วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

เฟซบุคเป็นเหตุ....วัดมีชีวิต หรือ ไม่มีชีวิต: วัดทองศิริ



อาทิตย์ที่แล้วมีผู้โพสรูปวัดทองศิริและบรรยายว่าโบสถ์จะถูกรื้อและทำการสร้างใหม่โดยชาวบ้านลงในเฟสบุ๊ค (มิน่าหนังได้รางวัลโกลเดนโกลบ...)  ซึ่งมีญาติโยมเราก็ติดแถกมาให้อย่างด่วน  อารามตื่นเต้นก็แถกกันต่อ ญาติใครญาติมัน เกิดความรุ่มร้อนในใจ  เสียดาย สติแตก จนพวกเราอยากจะไปดูให้เห็นกับตา  เห็นในรูปสวยมาก (ฝีมือถ่ายรูปร้ายจริงๆคุณหลาน) แต่ก่อนไปก็จัดการหาของแข็งระงับการสร้างกันใหญ่ (สุ่มสี่สุมห้า)   วันอาทิตย์ ๓๐ มกราที่ผ่านมาก็อาศัยวิไลลักษณ์ทัวร์ไปอย่างมุ่งมั่น  กะดูให้แจ้งใจ เผื่อจะรื้อวันที่ ๔ นี้แล้ว..ยังได้เห็น (ว้าย..คิดได้ไง) 
เจอเจ้าอาวาส... ใหญ่สุดในวัดแล้วเพราะมีอยู่องค์เดียวทั้งวัดและยังอายุน้อย... เจออุ้ยแก่ๆทั้งหญิงชาย ชาวบ้านมารวมกันกำลังจะจัดพิธีสืบชะตา... ชะตาวัด หรือ ชะตาใครก็ไม่รู้แล้วงานนี้... ท่านกรุณาเล่าความเป็นมาอย่างออกรส... พวกเราฟังกันตาปรือเป็นแถว... สรุปสิริรวม คือ โบสถ์นี้ เก่าจริง แต่เก่าแบบร้อยปีนะ ไม่ใช่เจ็ดร้อยปี และทรุดโทรมเป็นอันมาก จะพังลงวันไหนก็ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าหลังคาก็รั่วไปทั่วและโบสถ์มีขนาดเล็ก  สาระสำคัญ คือ วิถีชาวบ้านที่หุงข้าวนึ่ง ทำกับข้าวมาวัดทุกเช้า มาทำบุญ ฟังธรรม ไหว้พระทุกวัน...จะทำยังไง เลยคิดกันว่าจะบูรณะ สร้างใหม่ แต่คงแบบเดิมทุกประการ (อันนี้..พระบอก  จะดีไม่ดี คิดเอาเอง...)   ปัญหาตอนนี้ คือ ชาวบ้านต้องการโบสถ์ใหม่ที่สามารถทำกิจกรรมบุญได้เหมือนเดิมที่เคยปฎิบัติ  แต่กรมศิลป์มาระงับไว้ก่อนจะรื้อ...ทีนี้เลยไม่รู้จะยังไงกันแล้ว...เกิดขุ่นข้องหมองใจกันไปทั่ว  คนนอกอย่างพวกเราก็พลอยกลุ้มไปด้วย 

