วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ค่านิยมหลักที่เป็นตัวตนของคน


เป็นคนที่คิดว่า Personal Core Values นั้นสำคัญอย่างยิ่ง  เป็น invisible hand ที่นำพาชีวิต เป็นเหตุของเหตุผลทั้งมวลแห่งการกระทำของคน ทุกคนมีเป็นของตัวเอง แต่ชัดไม่ชัด รู้ไม่รู้อีกเรื่องหนึ่ง  บางครั้งเราก็รู้สึกว่าอะไรในตัวของเรานี่มันไม่ match อะไรกับคนอื่นเลยหรือยังไง  เราใช้มันเลือกมิตรภาพ ความสัมพันธ์ เลือกคู่ค้าทางธุรกิจ และมันยังช่วยเราอย่างแยบยลในการบริหารจัดการสินทรัพย์ เงินทอง และที่สำคัญ คือ การใช้เวลาของเราด้วย   เราใช้มันไปแบบอัตโนมัติทุกวันทุกวัน    แต่จะให้ดี เราน่าจะมาสำรวจให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะได้รู้ตัว ยอมรับ และเข้าใจตัวเองกับชาวบ้านมากขึ้น อยู่ในสังคมของเรา อยู่กับคนทั้งใกล้ตัวไกลตัว มีความสัมพันธ์ มีการทำงานอย่างเข้าใจ ไม่ว้าวุ่น หรือจะดีไปกว่านั้น อะไรที่ไม่ชอบมาพากลก็พยายามเปลี่ยนมันไป เป็นการพัฒนาตัวเองจากราก  ซึ่งจริงๆแล้วมันดูได้ง่ายๆจากการตัดสินใจในเรื่องต่างๆจากแต่ละวันที่มีชีวิตนะ  หรือจะให้ดีก็ลองเขียนมันลงกระดาษไปเลยให้เห็นกันจะจะ  

อันนี้เป็นของตัวเอง ใช้มันอยู่ทุกวันเวลาทั้งตอนรู้ตัวและไม่รู้ตัว  มันเป็น decision guidelines ที่ทำให้เราเป็นคนจริงต่อตัวเอง ใช้มันแก้ปัญหา 

ความจริง: คนบางคนโกหกเป็นนิสัย ซึ่งไม่ใช่เรา เราจะชอบมากถ้าเจอคนตรงๆซื่อๆ ในโลกเล็กๆของเรา เราจารึกไว้เลยว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เป็นความจำเป็นของชีวิตเรา ไม่ว่ามันจะทุเรศขนาดไหน เลวร้ายสุดขีดชีวิตก็ตาม อันนี้มันทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้

ความคิดสร้างสรรค์:  การที่เป็นครูบาอาจารย์ การเป็นที่ปรึกษา การเป็น CEFE trainer มันต้องไม่ตันอยู่แบบเดิมๆ  ทุกครั้งที่ทำงานมันต้องมีอะไรใหม่ที่ดีกว่าเดิม  ไม่ใหม่ทางนามธรรม ก็ใหม่ทางรูปธรรม  ทุกวันนี้มีเพจที่ต้องคิดสร้างสรรค์  ถึงจะเอาของชาวบ้านมาบ้างแต่ก็ต้องคิดเพิ่ม คิดในมุมที่เราเห็นว่ามันยังไม่มีใครคิด ทำอะไรมันต้อง compelling แค่เล่น line play ก็ต้องเปลี่ยนบ้านมันทุกวัน  คือ มันต้อง connect มันต้อง entertain ต้องมี intrigue กันบ้าง 

ความถูกต้อง: อันนี้เป็นกลไกอัตโนมัติ ชีวิตนี้เห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง ทนไม่ได้ ความไม่เสมอภาค ความไม่ยุติธรรมนี่มันบ่อนทำลายทุกอย่าง  ถึงใครจะว่าเราโง่ เราเสียภาษีอย่างถูกต้อง เราไม่โกงคนอื่น เรายอมเสียเวลา เสียเงินเพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านความไม่ชอบมาพากล  ใครท่าทางทำไม่ถูกเราไม่ร่วมสังฆกรรม

