วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ข้ออ้างของพวกเรา...เอาไปทิ้งเถอะ

ข้ออ้างของพวกเรา...เอาไปทิ้งเถอะ

ข้ออ้างที่มีมันไม่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำงานได้ ไม่ว่าจะคืออะไร มันเป็นแค่ข้ออ้างที่เราปรุงแต่งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง เพื่อไม่ต้องให้ตัวเองเปลี่ยนแปลง จริงไหม และที่ฮิตๆกัน คือ

  • ไม่มีเวลา : มันไม่จริง ในเมื่อทุกคนมีเวลาเท่ากันหมด คือ  24 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น จึงไม่ใช่ ‘ไม่มีเวลา’  มันเป็นปัญหาว่าจัดสรรเวลาไม่เป็นต่างหาก ต้องเขียนมาเลย ดูว่าวันๆเราทำอะไรบ้าง จดมันทุกกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน แล้วจะรู้ว่าเราใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่   เผลอๆจะพบว่า เวลาส่วนใหญ่มันไม่ productive เลย และเวลาจริงๆเหลือบาน
  • ไม่เก่งพอ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง : ประมาณว่าสมองไม่ดีพอ เรียนรู้ไม่เร็วพอ ไม่รู้จะเริ่มยังไง ไม่ได้เรียนมาทำไม่ได้ คนทุกคนก็เริ่มจากการไม่รู้ทั้งนั้นนะ การที่คนเราจะทำอะไรได้ หรือ ทำอะไรให้สำเร็จนั้นมันล้วนมาจากการที่คนนั้นพยายามเรียนรู้ ขนขวายเพิ่มเติมในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยทำกันทั้งนั้น ถาม สังเกตุ เรียนรู้จากคนเก่งกว่า  ไม่ได้มาเก่งมาจากท้องพ่อท้องแม่นะ เพียงแต่ไม่ยอมแพ้และสู้เพื่อจะทำได้ ทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย 
  • ยังไม่พร้อม : ไม่พร้อมตอนนี้ จะไปพร้อมตอนไหน คนที่ทำงานได้สำเร็จส่วนใหญ่ก็ทำตอนไม่พร้อมนี่แหละ เพราะมันสำคัญที่ได้เริ่มทำก่อน ทำก่อน สำเร็จก่อน รอให้พร้อม..ยังไงก็ต้องมีปัญหาให้ตามแก้อยู่ดี แค่ตั้งใจจริง มองรอบด้านแล้วลุย มันจะพร้อมไปเอง ไม่ต้องกลัวล้มเหลว เพราะถ้าจ้องแต่ปัญหา หรือความล้มเหลว จะมองเห็นความสำเร็จได้ยังไงกัน

แค่ 3 ข้อนี่ก็เหนื่อยแล้วนะ จะทำอะไรมันจึงเหมือนติดขัด เพราะไอ้ข้ออ้างนี่แหละ เอาเป็นว่า อย่าพยายามใช้ข้ออ้างกันเลย เอาเวลา เอากำลังใจไปวางเป้าหมายกันให้ชัดเจน  ลองวางแผนที่จะไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ออกมาเป็นกิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละวัน แล้วก็เริ่มสร้างวินัยในตนเองให้ทำในสิ่งที่ตนเองวางแผนไว้อย่างจริงจัง โดยไม่ให้ข้ออ้างต่างๆ เข้ามามีส่วนบงการชีวิตเราได้ไหม บังคับใจตัวเองไว้หน่อย อย่าปล่อยตามความเคยชิน มันจะล่องลอย ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย 

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 119

ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน 
the only certainty is uncertainty 
อันนี้ก็รู้กันอยู่แก่ใจ 

แต่คนก็ชอบความชัดเจน หรือ ลงเอยกับคน กับกิจกรรม กับงานที่เรารู้จักดี 
ต่อให้ไม่มีความสุข...ต่อให้เสียโอกาส....ก็ยังเลือกจะอยู่ตรงนั้น
เขาเรียกว่าเป็นอคติทางการคิดของคน “ambiguity aversion”  
มัน คือ การไม่ชอบอะไรที่ไม่แน่นอนของคนเรา
มันเป็นตัวอธิบายว่า...ทำไมต้องทน..ทำไมยังอยู่...ทำไมยังทำ
คือเดิมๆ ต่อให้ไม่ดี..ก็ยังดีกว่าทำในสิ่งใหม่ที่มันยังไม่แน่นอน...เป็นซะงั้น

ที่เขียนนี่ไม่ได้ไม่เห็นด้วย หรืออะไรนะ 
มันแค่ฉุกคิดว่า..คนเรามีทางเลือก..อาจมีทางเลือกที่ดีกว่า...แต่ไม่เลือกที่จะเลือก
เพราะแค่อาการ “ambiguity aversion”  ประมาณว่า...
“Better the devil you know than the devil you don’t” 
…ไม่หลุดกรอบ...มาดไม่หลุด..สุขุมทึ่มๆไปวันๆ...