เลยมาลองพิจารณาดูว่า...อันที่จริง วัดเก่านั้นเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่งที่บอกความเป็นมาของบรรพบุรุษที่อยู่ในสังคมของเรา  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนขนาดเล็ก หมู่บ้าน เมืองหรือประเทศชาติ    ความเป็นมานี้แสดงถึงพัฒนาการของผู้สร้างสมัยก่อน  วัดทองศิริสร้างเมื่อ ๑๔๔ ปีที่แล้ว และเพิ่งมาเสร็จสมบรูณ์เมื่อ ๕๐ หรือ ๖๐ ปีที่ผ่านมา... คือ ไม่มีเจ้าบุญทุ่มมาเป็นแม่ยก เลยกว่าจะแล้วเสร็จ...   ส่วนเรื่องการอนุรักษ์วัดไว้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่เป็นหน้าที่ของคนรุ่นพวกเรานี่แหละและรุ่นต่อ ๆ ไป  การ "อนุรักษ์" และการ "พัฒนา" จึงเป็นหลักการที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งไม่ควรและไม่ใช่เป็น "ปฏิปักษ์" กัน   มันเป็นหน้าที่ของทุกๆคนที่จะช่วยกันรักษาโบราณสถานที่ทรงคุณค่าให้คงอยู่นานเท่านาน  เราต้องมาอีกดูว่าวัดเก่าอย่างวัดทองศิริ....ไม่ใช่ทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้เอง  แต่เป็นทรัพยากรวัฒนธรรมที่คนใช้สติปัญญาและความรู้ความสามารถสร้างขึ้นหรือดัดแปลงจากทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ต่อตนและสังคมในสมัยนั้น เมื่อตกทอดเป็นมรดกมาถึงรุ่นเรา  ก็กลายเป็นโบราณสถานเช่นเดียวกับอาคารและวัตถุที่สร้างขึ้นสมัยนี้ จะเป็นโบราณสถานของคนในอนาคตสืบต่อไป คิดแบบนี้ดูต่อเนื่องดี...ไม่ขาดตอน ซึ่งจะอนุรักษ์ จะพัฒนา  ต้องมาคุยกันก่อนแน่ๆ... อยากบอกเจ้าอาวาส ญาติโยมให้ใจเย็นๆก่อน.. มาหาความหมาย คำจำกัดความของคำว่าอนุรักษ์และพัฒนาร่วมกันกับหน่วยราชการ (เมื่อเข้าใจตรงกัน..ทีนี้จะง่ายแล้วค่ะ)  