การยอมรับผลกระทบ: ชีวิตนี้ทำอะไรลงไปล้วนรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น หวังเลย หวังให้มันเกิดขึ้น หรือ ไม่เกิดขึ้น  ไม่เคยจะลังเลถามตัวเองว่า จะทำไหม จะดีไหม แต่ทำไปเลย อยากไปไหนรู้ว่าต้องสบายใจแน่ ไปเลย ไปคนเดียวก็ไป  จะลาออกจากงานรู้ว่าลำบากไม่มีกินอิ่มหมีพีมัน แต่รู้ว่ามันถึงเวลา ก็ลาออกไปเลย ง่ายๆ คือ maximum results for minimum effort เอาหมด  และมันทำให้เราสว่างในหลายๆเรื่อง 

การมีเสรีภาพ: ไม่อยากเป็นทาสอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะเป็นทาสคน จึงเลือกชีวิตที่เป็นอิสระ ยอมเงินน้อยๆแต่ได้คิดเอง ทำเอง ไม่ต้องติดตำแหน่ง ฐานะ ชื่อเสียงอะไรทั้งนั้น อยู่มันแบบ freelancer นี่แหละ จนเป็นจน มีก็กิน ไม่มีไม่กิน ไม่ใช้  ที่ผ่านมาตัวนี้เป็นตัวกำหนดชีวิตมากที่สุด เลยตัองอยู่ตัวคนเดียวไป 

สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจ มันมี Personal Core Values Exercise ของ Kevin Daum เป็น best-selling author คนหนึ่ง ที่เห็นว่าถ้าเราลองตอบคำถามตามขั้นตอนของเขา เราอาจจะชัดเจนในค่านิยมหลักของเรามากขึ้น  เขาแนะนำว่า

Step 1 คิด พิจารณาและอธิบายสิ่งต่อไปนี้:
ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของเรา 3 เรื่อง
ช่วงชีวิตที่ีประสิทธิภาพ 3 เรื่อง
เรามีเหตุผล หลักการ หลักคิดอะไรบ้าง

Step 2 คิด พิจารณาและอธิบายสิ่งต่อไปนี้:
ความล้มเหลวที่สุด 3 เรื่อง
ช่วงชีวิตที่ีไร้ประสิทธิภาพ 3 เรื่อง 
เรามีเหตุผล หลักการ หลักคิดอะไรบ้าง

Step 3  เขียนข้อแนะนำสำหรับตัวเองสัก 3 - 4 ข้อที่สามารถใช้เป็นบทเรียนสำหรับชีวิตที่ผ่านมาที่สอดคล้องกับคำตอบที่ได้ในขั้นตอนที่ 1 และ 2 

Step 4 จากนั้นลองสรุปให้เหลือเป็นคำๆให้น้อยที่สุด เช่น “อย่าสวาปามกินมาก เมามากเละเทะเวลามีงานเลี้ยง จะมีทุกข์หนักภายหลัง” ก็ให้เหลือแค่ “ควบคุมตัวเอง เน้นทางสายกลาง” เป็นต้น 

Step 5 ตอนนี้เป็นการทดสอบ ให้คิดถึงเหตุการณ์ที่ core value ของเรามันทำให้เราซวยซ้ำซวยซ้อน มากกว่าที่จะทำให้เราชิวสบาย  เช่น เราคิดว่านวัตกรรมนี่มันยอด แต่เราเองกลับอยู่กับที่ ไม่เคยจะเปลี่ยนอะไรได้เลย จึงไม่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นในชีวิต  มันแปลว่าจริงๆเราไม่ได้เป็นคนสร้างสรรค์อะไรเลย มันป็นแค่ตามๆเขาไป เราก็เป็นแค่ตามกระแส เป็นต้น  ลองคิดให้ดี  ถ้าคิดไม่ออก ก็ดี คือ ค่านิยมหลักที่มีไม่เคยทำให้เดือดร้อน โชคดีไป 

