วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประสบการณ์ของ Benjamin Franklin


เอาดินพอกหางหมูออก...จากประสบการณ์ของ Benjamin Franklin:

เรื่องที่ 1: Start a group and share knowledge

ตอนอายุ 21 ปี Benjamin Franklin กำลังลุยธุรกิจหนังสือพิมพ์ เพื่อเพิ่มเครือข่ายและเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับธุรกิจ Benjamin Franklin ได้ตั้งกลุ่ม Junto group เป็นเครือข่ายพ่อค้านักธุรกิจที่ต้องการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน กลุ่มนี้มีหนังสือดีดีกันอยู่เยอะแยะ จึงเริ่มสร้างห้องสมุดขึ้นโดยยืมหนังสือมาจากสมาชิกในกลุ่ม การสร้างเครือข่ายแบบนี้ทำให้ Benjamin Franklin ได้รับการยอมรับและเคารพแม้ว่ายังอายุน้อย 

บทเรียน: หากลุ่ม like-minded people กลุ่มคอเดียวกัน ทำการแลกเปลี่ยนแนวคิด การสร้างกลุ่มสร้างสรรค์จะช่วยทำให้เกิดความกระตือรือล้นมากขึ้น ดินที่พอกจะค่อยๆหลุดออกไป 

เรื่องที่ 2: Attack opportunities

เพื่อความสำเร็จ Benjamin Franklin ให้โดดใส่ทันที เราคงเห็นด้วย แต่ครั้นเมื่อโอกาสมาเคาะประตู เราดันหันไปมองทางอื่น ไม่ใช่ว่าเราเพิกเฉยหรือละเลย แต่เพราะว่าโอกาสมันไม่ได้แต่งตัวมาตามที่เราคาดหวังไว้ เรามักคิดว่ามันต้องเป็นไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำชัดๆ แต่โอกาสก็ยังมาในรูปของ package อันเล็กๆที่มักหลุดจากสายตา

คนหนุ่มสาวมองเห็นโอกาสมากกว่าคนแก่ เพราะพวกนี้ยังชอบเรื่องท้าทายของชีวิต ซึ่งตรงกับที่ Benjamin Franklin เคยเขียนไว้ 

“Some people die at 25 and aren't buried until 75.”

บทเรียน: หลีกเลี่ยงการอยู่นิ่งให้ดินพอกหาง โดดเข้าใส่ทุกโอกาสที่เห็น แม้ว่าบางครั้งมันดูไม่ค่อยสวย ออกไปพบเจอคนใหม่ๆ สร้างความสัมพันธ์ เพื่อเปิดให้โอกาสวิ่งมาหาเรา 

เรื่องที่ 3: Time is a commodity in short supply

Benjamin Franklin เขียนว่า “Lost time is never found again.” เวลาที่หายไปไม่มีวันพบได้อีก ที่เขียนไว้คงไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องจะต้องมานั่งเสียใจ แต่เป็นเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจ เรื่องที่เราต้อง call to action!!

Benjamin Franklin จึงใช้ชีวิตด้วยการทำงาน สร้างสรรค์สิ่งดีดีบนพื้นฐานของแนวคิดว่าเวลาเป็นทรัพยากรที่จำกัด 

“You may delay, but time will not, and lost time is never found again.”

บทเรียน: พวกดินพอกหางทั้งหลาย..ควรมองให้ได้แบบนี้ แต่ละวันที่ผ่านไปมันต้องเหมือนการอยู่ในห้องทดลองที่เราทำงาน ที่เราค้นพบสิ่งใหม่ ที่เราสร้างสรรค์สิ่งดีงาม ไม่ใช่อยู่ในคุก หรือ ในห้องขังที่เรานั่งรอโชคว่ามันต้องมีวันจะแหกออกมาได้

เรื่องที่ 4: Make a list

Benjamin Franklin ชื่นชอบการเขียน pro-and-con list ทุกครั้งที่จะต้องมีการตัดสินใจในเรื่องยากๆ เขาจะแบ่งกระดาษเป็นสองฟาก ฟากหนึ่งเป็น “pro” และอีกฝั่งเป็น “con” แล้วเขียนสิ่งที่ดีที่สุดและะแย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้ามีการตัดสินใจเกิดขึ้น เมื่อเสร็จแล้ว..ขีดข้อดีข้อเสียที่มันค้านกันทิ้งไป ที่เหลือก็มาดูว่าด้านไหนมากกว่า...ด้านนั้นก็ชนะไป 

บทเรียน: การทำรายการแบบนี้เหมาะสำหรับพวกดินพองหางเพราะยังไม่ต้องลงมือทำ ก็นั่งเขียนไปบ่อยๆ ดูว่าอันไหนที่จะก่อให้เกิด productivity และการเผชิญกับข้อเสียนั้นสามารถเป็นแรงฮึด ในขณะที่ข้อดีก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจ

เรื่องที่ 5: Fail often; fail hard-;but don’t expect to

Benjamin Franklin เป็นนักประดิษฐ์ที่สามารถคนหนึ่ง ถ้าดูจากสมุดที่ได้ร่าง ได้เขียนความคิดต่างๆ จะเห็นว่ามีหลายแนวคิดที่ไกลความจริง เกินจะเป็นไปได้และล้มเหลว เส้นที่ลากๆไว้บางอันก็ลางเลือน ไม่เฉียบคมซึ่งเขาก็ยังรู้สึกดีกับมัน 

Benjamin Franklin กล่าวว่า
“Do not fear mistakes. You will know failure. Continue to reach out.”

พวกดินพอกหางหมูมืออาชีพจะกล้วความล้มเหลว เพราะคาดหวังว่างานแรก ความพยายามครั้งแรกมันต้อง perfect ตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่อยากใช้ความพยายยามมาก แต่พวกดินพอกหางหมูแบบมือสมัครเล่นนี่...พร้อมจะล้มเหลวทันที ทำให้นึกถึงที่ Benjamin Franklin ว่าไว้ คือ 

“By failing to prepare, you are preparing to fail.”


บทเรียน: อย่าคาดหวังความสมบรูณ์แบบ แต่ก็อย่ากระโดดเข้าใส่ความล้มเหลวแต่แรก

ปีใหม่..ลองของใหม่


ถึงเวลาแล้วหรือยัง...ที่ต้องเปลี่ยนกันบ้าง..จะปีใหม่ (อีก) แล้ว 


  1. อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน  พึ่งตัวเองไป อย่ารักสบายจนต้อง “ขอ” ทั้งปีทั้งชาติ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ลองทำดูก่อน ไม่ทำ..ไม่พัฒนา  
  2. ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ มีแต่เป็นไปได้..แต่ไม่ทำ บางทีการที่เราไม่กล้าเสี่ยง..มันก็พลาดการเรียนรู้ที่สำคัญในชีวิตนะ 
  3. มองไปข้างหน้า.. ปีที่แล้วเป็นเรื่องปีที่แล้ว อะไรที่พลาดมันก็พลาดไปแล้ว ช่วยไม่ได้ ตราบใดยังมีลมหายใจ...ถือว่าโชคดีที่สุด ให้กำลังใจตัวเองแล้ว...เดินต่อไปอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนกว่าเดิม..ชีวิตสดใส
  4. อย่าเสียชาติเกิด...พวกเราเกิดมาในยุคที่ยังมีศาสนา มีธรรม มีคำสอน มีพระอริยเจ้าให้ระลึกถึงความดี ความชั่วในตัวเรา ถือว่าสุดยอดแห่งชีวิตในชาตินี้...เลวไม่ได้เลยนะ มีโอกาสใดในช่วงชีวิตต่อไปนี้ ทำดีได้..ต้องให้ไว 
  5. เมตตากันบ้าง เห็นใจคนอื่นให้มากขึ้น คิดถึงตัวเองให้น้อยลง รอบๆตัวมันเบียดเบียนกันพอแล้ว อย่าให้เราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองไม่น่าอยู่  คิดเผื่อใจให้ผู้คนรอบข้างบ้าง อย่าเอาแต่ตัวเองได้ และพอใจที่คนอื่นเสีย  เรื่องง่ายๆที่ควรเปลี่ยน เช่น ต่อของชาวบ้าน พวกเราไม่ได้ยากจนข้นแค้นขนาดนั้น ให้ได้ก็ให้ไป คนทำมาหากินย่อมต้องการกำลังใจ ประเทศไทยจะได้เจริญ ได้โปรดอย่าเบียดเบียน
  6. สร้างความใหม่ให้ตัวเอง มองที่มันทำได้จริง อย่าเสียเวลากับอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ ทำเพิ่มในสิ่งที่ทำได้ดี หรือทำที่ทำได้ให้มันดีกว่าเดิม
  7. นอกจากทำหน้าที่ในวิชาชีพด้วยสำนึกในความถูกผิดชั่วดีแล้ว ช่วยทำหน้าที่พลเมืองดี รักชาติ รักในหลวง เป็นห่วงบ้านเมืองกันด้วย  อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานมากกว่าคำสอนมากมายนัก เกิดมาบนแผ่นดินไทย ใช้แผ่นดินทำมาหากินจนทุกวันนี้ ไม่คิดถึงบุญคุณแผ่นดินที่เหยียบย่างอยู่ทุกวัน...มันอกตัญญูไปไหม 
  8. พอเพียงเป็นสุขทุกกาลทุกสถาน อยากได้ใคร่มีอะไรก็พอประมาณ สุดท้าย คือ มองแค่ขันธ์ 5 มันมีแค่นี้ 
  9. รักตัว รักใจ ทำให้มันสะอาด ใช้มันมานานแล้ว ยกเครื่องเสียที อันนี้ต้องหาทางกันเองให้ถูกจริตใครจริตมัน 
เปลี่ยนบ้างคงดี...จะได้แข็งแรง ^_^

