วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มาย นิ้วเยียร์ เหรสโซลู้เฉิ่น


มันมาจากธรรมเนียมฝรั่ง ก็ออกเสียงตามมันไปนะ คือ พอจะปีใหม่ มันจะเป็นความเชื่อ...เชื่อว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าเก่า มันเป็นหมุดหมายตอนจะต้นปีที่ฮึกเหิมของคน ถึงแม้กลางปี ปลายปีมันอาจแผ่วไปก็ช่างมันเถอะ 

ข้าพเจ้าคิดถึงคำว่า..เพื่อ... 
นี่ก็ทำอะไร เพื่ออะไรมาทั้งชีวิต จึงคิดว่าจะหยุดเพื่อ...”  
เพราะความสุขเป็นเป้าหมายไม่ได้...มันเป็นพฤติรรม !! 

ตื่นมาตอนเช้าส่วนใหญ่ก็จะนอนสั่นขา ยืดเหยียดไปเพื่อไม่ให้เส้นตึง เลือดไหลเวียนและสูดหายใจลึกๆไปเรื่อยๆ  มันออกแนวทรมานตัวเองนิดๆเพราะไอ่เพื่อนี่แหละ ทุกทีทำไปก็ท่องไปเพื่อสุขภาพๆๆๆ ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันเลยเครียด ทรมาน ไม่สนุก   แต่เมื่อเช้ามันปิ๊งขึ้นมาว่า เฮ้ย มันไม่ต้องเพื่อ ถามตัวเองว่ามันสนุก มันสุขตอนนี้ ตอนที่ทำหรือเปล่า เออ..มันมีความสุข ทำไปยิ้มในใจไป เออ ดีกว่ากันเยอะเลย ไม่รู้สึกทรมาน 55  เสร็จพิธีก็มาชงผงผักผสมคอลาเจนบีบมะนาว ทำไปรู้ไปว่ามันมีความสุขดีเหมือนกัน ทุกทีไม่ได้คิดอะไร ทำไปตามเวรตามกรรม เฮ้ย มันสติดีนะ 

ปีใหม่นี้เลยว่าจะหยุดเพื่อ...” 
ทำอะไรที่มันแฮบปี้ตอนที่ทำ ไม่ต้องเพื่อแล้ว 

ข้าพเจ้าเห็นเพื่อนพี่น้องวาดรูปก่อนแสดงงาน ท่าทางมีความสุขกว่าตอนเปิดงานอีก 
คือมันไม่ต้องเพื่อแสดงงาน มันมีความสุขกันตอนที่ทำไปแล้ว

ข้าพเจ้าเห็นเพื่อนพี่น้องไปเที่ยว เล่น คุย กิน มันสนุกตอนนั้นแล้ว 
ไม่ใช่ไปเพื่อสนุก หรืออะไร

ข้าพเจ้าเห็นครอบครัวปิ้งย่าง มันฟินตรงนั้นแล้ว 
ไม่ใช่เพื่อปาร์ตี้หรือสังสรรค์ หรืออะไร

เพิ่งเข้าใจว่าอยู่กับปัจจุบันนั้นมันเป็นยังไง (แหม โง่มานาน)
เพื่อ...” มันเป็นอนาคต...มันยังมาไม่ถึง จะไปเพื่อทำแมวอะไร
ฝากความหวังลมๆแล้งๆไว้ที่มันได้ยังไงตั้งนาน

ทำงาน วัยนี้ไม่รู้จะเพื่ออะไร 
เอาให้ม่วนตอนทำ ตอนประชุมกัน ตอนขบคิดกัน 
(ซึ่งคิดไป ก็ม่วนทุกทีนะที่ทำๆมาเนี่ย มาเครียดไอ่ตอนเพื่อ...” นี่แล
เที่ยว ไม่เพื่อ...ละ ตอนเที่ยวมีความสุขตอนนั้นเป็นพอ
กิน ไม่เพื่อสุขภาพ เพื่อผอม เพื่ออ้วนอะไรแล้ว
ถ้ากินแล้วมันฟินตอนนั้น จบข่าวเลย 
สวดมนต์ข้ามปีที่วัด รู้เลยว่าไม่ได้ ไม่ไปไหนสวดอยู่บ้านดีกว่าเยอะ
ไม่ต้องไปเบียดเสียดให้เสียจริต 

ฉลองปีใหม่กับเพื่อน ไม่ได้ดี๊ด๊าขนาดนั้น แค่คิดว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันเหลือน้อย
แค่คิดก็ม่วนไปหน่อยๆแล้วตอนนี้ 

สำคัญจริงๆตอนนี้...เดี๋ยวนี้...เวลานี้” 
พระพุทธองค์ว่าที่ใกล้ที่สุดของคน คือ ความตาย
ไม่แน่วินาทีหน้าอาจตายได้ วินาทีนี้มันจึงสำคัญ 
แต่มันสั้นจนเราลืม ลืมไปว่าเพื่อ...นั้น มันเพื่อไม่ได้ เราอาจไม่อยู่จนได้เจอเพื่อ...”

