมิใจที่เป็นคนดีที่เข้าใจโลก
6 การปกป้องตัวเอง นิ่งเฉย ไม่ใช่การโต้ตอบ แต่เป็นการเลี่ยงการปะทะแบบมีสติปัญญา ถ้าคันมากทนไม่ไหวอยากโต้ตอบ ก็เอาความจริงเข้าสู้เท่านั้น ไม่มีอะไรเหนือความจริงไปได้
7 ใจไม่เข้มพอ อย่าฟัง อย่าอ่าน อย่ารับรู้ มันจะโอละพ่อ มิจฉาทิฐิจะพุ่งสวนแซงอะไรทั้งปวง จนกว่าจิตแกร่งแล้ว มีภูมิคุ้มใจแรงพอ ก็รับรู้ไปตามนั้นได้แบบเท่าทัน ไม่ปรุงเพิ่ม รับรู้แบบสบายใจ
8 ยามโดนด่า เพื่อนสำคัญมาก จะรู้ว่ารักกันจริงก็ตอนนี้ มันดีต่อใจที่มีคนเคียงข้างยามทัวร์ลง แต่ถึงยังไงก็อย่าคาดหวังมาก ทุกคนก็มีวาระต่างกันไป เรื่องของเรามันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเขา ถึงแม้ทุกทีที่เขามีเรื่อง เราโดดใส่ให้ก็ตาม ถึงแม้มีเพื่อนจะดีแต่สุดท้าย คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใจเป็นที่พึ่งแห่งใจตน
9 สำคัญที่สุด คือ ที่โดนด่านี่ เราอยู่ในความเป็นธรรม ไม่ได้ชั่วใช่ไหม อย่าหลง อย่ามั่นใจไร้สติเกิน เราไม่ได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งใช่ไหม ทบทวนบ่อยๆ เราจะไม่หลงทางและยืนท่ามกลางการด่าแบบสง่างาม
นี่ก็คล้ายกับปฎิบัติธรรมอยู่หน่อยๆนะ โดนด่ายังไงก็อย่าให้ใจมันทุกข์ร้อน รักษาใจให้เข้มแข็งได้ ก็จะสบายขึ้นมาก