และสำหรับหน่วยราชการที่รับผิดชอบในการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุในประเทศไทย ซึ่งคือ กรมศิลปากร ถึงแม้จะมีระเบียบว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน  แต่ก็ต่้องเข้าใจว่าเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพยากรวัฒนธรรมเป็นของเปราะบาง..ไม่ใช่เพียงแค่ความเป็นโบราณสถานหรือคุณค่าทางประวัติศาสตร์ศิลปกรรม  หากแต่เปราะบางด้านจิตใจของคน โดยเฉพาะคนในพื้นที่  “ การอนุรักษ์โบราณสถานใด ๆ ก็ตาม จะต้องคำนึงถึงภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมโดยรอบโบราณสถานนั้นด้วย สิ่งใดที่จะทำลายคุณค่าของโบราณสถานนั้น ๆ ให้ดำเนินการปรับปรุงให้เหมาะสมด้วย ” อันนี้ คือ ข้อ ๕ ในระเบียบ...  ต้องมาคุยกันว่า สิ่งแวดล้อมที่ล้อมรอบดิน หิน ปูน ไม้ คือ คน...คนเท่านั้นที่ทำให้วัดมีชีวิต มีกิจกรรม มีการสืบทอดธรรมเนียมปฎิบัติที่ดี ที่กล่อมเกลาจิตใจคนมาช้านาน... เป็นวัฒนธรรมของแท้ที่ใช้วัดเป็นสถานที่ในการสร้างความต่อเนื่อง.... จะทำอะไร ต้องถามคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่.. จะทำอะไรต้องดูศักยภาพคนว่าจะบริหารจัดการได้ด้วยตัวเองอย่างไร ได้กล่าวเกริ่นมาแล้วว่าวัดทองศิรินี้ยังเป็นวัดที่ผู้คน แม่อุ้ย พ่ออุ้ยยังมาทุกเช้า มาทำบุญ มาไหว้พระประจำ  ดังนั้น น่าจะเป็นไปตาม ข้อ  ๑๖. ที่ว่า “ โบราณสถานใดที่ยังมีประโยชน์ใช้สอยอยู่ จะกระทำการอนุรักษ์โดยการเสริมสร้างหรือต่อเติมสิ่งที่จำเป็นขึ้นใหม่ก็ได้เพื่อความเหมาะสม ทั้งนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้เหมือนของเดิมทีเดียว สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นใหม่นั้นจะต้องมีลักษณะกลมกลืนและไม่ทำลายคุณค่าของโบราณสถานนั้น ๆ”    แบบนี้ต้องให้หน่วยราชการใช้ข้อนี้ตกลงกันกับคนเจ้าของพื้นที่ ดูความต้องการของคนในพื้นที่เป็นหลักด้วย.... 
สิ่งที่คนที่นี่กลัว คือ วัดที่กรมศิลป์เข้า...กลายเป็นวัดร้าง วัดไม่มีพระอาศัย เหมือนวัดต้นเกว๋น สวย สงบ ดูดี...แต่ปราศจากชีวิต... เป็นวัดเก็บไว้โชว์คุณค่า ความเก่า  ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี..เพราะเป็นวัดที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง  แต่สิ่งสำคัญ คือ กลุ่มชาวบ้านต้องการหรือเปล่า... วัดมีชีวิต หรือ วัดไม่มีชีวิต... อันนี้ต่างหากที่ต้องเริ่ม.. เริ่มจากการเข้าใจความต้องการใช้ชีวิตประจำวัน... แล้วหน่วยราชการจะสนับสนุนอย่างไร จะทำอะไรได้บ้าง และพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง..เริ่มแบบนี้ก่อน และต้องบอกชาวบ้านตาม ข้อ  ๑๗. ที่ว่า.. “ โบราณสถานต่าง ๆ ทั้งที่ขึ้นทะเบียนแล้วและยังไม่ขึ้นทะเบียน  จะต้องมีมาตรการในการบำรุงรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรง สวยงามอยู่เสมอ”  ต้องชัดเจนว่าจะบำรุงรักษาอย่างไร... และวัดทองศิริดูเข้ากับ ข้อ  ๑๘.  คือ “ กรณีที่โบราณสถานใดมีสภาพชำรุดทรุดโทรม อาจจะเป็นอันตราย   การดำเนินการในเบื้องต้นควรใช้มาตรการอันเหมาะสมทำการเสริมความมั่นคงแข็งแรงไว้ก่อนที่จะดำเนินการอนุรักษ์  เพื่อป้องกันมิให้เสียหายต่อไป” ตอนนี้จะพังแล้ว.. จะทำอย่างไร... คุยให้ชัดเจน...สร้างความเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ภาครัฐยอมรับบทบาทของประชาชนโดยกฏหมายและประชาชนก็ต้องมีสำนึกและความเข้าใจในการรักษามรดกวัฒนธรรม แปลว่าทุกส่วนมีส่วนในการกำหนดแผนและนโยบายการอนุรักษ์ร่วมกัน เมื่อเข้าใจ...จะได้ช่วยกันบูรณะ อนุรักษ์ คนพื้นที่ก็จะสามารถบริหารให้โบราณสถานเกิดรายได้เพื่อเลี้ยงตัวเองโดยไม่ละเลยเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์และกลายเป็นการทำลาย
สำคัญอีกอย่าง ต้องชัดเจนว่า วัดทองศิริ เป็นลำดับของโบราณสถานที่สำคัญระดับใด.. เป็นสมบัติของชาติที่สำคัญที่สุด หายาก ไม่พิจารณาการรื้อถอนเลย หรือ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญมีคุณค่าสำคัญในระดับภูมิภาค หรือ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมมีคุณค่าสำคัญในระดับท้องถิ่น หรือว่าอาคารอนุรักษ์มีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์หรือศิลปะ...เอาให้ชัด สร้างความเข้าใจ... เพราะตอนนี้เกิดปัญหา คือ ความเข้าใจเรื่องโบราณสถานต่างกัน  การดูแลรักษาโบราณสถานและพื้นที่ไม่เหมือนกันและยังไม่เข้าใจกันอีกต่างหาก  อีกทั้งความสำนึกในการอนุรักษ์ก็ไม่เท่ากัน  ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมก็ไม่เท่ากัน   ไม่นับที่ขาดการประสานงาน การประชาสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงาน  เฮ้อ....แต่ว่าสิ่งที่ต้องตระหนักถึงและให้ความสำคัญในการดูแลรักษาโบราณสถาน คือ การรักษาภูมิปัญญาให้มากที่สุด ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาให้ตัวอาคารยังคงอยู่ แต่เพื่อที่ภูมิปัญญาและวิถีดั้งเดิมของชาวบ้านจะได้ไม่ถูกทำลายไป อันนี้ละเอียดอ่อน... อันที่จริงตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดให้มีการกระจายอำนาจและภารกิจต่างๆให้กับท้องถิ่น ภารกิจด้านวัฒนธรรมก็เป็นภารกิจหนึ่งที่ต้องถ่ายโอนให้กับท้องถิ่นซึ่งในด้านศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้น มีภารกิจที่ต้องถ่ายโอนจำนวน 2 กิจกรรม คือ การบำรุงรักษาโบราณสถานขั้นพื้นฐานและการดูแลรักษาโบราณสถานในระดับท้องถิ่น  เนี่ยเข้าทางพอดี  ต้องมานั่งคุยร่วมกัน.. เรื่องแบบนี้อบต.ต้องเข้ามามีบทบาทประสานเชื่อมระหว่างหน่วยงานกลางกับชาวบ้าน... อย่ามัวไปสร้างถนน ขุดท่อ สร้างเมรุไว้เผาใครก็ไม่รู้อยู่เลย...  
สำหรับพวกเรา... วันที่ ๓ นี้เขาจะคุยกันระหว่างกรมศิลป์กับชาวบ้าน...ใครว่างและอยากทำบุญจริงๆก็ขึ้นไปช่วยกันประสานความต้องการให้มันถูกให้มันชอบกันเถอะ... เรื่องบูรณะ..ถ้าไม่มีปัจจัยมันเรื่องเล็กมาก..เรื่องทีหลังได้.. ตอนนี้ให้มันรู้เรื่องกันก่อน..จะเป็นวัดมีชีวิต หรือ ไม่มีชีวิตดี ซึ่งคนที่ตอบได้คือคนพื้นที่เท่านั้น  คนอื่นมันลมเพลมพัด ใครก็ไม่ได้อยู่กับเขาทั้งชาติซะเมื่อไหร่ เฮ้อเหนื่อย..สวัสดี

