วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 155

ก่อนแก่ไป..กว่านี้...
let go of your inner rock chick !!
ไม่บ้าธรรม มัวเมา เอาแต่วัด
แค่ปฎิบัติ รู้ตัว สติมา
มีความหัวเราะเฮฮา
ไม่บ้าเก๊ก วางฟอร์ม
ลดละความไม่ยอม
ไม่รอมชอมกับกิเลส
ไม่ทุเรศ หรือ ดันทุรัง
มีสตางค์อย่างก อย่าเหนียว
ว่างๆไปเที่ยวให้สำราญ
ยังมีงานก็ให้เบิกบาน เริงร่า
เจ็บป่วย หรือ แก่ ไม่ได้หนักหนา
นำพาสัมมาทิฐิไว้ ไม่ต้องกลัว
ความชั่วเราไม่ทำ
กรรมของใครของมัน
แฮฟฟันทุกวันไป...นะ

วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

วิถีแห่งเกียรติของคน



เราคงรับรู้กันทั่วว่า ซามูไร คือ icon ของชาตินักรบ นักดาบ ความจงรักภักดีและความมีเกียรติ
วิถีซามูไร เป็น วิถีแห่งเกียรติยศ มันหมายถึง จรรยาบรรณของซามูไร เป็น codes of honor ที่เรียกกันว่า "บูชิโด" (มาจาก Bushi นักรบ กับ Budo วิถีแห่งศึก) ที่ว่ามานี้ไม่ได้จะให้ไปรบกับใคร แต่อยากให้ช่วยกันชื่นชมและเอาอย่าง มันเป็นคุณค่าของความเป็นคนจริง !! 

Integrity : ไม่รู้จะแปลยังไงถึงจะสาสมกับความหมาย มันเป็นเรื่องของ moral virtue ที่คนไม่มีเกียรติจะสะกดไม่เป็น  คนเป็นซามูไรนั้นมีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อผู้มีบุญคุณอย่างมั่นคง การตอบแทนบุญคุณด้วยการสำนึกและทำตามพันธะหน้าที่ถือว่าเป็นความดีสูงสุด  ระดับของ integrity จะสะท้อนทุกอย่างที่ทำที่พูด  คนอื่นจะรู้สึกได้ทันทีถึงความน่าเชื่อถือ ในฐานะที่คนเป็นสัตว์สังคม integrity จะเป็นกาวใจที่ร้อยรัดความสัมพันธ์ของคนไว้ด้วยกัน  สำหรับซามูไรแล้ว integrity จะเป็นวิจารณญาณในการตัดสินใจ  ดังคำกล่าวที่ว่า “To die when it is right to die, to strike when it is right to strike.”  มันอาจดุเดือดเลือดพล่านสำหรับซามูไร  แต่คนธรรมดา integrity จะฝังลึกลงไปในความคิด คำพูดและการกระทำเสมอ  ถ้ามีอ่ะนะ

ความกล้าหาญ : ซามูไรเป็นผู้มีความกล้าหาญไม่เกรงกลัวความตาย สามารถเผชิญกับความตายได้ทุกเมื่อ เพราะถูกสอนว่า ชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยงและไม่มีตัวตนแท้จริงที่ถาวร เวลามีชีวิตอยู่จะต้องดำเนินชีวิตและปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องและครบถ้วนโดยไม่หวั่นไหวกับความตาย  แบบนี้สำหรับเราไม่ใช่ไม่มีความกลัว  มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความกลัว แต่มันคือการยอมรับความกลัว แต่มีความกล้าในหัวใจที่จะก้าวไปทำสิ่งที่ถูกต้อง make important move ซึ่งความกล้านี้ คือ พลังที่สวยงามของคน มันก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและทำให้ชีวิตคนก้าวหน้า 