สุขมันวินาทีนี้ สงบมันวินาทีนี้แหละ 
เพื่อ...” มันยาวเกินชีวิตคน 

เขียนๆไปเหมือนพวกสิ้นคิด หมดหวังยังไงชอบกลนะ 55 
แต่มันโดนตอนเขียนนี่แหละ..มันได้ตอนนี้เลย ไม่ต้อง... “เพื่อ...”

เพื่อ...” = เหนื่อย เครียด ไม่สุข ไม่สบาย 
จะปีใหม่แล้ว..ชีวิตเหลือน้อยลงไป...ข้าพเจ้าไม่เพื่อ...”



วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 151

เรื่องง่ายๆทำไมเข้าใจไม่ตรงกัน !!

ปัญหาโลกแตก คือ เรื่องการสื่อสาร มันเกิดกับคนทั้งโลกไม่ใช่เฉพาะพวกเรา มันไม่ใช่เฉพาะคำพูดภาษาที่ใช้ มันยังมีพวกทัศนคติ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆเข้ามาผสมกันด้วย
ความจริง คือ คนจะรับรู้ในสิ่งที่ต้องการจะได้ยินเท่านั้น
ส่วนที่ไม่อยากได้ยินมักจะละเลยและไม่รับฟัง
มันเหมือนตั้งธงไว้แล้ว มันไม่เข้าหู 
คนอยากพูดในสิ่งที่ตัวเองสนใจ
อยากฟังในสิ่งที่ตรงใจตัวเอง
พอมันไม่ตรงกัน..มันเลยเป็น “เรื่อง” ขึ้นมาได้ง่ายๆ
เพราะ frame of reference กรอบอ้างอิง...มันแตกต่างกัน
มุมมองของแต่ละคนมันเกิดจากได้รับอะไรมาในอดีต
อาจเป็นประสบการณ์บ้าง มโนเอาบ้างก็มี... 
นอกจากนี้ ทุกคนก็อยากมีความสำคัญ อยากให้คนฟัง อยากให้คนรับรู้ถึงเรื่องของตัวเอง มันจะยุ่งตรงที่ไม่มีใครฟังใคร ฟังแต่ไม่ได้ยินก็มี มันเลยโอละพ่อผิดความไปได้
เอาใหม่... เราไม่ตัดสินคุณค่าก่อนรับ “สาร” เพราะการตัดสินคุณค่านั้นมันขัดขวางการรับรู้ “ความจริง” ที่คนอยากจะสื่อกับเรา
ไม่ตัดสิน...รับรู้ได้ และรับรู้เร็วด้วย 
คือ ไม่ต้องพิจารณาสามวันแล้วค่อยมาว่ากัน
มันจะสายไป มันเสียความรู้สึกไปแล้ว
เอาใหม่...เอาให้ตรง ไม่เยอะแยะ ยื้ดเยื้อ ต้องการอะไรว่าไปให้ชัดๆ
เอา ไม่เอา ไป ไม่ไป ดี ไม่ดี...ก็ว่าไปตรงๆ
บางทีเรากรองไปกรองมา เปลี่ยนข้อมูล เพิ่มข้อความ
ด้วยกลัวคนจะไม่เข้าใจมั่ง เกรงใจมั่ง กลัวบาดใจมั่ง
อันนี้ คนแบกรับข้อมูลไม่สามารถตอบสนองได้นะ
“สาร” มันเพี้ยน เข้าใจยากอีก ต้องแปลความอีก
แปลได้ตรงก็โชคดีไป
แต่ส่วนใหญ่มันจะแปลเข้าข้างกรอบอ้างอิงของตัวเอง
ซึ่งจะเกิดอาการ...ไปไหนมาสามวาสองศอก..ได้ง่ายๆ
บอกเลย...เรื่องเล็ก เรื่องธรรมดาๆนี่แหละ
ถ้าไม่เข้าใจกัน...มันเครียด พาลทำให้สิ่งสำคัญถูกละเลยไปได้
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไร...ขำๆไปนะ
เรื่องใหญ่จะเล็กไปเลย 


คิดวันละอย่าง # 150


ทางออก...ทางใครทางมัน...แต่มันมีทางแน่นอน
ปัญหามันเป็นเรื่องท้าทายสติปัญญาคน
มันมาของมันได้ตลอดชีวิต...มากบ้าง น้อยบ้าง หนักบ้าง เบาบ้าง
แต่เชื่อว่า....มีทางออกกันทุกคน 
แค่ไม่ต้องพายเรือในอ่าง...แม่งวนอยู่นั่นแหละ 
...วนไปฮะ..หาทางออกไม่เคยเจอ..