เรื่องแบบนี้ คนต้องเห็นความสำคัญจึงมานั่งพิจารณาตัวเอง ส่วนใหญ่จะเห็นว่าเสียเวลาเพราะคิดว่รู้ตัวอยุ่แล้ว  สำคัญ คือ ทำแล้วให้ซื่อสัตย์ต่อตัวเองมากๆเข้าไว้  นั่งคิดกับคนที่เราไว้ใจก็ดีมาก เพราะจะได้ honest feedback เป็นการช่วยเหลือกัน ก็สนุกไปอีกแบบ ขอจบด้วย Mahatma Ghandi  "Your beliefs become your thoughts. Your thoughts become your words. Your words become your actions. Your actions become your habits. Your habits become your values. Your values become your destiny” 

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ReLEx ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว


อยากเล่าประสบการณ์ทำ ReLEx ที่ TRSC เพราะมันปลื้มปิติกับเทคโนโลยีและฝีมือหมอ จริงๆแล้วปลื้มกับความกล้าบ้าบิ่นของตัวเองด้วย 

เป็นคนสายตาสั้นมาตั้งแต่เด็ก อายุแปดขวบก็ใส่แว่นแล้วหนาเตอะ พอโตอีกหน่อยก็ใส่คอนแทคเลนส์ พอแก่เลยต้องควบรวมถึงแว่นสายตายาวด้วย ห้อยแว่นเป็นพวง เพราะแค่กินข้าวให้อร่อย ให้มองเห็นอาหารยังต้องใส่แว่นสายตายาว ร้องคาราโอเกะแทบจะโยนเนื้อเพลงที่พื้น มันมองไม่เห็น ถ่ายรูปให้เพื่อนไม่เคยรู้ว่าดีหรือไม่ เอาแค่ทุกคนอยู่ในจอใช้ได้ เพราะมองไม่คมไม่ชัดถึงแม้จะใส่คอนแทคเลนส์ แต่สายตามันยาว มองใกล้ไม่เห็น มองไกลก็งง   จริงๆแล้วตอนที่เขาทำเลสิคใหม่ๆก็คิดจะทำ แต่ความกลัวมันมีมากจนไม่กล้า คุณจิ๋มถึงขั้นนำเสนอว่าเราไปทำกันคนละข้างก่อนไหม เผื่อตาบอดจะได้ช่วยกันเดินได้ อ่ะ อ่ะ อันนี้ก็ไม่ไหวนะฮะเพื่อน

ที่ตัดสินใจทำเพราะนอกจากความรำคาญที่ต้องแขวนแว่น เสียบแว่นไว้ที่คอเสื้อตลอด เสื้อย้วยหมด ทุกที่ในบ้านก็ต้องมีแว่นไว้ตามมุมต่างๆ เป็นการสิ้นเปลือง และไม่รู้สติไม่ค่อยดีหรืออย่างไร หายบ่อยมาก ทำตกหล่นตลอด ที่สำคัญ คือ เป็นคนคิดมาก คิดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้ เหมือนที่จอมเทพขู่อยู่ทุกวันใน FB ว่าโลกจะแตก อาทิตย์จะดับ แผ่นดินจะไหว ถ้าเราดันไม่ตายและไม่มีแว่น ไม่มีเลนส์ เราจะสิ้นฤทธิ์ไปเลยนะ เพราะสายตาสั้นมากและยาวมาก ไม่มีเครื่องช่วยนี่ถึงกับอัมพาต เดี้ยงก่อนวัยอันควรเลย มันไม่ถูกต้องนะ 

อีกเหตุผลนึง คือ เห็นคุณนายภัสราเพื่อนสาว อายุเท่ากันนี่แหละ ไม่ต้องใช้แว่นเลย เธอเฉิดฉายได้ทั้งวันทั้งคืน ปรากฎว่าเธอทำมาตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว เออ..เราเสียเวลากับความกลัวไม่เข้าท่าไปนานทีเดียว แต่ก็นะ..ตอนนั้นสายตามันยังไม่คงที่ สั้นขึ้นเรื่อยๆ ยาวขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มันคงที่ ได้ที่พอดี 