Compassion : นี่ก็แปลไม่ค่อยตรงเหมือนกัน มันมากกว่าเห็นอกเห็นใจ มีเมตตา มันรวมความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนลงไปด้วย  มันเป็น noble virtue ที่ซามูไรยึดถือ  ความแมนไม่ได้มีแต่นองเลือด มันต้องสุภาพอ่อนโยนด้วย  มัน คือ ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  ถ้าขาดไป ความเป็นคนจะเหลืออะไร  ต่อให้เป็นนักรบก็ยังต้องเข้าใจว่าพลังนี้..เป็นพลังเชื่อมกันและกันของคน ไม่มีมันก็ไร้ซึ่งความเป็นชีวิต 

Respect : ในโลกของบูชิโด คำนี้อาจคาบเกี่ยวกับ compassion อยู่บ้าง ซึ่งทำให้เราเห็นว่าซามูไรไม่ได้ไร้ใจแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องของความใจดีเห็นๆ  การเคารพในคนอื่น คือ ความเมตตาอย่างหนึ่ง แต่จะมีได้คนต้องเมตตา เคารพตัวเองก่อน เห็นคุณค่าตัวเองก่อน การเคารพคนอื่นโดยไม่ได้เคารพตัวเองนั้น มันเป็นแค่เงาอันเลือนลางของคุณงามความดี  ไม่แจ่มแจ้ง เรื่องแบบนี้มันเป็น  true sentiments นะ ไม่ใช่เคารพเพราะกลัวการไม่ยอมรับ หรือ กลัวที่จะไม่เข้าพวก นักรบที่แท้จริงจะรู้ว่าการให้ความเคารพและแสดงออกซึ่งความเคารพมันเป็นสิ่งมีค่าต่อ gentle souls 

Truthfulness : เป็นญาติกับ integrity ได้เลย  มันคือใจจริง คนส่วนใหญ่อาจหลอกตัวเองได้บ่อยๆ แต่ซามูไรไม่หลอกตัวเอง ซามูไรนั้นเริ่มจาก being truthful ไม่ใช้ข้ออาจใดใด ยืนหยัดความจริงในตัวตน ซึ่งเป็นวิถึนักรบ หนักแน่นมั่นคงในความจริง แสดงออกทั้งการกระทำและคำพูดซึ่งทำแบบนี้ ไม่มีอะไรมากล้ำกลายได้ ซามูไรถือว่าเป็นหัวใจนักรบ เช่นเดียวกับอาวุธ เสื้อเกราะและดาบ

เกียรติ : เป็นของคู่กับนักรบ ถือเป็นวัฒนธรรมของซามูไร เป็นหนึ่งใน highest virtues เพราะมันคือจิตวิญญาณของนักรบ เกียรติเป็นความกล้าของหัวใจคน เป็นวิถีของชีวิตซามูไรที่ต้องเกิดมาพร้อมเกียรติของตัวเอง รักเกียรติของตัวเอง ไม่ทำชั่วใดใดให้เสื่อมเกียรติ

จงรักภักดี : ไม่ได้หมายถึงเชื่อฟัง หรือ สยบต่ออำนาจไม่ลืมหูลืมตา แต่เป็น commitment เป็น spiritual development ของตัวเอง ซามูไรจะวางความจงรักภักดีไว้ในที่ที่ควรไว้ ซึ่งบางทีมันยากนักสำหรับเลือดบูชิโดในการเลือกระหว่างเกียรติกับความจงรักภักดี และสำหรับซามูไรมักจบลงที่ เซพพุกุ คือ พิธีคว้านท้อง หรือ “ฮาราคิรี”....การฆ่าตัวตายที่สมเกียรติ  สำหรับวิถีชีวิตคนปัจจุบัน คงไม่ต้องขนาดนั้น ความจงรักภักดีอย่างหนึ่ง คือ การให้ความร่วมมือ co-create กันรวมไปถึง shared vision เพื่อให้รู้ถึงจุดยืนของกันและกัน 

เหนื่อยเหมือนกันนะ วิถีแห่งเกียรติ คนสมัยนี้เลยเลือกทางสบายของตัว ทางได้ของตัว โลกจึงวุ่นเพราะคนคำนึงถึงเกียรติน้อยไป !!

วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 154


ยอมไปสามเรื่อง...ชีวิตดีเลย
เรื่องที่ 1 : หลายคนยอมไม่ได้ ถ้าตัวเองจะผิด ความสัมพันธ์จบลงด้วยแบบนี้เยอะ มันไม่คุ้มนะ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเข้าสู่การรบราเรื่องใครถูก ใครผิด ขอให้คิดสักหน่อยว่า... จะเป็นคนถูก..หรือจะมีเมตตากันไป มันแตกต่างกันมากนะ อัตตาเรามันใหญ่ขนาดนั้นฤา...ยอมไป...ยอมว่าเราไม่ต้องถูกตลอดก็ได้...
เรื่องที่ 2 : เรื่องทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้นี่มันเป็นการจำกัดความเชื่อตัวเอง มันจะทำให้เราอยู่ผิดที่ผิดทาง กางปีกออกแล้วบินเลย ยอมไป...ยอมว่าเราไม่จำกัดอะไร แม้แต่ความเชื่อ...
เรื่องที่ 3 : minds only work when open !! ยอมไป...ยอมเลิกการตีตราทั้งหมดทั้งมวล ไม่ว่าจะคน ของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ บางทีเราก็ไม่รู้อะไรจริง อะไรเท็จ เราไม่ได้เข้าใจทั้งโลกอย่างถ่องแท้ทั้งหมด โดยเฉพาะอะไรที่มันต่างจากเรา เปิดใจไปกว้างๆ สบายใจนะ give up labels !!

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561

เรื่องของความผูกพันกับความสุขนั้น..แยกกันไม่ออก

การอยู่ในองค์กรจะให้คนผูกพัน...ต้องทำให้คนมีความสุข
เป็นที่น่าเสียดายว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ไปเน้นที่ “สิ่งจับต้องได้” จนลืม หรือ ไม่ให้ความสำคัญกับ “สิ่งที่จับต้องไม่ได้” การขับเคลื่อนต่างๆพุ่งไปที่การเติบโตทางตัวเลขขององค์กร ไม่ได้สน “ความในใจ” “ความรู้สึก” ของคนเท่าใดนัก 

โครงการประเภทรื้อฟื้นความรู้สึก หรือ โครงการได้ใจ ส่วนใหญ่ถูกละเลย ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญ การมุ่งไปที่โครงการทำเงิน โครงการผลักดันประสิทธิภาพอย่างเดียวนั้น ผลสุดท้าย คือ ทำเท่าไหร่ ปรับเท่าไหร่ คนก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันมากขึ้นไปกว่าเดิม มีการสำรวจพบว่า คนมากกว่า 70% จะทำงานอย่างมีความสุขและรู้สึกผูกพันต่อองค์กร... “สิ่งที่จับต้องไม่ได้” มีความสำคัญมากกว่า ซึ่งสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ที่เป็นความรู้สึกล้วนๆ มันก็คือ ความรู้สึกสบายใจ ไม่เครียด ไม่กดดันจนเกินไป ฯลฯ 

ลองนึกถึงตัวเองไปนะ...ถ้ามีความสุขกับงาน จะผูกพันกับองค์กรไหม แล้วทำไมเราจึงไม่ให้ความสำคัญกับมันละ... ที่เราทำงานได้สุดจิตสุดใจ ไม่ใช่เพราะมีกำลังใจหรือ มันไม่ใช่แค่สิ่งจูงใจที่จับต้องได้ใช่ไหม...