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย


การจุดไฟวาระเร่งด่วน: เป็นการสร้างการรับรู้ว่าต้องเปลี่ยน create a sense of urgency แต่ยังไม่สามารถรับประกันถึงความสำเร็จนะ มันเป็นแค่เหตุแค่ผลที่ให้คนรับรู้ว่าต้องเปลี่ยน  คนไทยอาจพอรู้แต่ไม่ได้เข้าใจ  อยู่ในหัวแต่ไม่ได้เข้าถึงใจ  การบอกต่อความจริงที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอย่างต่อเนื่อง การชุมนุมของกองทัพประชาชนล้มล้างระบอบทักษิณที่สวนลุม กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทยที่อุรุพงษ์ และการชุมนุมรวมตัวกันที่สถานีรถไฟสามเสน เป็นการจุดไฟแห่งการเปลี่ยนแปลงขึ้น โดย   
  • มีการระบุถึงอุปสรรคใหญ่ คือ ระบอบทักษิณที่ทำลายความเป็นธรรมของประเทศและการโกงกิน การปราศรัยสร้าง scenario ที่จะแสดงให้เห็นถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนไทย ลูกหลานไทยบ้างในอนาคต เราจะชิบหายอย่างไร และในขณะเดียวกันก็เท่ากับเป็นการสำรวจตรวจตราดูโอกาสที่เป็นต่อ ลองจุ่มดูว่าน้ำอุ่นหรือเย็นกันเลยทีเดียว
  • มีการเปิดโอกาส สร้างเวทีให้คนเสวนา วิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียงกันอย่างมีสีสรรและสร้างสรรค์ ไม่เผาบ้านเผาเมือง ใช้ความสงบ สันติ อหิงสา
  • พร้อมกันนั้นก็หากองหนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชนและภาครัฐเอง มาสนับสนุน ตอกย้ำวาระเร่งด่วนให้ทั่ว
ที่ต้องทำแบบนี้เพราะคนในประเทศไทยนี้ มีทั้งพวก everything is fine ไร้กังวล ซึ่งอาจพลาดพลั้งไม่สามารถตอบสนองต่อสัญญาณ ทำให้พลาดมานักต่อนัก  และยังมีพวกหลับหูหลับตาทำงาน work hard for the money ไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้น   แต่สำคัญในขั้นตอนนี้ คือ จะสร้าง spark ได้หรือไม่  ซึ่งกำนันสุเทพ spark ได้ทุก shot   ชวนคนเดินจากสถานีรถไปสามเสน ไม่บอกว่าจะไปไหน แต่ในที่สุดก็จอดที่ราชดำเนิน มัน spark เห็นๆ spark ชัดเจน คนทั้งหลายเข็มขัดสั้นไปเลย คือ คาดไม่ถึง อันนี้เป็นจุดเริ่มที่ให้คนกลายเป็นกลุ่มคนที่ชัดเจนขึ้น มีพฤติกรรมรวมตัวแบบเร่งด่วนมากขึ้น ทำให้เกิด gut-level determination ที่จะเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะกลุ่มกำนันสุเทพ  กลุ่มพล.อ.ปรีชา กลุ่มคุณนิติธร คุณอุทัย และแกนนำทุกกลุ่ม มุ่งที่ใจ เชื่อมค่านิยมดีๆ สำนึกใฝ่ดีที่อยู่ลึกๆในใจคนไทยทุกคน สร้างความหวังให้คน ลากเอาจิตสำนึกและประสบการณ์ออกมาตีแผ่ สร้าง message ที่ชัด ง่ายที่ inspire คน  ได้ชะงัด ไปดูเอาเองได้ในเฟสบุค มีเยอะแยะ จึงสามารถทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาลุยพร้อมกันแบบใจเกินร้อย

การรวมพล “คนที่ใช่”: การรวมกลุ่มเครือข่ายที่มี power ทั้งกลุ่ม position power ผู้เล่นตัวสำคัญที่เป็นหมากตัวแรกอย่างคุณชวน คุณอภิสิทธิ์ คุณกรณ์และคนในพรรคประชาธิปัตย์ทีี่ออกเดินสายทั่วประเทศ  พวก expertise เช่น กลุ่มนักวิชาการ คณาจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจารย์แก้วสรร ดร.เสรี ดร.เจิมศักดิ์ เป็นต้นซึ่งเป็นผู้ชำนาญการ เป็นคนเก่งที่ฉลาดในการใช้ปัญญาและข้อมูล ให้พาเหรดทะยอยกันออกมา  คนที่มี credibility อย่างเช่น หลวงปู่พุทธอิสระ ที่ได้รับการยอมรับ เพราะท่านประกาศอะไรออกไปคนจะเชื่อและจริงจังด้วย ผู้เสียหายอย่างคุณนิชาภรรยาพลเอกร่มเกล้าที่เสียชีวิตปกป้องความสงบของชาติ ยังมีดาราทั้งหลายอย่างคุณสินจัย แต่ที่สำคัญ คือ กลุ่มพวกนักศึกษาที่เป็นพลังบริสุทธิ์  รวมถึงกลุ่มที่มี leadership มีภาวะผู้นำที่เด่นชัด คนที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนที่ “สามารถ” เช่น คุณสุริยะไส เป็นต้น  การรวมพล"คนที่ใช่"สำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเห็นว่าแกนนำทำโดย
  • สร้างวิสัยทัศน์ที่ใช่  นั่นคือ ประเทศไทยต้องมีความเป็นนิติรัฐ นิติธรรม
  • ใช้การสื่อสารกว่้างไกลทุกรูปแบบครอบคลุมกลุ่มคนจำนวนมาก เรียกได้ว่ากระหน่ำทั้งข่าวสาร สัญลักษณ์ คำคมบาดใจในทุกสื่อ (ยกเว้นฟรีทีวีและสื่อขี้ข้า) 
  • กำจัดจุดอ่อนหลัก คือ ตัวกำนันสุเทพเองยังเป็น สส.ประชาธิปัตย์ มันเป็นข้อกังขาที่ไม่อาจให้เกิดขึ้นได้ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กำนันและสส.ประชาธิปัตยหลายคนจึงลาออกจากการเป็น สส. ออกมาต่อสู้กับปะชาชนอย่างสามารถติดคุกอย่างเท่าเทียมกัน
  • ฝังวิธีการใหม่ๆการคิดใหม่ๆเข้าไปในการปราศัยทุกครั้ง คือ กะให้ซึมเข้าเลือดกันไปเลย
การสร้างวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลงที่คนสามารถเข้าใจได้ภายในเวลาอันสั้น : ชีวิตนี้มันต้องชัดว่าอนาคตประเทศไทยจะแตกต่างจากอดีตอย่างไร  แค่ชื่อของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษตริย์เป็นประมุข (กปปส.)ก็อธิบายเสร็จสรรพว่าทำไปเพื่ออะไร พูดอธิบายไปเดี๋ยวจะยาว แต่ฟังที่กำนันแถลงไป จะเห็นว่าได้กำจัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้คนเข้าใจง่ายว่าจะไปไหน จะทำอะไรและคนต้องทำตัวอย่างไรบ้าง อันนี้จบข่าวเลย  ที่ทำได้เพราะมีการประสานลึกล้ำกับเครือข่ายที่หลากหลายตกลงกันได้เสร็จเรีบยร้อยแล้ว และกลุ่มแกนนำไม่เคยทิ้ง “การจูงใจ” คนอย่างซ้ำๆแบบต่อเนื่อง เพราะวิสัยทัศน์เป็นการสื่อสารที่เป็น real guidance คือ ครบเครื่อง ทั้ง...
  • Imaginable: ให้ภาพชัด คนสามารถจินตนาการตามได้
  • Desirable: ให้ประโยชน์มากพอต่อความต้องการของคนไทยที่รักชาติ รักความเป็นธรรม 
  • Feasible: เป็นจริง..คว้าได้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า
  • Focused: ชัดพอที่จะใช้ช่วยในการตัดสินใจ...ออกมา ออกมา ออกมา
  • Flexible: คนสามารถปฎิบัติได้ถึงแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออุปสรรค
  • Communicable: เห็นแล้วเข้าใจ สื่อสารต่อได้ทันที
การสื่อสารให้เกิด buy-in : กลุ่มแกนนำใช้ hour-by-hour activities แบบ anywhere และ anytime ทำมัน 24 ชั่วโมงทุกที่  คนขึ้นปราศัย theme เดียวกัน ต่างเรื่องเท่านั้น ถนนทุกสายมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ทำ พูดในทุกโอกาสที่มีในทุกวัน ในทุกครั้งที่มีปัญหา  มันเป็นเรื่องการต่ออายุให้วิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลงยืนยาว ทำให้มันสดใหม่หอมหวลอยู่เสมอ  ซึ่งคนไทยจะจำและตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น  แต่ที่สำคัญที่สุด คือ กำนันสุเทพเป็น a living example ที่ “walk the talk”  ที่ถือเป็นการส่งสาร สื่อสารที่ดีที่สุด ที่ได้ผลมากที่สุด  เพราะ ไม่มีการสื่อสารชนิดใดที่ชัดและได้ผลมากเท่ากับการแสดงออกของตัวผู้นำเอง ไม่มีคำกล่าวใดที่แรงและกินใจได้เท่ากับพฤติกรรม !! มันเป็นสุดยอดของ message เป็นการจูงใจ แรงบันดาลใจ โดนใจ และสำคัญยิ่ง คือ เกิดความมั่นใจ ให้ผู้คนเคลื่อนตามอย่างไม่อิดออด และยังฮึกเหิมอีกด้วย