คราวนี้มาถึงการเลือกทำ..จะทำที่ไหนดี สำหรับคนอื่นไม่รู้ แต่ตัวเองเรื่องตามันสำคัญสำหรับเรามาแต่เด็ก ไปค้นคว้า อ่านมันทุกที่มาจนตกผลึก คือ การทำเลสิคมันไม่ใช่เรื่องใหม่แล้ว ทุกที่ที่ทำเขาก็ทำกันมาจนชำนาญ หมอก็เก่งๆกันทั้งนั้น มันก็มีพลาด เบลอมั่ง แสงจ้าในกลางคืนเวลาขับรถบ้าง อันนั้นธรรมดาแล้วแต่เวรกรรม มีน้องเลิฟวันชัยทำแล้ว ทำที่มีเขาชื่อเด็ดดวงทางเลสิคเหมือนกัน ก็ขับรถไม่ได้ไปพักนึง ตอนนี้ดีแล้ว มันเป็นเรื่องการปรับตาที่แต่ละคนต่างกัน  แต่สำหรับเรามันเป็นเรื่องความเชื่อใจล้วนๆนะที่เลือก TRSC คือง้างมาแต่บ้านแล้วว่าต้องเป็นที่นี่และต้องหมอเอกเทศเท่านั้นด้วย  มีคนโน้มน้าวใจว่าไม่จำเป็นที่ไหนก็เหมือนกัน เครื่องล้วนทันสมัย หมอไหนก็ดีทั้งนั้น อันนั้นไม่เถียง เห็นด้วย แต่เป็นคนที่จะว่าดื้อก็ดื้อ จะว่างมงายก็ได้ แต่ทำอะไรต้องเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ไม่ทำ 

ไอ้ ReLEx เนี่ย ไปศึกษามาแล้วว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใช้หลักการเดียวกับการผ่าตัดด้วยเลสิค แต่แผลเล็กกว่ามาก แผลเล็กประมาณ 2-5 mm. ไม่ต้องควักกระจกตาเราออกมาขนาดนั้น มันแปลว่าผลข้างเคียงต้องน้อยกว่า แม่นกว่า รบกวนกระจกตาเราน้อยกว่า สรุป คือ มันต้องดีกว่าแน่ๆ และมันมีที่ TRSC นี่แหละ  สำหรับหมอนั้น ชื่นชอบหมอเอกเทศ ซันซื่อเป็นการส่วนตัว เพราะเธอกล้าหาญชาญชัยเป็นคนแรกในประเทศที่ทำเลสิค  เป็นคนชื่นชมพวก first mover น่ะ ไม่งั้นไม่เป็นสาวก apple freitag เต็มสูบ เพราะพวกนี้ต้องใจถึงพึ่งได้  การเป็นคนแรกๆที่ทำอะไรมันอาศัย guts อย่างแรง ทั้ง personal courage and determination มี toughness character ชัด สมที่จะฝากดวงตาเราไว้ได้  ที่ว่าแบบนี้ไม่ใช่หมอคนอื่นไม่เก่งนะ  อาจมีคนเก่งกว่าด้วยซ้ำ แต่บอกแล้วว่า เรื่องแบบนี้ มันเป็นความเชื่อ ความศรัทธา ห้ามกันยาก   ซึ่งกว่าจะนัดหมอได้ก็รอข้ามปีนะ แต่วันแรกที่ไป TRSC ไม่ผิดหวังเลย บอกได้ว่า เนี้ยบ ระบบเนี้ยบจริง พนักงานทุกคนถูกฝึกมาอย่างดี ที่สำคัญทัศนคติดีจริง คุณน้องนันทนาพรแหม่มก็สมแล้วที่ให้มาดูแลคนไข้ อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ เพราะจะมาผ่าตัดตาเนี่ย ไม่มีใครไม่กลัว มันหวาดเสียวกว่าคิดจะโดดบันจี้จัมพ์เยอะ  แต่ที่ประทับใจ คือ ขั้นตอนการตรวจมันละเอียดจริงๆ ฟาดเข้าไปสามชั่วโมง และหมอเอกเทศนี่แหละ เธอช่างแม่นยำ เธอเห็นความเสี่ยงในการเป็นต้อหินของเรา ให้ไปตรวจกับหมอบุญส่งที่บำรุงราษฎร์ทันที (ไปอีกสามชั่วโมง) คือ เอาให้แน่ใจ 