คนที่ไม่มีความสุข ไม่สามารถขับเคลื่อนองค์กรให้มีประสิทธิภาพได้แน่ๆ เรื่องความสุข หรือ ไม่มีความสุขนี้มันเป็นโรคติดต่อนะ
คนที่มีความสุข ก็จะส่งต่อความสุข
คนที่ไม่ค่อยจะสุข ก็จะส่งความไม่ค่อยสุขนั้นไปให้คนอื่นเช่นกัน 

จุดเริ่มต้นของการที่คนจะมีความสุขในองค์กรได้ คือ
"ผู้บริหารที่มีความสุข" 
ผู้บริหารจึงต้องมีแรงจูงใจสำหรับตัวเองที่จะสร้างความสุขในการทำงานก่อน..ก่อนที่จะสร้างความสุขให้กับคน ถ้าผู้บริหารเครียดตลอดเวลา เอะอะโวยวาย ด่ากราด อะไรก็ไม่พอใจ อันนี้คนจะประสาทกิน และเป็นการส่งความทุกข์ให้คนอื่นทันที  
นายเครียด ใครจะมีความสุขอยู่ได้ !!
พวกผู้บริหารเครียดนี่ก็มักจะหาลูกน้องเครียดๆมาไว้ใกล้ๆ คือ หาพวกเดียวกัน ไม่มีทางจะหาคนอารมณ์ดี ลั้ลลา ขำขันมาได้ มันเป็นกฎการดึงดูด แล้วลองคิดดูว่า ไอ้องค์กรเครียดๆนี่มันจะเป็นยังไง
...นรกชัดชัด !!

การสร้าง engagement ความผูกพัน
มันสัมพันธ์ชัดเจนกับความสุข
คิดผิด...ช่วยคิดใหม่ด้วยนะ !!


วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 153

ระบบชีวิตและการรับรู้ของคน

ชอบแนวคิดและการศึกษาของคุณ Humberto Maturana นักชีววิทยาเจ้าของคำว่า "autopoiesis" ระบบที่สร้างตัวเองได้ดูแลตัวเองได้ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เป็น self-maintaining structure ใน living systems 

เรื่องการที่คนเราคิด ทำ อะไรๆขึ้นมานั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี  มันน่าสนใจเสมอนะ  มันคงเกี่ยวกับระบบชีวิต เกี่ยวกับสมองนี่แหละ  ว่ากันว่าคนนั้นมีเซลล์ในสมองจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนล้านเซลล์  พวกนี้เชื่อมโยงกันหมด เชื่อมโยงไปตามประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน  ซึ่งคิดๆไปแล้ว แต่ละคนคงมีชุดข้อมูลในสมองตัวเองโคตรเยอะเลย และ โอโห สมองนี้เก็บไว้หมดจดเลยนะ เก็บมันทุกเม็ดเลย 

ชุดข้อมูลที่ว่านี้ Humberto Maturana เรียกว่า “Structurally Determined” ประมาณว่า...เมื่อคนได้รับสิ่งเร้าจากข้างนอก สมองเกิดรับรู้ขึ้นเลย และที่มันทำต่อ คือตอบสนองอัตโนมัติคิดว่าคงเหมือนระบบของ googles พอเราพิมพ์อะไรเข้าไป มันทำการเสิร์ชทันที พุ่งไปหาพวกชุดข้อมูล โครงสร้างข้อมูลที่เก็บเอาไว้ในสมอง (คือมันคงเชื่อมๆกันไว้ก่อนแล้ว โดยบางทีเราก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย..แต่มันมีของมันอยู่ในนั้น ประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตเรา...อยู่ในนั้น)  

อันนี้แหละที่เราทำอะไรเป็นอัตโนมัติ รวดเร็ว...จนตั้งตัวไม่ทัน (ในหลายๆเรื่องเลยนะ)

เช่น เราเคยเรียนรู้ว่าการทำร้ายกันนั้นไม่ดี ไม่ควรทำ สมองเรามันเลยมีชุดข้อมูลว่าด้วยการทำร้ายกันเป็น “Structurally Determined” เข้าไปไว้ในหัวเลย พอเรารู้เห็นการทำร้ายกันปุ๊บ เราจะไม่พอใจ เราจะรู้สึกแย่ขึ้นมาทันทีอย่างอัตโนมัติ ไม่ได้ตั้งตัวเลยอันนี้มันเป็นกลไกของระบบชีวิตและการรับรู้ของคน ที่ธรรมชาติร่างกาย สมองของเรามันมีอยู่  มันออกแบบมาเลยเพื่อที่จะให้เราสามารถมีประสิทธิภาพในการรู้สึก การคิด การทำอะไรได้เร็ว...จนต้องมาคิดว่า...มันเร็วไปมั๊ย !! 