แบบนี้ไม่มีจะเปลี่ยน มันต้องเดิมๆ ทุกข์ๆ กลางๆ ต่อไป...
อันนี้มันเท่ากับยึด comfort zone เหนียวแน่นไปหรือเปล่า
…..สุขอย่างลมๆ ถมทุกข์ภายใน...ซ่อนเก็บเอาไว้....
จริงๆแล้วอาการตื่นเต้น สร้างสรรค์ มันอยู่นอกวง comfort zone นะ

มันน่าคิดว่า...โอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าจากตัวเลือกที่ไม่ค่อยชัดเจนอาจจะดีกว่าที่มันชัดๆแต่ไม่โดนก็ได้นะ 

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 118



ธรรมะแบบสบาย... จริงๆแล้วมีธรรมในใจก็สบายแล้วนะ
แต่บางทีก็ยังนิวรณ์..สงสัย ว่ามันยังไงกันแน่
ดังนั้น เอาง่ายๆเลยตามคำสอนพระพุทธองค์เป๊ะ
ท่านบอกว่ามีแค่ 2 อย่างที่เรา "ไม่ควรเอา"ในการปฎิบัติ คือ

อันแรก คือ การปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส หลงไปเรื่อยเปื่อย หลงพวกรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั่นแหละ คือ เห็นรูปสวยงามก็หลงรูปไป เสียงอะไรดีก็หลงไป ดมๆไปน่ากินเกินเหตุก็ลิ้มรสไปซะเยอะ ได้สัมผัสก็เตลิดเปิดเปิง ท่านว่ามันออกนอก ออกนอกตัวเองไป มันคืออารมณ์ทางใจซึ่งเมื่อพึงพอใจก็หลงมันไป ใจหลงใจไปเลย คิดไปหลงไป ปรุงแต่งว่าดีว่างามไปตามกิเลสไปจนสิ้น แบบนี้ไม่ควรทำ

อันที่สอง คือ การทำกายทำใจให้ลำบาก ผิดธรรมดา ผิดธรรมชาติ แปลได้ว่า...การเป็นคนนั้นกายกับใจก็ลำบากฉอหออยู่แล้ว มันทุกข์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ เราดันไปทำให้มันเครียดมากกว่าเก่า ฝืนมันเข้าไป มันผิดธรรมชาตินะ กดร่างกาย กดใจไป มันทรมาน มันไม่สบาย มันไม่โล่ง บังคับกายบังคับใจมากไป ท่านว่าไม่ควรทำ

เอาแค่พื้นฐานเบื้องต้นที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ในปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร...เอาให้ได้บ้าง ก็มีธรรมสบายๆได้แล้วนะ