การกระจายอำนาจอย่างแนบเนียน: เมื่อเห็นคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ที่ยืนกันพรึ่บเต็มเวทีแล้วให้รู้สึกหนาวแทนรัฐบาล  ทุกเครือข่ายได้รับการกระจายอำนาจกันไปเต็มๆ ทั้งรัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา พันธมิตร คปท กองทัพธรรม กองทัพประชาชน  มันเป็นความร่วมมือที่สวยงามและ empower กลุ่มคนอย่างเซียน คือมันเป็นการก้าวข้าม structural barrier และพวก troublesome แบบไม่เห็นหัวเห็นหาง 

การสร้าง short-term wins: อันนี้สร้างมาอย่างต่อเนื่องเป็นคลื่นกระทบฝั่งรัฐบาลเลย ทั้งเดินขบวน ทั้งยึดสถานที่ราชการที่สำคัญๆและที่เป็นสัญญลักษณ์ของการต่อสู้ ที่คนคาดไม่ถึงคือกระทรวงการคลัง มันเป็นสัญญาณว่าการโกงกินต้องสิ้นสุด ที่ต้องมีชัยชนะเล็กๆน้อยๆก่อนเพราะเราขี้เกียจรอ คนไทยม่อดทนพอที่จะรอความสำเร็จใหญ่แต่ยาวนาน  แกนนำรู้ดีว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวทำไม่ได้ในสถานะการณ์นี้  การเปลี่ยนแปลงที่คิดแต่ในระะยาวมีแต่แพ้และเสี่ยง  ความสำเร็จระยะสั้น คือ การประกันความสำเร็จของกระบวนการเปลี่ยนแปลง มันเป็นขวัญกำลังใจ การได้พวกเพิ่มและเป็นการยืนยันความเป็นไปได้ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่มแกนนำ  อย่าลืมว่า ไม่มีอะไรที่จูงใจคนได้เท่ากับความสำเร็จ ที่ผ่านมาล้วนแต่สำเร็จโดยปราศจากการใช้กำลัง ไม่เสียเลือดเนื้อ เป็นอารยะขัดขืนมี่นับได้ว่าสวยงามที่สุดในโลก (ถ้ารัฐบาลและตำรวจไทยจะไม่ทำพังซะก่อนนะ) 

การ “กัดแล้วต้องไม่ปล่อย” : ประชาชนได้ใจมากงานนี้ เรากัดแล้ว งับให้ถึงที่สุด การกัดไม่ปล่อย คือ การหาแนวร่วมให้มากขึ้น การเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่อง การเสียสละตัวตน ตำแหน่ง ทรัพย์ เวลา และทำให้เกิดการลดช่องว่างในกลุ่มคน ตอนนี้ไม่มีเหลือง ไม่มีสีสันพันธุ์ไหนๆแล้ว ไม่มีชนชั้นอาชีพกันแล้ว นี่ คือ การกัดไม่ปล่อยที่สามารถรักษา sense of urgency ไว้ได้เหนียวแน่น  ปราศจากความรู้สึกเร่งด่วน มันจะแผ่ว ที่สำคัญแกนนำมีวิธีการใหม่ๆมาทำให้คนประหลาดใจได้เสมอ 

A long road 
การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยนั้นทางยังอีกยาวไกล  การเปลี่ยนแปลงที่แท้นั้นมันลึกล้ำ มันเป็นการเดินทางไกลของทุกคน เพื่อพบกับความสำเร็จใหม่ อนาคตใหม่ของประเทศ  พวก quick wins เป็นเพียงจุดเริ่มที่ต้องทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว  ความสำเร็จแต่ละครั้งเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างสิ่งที่ถูกที่ใช่สำหรับประเทศไทย 

ดังนั้น หลังจากความสำเร็จระยะสั้น ต้องมานั่งวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ต้องทำ ตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างความสมดุลในการเปลี่ยนแปลง  ทำให้ต่อเนื่องและทำการเปลี่ยนแปลงมันต้องสดใส ต้องใหม่ทั้งคน วิธีการและกระบวนงาน 

Make It Stick

ต้องช่วยกันปลูกฝังค่านิยมใหม่ที่ดีให้ลูกหลานไทยเพื่อความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลง

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

A Winning Company Culture



Ben Kirshner - CEO ของ Elite SEM ที่ได้รับ award-winning digital marketing agency และได้อีกหลายรางวัลที่แสดงถึงการเป็น the best place to work ได้ให้คำแนะนำใน Forbes เกี่ยวกับองค์ประกอบในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเลิศของ Elite SEM ที่เขาว่าเราอาจจะนำไปประยุกต์ใช้ได้ ดังนี้

Put core values first

Ben Kirshner เชื่อว่าค่านิยมหลักดีๆนั้นเป็นการจัดวางกรอบการทำงานที่สามารถก่อให้เกิดความสำเร็จแก่ธุรกิจ มันเริ่มตั้งแต่การจ้างงานซึ่งการจ้างเพราะเข้ากับวัฒนธรรม ค่านิยมองค์กรนั้น สำคัญพอๆกับการจ้างเพราะมีทักษะเกี่ยวกับการจัดการและทักษะการตลาดออนไลน์ เขามีความเห็นว่าคนต้องมีความสุขและได้รับผลตอบแทนที่ดี เราอาจจ้างคนเก่งได้มาก แต่การรักษาคนเก่งนั้นจะส่งผลถึงความสำเร็จ ความพึงพอใจของลูกค้า

Empower your employees to manage their schedules

ที่ Elite SEM นั้น CEO ให้ความสำคัญต่อการที่ทำให้พนักงานมีความสุขมากกว่าที่อื่น เช่น เวลาพักร้อน เวลาส่วนตัวและการลาป่วยแบบไม่จำกัด อยากไปอินเดีย อยากไปดูคอนเสิร์ต ไปเลย...ตราบใดงานที่รับผิดชอบไม่เสียหายและได้ตามเป้าหมาย มีคนรับผิดชอบงานแทน ไปนานเท่าไหร่ก็ไป นโยบายนี้เริ่มได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน Ben Kirshner ถือว่ามันสร้างขวัญกำลังใจและทำให้งานมีประสิทธิภาพ

Give them free lunches

เช่นเดียวกับคนที่ทำงานในสำนักงานของ Google และ Twitter ใครที่ไม่ได้ไปพักร้อน ไม่ได้ลา มีอาหารกลางวันฟรี น้ำชากาแฟฟรี ของว่างฟรี คนทำงานมีความสุขมากและยังมีความสัมพันธ์กันดีขึ้นด้วย นี่ยังเป็นการทำให้มีเวลามากขึ้นในการทำงาน เพราะไม่ต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอก

Don’t hire employees — look for owners

ทุกคนใน Elite SEM เป็นเจ้าของบริษัทเพราะทุกคนถือหุ้น มีส่วนในผลกำไรของบริษัท ส่วนเรื่องโบนัสจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่ต้องทำได้สอดคล้องกับเป้าหมายของลูกค้า

ความใจถึงพึ่งได้แบบนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าลูกน้องจะทำงานให้สุดลิ่มทิ่มประตู และไม่ต้องสงสัยว่าได้รับรางวัลบริษัทที่มีวัฒนธรรมดีเด่นมาตลอด

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ชื่นชมแต่ตา กายใจไม่ขยับ


เรื่องนี้สำหรับท่านผู้ชื่นชมธรรม...แต่ไม่ค่อยได้ปฎิบัติธรรม ได้ยินมาจากพระอาจารย์เมื่อวาน.. จี๊ดเข้าไปถึงทรวงเลย... เรื่องมีอยู่ว่า....