ชอบที่สุด คือ การถอดรองเท้าตั้งแต่หน้าประตูวัด..
เพราะไม่อยากให้ทรายในวัดติดรองเท้าออกมา..

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ความรัักของเด็ก..เนื่องในวันเด็ก


บางเวลา...ต้องมีอะไรให้ชื่นชมและขำขัน..
ความรักไม่มีให้ชื่นชม  เท่ากับ จืด
ไม่หัวเราะ ไม่ขำขันก็    เท่ากับ จืด
วันนี้วันเด็ก..ไม่อยากจืด..ขอยืม ความคิดเด็กๆเกี่ยวกับความรักมาช่วยหน่อยแล้วกัน...
คนที่คิดว่าไม่มีความรัก...ก็ขอให้เอา "ขำ" เข้าว่า...นะฮะ

เริ่มจาก...เด็กนักการตลาด พูดถึงความรักว่า...
" No one is sure why it happens, but I heard it has something to do with how you smell. That's why perfume and deodorant are so popular." (Jan, 9)
ถือได้ว่ามีอนาคตเลย..ช่างสังเกตุ สามารถเชื่อมโยงได้ดีมากมาก...
...ความรัก...กลิ่น...และตัวผลิตภัณฑ์ (...ถึงสองประเภท) ที่ใกล้ตัว เป็นสินค้าอุปโภค (..บริโภคไม่ได้นะฮะ.. เดี๋ยวกลิ่นติดทั้งชาติ) 

และ..คำพูดของอนาคตสัตวบาล...
" Love is when your puppy licks your face even after you left him alone all day." (Mary Ann, 8)
อ่อนโยน น่ารัก เข้าใจเป็นที่สุด... เด็กคนนี้อีกหน่อย...หมา แมว หมู วัว ต้องรักสุดใจเลย
การทิ้ง ขว้าง ปล่อยให้เหงา...เรื่องเล็ก.. หนูบอกว่ามันเกี่ยวกับความภักดีหมดใจ 
ประมาณว่า..ชั่วยังไงก็รัก...โห..ดีกว่าคนอีก...