คือที่เร็วเพราะใช้ชุดข้อมูลเก่าตลอดเลย เป็นภาคบังคับอัตโนมัติอ่ะนะ  
...แล้วมันใช่เหรอ...
สิ่งที่เราเจอๆนี่มันไม่มีความเดจาวูตลอดนะ มันอาจเป็นเหตุการณ์เหมือนกัน แต่มันคนละเวลา คนละที่ และไม่ใช่คนเดียวกันทำแน่ๆ แต่ไอ้ระบบนี้มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเดิม มันถูกมั๊ย (เขียนไปเขียนมาเริ่มงง สมองมีแต่ให้ใช้ข้อมูลชุดเดิม ฮาเราไม่ได้ใช้ชุดข้อมูลใหม่ๆเลย มันบังคับเราชัดๆ 

ทีนี้ไอ้ชุดข้อมูลใหม่ๆ" มันจะมาได้ยังไง ที่ไม่ต้องให้เราเร็วสปีดนรก แล้วอาจมีเดือดร้อนใจ เผลอไปเบียด ไปมีความมิจฉาทิฐิแบบอัตโนมัติเข้าให้  ตามหลักการมีคนว่าไว้ คือ ต่อเมื่อคนสามารถรู้สึกถึงผลของความรู้สึกผลของชุดข้อมูลเดิม ว่ามันทำให้เกิดอะไรกับร่างกาย กับใจแล้วเท่านั้น  สมองมันถึงจะ “re-route” เพราะมันเรียนรู้ปฏิกิริยาเราแล้วว่า...แบบนี้ แบบนั้นมันส่งผลดีหรือไม่ดีต่อร่างกายคน ต่อใจคน เช่น อารมณ์ไม่ดี ใจมันจะอึดอัด เต้นแรงขึ้น พอโกรธเนี่ย ใจราวกับรัวกลองจะออกรบ เนี่ย ถ้าเราแค่รับรู้ได้นะ สมองมันทำบันทึกใหม่เลย นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะสร้างชุดข้อมูลใหม่ให้เกิดขึ้นมาเพื่อแทนที่ชุดข้อมูลเก่า

สรุปสิริรวม คือ สติ นั่นแหละนะ คือ การรับรู้ที่ส่งผลให้สมองมีชุดข้อมูลใหม่” 
แปลว่า ยิ่งสติมา ปัญญาเกิดได้ด้วยชุดข้อมูลใหม่” 
มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของคน 
จุดเริ่มต้นแห่งการมีปัญญาของคน !! 

ในปัจจุบันที่ซวยหนักข้อ ไม่ใช่เรื่องการรับรู้ แต่เป็นเรื่องการไม่รับรู้” 

เมื่อไม่รับรู้คือไม่รู้สึก” 
เกิดเรื่องอะไร...ก็ไม่รู้สึก อันนี้ตัวใครตัวมันนะ
สมองคนไม่รู้สึกก็จะโดนบังคับให้ใช้แต่ชุดข้อมูลชุดเดิมแบบที่เคยใช้มาตลอด
หมดโอกาสเรียนรู้ที่จะสร้างการโยงใย เชื่อมต่อของเซลล์สมองชุดใหม่ไม่มี “Structurally Determined” ชุดใหม่ในชาตินี้ 
ที่จะเจอก็มีแต่ความมืดบอด” Maturana เรียกว่า “Cognitive Blindness”
มีแต่ใช้ประสบการณ์เดิมอยู่ในระบบชีวิตและการรับรู้...เท่านั้น..
...น่าเสียดายศักยภาพสมอง...ที่เอามาไว้แค่คั่นหูตัวเอง !!