อย่างแรกเลย ถามตัวเองดีดี...ปัญหามาจากอะไร
เกิดที่เราหรือเปล่า...นี่สำคัญ เกิดที่เรา แก้ที่เรา
ไม่ต้องโทษอิทธิพลดวง..ดวงดาวไหน
ไม่ต้องโทษว่าคนอื่นเอาปัญหามาให้
พูดง่ายๆ...โทษหมดยกเว้นตัวเองนี่...ไม่ได้นะ ไม่มีทางสว่าง
แมนๆไป หยุดเข้าข้างตัวเอง รับความจริง
การยอมรับความจริงว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเองไม่ได้ง่ายนัก
แต่มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตก้าวต่อไปได้

ปัญหามันเยอะ !!! เอาทีละเรื่อง
อันนี้ต้องจัดลำดับให้ดี แก้ไขทีละขั้น
อย่าจ้องปัญหามาก...ไปที่สาเหตุเลย
เอาที่ต้นตอของปัญหา แล้วจัดไปซะ

แก้เองไม่ได้...เพื่อนมี ครอบครัวมี ผู้รู้มี
อ้าปากขอความช่วยเหลือไป...ไม่ได้เสียพักตร์ขนาดนั้น
เพราะผงเข้าตาตัวเอง บางทีมันเขี่ยไม่ออกนะ
เมื่อได้วิธีก็ให้ไว...ลงมือทันที ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
เพราะปัญหาบางอย่างปล่อยไว้นานเกิน
..มันเสียหาย มันเกินเยียวยา...
อย่าปล่อยให้ปัญหาลอยนวล !!

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 149


บ้านเมืองแถวนี้ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา
ไทย เวียดนาม เขมร พม่า ลาว ก็คือกัน
มีคนรวยคนจน 
มีบางแห่งหรูหรา
บางที่ไม่รู้อยู่เข้าไปได้ยังไง 
แต่ที่รู้สึกได้ คือ เกิดเป็นคนไทยช่างโชคดีจริงจริง  🇹🇭 คนไทย โดยเฉพาะคนจน คนชายขอบได้รับการดูแลจากพระมหากษัตริย์ไทยมาโดยตลอด จะจนจะไกลยังไงพระเมตตาก็ไปถึงถิ่น แต่เพื่อนบ้านเรานี่รันทดกว่ามาก ถูกปกครองแบบขอไปที ไม่ว่าจะปกครองระบอบไหน ประชาชนก็อ้างว้าง ไม่ได้มีความอุ่นใจอะไร จะหวังอะไรก็ยากเย็น แววตาแห้งแล้ง ห่อเหี่ยว ไร้ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ 
เรานี่ถึงจะจน ก็มีความอบอุ่นใต้ร่มพระบารมีเสมอมา 🙏🏻❤️🇹🇭 #มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อยู่เพื่อตนเอง อยู่แค่สิ้นใจ อยู่เพื่อคนทั่วไป อยู่ชั่วฟ้าดิน

“อยู่เพื่อตนเอง อยู่แค่สิ้นใจ อยู่เพื่อคนทั่วไป อยู่ชั่วฟ้าดิน” ชีวิตการทำงานที่มีความสมดุลย์ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย บางครั้งมันบีบคั้นหัวใจ สร้างความเจ็บปวดให้กับเรา โดยเฉพาะเมื่อมาถึงเวลาต้อง “ตัดสินใจ” แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตนะ และถ้าเราสามารถจำกัดเรื่องอยู่ที่ไม่กี่เรื่องได้ มันจะง่ายขึ้นมาก เช่น การสร้างสมดุลย์ระหว่างการใช้เหตุผลกับการใช้ความรู้สึก การสร้างสมดุลย์ระหว่างชีวิตส่วนตัวกับชีวิตส่วนรวม และสมดุลย์ระหว่างการรับกับการให้ เป็นต้น 

การตัดสินใจถือว่าเป็นงานสำคัญของผู้นำ ซึ่งมันจะทำให้เรา “เกิด” หรือ “ดับ” ได้เลยนะ ในการทำงานมีหลายโมเม้นที่เราต้องตัดสินใจ แต่มันมีไม่กี่โมเม้นที่เป็น magic moment ที่ทำให้เชีวิตเราเปลี่ยนไป และขอบอกว่าโมเม้นแบบนี้...บางครั้งมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต...ตัดสินใจถูก...ชีวิตเป็นอิสระ และจะยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล 