อันนี้ คือ เจสสิกา..แม่คนจริง 
" You really shouldn't say 'I love you' unless you mean it. 
But if you mean it, you should say it a lot. People forget." 
(Jessica, 8)
อนาคตอาจจะลำบาก... เธอจริงจังมากในโลกที่มันแทบจะไม่มีอะไรจริง 

คำพูดเป็นเพียงคำพูด คนจะลืมก็ช่างมัน...
ไม่มีอะไรสำคัญขนาดนั้นนะหนู... เอาเป็นว่า รู้ตัว ทันความรู้สึกตัวเองก็พอกระมังเจสสิกา...

การตกหลุมรัก...กับเด็กช่างวิเคราะห์ 
" If falling in love is anything like learning how to spell, I don't want to do it. It takes too long." (Leo, 7)
คนนี้ก็มีอนาคต เปรียบเทียบได้ดี มีกะระยะเวลา รู้ขีดสมรรถนะที่จำกัดของตัวเองด้วย 
ไม่ดันทุรัง ไม่ต้องมีรักแบบตามแห่ (.. คือ เขามีแฟน ขอมีมั่ง ไม่งั้นไม่เข้าพวก..)
เป็นการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานการใคร่ครวญมาอย่างดี... ทำไม่ได้ ก็อย่าไปฝืน...
นี่ คือ ผู้นำในอนาคตของเรา

มันเป็นโชคชะตา... เด็กแห่งสัจธรรม
" Love will find you, even if you are trying to hide from it. I have been trying to hide from it since I was five, but the girls keep finding me." (Bobby, 8)
...ความรักเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...
บ๊อบบี้พยายามหลบแล้ว ออกแนวรำคาญนะ.. แต่ก็เกิดปรากฎการณ์ "หากันจนเจอ" จนได้
(เวรกรรม ท่ามันจะมา..มันมาเองฮ่ะ บ๊อบบี้)

อันนี้น่ารัก...เด็กมีวิสัยทัศน์กับอายุที่ควรแต่งงาน....
"Eighty-four, because at that age, you don't have to work anymore, and you can spend all your time loving each other in your bedroom." (Judy, 8)
นี่.. เด็กเข้าใจการใช้ชีวิตร่วมกันเลย.. อะไรมันจะสำคัญไปกว่าใช้เวลากับคนรัก
(..ถ้าไม่มีเวลาให้.. ก็เป็นสัญญาณแล้วนะ.. ว่ามันใกล้จะไม่รักเราแล้ว อ่ะ อ่ะ)
ให้ค่ากับ...การรักกัน ให้เวลากับ...การรักกัน.. 
จูดี้นี่ร้ายจริงเลย.. ว่าแต่ 84 นี่..ต้องตะบันน้ำหมากแล้วนอนเท่านั้นเลยนะจูดี้..

คนสุดท้าย..เด็กที่ผู้ใหญ่อย่างเราต้องอาย..



"If you want to learn to love better, 
you should start with a friend who you hate." 
(Nikka, 6)

โอ้โห..นิกก้า..อยากให้มี นิกก้า อีกล้านคนบนโลกใบนี้...

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ปีใหม่..ชีวิตนิยมกับเสรีภาพ


ปีใหม่.....อ่านหนังสือของพระธรรมโกศาจารย์เรื่องท่านพุทธทาสกับซาร์ตที่ทิ้งไว้ในห้องน้ำเป็นชาติแล้ว.. เลยฮึดอยากมีชีวิตนิยมกับเขาบ้าง เพราะช่วงนี้เกิดความงง.. คิดเองไม่ค่อยเป็นแล้ว..ชักจะโง่

ปัญหา คือ จะนิยมแบบไหน... โสเครติสเคยบอกว่า khow thyself จงรู้จักตัวเอง แปลว่า อย่าไปวุ่นวายกับภายนอก มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น รู้จักชีวิตตัวเอง.. ชีวิตใคร ชีวิตมัน ... แล้วจะรู้เองว่าเราเป็นยังไง มีปัญหาอะไร ควรทำอะไร ยังไงกับชีวิต...อือ น่าคิด