วันผ่าตา.. สวดมนต์แต่เช้าเลย ทำนิ่งๆไป ทำเหมือนว่าจะไปสอนหนังสือประมาณนั้น ไม่ได้เตรียมใจไปผ่าตัด  หนูตุ๊กรออยู่แล้ว เห็นหน้าเพื่อนค่อยอุ่นใจ แอบกอดทีนึงก่อนเข้าไปผ่า ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะต้องหยอดยาชาประมาณห้าร้อยรอบ อันนี้เวอร์ไป แต่รู้สึกแบบนั้นเลยนะ มันหยอดกันอยู่นั้นแล้ว นอนรอไป ห้องก็เย๊นเย็น มีผ้าห่มให้ แต่ใจมันเย็นหนาว นอนไปคิดไปไม่มีประโยชน์ ท่องอิติปิโสไป ดูลมหายใจไป พุทโธไป ก็เพลินดี หายกลัว นิ่งดี คิดว่าถ้ามันจะซวยก็ช่วยไม่ได้ เวรกรรมมันมีอยู่ของมัน  ตอนผ่าจริงใช้เวลาน้อยมว๊าก ขอบอกว่าแป๊บเดียว ยังไม่ทันจะกลัว ไม่ทันจะสวดมนต์ ไม่ทันจะเจ็บเลย เสร็จแล้ว คือคุณหมอให้จ้องไอ่แสงเขียวๆ บอกให้มองตรงๆ รู้สึกว่า 30 วิเองนะ แต่ละข้าง แล้วคุณหมอก็ออกไปไหนไม่รู้ ให้นอนรอไปแป๊บนึง อ้าว..เข้ามาใหม่ ทำเหมือนกับลื่นๆที่ตาเราสองข้าง เอ้า..เรียนร้อย ลืมตาได้ ฮู้ย อะไรมันจะเร็วปานกามนิตหนุ่มอย่างนั้นพ่อคุ้ณ..พอลืมตาก็เห็นทุกอย่าง ชัดไม่ชัดอีกเรื่อง รู้ว่าตาไม่บอดใช้ได้ละ 

มันคงเป็นที่ใจด้วยนะ  
การเชื่อว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าเชื่ออย่างนั้นและทำได้จริง ผลมันสุดยอด 

เพราะเชื่อแบบนั้นหลังจากผ่าเสร็จมีเพื่อนสาวหนูตุ๊กกับคุณนายภัสมาให้กำลังใจพากลับโรงแรม ยังมีคุณนายจุราลินกับสามีมาให้ความบันเทิงทั้งวัน คือ ไม่ได้พักอะไรเลย ขำไปทั้งวัน ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่น้ำตาไหลพรากใดใดทั้งสิ้น เลยคิดว่า ถ้าเราคิดว่าไม่เป็นไร มันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดว่า โอ้ย เพิ่งผ่าตามาต้องนอน ต้องเจ็บ ต้องเป็นคนป่วย ป่านนี้คงยังไใม่ได้เริงร่า 

สาบานได้ว่ามันดีจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเรามองไกลมองใกล้ได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วย ทำเสร็จลองเล่น FB กับ line play เลย เออ..ที่เคยไม่เห็น ก็ติ้กตั๊กได้เลย มองทีวีไกลๆ ฮู้ย ชัดวุ้ย ชะโงกไปดูที่จอดรถ ฮ้า..อ่านเลขทะเบียนรถได้ด้วย พระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันยอดมาก   ที่ทำนี้ทำแบบ mono vision คือ ไม่เอาชัดเป๊ะ แต่เอาแบบไม่ใช้แว่นอีกต่อไป ไม่ว่าจะแว่นสั้น หรือ แว่นยาว เสียอย่างเดียวไม่ได้สระผมไปสามวัน เพราะห้ามตาโดนน้ำ แต่ถ้าทนไม่ได้ก็จะไปสระผมที่ร้าน แล้วเอาผ้าปิดตาไว้  

ขอเชียร์ทุกท่านที่มีปัญหาสายตา
เข้าไปดูที่ http://www.lasikthai.com/th/treatment/ReLEx/default.php นะฮะ 
แล้วถ้าพี่น้องผู้ใดจะทำข้าพเจ้ายินดีให้เบอร์คุณแหม่มที่จะสามารถดูแลท่านเหมือนญาติมิตร 