สาวกของพระพุทธเจ้าท่านหนึ่งมีนามว่าพระวักกลิ มีความเลื่อมใสในพระรูปพระโฉมของพระองค์ ไม่อิ่ม ไม่เบื่อหน่ายในการดู อยากจะดูทุกเมื่อ เฝ้าติดตามดูพระรูปโฉมของพระบรมศาสดาอยู่ตลอดเวลา   แทนที่จะท่องสาธยายธรรมและบำเพ็ญเพียรในกรรมฐาน พระองค์ก็มิได้ตรัสว่าอะไร ท่านก็เที่ยวตามชมเชยอยู่เช่นนั้น ครั้นต่อมาพระบรมศาสดาตรัสสอนว่า 

ดูก่อนวักกลิ เธอต้องการดูกายที่เปื่อยเน่านี้เพื่อประโยชน์อะไร 
ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่า เห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม 

แม้พระองค์ทรงตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระวักกลิก็ยังไม่ลดละ พระบรมศาสดาจึงทรงดำริว่า ภิกษุนี้ ถ้าไม่ได้ความสลดใจเสียบ้างแล้ว ก็จะไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร ครั้นทรงดำริในพระทัยอย่างนี้แล้ว เมื่อจวนจะถึงวันเข้าพรรษา พระองค์จึงเสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์มหานครในวันเข้าพรรษาพระองค์จึงมีพระพุทธฎีกา ประณามขับไล่พระวักกลิเสียจากสำนักของพระองค์ว่า “อเปหิ วกฺกลิ”  ดูก่อนวักกลิภิกษุ เธอจงหลีกไปให้พ้นจากสำนักของเราเถิด

พระวักกลิเกิดความน้อยใจว่า พระบรมศาสดาจะไม่ทักทายปราศรัยกะเราอีกแล้ว เราก็ไม่อาจจะอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ตลอดไตรมาส มีความเสียใจที่จะไม่ได้เห็นพระองค์ จึงหลีกออกจากพุทธสำนัก แล้วคิดว่าเรามีชีวิตอยู่จะมีประโยชน์อะไร เราจะกระโดดภูเขาตายเสีย ครั้นคิดอย่างนั้นแล้ว จึงขึ้นไปสู่ยอดเขาคิชกูฎ 

พระบรมศาสดาทรงทราบซึ่งความลำบากของท่าน จึงแสดงพระองค์ให้ปรากฏในที่เฉพาะหน้า และตรัสสอนด้วยธรรมีกถามีประการต่าง ๆ ท่านเกิดปีติและปราโมทย์อย่างแรงกล้า มาเฝ้าพระบรมศาสดาโดยทางอากาศ นึกถึงพระโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสอน ข่มปีติบนอากาศเสียได้แล้ว ได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ลงมาถวายบังคมพระบรมศาสดาที่เฉพาะพระพักตร์

พวกเราชื่นชมธรรม เฝ้าตามพระอาจารย์ ฟังธรรมไม่รู้จักกี่หน  แต่ปฎิบัติกันจริงๆน้อยนิดเหลือเกิน การปฎิบัติภาวนานั้นไม่ต้องห่วงความสวยงาม ท่านว่าไม่ต้องห่วงว่าท่าจะไม่สวย  เวลาจะจมน้ำให้ตะกุยทั้งมือเท้า เอาให้รอดเสียก่อน  พวกเราจะห่วงสวย ต้องนิ่ง ต้องสงบ ต่้องนุ่งขาวห่มขาว ต้องหลับตาทำสมาธิ เดินจงกรมท่าสวย  ให้ดูหมาไว้ เวลาโยนมันลงน้ำมันยังตะกุยจนถึงฝั่งจนรอด ไม่ห่วงท่าสวย หมาไม่จมน้ำตาย ดังนั้นจงเอาให้รอดเสียก่อน  

ปฎิบัติที่ไหน เมื่อไหร่ อยู่กับใครก็ได้... ทำได้ทุกที่ ทุกวี่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกขณะจิต...แค่อย่าส่งใจออกนอก อยู่กับปัจจุบัน...ฝึกไป  ทำจนเป็นธรรมชาติ  เหมือนเด็กตั้งใข่ ล้มแล้วต้องลุก ล้มอีกลุกขึ้นอีก ใช้ความเพียรให้เต็มที่ อยู่กับร่างกายก้อนนี้ให้เต็มที่  สักวันจะลุกเดินเหินได้อย่างสบายเอง  แต่ต้องทำ นึกได้ต้องทำ ให้มีใจจดจ่ออยู่กับ "ขณะนี้"  อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตไม่เกี่ยว ไม่ต้องคิด เอาแค่รู้ ไม่ต้องวิเคราะห์...โง่ๆไปเลย แค่รู้ตัว รู้สึกแล้วหยุดแค่นั้นในทุกอย่างที่ทำในชีวิตประจำวัน 

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ


วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เวลา คือ ชีวิต



เวลาของแต่ละคนเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป ตัวเองหรือคนอื่นก็ไม่สามารถใช้อีกได้  เวลาจึงเป็น  Private Goods ของใครของมัน...ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละคน และเวลาไม่เคยมีค่า ถ้ามันยังไม่ผ่านเลยไป  หลายคนคงเคยเห็นคำกล่าวต่อไปนี้...

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าแค่ไหน ให้ไปถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ใหัไปถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ให้ไปถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าขนาดไหน ให้ไปถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทางหรือ เครื่องบิน
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าขนาดไหน ให้ไปถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา เสี้ยวหนึ่งของวินาทีมีค่าขนาดไหน ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ได้เหรียญเงิน
และถ้าอยากรู้ว่ามิตรภาพนั้นมีค่าขนาดไหน ให้ลองเสียเพื่อนสักคนหนึ่ง

เรื่องในชุดนิทานสีขาวของดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยาที่เกี่ยวกับเรื่องเวลาเรื่องนี้ จะสะท้อนให้เราเห็นว่า...เวลา แม้หนึ่งนาทีมันทรงอานุภาพแค่ไหน  เรื่องมีอยู่ว่า... ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่กระตือรือล้น ทำอะไรชักช้า และขี้เกียจ  ทุกเช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่างแทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นล่ะ เจี๊ยบถึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที
     
"คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้หนึ่งนาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นแล้วแกจะรู้สึก"

การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน ถูกทำโทษให้วิ่งรอบสนามทุกัน แต่เจี๊ยบก็ไม่ได้จดจำเลยแม้แต่น้อย และยังกล้าต่อรองเวลาแม้แต่กับครู   "ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วเจี๊ยบ" ครูร้องเตือนเมื่อเห็นเจี๊ยบยังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในสนามหญ้า ทั้ง ๆ ที่ออดเรียกเข้าชั้นเรียนดังไปพักหนึ่งแล้ว  "ขออีก 1 นาทีครับครู" เจี๊ยบบอกโดยไม่ทุกข์ร้อน
     
วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย แต่พอรุ่งเช้า เจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที  ขออีก 1 นาที" ตลอด ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยาก   สักพักเจี๊ยบก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า "แม่ล่ะครับพ่อ"     "แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก  "อ้าว ทำไมไม่รอผม" เจี๊ยบร้องขึ้นเพราะอยากไปบ้านสวนของยายมาก
     
"แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอก็ทำให้แม่ตกรถได้ นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปสายรถประจำ แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่   "แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอก
     
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของพ่อซีดขาวราวกับกระดาษ  "รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้ง
     
ทันทีที่สองพ่อลูกไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป
     
"แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น   "แม่ แม่ ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่ต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่"   พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมาก"
     
คำพูดนั้นทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีก   "เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า ผมรักแม่ ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา แต่ไม่มีใครฟัง พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัด และหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า.....แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่าตัด
     
เจี๊ยบมารู้ภายหลังว่า รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ อยากได้เงินมากมากจนไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุ
     
พ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตัวเอง ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงไร เพราะ 1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่  ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริง ๆ เขากลับไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่  ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ำไป...ไม่มีเลย

ใครๆก็รู้นะว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า  แต่อันที่จริง เวลาอาจจะไม่ใช่ปัญหา เพราะแต่ละคนต่างเป็นเจ้าของเวลาของตนและก็มีอย่างเท่าเทียมกันคนละ 24 ชั่วโมง  แต่สิ่งที่เป็นปัญหาเมื่อคนมาอยู่รวมกัน คือ  เวลาในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน  เวลาที่ต้องทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดร่วมกัน  อย่ามัวนึกถึงแต่เวลาของตัวเอง เวลาของคนอื่นก็มีค่าเช่นกัน  และแค่หนึ่งนาทีของคนอื่นอาจจะถึงเป็นถึงตายได้   

อย่างไรก็ตาม...เวลาไม่ได้กำหนดชะตาชีวิตเราเสมอไป  เราสามารถกำหนดเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตว่าในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตเราจะทำอะไรบ้าง ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ต้องใช้เวลาอย่างไร อย่าให้เวลาบริหารเรา  เราต้องบริหารเวลา...โดยเฉพาะเมื่อใช้เวลาร่วมกับคนอื่น  และอย่าคิดว่าเวลามีเหลือเฟือ บางทีเวลาที่เราคิดว่าเรามีมากเพียงพอนั้น จะหดหายไปดื้อๆภายในพริบตา    ชีวิตนี้ต้องสร้างเวลาของเราให้มีค่ามากที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นวินาที ชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน หรือปี