ปัญหาอีกอย่าง คือ เสรีภาพในการเลือก ที่ซาร์ตว่าเป็น  absolute freedom มันแปลว่าเราเลือกได้ อยู่ที่จิตเรา  แม้ว่าถูกคุมขัง(จากสังคม คนรอบข้าง) ก็จงเลือกว่าจะหนีหรือจะอยู่  อันนี้คิดว่าเราเลือกเกิดไม่ได้..แต่ เกิดแล้วต้องเลือกได้..  จะยอมรับ หรือ ปฎิเสธอะไร เราเลือกได้.. อยู่ที่เลือกแล้ว ต้องรับผิดชอบ วันนี้อยากเป็นนางเอก พรุ่งนี้เป็นตัวอิจฉา.. จะรับผิดชอบยังไง จะเลือกยังไง อยู่ที่หลอกตัวเองหรือเปล่า..อันนี้สำคัญและเป็นปัญหา ดูๆแล้วความรับผิดชอบจะเป็นตัวจำกัดเสรีภาพคนอัตโนมัติ.. ส่วนใหญ่ก็ทำไปตามสังคมคาดหวัง อยากดูดี.... มันยาก มันเป็นปัญหา...จะทำยังไง 

ที่เป็นปัญหาตามมาอีก คือ มันแปลกแยก มันขัดแย้ง เพราะไปให้ความหมายกับสิ่งที่ไม่ควรมีความหมาย.. (จริงๆมันไม่มีอะไรที่ต้องมีความหมาย) เราให้ความสำคัญกับภายนอก มันเหนื่อยนะ... เรามีเสรีภาพ คนอื่นก็มีเหมือนกัน.. การคบกันก็เกิดความขัดแย้งตลอดกาลนานเทอญ ต่างคนต่างใช้กัน คนนะ..ไม่ใช่สิ่งของ จะมานั่งใช้กันได้ยังไง มุ่งใช้กันจนตกนรกทั้งที่ยังเป็นๆ.. เพราะคิดว่าเราดี คนอื่นไม่ดี..ทีนี้เลยสาวใส้กันใหญ่.. มันทรมาน มันเป็นทุกข์ 

ปัญหาสุดท้ายของปีนี้ คือ ความรักจะหายไป.. มันมาจากความขัดแย้ง มาจากเสรีภาพของคนนี่แหละ เลือกแบบไหนก็ทรมานทรกรรม จะทรมานตัวเอง หรือ จะทรมานคนอื่น ทรมานตัวเองแปลว่ายอมทั้งชาติ...ทรมานคนอื่นแปลว่าให้เขาสนอง (ราวกับทาสที่ขาดเสรีภาพ) ไม่ว่าจะแบบไหน ถ้าไม่เป็นตามเราคิด จะหนักหนาแล้ว.. ความดันรับประทานอีก

พญาเสือโคร่งจะบานไม่บาน..เรื่องของมัน มันมีสิทธิ์เลือก
มันเป็นธรรมชาติ
ไม่แปลกแยก ไม่ข้องขัด 
absolute freedom

ปีใหม่ไม่ควรเหนื่อย... น่าจะใช้ชีวิตแบบ authentic แบบจริงของแท้ มาจากตัวตน มีบางคนเป็นแบบนี้อยู่แล้ว..ช่างโชคดีจริง ถ้าไม่หลอกตัวเอง แต่ข้าเจ้ายังหลอกตัวเองอยู่..จึงอยากให้เป็นการใช้ชีวิตจริง..อย่างที่เป็นชีวิตจริงๆโดยเป็นว่าอยากเลือกเองโดดๆ ตัดสินใจเองดาดๆ ทำอะไรเพราะอยากทำ โดยให้มีภายนอก คนรอบข้างหรือสถานะการณ์บังคับให้น้อยที่สุด ไม่อยากฝืน มันเหนื่อย จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวก็แล้วกัน.. หรือว่าเลือกแบบนี้แล้วยังจะเหนื่อยอีก...