โลกมันช่างสดใสเจงเจงท่านผู้ชม

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

อย่างก


คนเราที่ถูกหลอก..ล้วนแต่เพราะความงก
อยากได้
อยากมี
อยากได้มาก
อยากได้มากกว่า
อยากได้เปรียบ

เงินสำคัญ...แต่ไม่สำคัญไปกว่าความสัมพันธ์ที่ยืนยาว

use your own wings


บางคนน่าสงสาร ต้องพึ่งพาคนอื่นร่ำไป
จนเป็นนิสัย
จนเสียนิสัย
นานไป..กลายเป็นเป็นการเบียดเบียนทั้งตัวเองและคนอื่น
โดยไม่รู้ตัว หรือ รู้ตัว..แต่..มันสบาย
ประมาณอิ่มจัง..ตังค์อยู่ครบ

มีปีก..ใช้ปีก
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

line play: มุมมองของข้าพเจ้า

เพลินใจหาใดเหมือน
ขอบคุณเพื่อนที่แนะนำ

บทเรียนจาก line play
1.ช่วงอายุแบบเรา (ห้าสิบขึ้น) ไม่มีวันสร้างอะไรที่สามารถจับใจคนยุคนี้ เพราะเราบอกว่า วุ้ย อะไรเนี่ยชุดคิกขุ ยั้วเยี้ย เลือกซื้อแทบไม่ได้ ว้าย..ห้องนี้มันอะไรของมัน เก้าอี้สตรอแบรี่ยักษ์เนี่ยนะ เป็นต้น คือ เขาฮิตกันน่ะป้า ป้าไม่มีวันทำได้ ป้าจะมาบอกว่า ฮู้ย ไม่เข้าท่า ก็มันเข้าทางเขาอ่ะป้า ไม่ต้องหาเหตุผลด้วยนะป้า เพราะป้าไม่มีวันเข้าใจ ทีนี้มันมีอยู่ว่าป้าอย่างเราต้องเข้าใจศักยภาพของเราตอนนี้ คือแสนยานุภาพที่เคยใช้ได้ มัน obsolete ต้องยอมรับ แม้กระทั่งในเรื่องการบริหารจัดการมันก็ไม่ใช่ของคนยุคเรานะ จะมาบอกว่า เฮย ชั้นยังแจ๋ว มันแจ๋วแต่เปลือกนอก package น่ะ ก็ป้าเล่นกระหน่ำประโคมสปาสำอางค์ขนาดนั้นนะ แต่ข้างในที่เป็นความคิดอ่าน ต้องยอมรับว่ามันใช้ไม่ได้จริงๆ ถอยเสียเถิดแม่จำเนียร แม่ช้อย พ่อมาก ให้น้องเชอรี่ น้องแอน น้องมาร์คเค้าไป  เราถอยออกมาชื่นชมความคิดใหม่ๆที่อาจไม่ถูกใจเรา แต่มันมีความก้าวหน้าอยู่ในนั้น ดีกว่าดึงเขาลงคลองตีโป่งตามเรานะ  ให้มันขี่เจ็ทสกีไปเหอะ

นอกจากเสียจากว่าป้าจะใจกว้างมากๆ เปิดใจเรียนรู้ ติดตามอย่างจริงจังเท่านั้น ป้าจึงสามารถสร้างของใหม่กิ๊กมาให้คนปิ๊งได้ ซึ่งมันยากเพราะป้าติดกรอบยศถาบรรดาศักดิ์ ติดอายุ วรรณะอยู่เลย

2. ของปลอมขายยาก คือ ต่อให้ป้าทำตัวกลมกลืน น่ารักอ่ะ ไปกับเขา พอเขามาเยี่ยมบ้านป้า หรือ อ่านไดอารี่ป้า เขาจะรู้ทันทีเลยนะว่าแม่บ้านวัยดึก พ่อบ้านวัยกล้วยไม้แน่ๆ บรรยากาศมัน smell มันมีกลิ่นแก่โชยน่ะ ต่อให้ใส่เสื้อสายเดี่ยวลายเสือ ลายหมาก็เหอะ เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเอย รูปติดฝาเอย มันต้องมีอะไรขัดหูขัดตาคนยุคนี้กันบ้าง ปลอมไม่สนิท(อ่ะ)  ขายกลุ่มเป้าหมายชัดๆจะๆตรงๆที่เหมือนเราน่ะ ง่ายสุด คิดก็ง่าย ทำก็ง่าย ส่งเสริมการตลาดก็ง่าย อะไรที่มันผิด concept มันจะเลอะเทอะ ขายให้เนียนมันยาก 