ช่วยกันเปิดไฟเขียวให้ประเทศไทย


เรื่องการบ้านการเมืองมันมีผลกระทบต่อทุกชีวิต เราอาจจะไม่รู้สึกเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่สำหรับข้าพเจ้ามันใกล้มาก มันวนเวียนอยู่ในหัวคิด หัวจิต หัวใจทุกครั้งที่เห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดในสังคมในบ้านเมืองของเราที่มาจากนโยบาย จากการกระทำของรัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ   ความเลวทรามต่ำช้าของทักษิณและพวกพ้องนั้นไม่ต้องสาธยายเพราะมีคนบันทึกเอาไว้มาก  คิดว่าคงจะมากที่สุดเท่าที่ช่วงชีวิตของข้าพเจ้าเคยได้รับฟังความชั่วของคนในแวดวงการเมือง เผลอๆชั่วแบบทักษิณนี้จะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยซ้ำ  เพราะมันทำลายทุกอย่างที่เป็นความดีงามของประเทศ ของคนไทย    ความดีงามนั้นถ้าถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ มันก็นรกชัดชัดดีดีนี่เอง หรือเราอยากตกนรกทั้งเป็นกันทั้งประเทศ 

กราบละ..อย่าเป็นไทยเฉย: ถ้าถามว่ายังมีกิน มีใช้ มีเที่ยว หลับนอนสบายไหม  มันสบายยิ่งกว่าสบาย  จะไม่รู้สึกอะไรก็ได้  แต่ทำไมต้องรู้สึก  ข้าพเจ้าว่าไอ้จิตสำนึกแบบนี้แหละที่จำเป็นสำหรับความเป็นชาติ  ชาติเราเกิดขึ้นได้มาเป็นปึกแผ่นก็เพราะคนไทย บรรพบุรุษไทยมีจิตสำนึกที่รักชาติอย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนดีที่รักชาติ หรือได้เสียสละเพื่อชาติมามากขนาดนั้น  แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าว่า ไอ้ความกังวลในเรื่องบ้านเมืองมันน่าจะเป็นพื้นฐานของความเจริญที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้ ซึ่งความกังวลมีมากเข้ามันจะกลายเป็นแรงขับให้เกิดการกระทำ  ความกังวลน้อย หรือ ไม่กังวล ไม่สนใจเลยก็จะไม่เกิดการกระทำใดใดที่เป็นการแสดงถึงพลังในการขับเคลื่อนไปสู่สิ่งดีงาม ไปสู่ความเจริญในสังคม  ที่สำคัญการเฉยมันทำให้คนชั่วได้ใจ  ทำชั่วต่อไปได้ไม่สิ้นสุด  การเฉยอันนี้ข้าพเจ้าว่ามันเป็นตราบาปนะ

ไหว้ละ..อย่าตัวใหญ่เกินชาติ: ตอนนี้มีพี่น้องร่วมชาติยืนหยัดกับความลำบาก เสี่ยงต่ออันตรายมาต่อสู้กับระบอบทักษิณอัปรีย์ที่แยกอุรุพงษ์   พลังคนน้อยเหลือเกิน การจัดการการชุมนุมเป็นไปตามความรู้สึกที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจ "เถื่อน"  ที่ว่า "เถื่อน" ก็เพราะถึงแม้จะมามีอำนาจปกครองตามกฎหมาย ถูกเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย  แต่เมื่อเจตนาและการกระทำมีผลต่อการล่มสลายของบ้านเมือง อันนี้ "เถื่อน" แน่นอน  นี่ยังไม่นับพฤติกรรม "เถื่อน" ที่แสดงอำนาจต่อประชาชนอย่างไร้มนุษยธรรม  แบบนี้มันยังไม่หนักหนาพอหรือ..ที่กลุ่มพันธมิตรของสนธิ หรือ ประชาธิปัตย์จะมาแสดงตัวเปิดเผยร่วมกับประชาชน  ทุกกลุ่มที่มีพลังมวลชนแต่ไม่ยอมออกมานี่ ข้าพเจ้าว่าน่าอาย และถ้าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศจะเป็นตราบาปไปชั่วชีวิต  หรือจะต้องรอให้มีคนเจ็บคนตายก่อน  ถึงจะออกมาเป็นฮีโร่กัน ข้าพเจ้าว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ชาติ  ข้าพเจ้ามองไม่เห็นเหตุผลอื่นใดที่มันจะมากไปกว่าการทำเพื่อชาตินะ  ถ้าจะรอเวลา จะรอให้ถั่วงาไหม้ก่อนหรือ ถ้าออกมาต้องชนะ จะชนะไปตอนนั้นชาติก็คงเสียหายมากกว่านี้ คนชั่วก็ลำพองใจ ทำชั่วมากขึ้นได้อีก  ตัวของพวกท่านมันจะใหญ่เกินชาติไทยไปหน่อยละกระมัง 

ท้ายสุด..ถ้าไม่มีพลังขับไล่คนชั่วไปจากแผ่นดินไทย  ประชาชนอย่างเราก็คงได้แต่ยอมให้โจรมันเชือดเนื้อเถือหนังกันต่อไปจนกระดูกก็จะไม่เหลือ  และจะต้องปวดร้าวใจกับการข่มเหงสถาบันสูงสุด   เจ็บใจกับนโยบายสามานย์โกงกิน  เศร้าใจกับการทำลายความยุติธรรมในบ้านเมือง  เราจะทนได้อีกต่อไปแค่ไหนที่ปล่อยให้โจรครองเมือง ข่มขืนประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก  

ออกมาพี่น้อง...แสงแห่งมโนธรรมมันต้องแรงกล้ากว่าอำนาจอธรรม  ถ้าเราเชื่อว่าความดีงามเท่านั้นที่จะจรรโลงชีวิตลูกหลานไทยในอนาคต  ออกมา..เปิดไฟเขียวให้กับประเทศ  ติด "ไฟแดง" กันมานานพอแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อยากคิดนอกกรอบ..เห็นกรอบแล้วหรือยัง...


คนเราใช้ชีวิตกับความคิดเดิมๆ การกระทำเดิมๆ มานาน ทำซ้ำๆกันเป็น pattern เดิมๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เหมือนเสืออยู่ในป่า มันก็หากินตามความเคยชิน มันไม่เคยเห็นภาพป่า ลองเอามันขึ้นเครื่องบินมองลงมา มันคง..wow เห็นภาพชัดเจนขึ้น คนเราก็เหมือนกันเราชิน เราตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆอย่างอัตโนมัติ ซึ่งนี่คือ "ข้อจำกัด" ในการใช้ชีวิต 

มีนิทานที่เล่ากันมาเรื่องสร้างเครื่องบินกระดาษ อาจทำให้เราเห็นภาพการ "ติดกรอบ" "ข้อจำกัด" มากขึ้น เรื่องมีอยู่ว่า...ครูสั่งให้นักเรียนยืนชิดติดผนังห้อง แล้วส่งกระดาษให้คนละแผ่น ก่อนตั้งโจทย์แบบฝึกหัดง่าย ๆให้ทำกันทั้งห้อง

"ให้ทุกคนทำกระดาษให้เป็นเครื่องบินและปาจากผนังที่ยืนอยู่ให้ไปถึงผนังฝั่งตรงข้าม"

นักเรียนทั้งหลายก็พยายามพับกระดาษเป็นรูปเครื่องบินต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบตามที่คิดว่าจะทำให้พุ่งได้ไกลที่สุด ทุกคนปาเครื่องบินกระดาษอย่างแรงที่สุดแต่ไม่มีลำไหนพุ่งถึงผนังฝั่งตรงข้ามเลย ครูจึงบอกว่า ให้ทุกคนดูฝีมือการพับกระดาษระดับแชมป์โลก ที่ใช้เวลาพับเครื่องบินไม่ถึง 5 วินาที "เครื่องบิน" ไม่มีปีก "เครื่องบิน" เป็นรูปทรงกลม จากนั้นครูก็ขยำกระดาษให้เป็นก้อนกลม ขยำให้แน่นที่สุดแล้วปาไปที่ผนังฝั่งตรงข้ามสุดแรง "เครื่องบินกระดาษ" ไปถึง "เป้าหมาย" แม้จะไม่มีปีก

นักเรียนก็เหมือนเราทุกคนที่ติดอยู่กับ "กรอบ" เดิมๆว่า เครื่องบินกระดาษมันต้องเป็นแบบที่เคยเห็น ต้องมีหน้าตาแบบเครื่องบินกระดาษ ทุกลำต้องมีปีก การติดกรอบความคิดแบบนี้มันทำให้ไม่ไปถึงเป้าหมายที่คาดหวัง

อยากนอกกรอบ อยากสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยากไปให้ถึงเป้าหมาย เรามองเห็นวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิตของตัวเองหรือยัง เห็นกรอบที่ปิดกั้นอยู่ไหม เอาแค่ว่า..โกรธ.. เวลาโกรธเรามักพุ่งไปที่ "คนอื่น" ที่ทำให้เราโกรธ แต่ไม่ค่อยมีสติกลับมาดู "ความคิด" ว่าเราคิดอย่างไรเราถึงได้โกรธ หรือที่คนสมัยนี้เป็นกันบ่อย คือ ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด อันนี้ก็ติดกรอบเหมือนกัน ใครจะนำเสนออะไรไม่สน ตัวเองมีธงปักไว้ มีกรอบตั้งอยู่ ก็จะว่าไปตามนั้น ไม่ยอมหันมาพิจารณาว่าคนอื่นเขาหมายถึงอะไรกันแน่ อันนี้ก็ทำให้ "ติด" นานๆไปจะกลายเป็น "ยึด" และในที่สุดกลายมาเป็นสันดานที่แก้ยาก สร้างสรรค์ไม่ออก คิดใหม่ไม่เป็น