สาธุ สาธุ สาธุ

คิดวันละอย่าง # 117


ปล่อยได้ก็ปล่อย 
เป็นคนที่มีความเชื่อเสมอมาว่า ถ้าคนเรามีความตั้งใจ ความรัก ความเมตตาแล้ว เราจะสามารถทำทุกสิ่งให้สวยงามได้ มันไม่เกี่ยวกับทำไม่เป็น หรือ ไม่เก่ง อันนั้นเป็นข้ออ้างสำหรับคนที่ไม่รู้จักความรัก ความเมตตาและความตั้งใจ 
ขอนิยามคำว่าสวยงามในที่นี้ คือ มันอาจไม่ได้สวยงามราวกับมืออาชีพทำนะ แต่มันสวยงามเพราะมันสะท้อนให้เห็นได้ถึงความตั้งใจจะให้สวยงาม
ขอยกตัวอย่างเรื่องการถ่ายรูป โดยเฉพาะการถ่ายรูปให้คนอื่น ถ้าเรารัก เมตตาและตั้งใจจะให้ภาพสวยงาม เราทำได้ ที่ทำไม่ได้เพราะไม่ได้เมตตาตั้งใจ แต่แค่ทำให้มันเสร็จๆไป รูปมันจึงออกมาแบบขาดหัวหาง ตัวผิดปกติ วิวที่พิการ คือเข้าใจนะว่าทุกคนเห็นความสวยงามต่างกัน แต่ภาพมันสะท้อนความตั้งใจได้ ถ้าเรามองเห็นความไม่ครบ แต่ไม่สนใจ มองเห็นว่าบวม แต่ไม่ใส่ใจ เห็นตีนขาดก็คิดว่าไม่ใช่รูปกู แบบนี้ถ่ายรูปทั้งชาติก็ไม่มีวันสวยขึ้นมาได้ 
มันต้องรักที่จะเห็นความสวยงามของคนที่ยืนให้เราถ่ายก่อน เห็นไม่ดีไม่งามก็หามุม หาช่องที่มันจะทำให้งามมาได้ มันไม่ได้ยาก ไม่ได้ใช้ทักษะ มันใช้ใจอย่างเดียวเลยนะ เหมือนคนรักการทำอาหาร ยิ่งทำให้คนที่เราชอบพอกินนี่ ทำสุดใจ สรรหาวัตถุดิบดีที่สุด ตั้งใจปรุงสุดสุด ใช้เวลาเต็มที่ คนกินก็จะรู้ถึงความรักที่แฝงมาในแต่ละคำที่กินเข้าไป 
บ่นแบบนี้มันเกี่ยวกับความคาดหวังหรือเปล่าเนี่ย คงเกี่ยวมั่งนะ อยากได้ความตั้งใจของชาวบ้านมั่ง คือ วัยนี้มันวัยไม่ได้ดังใจอ่ะ ลำบากหน่อย ทางแก้ไขก็พอมีอยู่สำหรับตัวเอง เวลาใครถ่ายรูปห่วยๆให้นี่มันจะวื้ดวิ้ด มาก่อนเลย แต่ก็พยายามหาเรื่องอื่นขำๆมาคิดแทนไป พอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ที่ชะงัด คือ รูปธรรมนามธรรมช่างแม่งมันไป เราก็เป็นเรานี่แหละ รูปมันแค่รูป จะโมโหไปทำซากอะไร 
แต่ที่บ่นมานี่...มันหมายรวมเรื่องอื่นๆด้วยนะ เพราะเป็นคนที่ทำอะไรให้ใคร ตั้งใจ จงใจหมด ไม่เคยมีแบบหว่าน แบบให้เสร็จๆไป ไม่ว่าเรื่องอะไร ไม่ว่าดีหรือไม่ดีนี่ ตั้งใจทั้งนั้น ทั้งคอมเม้นในที่ต่างๆด้วย คือ ตั้งใจหมด ไม่ได้ทำส่งๆไปแน่ๆ ถ้าด่า คือ ด่าจริง ถ้าชมก็เรื่องจริง ไม่มีมารยาทนะ 
สรุป...ไม่ได้ดังใจ มองเข้าข้างใน
และหายใจลึกๆ #บอกตัวเอง

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 116


เว้นช่องห่างระหว่างเรา...เผื่อที่ว่างตรงกลางไว้

ช่องว่าง...
ใกล้ชิดเกินไปจะไม่เหลือความเกรงใจ ห่างไกลเกินไปจะไม่สนิท
ช่องว่าง...
เพื่อปรนเปรอตัวเองให้เป็นสุข คนอื่นได้ผ่อนคลาย

ใครสักคนเขียนไว้...
ช่องว่างระหว่างคนในครอบครัว คือ ความเคารพ
ช่องว่างระหว่างคนรัก คือ ความงดงาม
ช่องว่างระหว่างมิตรสหาย คือ การถนอม
ช่องว่างระหว่างเพื่อนร่วมงาน คือ การให้เกียรติ
ช่องว่างระหว่างคนแปลกหน้า คือ มารยาท

มันไม่ใช่เรื่อง ใจ-ใจ หรือ แล้งใจ แต่มันคือ การจัดการพื้นที่ส่วนตัว

อย่าอิง...จนคนอื่นหนักหายใจไม่ออก 
เหลือ “ช่อง” ให้หายใจของใครของมันบ้าง
อย่าห่าง...จนเกิดการเคว้งคว้าง 
เหลือ “ช่อง” ให้พอพลิกตัวได้อย่างยังมีความอบอุ่น

ไม่ว่าจะสัมพันธ์กันแบบไหน...คนในครอบครัว เพื่อน คนรักกัน...
...อย่าใช้คำว่า “รัก” ผูกรัดมัดร้อยเป็นพันธนาการ... 
รัก ไม่ต้อง ล็อค
รัก ไม่ใช่เรื่องผูกขาด 


ภาวะอึดอัด...ไม่สนุกแล้ว !! 

วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 115

หลักการ...หลักกู

ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่..เชื่อว่าทุกคนมีหลักการ มีปรัชญาในการดำรงชีวิต เป็นสิ่งที่คนยึดถือและให้คุณค่า ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมต่างๆนานา  คนถูกขับเคลื่อด้วยกลไกนี้ มันเป็นรากเริ่มต้นของความคิด ค่านิยมและการกระทำ  ซึ่งจะดีหรือไม่ดีนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่มันมีความสำคัญต่อชีวิตแน่นอน 

เพราะว่า...
  1. เป็นมุมมองที่เรากำหนดขึ้นในการใช้ชีวิต เราสามารถเดินตามทางที่เรามุ่งหวัง
  2. เป็นเครื่องช่วยการตรวจสอบความเชื่อที่อาจผิดเพี้ยนไป
  3. เป็นเครื่องชะลอความบุ่มบ่ามตามอำเภอใจ
  4. นอกจากจะทำให้เข้าใจตัวเอง ยังกินแดนไปถึงการเข้าใจคนอื่นด้วย

สำคัญไหมล่ะ?