ป้าก็ไม่ต้องเศร้าใจไป เลือกลุ่มเป้าหมายดีๆ อย่ามั่วแล้วคิดว่าเป็นmass ขายพวกเดียวกันแหละนะ แต่อย่าลืมออกไปสำรวจตลาดด้วย เพราะป้าๆลุงๆหลายคนที่จ๊าบก็มี จะได้ไม่หลงทิศ ติดกับดักรัตนโกสินทร์ 200 ปี เจียงใหม่ 700 ปีอยู่นั่น 

3. เครือข่ายที่ดีเท่านั้นที่เป็นสินทรัพย์อันมีค่า  การที่ป้าปัดกวาด รดน้ำบ้านต่างๆด้วยตัวเองลำพังไปให้ตายก็ยังไม่เท่า invite เครือข่ายที่มี line แค่คนเดียว คะแนนมันผิดกันเป็นหลักพันกับหลักสิบ   ถ้ามีเครือข่ายสัก 100 คนใน line และ invite ได้หมด ใช้เงินกันเพลินเลยหละป้า  การเป็นมืออาชีพนั้นอาศัยเครือข่ายในการพัฒนาจริงๆ จะทำอะไรมันง่ายไปหมด 

เครือข่ายนี้เป็นสินทรัพย์ที่..บางครั้งไม่ต้องซื้อหา เอาใจไปแลกมาก็ได้นะฮะป้า ประโยชน์มหาศาล อย่าหยิ่ง อย่าหยิ่งเป็นคุณหญิงสูงศักดิ์ ระวังเหี่ยวตายบนหอคอยงาช้าง

4. การคิดเบ็ดเสร็จ คิดหมดจดทั้งระบบ คือ การปิดทางล้มเหลว ลองไปเล่นดูแล้วจะรู้ว่าระบบมันวิเศษจริงๆ ถึงแม้จะหงุดหงิดไปบ้างก็เหอะนะ แล้วมันเป็นระบบที่ไม่เรื่องมาก แต่ได้ตังค์แบบเนียนๆ มีให้เลือกตามแต่กำลัง ใครๆก็มีส่วนร่วมได้ตามอัตภาพตัวเอง

มันอาศัยการมองแบบบูรณาการ มองแบบ critical thinking มองแบบทะลุปัญหา มองแบบรอบด้าน มองแบบเข้าใจคนไม่ใช่แค่เทคโนโลยีหรือเครื่อง นี่มันยิ่งกว่าตำราทางการจัดการอีกนะเนี่ย 

5. การจะได้มา ต้องให้ไป line play อาศัยการสร้างอารมณ์สำนึกมารยาทในการเข้าไปหาชาวบ้านเพื่อได้คะแนน มันก็ต้องมีอะไรตอบแทนกัน จะเอาอย่างเดียวไม่ได้  และการให้ต้องให้ถูกคนด้วยนะ คะแนนจึงมามาก ให้คนมีอำนาจ (พวก admin) ได้เยอะกว่าให้ชาวบ้านธรรมดา 

ให้ก่อน ได้ก่อน ไม่ให้ ก็ไม่ได้ อันนี้ธรรมดา แต่เรามักจะลืม และต้องให้ที่เขาอยากได้ด้วยนะ มันจึงมีการปิติเกิดขึ้น และเราก็ปิติด้วย ที่ดีที่สุด คือ ให้คนที่เขาด้อยกว่า เช่น พวกบ้านโล่งๆ พวกชายขอบ จะเกิดการอิ่มเป็นพิเศษ เขาคงตอบแทนเราไม่ได้..แบบนั้นแหละเราหลุดเลย หลุดจากความงก ฮ่า ฮ่า

พอละมังเนี่ย..มันจะดีเกินไปนะถ้ายังมีอีก เดี๋ยวคิดออกจะมาเติม หรือ ใครจะช่วยเติมก็ยินดียิ่งฮะ