ข้ออ้างก็เป็นอีก "กรอบ" หนึ่งของชีวิต
-ฉันไม่เคยทำ
-ฉันเรียนมาน้อย
-ฉันทำไม่ได้
-คนอื่นคงไม่ชอบ
-คนอื่นคงไม่เชื่อ
และอื่นๆอีกมากที่กลายเป็นกรอบในการใช้ชีวิต ทุกวันนี้ลองถามตัวเองว่าข้อจำกัดและกรอบมันเยอะเกินไปหรือเปล่า จะคิดอะไรดีดีเลยไม่ได้คิด จะทำอะไรใหม่ๆเลยไม่ได้ทำ แบบนี้มันเสียเวลาชีวิต

การจะเห็นกรอบตัวเองต้องใช้ "สติ" อย่างมากทีเดียว ใช้สติจับความคิด จับคำพูด จับการกระทำ ฝึกสติและสำรวจตัวเองบ่อยๆ จะเห็นกรอบที่มันขังเราอยู่..เราจึงจะออกมานอกกรอบได้

ออกมายืนห่างๆตัวเอง..มองไปกว้างๆ ฟ้าสว่าง..โลกสดใสกว่าเดิม 

ความสวยงามของโลกใบนี้



เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Stanford ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1892 นักศึกษาคนหนึ่งอายุ 18 ปีต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมเพราะเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครได้ เด็กหนุ่มคนนี้เกิดมีไอเดียขึ้นมาในการหาทุนช่วยค่าเล่าเรียน คือ การจัด musical concert ขึ้นใน campus ซึ่งในสมันนั้นก็ถือว่าแจ๋วน่าดูชม เขากับเพื่อนอีกคนจึงพากันไปหานักเปียโนที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ Ignacy J. Paderewski

ผู้จัดการของ Paderewski เรียกร้องเงินค่าจ้างถึง 2,000 เหรียญสำหรับการแสดง สองหนุ่มจึงต้องทำงานกันหนักเพื่อให้คอนเสิร์ตประสบความสำเร็จ แต่โชคร้ายตั๋วขายไม่หมด สองคนเก็บเงินได้แค่ 1,600 เหรียญเท่านั้น ถึงแม้จะผิดหวังแต่พวกเขาก็ได้ไปหา Paderewski และอธิบายให้ฟังถึงรายได้จากคอนเสิร์ต และจ่ายเงินให้ไป 1,600 เหรียญบวกกับเช็คมูลค่า 400 เหรียญ ซึ่งพวกเขารับรองด้วยเกียรติว่าจะจ่ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

Paderewski ปฎิเสธว่าแบบนี้เขารับไม่ได้ ว่าแล้วก็ฉีกเช็คทิ้งไป และเอาเงินคืนให้กับสองหนุ่มพร้อมกับบอกว่า

" เอาเงินคืนไป และกรุณาหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เหลือเท่าไหร่ ค่อยเอามาให้ก็แล้วกัน"

เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง สองหนุ่มรีบกล่าวขอบคุณด้วยความเต็มตื้นใจ

ทำไม Paderewski ต้องช่วยเหลือคนที่เขาเองก็ไม่รู้จัก นี่คือเหตุการณ์ที่เราทั้งหลายคงเคยพบเจอมาแล้ว แต่เราคงประมาณว่าคิดมาก คิดว่าช่วยแล้วจะยังไง ก็คนไม่รู้จักกัน แต่คนที่ยิ่งใหญ่จริงๆไม่คิดมาก แต่จะคิดบนพื้นฐานของความถูกต้อง คือ ถ้ามีคนเดือดร้อน ไม่ช่วยเขา แล้วเขาจะทำยังไง จะอยู่ยังไง ซึ่งการคิดแบบนี้ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรตอบแทนเลย ทำไปเพราะควรทำ ทำเพราะรู้สึกว่ามันถูกต้องที่จะทำ

ภายหลัง Paderewski ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ Poland เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่โชคร้ายเกิดสงครามโลกขึ้น ประชาชน 1.5 ล้านคนของ Poland ได้รับความลำบากยากเข็ญ ประเทศอยู่ในภาวะอดอยากแร้นแค้น ไม่มีงบประมาณที่จะมาจัดหาอาหารให้กับประชาชน Paderewski จึงร้องขอความช่วยเหลือจาก US Food and Relief Administration ที่เป็นองค์กรความช่วยเหลือของประเทศสหรัฐอเมริกา

ผู้นำอเมริกาในขณะนั้น คือ Herbert Hoover ซึ่งภายหลังได้เป็นประธานาธิบดี Hoover ตกลงส่งความช่วยเหลือไปทันทีทันใด อาหารของแห้งต่างๆได้ถูกส่งไปทางเรือเพื่อช่วยเหลือผู้อดอยากชาวโปแลนด์ ความยากเข็ญจึงได้รับการบรรเทาเบาบางลง Paderewski โล่งใจ เขาตัดสินใจเดินทางไปพบกับ Hoover เพื่อขอบคุณด้วยตัวเอง

เมื่อ Paderewski ได้พบกับ Hoover ขณะที่กำลังจะค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณ Hoover รีบบอกว่า " ไม่ต้องขอบคุณหรอกท่านนายก ท่านอาจจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่หลายปีก่อนท่านได้ช่วยเด็กหนุ่มไว้สองคน หนึ่งในนั้น คือ ตัวผมเอง"

โลกนี้มันช่างสวยงามจริงจริง
What goes around comes around 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เลือกให้ดี..คนมีหลายแบบ

ประเภทร้าย..ไม่ต้องคบ
หน้าเนื้อ ใจเสือ
พวกนี้ดูดี สวย หล่อ ทำให้หลงได้ง่ายแต่ใจร้ายชะมัด  ทำได้ทุกอย่างทุกที่ทุกเวลาที่จะเอาเปรียบคนอื่นแบบหน้าตายิ้มๆ  เหมือนพวกแม่ค้าพ่อค้าที่อยากขาย แต่ตัวเองได้เต็มๆคนอื่นเสียเต็มๆ  คบไป..วันดีคืนดี...หมด...ไม่รู้ตัว

งูเห่า
ดูไปก็ธรรมดา แต่ใจซ่อนพิษ เมื่อมีโอกาสจะฉกฉวยทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนลำบาก คบไปก็ไว้ใจไม่ได้ เสียเวลาระวัง

ผีห่า ซาตาน
หน้าตาดูไม่ได้แล้วยังใจเลวด้วย มันดีอยู่อย่าง คือ มันชัด เราเจอแล้วเผ่นไปได้ทัน ไม่เหมือนพวกงูเห่ากับหน้าเนื้อใจเสือ

ประเภทคบได้..ไม่ดีขึ้น ไม่คบ..ไม่มีอะไรจะเสีย
รู้หน้า ไม่รู้ใจ
คบได้เพลินๆ ดูสบายตา แต่ถึงเวลาเดือดร้อน ไม่ลงเรือลำเดียวกันแน่ๆ

เฉยชา
พวกนี้ก็คนธรรมดาทั่วไป แล้วแต่สถานะการณ์ ไม่ดีไม่ชั่ว กลางๆ ไม่สนใจใคร เอาแต่ตัวเองรอดไป

ผีเข้า ผีออก
ดูแล้วไม่เจริญหูเจริญตา แถมเดาใจไม่ออกว่าจะเอายังไง หลีกได้ก็หลีก ไม่คบก็ไม่เสีย

ประเภทดีสุดขั้ว...ต้องคบ..ไม่คบไม่ได้
นางฟ้า เทวดา
ใครเจอและได้เป็นเพื่อนถือว่ามีบุญ พวกนี้เป็นเพื่อนแท้ที่หายาก หน้าตาดีแล้วยังใจดีเป็นเลิศ อยู่ด้วยมีแต่ได้  เต็มใจช่วยเหลือด้วยรอยยิ้มและใจอาทรเสมอ

ธรรมดา..ที่ไม่ธรรมดา
หน้าตาไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ใจเต็มร้อย เคียงข้างไม่ทิ้งกัน อยู่ด้วยมีความสุขแน่ๆ

ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
หน้าตาไม่เป็นอุปสรรคต่อการคบหา บางคนกลับมองข้ามไป  ต้องมองที่ใจจะเห็นทองแท้ที่ฉายแสงอบอุ่นให้เสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