การจะฝึก " ภาวะผู้นำ " ต้องฝึกการตัดสินใจโดยนึกถึงความเป็นธรรม (เหตุและผล vs. ความรู้สึก) ภาพรวม (ส่วนตัว vs. ส่วนรวม) เมตตา (การรับ vs. การให้) เพื่อให้เป็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ได้ใจคนเบ็ดเสร็จไปทั้งชาติ 

ลงลึกอีกนิดนะ...เพื่อให้มันชัดเจนเวลาต้องตัดสินใจ
1. นึกถึงผลกระทบที่มีต่อคนอื่น ก่อนผลกระทบที่มีต่อตัวเอง : อันนี้สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกของการตัดสินใจด้านภาวะผู้นำ มองไปในดวงตาของทีมงาน ของลูกน้องที่เป็นฟันเฟือง พวกนี้รอความหวังจากเรา รอความมั่นคงจากเรา อย่าทำให้ฟันเฟืองฝืด เกิดปัญหา งานจะไปไม่ได้ ปัญหาจะตามมา ภาวะผู้นำล้มเหลวเลยทีนี้ เมื่อใดที่เรานึกถึงคนอื่น มันจะลื่นไหล ได้ใจทุกครั้ง      
2. เปิดโอกาสให้ทีมได้มีส่วนร่วม : ฟังความคิดเห็น เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพ   ตรงใจ ไม่เสียเวลา ไม่เจ็บปวด ถึงจะเหนื่อยยังไง จะมีคนพร้อมเหนื่อย พร้อมสู้ไปด้วยกันตลอดการเดินทางของชีวิตในการทำงาน 
3. อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล : ไม่ตัดสินใจตอนเครียด หรืออารมณ์ไม่ปกติ จำไว้เสมอว่าการตัดสินใจของเรากระทบต่อความสำเร็จและล้มเหลวขององค์กร กระทบขวัญกำลังใจของทีมงานของเรา หายใจเข้าลึกๆ  หายใจออกยาวๆ  ทำต่อเนื่อง 5 นาที จิตใจจะดีขึ้น กินน้ำสักแก้ว แล้วค่อยว่ากัน 
4. ยิ้มสู้ : ถ้าจะตัดสินใจ ให้ยิ้มไปด้วย นี่ไม่ได้บ้านะ แต่ลองนึกดูว่าทำหน้าเครียด หน้าไม่มีความสุข บรรยากาศจะเสีย คนจะสับสน ถ้าเราตัดสินใจแล้วและจะแจ้งให้ทุกคนรู้ ยิ้มไปเลย มันแปลว่าเรามั่นใจ เรายินดีกับการตัดสินใจที่ถูกต้องของตัวเอง 
ขอย้ำ...คนเราไม่ได้มีโมเม้นที่ยิ่งใหญ่หลายครั้งในชีวิต
...มันมีครั้งเดียวสำหรับบางคน !! 
ครั้งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ภูมิใจในตัวเองไปตลอดชีวิต

“Only a life lived for others is a life worthwhile”
“ การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นเท่านั้นจึงจะเป็นชีวิตที่คุ้มค่า”
การมีชีวิตที่มาจากการคิดถึงตัวเองให้น้อยลง คิดถึงคนอื่นมากขึ้น จะเป็นชีวิตที่มีความสุข ปรับใจไม่ให้คิดแต่จะเอา จิตที่คิดแต่จะเอาเป็นจิตที่ทุกข์ง่าย เพราะถูกเผาผลาญด้วยความโลภ จึงหาความสงบสุขได้ยาก ตัดสินใจอะไรก็ไม่เคยถูก
“การให้” 
จะช่วยลดทอนความโลภ บรรเทาความเห็นแก่ตัว ละความยึดติด 
“การให้” เท่านั้นที่จะบรรเทาทุกอย่าง 
จะนำความสุขใจ ความปิติออกมาจากภายในตัวเอง
....ตัดสินใจอะไร...ถูกตลอด

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 148


เป็น "หมาขี้เรื้อน" หรือเปล่า...
==================
..พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์
มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี
มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้นความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน"
นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว....มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อย ๆ แล้วผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก
หลวงพ่อชา สุภัทโท
==================
สาธุ สาธุ สาธุ
ตกลงเราเป็นหมาขี้เรือนกันหรือเปล่า...วิ่งวุ่นอยู่ตลอด
เกานู่น เกานี่ คันทั้งวัน...ไม่เป็นสุขสักที !!
ไปหาวิธีรักษาโรคเรื้อนกัน...ป่ะ