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

เกิดเป็นคน


คนเกิดมาพร้อมขันธ์ 5
ไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบ ต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต

คนได้รับบทเรียนตลอดเวลา
เพราะเรามีโรงเรียนที่ชื่อว่า "ชีวิต"


ในการดำรงชีวิตไม่มีอะไรที่เรียกว่าผิดพลาด 
ทุกอย่างเป็นบทเรียน
ความสำเร็จหรือความล้มเหลว
มันก็เป็นแค่กระบวนการทำงานของชีวิต

บทเรียนมันจะมาเรื่อยๆ มาหลากหลาย มาทับถม
มาแล้ว มาอีกจนกว่าคนจะเรียนรู้
จะได้ข้ามขั้น ไปสู่บทเรียนอื่นๆต่อไป


บทเรียนถูกส่งมาให้คน ไม่มีวันจบสิ้นตลอดการมีชีวิต


ในการมีชีวิต ไม่มีอะไรดีเท่ากับ "ตอนนี้"
ตอนหน้า อนาคตก็ไม่ดีเท่า "ตอนนี้"


คนอื่นเป็นกระจกสะท้อนชีวิตเรา
ชอบ ไม่ชอบ ไม่เกี่ยว เพราะมันเป็นความจริงอยู่ดี


คนล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
มีสินทรัพย์ สินกาย สินใจที่เป็นเครื่องมือในการทำชีวิต
ต้องเลือกเอง

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

เห็นนางฟ้าแล้วอารมณ์เสีย



คงเป็นเพราะกำหนดอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 
เห็นคนดี คน nice มากๆแล้วอารมณ์ขุ่นมัว

รู้สึกว่า..มึงจะเอาหน้ากันไปถึงไหน กูเบื่อ
คนดีๆเขาก็ดีของเขานะ..นี่ก็จะไปเบื่อทำไม แปลกคนจริง

แต่มันรู้สึกจริง ไม่ปลอม มันหมั่นใส้ มันอยากอ้วก
เป็นคน นรกจริงๆ

ปกติ..เห็นว่าคนทำดีให้กัน คนเอื้อเฟื้อ คนเอาใจใส่ คนห่วงใยกัน 
เราต้องยินดีซิ เราต้องดีใจและชื่นชม

กลายเป็นเห็นนางฟ้าแล้วอารมณ์ดีหดเหี่ยว
มิจฉาทิฐิแท้ๆ 
เนี่ย..คนมันชั่วของจริง

หลบลี้ หนีหน้า


หลบลี้หนีหน้า..ไม่อยากเจอผู้คน
เวลาไม่มีใจ เหนื่อย เซ็ง มีปัญหาทางจิต

จะเลือก..อยู่คนเดียว
ประมาณ กูไม่อยากเห็นหน้ามึง
จริงๆแล้ว มันแปลว่า ไม่อุเบกขาจริง ปลงไม่ตก

ถ้าทำใจได้จริง..มันต้องไม่รู้สึกแบบนี้
มันต้องธรรมดา..มันต้องสบายๆ มันต้องอยู่ที่ไหนก็ได้..กับใครก็ดี

ความที่เป็นแบบนี้...แก้ไม่หาย กลับไป กลับมาแบบนี้..ทุกครั้ง ทุกทีไป

การที่ไม่เผชิญหน้า มันคงสร้างความคับข้องใจให้หลายคนที่อยู่รอบๆตัว
แต่ก็ยังหลอกตัวเองว่ามันดีกว่า

มันเป็นกลวิธานป้องกันตัวแบบดูดี แต่ไม่ได้แก้ปัญหา เพราะมันวนเวียนมาอีกแล้ว มาแล้ว มาอีก

เมื่อก่อนมาถี่ แก่ตัวก็ค่อยๆมาห่าง 
มันไม่เกิดขึ้นมานาน.. แต่อยู่ๆก็โผล่ขึ้นมาอีก
อยากตะโกนว่า..กูอยากตามใจกูบ้าง มันเรื่องของกู

เชื้อชั่วไม่เคยตาย
และมันคงไม่ตาย..จนกว่าตัวตนจะตายไปจริงๆ