ถึงเวลาหยุดตัดสินใจทุกเรื่องหรือยัง



สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อผิดพลาดของผู้ประกอบการ คือ ทำการควบคุมธุรกิจเบ็ดเสร็จทุกเม็ดทุกเรื่อง ไม่ยอมปล่อยวางให้คนอื่น พูดง่ายๆว่า ปล่อยไม่ลง ปลงไม่ได้ จนทำให้คนที่ทำงานด้วยขาดการเรียนรู้ เติบโตไม่ได้ ธุรกิจไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรจะเป็น และยังมีโรคต่างๆแถมมาอีกมากเพราะความเครียด ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะ โรคหัวใจ โรคความดัน เป็นต้น  การที่จะแก้ปัญหานี้ ผู้ประกอบการต้องอยากแก้เองเพราะไม่มีตำราเล่มไหนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ถ้่าคนไม่ต้องการที่จะพัฒนาตัวเอง ถ้าอยากเปลี่ยน อยากเอาตัวเองออกมาจาก day-to-day control แล้วให้คนอื่นช่วยบ้างก็ทำได้แน่ๆ เราลองมาดูแนวทางที่น่าจะทำได้ง่าย มีแค่ 5 เรื่องเท่านั้น 
1. เลิกทำการตัดสินใจในทุกเรื่อง
ผู้ประกอบการเป็นผู้บริหารไม่ใช่หัวหน้างาน การละพฤติกรรมแบบหัวหน้างงาน คือ ต้องเลิกตัดสินใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับพนักงาน กระตุ้นให้พนักงานรู้จักตัดสินใจเองบ้าง อาจเริ่มด้วยเรื่องง่ายๆ เช่น การจัดอีเว้นท์ต่างๆในองค์กรก็ให้พนักงานเป็นคนวางแผน ตัดสินใจ ควบคุมดูแลทั้งหมด หลีกเลี่ยงการกระโดดเข้าไปแก้ปัญหาโดยเฉพาะตอนที่มันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ 
2. กระจายงาน กระจายอำนาจ
มันเป็นธรรมชาติของผู้ประกอบการที่จะเกี่ยวข้องไปเสียทุกสิ่งในองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องแย่เพราะมันทำให้ลงเอยเป็น micromanaging ในทุกอย่างที่พนักงานทำ  แต่ถ้าเรากระจายงาน กระจายอำนาจจริงๆแล้ว ภาระทั้งหมดนี้จะถูกแบ่งให้คนอื่นรับผิดชอบด้วย ซึ่งเป็นเรื่องดีเนื่องจากคนของเราจะมีโอกาสได้รับประสบการณ์ ได้เรียนรู้และมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น   ให้งาน ให้อำนาจมันหมุนเวียนกันในองค์กร เพื่อเราจะได้เห็นศักยภาพคนได้ชัดเจนขึ้น รู้ว่าใครทำอะไรได้แค่ไหน ใครเก่งอะไร ใครเหมาะกับงานไหนซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรมาก 
3. เชื่อมคนเข้ากับเป้าหมายองค์กร
ถ้าคิดว่าตัวเองจะว่างก็ทำในสิ่งที่ควรทำ คือ ฟูมฝักให้เกิดการหลอมรวมเป้าหมายกันในองค์กร คนทำงานทุกคนจะรู้สึกทุ่มเทกับการทำงานในองค์กร ถ้าเป้าหมายของคนสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร ผู้ประกอบการคงต้องหยุดเรื่องเล็กๆน้อยๆเสียทีเพื่อฟังเสียง เพื่อรับรู้และเข้าใจเป้าหมายของคนด้วยหน้าที่ของเราไม่ใช่จัดการทุกเรื่อง แต่ต้องจัดการเชื่อมประสานเป้าหมายของคนกับองค์กรให้ได้ 
4. เปิดเผยโปร่งใสเรื่องตัวเลข
อย่าวุ่นวายกับการปกปิดตัวเลข ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเก็บงำความลับเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและการทำกำไรขององค์กร  มันเชยไปแล้วที่จะทำให้มันเป็นความมืดมนสำหรับพนักงาน  ยิ่งให้ข้อมูล ให้คนรับรู้เรื่อง financial data อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วม มันเป็นการสร้าง ownership ที่จะทำให้คนในองค์กรอยากจะปรับปรุงการทำงานและกระตือรืนล้นในการพัฒนาในฐานะที่ลงเรือลำเดียวกัน 
5. สร้างทีมเสือที่บริหารจัดการตัวเองได้
ให้อำนาจคนในองค์กรที่จะจัดการงานของตัวเอง ตั้งทีมหลายๆทีมทำโครงการต่างๆในองค์กรและให้อำนาจ แบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจน ให้ทีมบริหารจัดการกันเองตั้งแต่การวางแผน การกำหนดระยะเวลา กำหนดงบประมาณรวมถึงระบบการทำงานเอง  แบบนี้เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟความตื่นเต้นให้กับคนในองค์กร ทำให้คนอยากทำงาน 
ลองถามตัวเองว่า...ถ้าเราไม่ได้เข้าสำนักงานสักหนึ่งปี องค์กรยังจะอยู่ได้ไหม คนของเราสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ไหม คนของเรามีศักยภาพมีอำนาจพอที่จะขับเคลื่อองค์กรโดยไม่มีเราได้หรือไม่ ถ้าคำตอบที่ได้ คือ ไม่มีทาง มันแปลว่าถึงเวลาที่เราต้องหยุดตัดสินใจทุกเรื่องได้แล้ว 

ยุค iPhone ทำให้เราเปลี่ยนไป.. หรือเปล่า




เมื่อห้าปีที่แล้วเราเปลี่ยนจากยุค internet มาเป็นยุค iPhone พฤติกรรมการสื่อสาร การทำธุรกิจค้าขายก็เปลี่ยนไปด้วย ลองมาดูกันว่าจริงไหม

- การใคร่ครวญ ใส่ใจน้อยลง
Internet ทำให้ email เป็นการสื่อสารที่รวดเร็ว การสื่อสารมีปริมาณมากขึ้นก็จริง แต่เรายังมีเวลาคิดพิจารณากันมั่ง แต่พวก smart phone มันทำให้เกิดการสื่อสารที่มีเวลาคิดได้น้อย ดูอย่างไลน์ อย่างทวีต เสียงดังกันติ๊งตั๊งทั้งวัน เป็นคิดแค่ชั่ววินาทีนะ มันเป็นการแลกเปลี่ยนเร็วและน้อยเพราะพื้นที่ในโทรศัพท์มันน้อย คำที่ใช้ต้องโดน ชัด เข้าใจง่าย ในธุรกิจเองถ้าสื่อสารกันต้องประมาณว่า make every word count!!
- การเก็บข้อมูลไว้ในสมองน้อยลง
ก่อนจะมี Internet คนเราใช้ "brain memory" เพื่อเก็บข้อเท็จจริง ข้อมูลที่ใช้ในการทำธุรกิจ หรือในชีวิตประจำวัน เมื่อมี Internet คนก็เปลี่ยนมาพึ่งพาเวปทั้งหลายเป็นคลังข้อมูล พอมาถึง smart phone เรายิ่งเข้าสู่ Internet เร็วขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะเป็น laptop ก็เถอะ เราเลยใช้สมองน้อยลงในการเก็บข้อมูล
- ข้อมูล คือ หนี้สิน
ยุค Internet ถือว่าข้อมูลเป็นสินทรัพย์ที่สามารถแลกเปลี่ยนกับลูกค้า กับคนอื่น ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใครที่มี smart phone เราได้รับข้อมูลจนจุกล้นถล่มทลาย มันมาแบบไม่ได้เชื้อเชิญ มันเลยเถิดการแบ่งปันไปแล้ว อะไรก็ share จากสินทรัพย์..ข้อมูลเลยกลายเป็นหนี้สินไป เป็นภาระอย่างมาก จนหลายคนต้องหาทางกำจัดออกไป
- ผู้คนเรียกร้องหาความง่าย สะดวก
ในยุค Internet ผู้คนยินดีเต็มใจใช้เวลาในการเรียนรู้เรื่อง Excel หรือ Word แต่ในยุค iPhone นั้น อะไรก็ tap-and-go app มันกลายเป็นสัญชาติญาณไปแล้ว คนคาดหวังสิ่งที่ใช้งานง่าย ไม่อยากเสียเวลามานั่งศึกษา มันหมายถึงอะไรก็ต้อง simplify simplify และ simplify ยิ่งในธุรกิจ ความยุ่งยากซับซ้อนถือเป็นบาปกันเลยนะ สินค้าจึงต้องซื้อง่าย หาง่าย บริการเร็ว...ไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยาก ไม่เช่นนั้นคนจะหนีไปหาที่มันสะดวกและง่ายกว่าแน่ๆ

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

กวักมือเรียก "ความมั่นใจ" คืนมา...


บางทีคนเราก็มีช่วงเวลาที่รู้สึกไม่มั่นใจ งง ท้อแท้กันอยู่บ้าง มันเป็นธรรมดา ไม่มีใครที่จะมั่นอยู่ได้ทั้งปีทั้งชาติ แต่ขอให้มันเป็นช่วงเวลาที่สั้นนะ อย่าปล่อยจนเสียศูนย์ พอมันเกิดขึ้นและเราคิดว่าจะฮึดสู้อีกครั้ง ลองแบบนี้ดูได้ไม่เสียตังค์...