และทั้งหมดทั้งมวลนี้เอง ที่เป็นเหตุแห่งการคิดไม่เหมือนกัน
“Structurally Determined” มันแตกต่างกัน
ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงใคร ไปรู้เรื่องราวอะไร หรือข้อมูลอะไร
ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง...มันไม่เปลี่ยน...
จะให้ดีมันต้องใช้ความเข้าใจและฝึกการรับรู้กันเอาเอง...
เกิดอะไรขึ้น ก็พยายามนึกไปว่า เฮ้ย..กำลังใช้ชุดข้อมูลไหนอยู่เนี่ย...เดิมๆหรือเปล่า..
ที่สำคัญ...ใช้สติ จับความรู้สึกไป... เป็นการฝึกการรับรู้ประจำวัน...

แค่รับรู้ได้ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้สมองได้เลือกที่จะใช้อะไรที่แตกต่างไปจากเดิม” 

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 152

สมสี่ สม เครื่องมือประคองมิตรภาพ
ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ สมชีวิธรรม
ไปอ่านมาชอบ  เป็นธรรมช่วยให้ชีวิตคู่ยั่งยืน  
แต่ไม่มีคู่ แต่มีพวกก็ใช้ดีนะ 

เป็นพวกกัน ต้องสมกัน คือ

1. สมสีลา : มีศีลเสมอกัน 
เป็นพวกกัน จะดี คือ มี ศีล ทั้งพวก ถ้าไม่ได้ก็เอาเป็นว่ามีศีลข้อไหนๆที่ยึดไว้เหมือนๆกันก็คงจะได้  ที่ว่าแบบนี้เพราะพวกยังดื่มสุราเป็นระยะ ก็ให้มันพอดีพอดีกัน พวกไม่ดื่มไม่รังเกียจกันก็คงพอได้  แต่ความประพฤติส่วนใหญ่อยู่ในกรอบศีลธรรม มีพื้นฐานการอบรมจากที่บ้านที่โรงเรียนคล้ายกัน มีกิริยา มีมารยาทสมกัน ก็จะคบกันไปนาน  หรือสอดคล้องกัน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดี แต่อีกฝ่ายทุศีล ทุเรศอยู่บ่อยๆ อันนี้ทางใครทางมันแน่นอน 
2. สมสัทธา : มีศรัทธาเสมอกัน
ไม่ต้องถึงกับเคารพ หรือ นับถือลัทธิศาสนาเดียวกัน แต่อย่างน้อย มีหลักการ มีความเชื่อ มีความสนใจไปในแนวเดียวกัน ก็สมกัน เวลาจะตัดสินใจทำอะไรเป็นพวก ก็ไม่ขัดแย้งกัน 
3. สมจาคะ : เสียสละเสมอกัน
เรียกว่าจาคะเสมอกัน อันนี้รวมไปถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน โอบอ้อมอารีกัน มีน้ำใจต่อกัน พร้อมช่วยเหลือจุนเจือกันทั้งกาย วาจา ใจเลยนะ ซึ่งต้องอยู่ในระดับเดียวกัน จะอยู่กันนาน ไม่ใช่อะไรก็ก่อน อะไรก็เหนือ แบบนี้พวกจะทนกันไม่ได้นาน ใจกว้างก็กว้างเหมือนกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย มึงบ้าง กูบ้าง ไม่ใช่มึงที กูขอสองที มันไม่เท่ากัน เพื่อนหายหมด
4. สมปัญญา : ปัญญาเสมอกัน
คงไม่ต้องฉลาดล้ำโลกเหมือนกัน แต่ควรมีระดับสติปัญญา ความรอบรู้ รวมถึงการใช้ตรรกะเหตุผลในระดับไล่เลี่ยกัน เพราะเวลาคุยกันจะได้เข้าใจกันง่ายขึ้น ไม่ต้องพูดมาก อธิบายเยอะให้รำคาญ  ให้คำปรึกษากันก็เห็นประเด็น ไม่เข้าใจผิด จะชื่นชมโสมนัสกันได้  ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งจองเวทีตลอด หรืออีกพวกฟังแต่ไม่เข้าใจ 