มีหลักการไม่หลงทาง แต่ถ้าเป็นหลักกูก็ตัวใครตัวมันนะ
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว...หลักการชีวิตที่ง่ายและไม่ซับซ้อนอะไรมีไม่กี่อย่าง 

อย่างแรก...การพึ่งพาตนเอง
ถ้าเราเชื่อในเรื่องการยืนบนลำแข้งตัวเอง การบัง การเบียดเบียนคนอื่นจะน้อยลง การรอคอยจะจบลงได้ อยากไปไหน กินอะไร ทำอะไรจะสบายมาก ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องขอใคร ถือเป็นการลดความคาดหวัง(ที่เคยงก)ลงได้ และหลักการนี้นอกจากดีกับตัวเองแล้ว ยังขยายการเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ด้วย  คือ ชิวเลย

อีกอย่าง คือ หลักของคนดี มีความรู้คุณ ใครทำอะไรให้ ใครให้ทำอะไรก็สำนึก อันนี้ต้องขยายหน่อย เพราะบางทีมีหลงไปคือให้อะไร หรือ ให้ทำอะไรคิดเป็นบุญเป็นคุณ อันนี้ไม่ใช่ มันเป็นหลักกู หลักการ คือ ใครทำอะไรให้นี่แน่นอน เราต้องสำนึกว่ามันคือเมตตาที่มีต่อเรา แต่การให้เราทำอะไรแล้วมีผลตอบแทนและคิดว่าเป็นบุญคุณที่ให้ มันไม่ใช่ อย่างเวลาที่จัดจ้างคนมาทำอะไรให้ เราถือเป็นบุญคุณนะที่เขามาช่วยให้งานเราสำเร็จ เราสำนึกในบุญคุณทุกครั้ง ถึงจะให้ค่าตอบแทน ก็ยังถือเป็นบุญคุณอยู่ดี  เอาง่ายๆ อะไรที่เป็นโอกาส อะไรที่ทำให้เราดีขึ้นทั้งรูปธรรมนามธรรม อะไรที่เป็นความเมตตาที่ให้กัน นั่นถือเป็นบุญคุณ ไม่ว่าจะอยู่ในเงื่อนไขใด เพราะเราคือคนที่ “ได้รับ” มาแล้ว 

ถูก คือ ถูก 
ผิด คือ ผิด 
ดี คือ ดี 
ชั่ว คือ ชั่ว 
อันนี้ก็เป็นหลักที่ต้องยึดไว้ให้แน่น เรื่องแบบนี้มีแค่ขาวกับดำ สีเทาจะใช้ไม่ได้ บางคนอาจบอกว่า อันนี้ไม่ยืดหยุ่น ขอให้ไปยืดหยุ่นเรื่องอื่น เรื่องศีลธรรม จริยธรรม ถ้ายืดหยุ่นนี่ได้มีชิบหายกันบ้าง  คนที่ยืดหยุ่นในเรื่องนี้ มีแต่พวกหลักกูทั้งนั้น ผลประโยชน์ล้วนๆ ไม่ใช่สาธุชนแน่ๆ 


เอาแค่สามหลักการให้มันได้ เราก็สามารถสอบทาน วิพากษ์ตัวเองได้แล้วว่าเป็นคนมีหลักการหรือไม่  เรารู้จักเลือกและตัดสินปัญหาสำคัญๆได้หรือไม่ เราจะเข้าใจโลกทัศน์ของตนเองได้ดีขึ้น ทำให้สามารถเลือกสิ่งที่ถูกต้องและมีคุณค่าต่อชีวิตของเราได้อย่างเหมาะสมกว่านะ  เพราะจะทำอะไรก็อยู่บนพื้นฐานหลักการและการมีเหตุผล ปัญหาชีวิตจะน้อยลง ทุกอย่างเกิดจากเหตุ เข้าใจเหตุหลักการ ก็เป็นคนมีวิจารณญาณได้ มีหลักการเป็นของตนเอง ไม่งมงาย ทำอะไรมีเหตุผล ไม่ขัดแย้งตนเอง ไม่ยอมให้สิ่งที่ไม่ใช่หลักการเข้ามาเป็นอุปสรรคในการคิด เป็นอารยชนเป็นคนมีวัฒนธรรมได้กับเขามั่ง