ภูมิปัญญา 2,500 ปี ของพระพุทธเจ้านี้ ศักดิ์สิทธิ์นัก เก็บไว้ใช้กันเลย ใช้ไปไม่มีเสื่อมสัมพันธ์ มีแต่ความเจริญในหมู่คณะ


วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

ไม่ว่าปีไหน...ชีวิต คือ การเรียนรู้


เรียนรู้การจะพึ่งพาตนเอง : ทำอะไรด้วยตัวเองได้ ก็ทำ อย่าหวังสบายให้คนอื่นคิดหรือทำให้ ไปไหนมาไหนเอง ทำอะไรๆเองไม่จำเป็นไม่ต้องพึ่งใคร เพราะในที่สุดแล้ว สักวันต้องอยู่ลำพังตัวคนเดียว เรื่องจริงนะ เวลาจะตายเนี่ยเอาใครไปด้วยได้ไหม 
เรียนการจะรัก : จะรักแล้ว รักใครก็รักเข้าไป รักพ่อแม่ รักพี่น้อง รักเพื่อน รักประเทศไทย รักคนร่วมโลกและที่สำคัญเรียนรู้ในการรักตัวเอง ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยความคิดแย่ๆ
เรียนรู้การจะมีสติกำกับ : สติดี ก็คิดดี พูดดี ทำดี ขาดสติก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ไร้ทิศทาง อาจประมาทเกิดความไม่ดีขึ้น เอาง่ายๆ คือ ระลึกนั่นเอง ไม่หายใจทิ้ง มีสติกำกับจะรู้ว่าหายใจเข้าหายใจออกไปครั้งนึง อายุก็สั้นลงครั้งนึงนะ
เรียนรู้การจะวาง : ถือก็หนัก วางก็เบา อะไรไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็วางๆไปมั่ง วางไม่ลงลองสลัดแรงๆ มันจะเดินต่อไปได้ไกล มันเหมือนแบกสัมภาระที่ไม่ได้ใช้ แบกไปทำไม สลัดทิ้งไปเลย สลัดได้สลัดไปเลย ชีวิตเราจะได้เดินไปสบายๆ
เรียนรู้การจะอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น : อยู่กับลมหายใจ อย่าลืมหายใจ นี่มันปัจจุบันที่สุดแล้ว อะไรเกิดขึ้นมันเกิดไปแล้ว หวนไปไม่มีประโยชน์ อะไรจะเกิดมันก็ยังไม่เกิด จะไปอยู่กับมันทำไม เอาตรงนี้แหละนะ มันชัดเจนดี ตอนนี้กำลังทำอะไร ท่องไว้ๆ
เรียนรู้การจะนิ่ง : ปีใหม่ อายุมากขึ้นอีกปีและสั้นลงอีกปี สุขุมเข้าไว้ บุ่มบ่ามไปจะเสียศูนย์ กลับตัวไม่ทัน จะทำอะไรแค่คิดสามตลบยังไม่พอ เอาสักสิบตลบ สงบแน่ๆ คนแก่อารมณ์เสียไม่ได้น่ารัก 
เรียนรู้การจะลดความไม่ดีไม่งาม : ความเลวไม่ได้ช่วยให้คนสบายใจ ทำดีไม่ต้องเพื่อใคร ให้ตัวเองรู้สึกดีก็พอแล้ว สบายใจกว่ากันมาก หลับฝันดีทั้งคืน ตื่นมาก็ยังมียิ้มได้ 
ปี 2561 พบตัวเองที่ดีกว่าเก่ากันดีกว่านะ