อย่าห่อเหี่ยว อย่าจ๋อย: ไม่ว่าจะไม่มั่นใจในระดับไหน ต้องยืดตัวตรง นั่งตรง ยืนตรงให้ได้ การปล่อยให้ร่างกายทิ้งตัว หลังค่อม นั่งแบบหมดอาลัยตายอยาก มันเป็นการสื่อสารว่าเราหมดสภาพ เริ่มที่ตรงนี้ก่อน...ยืดเข้าไว้

อย่าคิดว่าคนอื่นพูดถึงเรา: มันเป็นความกังวลที่ทำให้เราติดกับดักคนอื่น ยิ่งทำให้ขาดความมั่นใจ คนที่มีสติรู้ตัวจะไม่ค่อยใส่ใจว่าใครจะคิดยังไง มันความคิดคนอื่น เราไม่เกี่ยว

เลิกพูดสิ่งแย่ๆกับตัวเอง: คนเราบางทีก็ชอบพูดกับตัวเอง สะกดจิตตัวเอง ถ้ามีแต่เรื่องไม่สร้างสรรค์จะยิ่งหนัก ประมาณว่าฉันอ้วน ฉันมันเลว ฉันน่าเกลียด ฉันแย่ มันบั่นทอน....เปลี่ยนใหม่..เอาให้มันสดใส คิดแต่เรื่องดีดี

ยิ้มเข้าไว้: ฉายแสงความสุข ความดีงามในชีวิตออกมา บางคนก็เครียดจนยิ้มไม่เป็น ยิ้ม..ไม่เสียตังค์ ทำให้เป็น habit ยิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น

ผิดอย่างสง่างาม: โลกนี้ไม่มีใครสมบรูณ์แบบ คุณชายพุฒิภัทรมีแต่ในโทรทัศน์เท่านั้น ถึงแม้เราจะทำผิดก้ไม่ต้องถึงขนาดเสียความมั่นใจ ลองคิดดูว่า..ที่ทำผิดไปมันสำคัญขนาดที่ผ่านไป 3 เดือนแล้ว มันยังรู้สึกอีกไหม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือ เรื่องอะไร มันมี better next time เสมอ

สุดท้าย...Get feedback มาปรับปรุงตัวเอง
อย่าเสียกำลังใจ..ตราบใดยังมีชีวิต ตราบใดยังมีลมหายใจ เราสามารถเรียกความมั่นใจคืนมาได้ตลอด 

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

คิดเงียบๆไป..


เท่าไหร่จึงจะพอ
เท่าไหร่จึงจะพอ
เท่าไหร่จึงจะพอ
เท่าไหร่จึงจะพอ



ความสุขง่ายๆ


ชีวิต..ไม่ควรทำให้มันยุ่ง
อยู่เท่าที่มี ดีเท่าที่ได้ ใช้เท่าที่จำเป็น

ทำไมคนชอบ "จิกกัด"



เคยโดน "จิก" ไหม...รู้สึกแย่ไหม... เจ็บปวดไหม...


จริงๆแล้วเราไม่ควรรู้สึกไม่ดี ไม่ควรรู้สึกแย่นะ คนที่ควรรู้สึกแย่ คือ คนที่ชอบจิก ชอบวิจารณ์คนอื่นเจ็บๆต่างหาก 

แล้วทำไมคนถึงชอบทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูด... คนธรรมดาทั่วไปเขาก็พูดกันดีดีทั้งนั้น คนผิดปกติเท่านั้นที่ชอบเสียดสีชาวบ้าน จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แล้วบางทีก็รู้นะว่าคำพูดจะทำให้คนอื่นเจ็บปวด แต่ก็ยังทำ คนจำพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือด่วน จะช่วยได้คงต้องมาพิจารณา 3 เรื่องให้เข้าใจ

1. จิกกัด เสียดสีเพราะความโกรธ: ลองคิดดูเวลาที่เราโกรธ เราก็มีความคิดลบๆ แย่ๆ เกิดขึ้นมาทันใดเหมือนกัน และอยากปล่อยมันออกมาทันที คนที่ชอบการ "จิก" ชาวบ้านก็เช่นกัน คาดว่าคงโดน "ความโกรธ" หลอกหลอนมาจากประสบการณ์ในอดีต และยังหลอนไม่เลิกจนถึงปัจจุบัน อารมณ์จึงแปรปรวนอยู่ตลอด ไม่พอใจกับคน กับสถานการณ์อยู่เป็นประจำ อะไรก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ได้ เวลาเจอคนที่ขวาง หรือทำไม่ถูกใจก็จะ "จิก" อยู่นั่นแหละ ไม่เลิกสักที คนพวกนี้มีชีวิตที่น่าสงสาร เพราะอยู่กับเรื่องเศร้าหมอง ตรอมตรมอะไรก็ไม่รู้มาเป็นเวลานาน ตั้งหน้าตั้งตาโทษคนอื่นเสมอเพราะโกรธมาแต่ชาติที่แล้ว 

2. จิกกัดเพราะไม่สมใจในวัยเด็ก : พวกชอบจิกกัด เสียดสีคนอื่นนั้น คาดว่ามีวัยเด็กที่รันทด เจอคนทำไม่ดีไว้มาก มันจึงกลายเป็นการพัฒนาตัวแบบความคิดเชิงลบจาก negative unconscious สะสมกันมา และคิดว่าตัวเองต้องเหนือกว่าที่ beat คนอื่นด้วยคำพูดแสบๆได้

3. จิกกัดเพราะไม่มีความมั่นใจ : ความแตกต่างของคนที่มั่นใจกับไม่มั่นใจ คือ แนวคิด ฝ่ายแรกภูมิใจ พอใจในตัวเอง ในขณะที่ฝ่ายหลังก็จมอยู่กับการตกต่ำทางความคิด จิตใจเลยเต็มไปด้วยความคิดเชิงลบและผลักดันออกมาในรูปแบบการ "จิก" คนอื่นรอบตัวทุกครังที่มีโอกาส...เวรกรรม!!

รู้แบบนี้แล้วยังรู้สึกแย่อยู่หรือเปล่า ? 

ที่อรรถาธิบายมาก็เพื่อให้เรารู้ว่าคนที่ชอบจิก ชอบกัด ชอบเสียดสีคนอื่นนั้นเป็นคนที่ได้รับการทำร้ายทางอารมณ์มามาก ไม่มีความมั่นใจและระดมความโกรธทั้งโลกมาไว้กับตัว ดังนั้นเราคงต้องสงสารมากกว่าที่จะมารู้สึกไม่ดีกับคนพวกนี้ เพราะเขาคงแย่กว่าเรามากมายนัก คงไม่มีความสุขในชีวิต 

ถ้าอยากช่วยจริงๆ ต้องเสี่ยงนะ ผลที่ได้กลับมาอาจหนักกว่าเดิม คือ จะยิ่งโกรธเรา แต่ถ้ามีเมตตามหานิยมก็น่าลอง คือ จูงกันไปให้ถึงรากเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิต ที่เป็นโรคกัด โรคจิก โรควิจารณ์ชาวบ้านเจ็บๆนี้มันมาจากสาเหตุไหนกันแน่ ให้ทบทวนดูดีดี เมื่อรู้สาเหตุก็แก้ไขได้ 

ว่าแต่...กล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมวไหม ? ถ้าทำได้ก็อนุโมทนาสาธุด้วยคน 

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำไมคนจึงเห็นแก่ตัว


คนเห็นแก่ตัว คือ คนที่อ่อนแอและกลัวการสูญเสีย ดูได้จากการที่อะไรก็ต้องก่อนคนอื่น เป้าหมายตัวเองต้องมาก่อน ทั้งๆที่บางทีคนอื่นต้องการความช่วยเหลือ เดือดร้อนมากกว่า มีความจำเป็นมากกว่า 

อะไรที่มันทำให้คนเห็นแก่ตัวอย่างนั้น
ทำไมบางคนใจดี..ให้คนอื่นมากกว่าในขณะที่บางคนไม่ยอมเสียอะไรเลย

มันเป็นเรื่องเดียวกับการรักตัวเองหรือเปล่า..บอกได้เลยว่า ไม่ใช่ คนที่เห็นแก่ตัวนั้นไม่ได้รักตัวเอง แต่เป็นคนที่กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ จะไม่มี เป็นคนอ่อนแอ กลัวเสียเวลา กลัวเสียเงิน กลัวเสียการควบคุมชีวิตตัวเอง จึงทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองรอด ตัวเองได้มากกว่าชาวบ้าน เผลอๆต้องได้ดีที่สุด มากที่สุดโดยไม่แคร์ว่าใครจะเดือดร้อนยังไง

คนที่มั่นใจตัวเอง...จะไม่เห็นแก่ตัว จะรู้ว่าการช่วยเหลือคนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเสียเวลาขนาดนั้น มันไม่ได้รบกวนตารางชีวิต ตรงกันข้าม คนเห็นแก่ตัว แม้แต่เวลาน้อยนิดก็จะไม่ยอมเสียให้ใคร เพราะไม่มั่นใจตัวเองว่าจะคุมอะไรได้ ถ้าให้คนอื่นไป จะรู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา กลัวไปหมด กินก็กลัว นอนก็กลัว เข้าห้องน้ำยังกลัวเลย

ความน่าสงสารของคนเห็นแก่ตัวอีกประการ คือ ไม่เคยสมหวังกับเป้าหมายจริงๆของตัวเอง จึงคิดว่าทำไมต้องสละทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่ให้คนอื่น

จะเลิกเห็นแก่ตัวได้คงต้องเข้าใจก่อนว่า มัน คือ จุดอ่อนของชีวิต อะไรทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการเห็นแก่ตัวของเรามาจากความอ่อนแอ มาจากความรู้สึกไม่ได้ ไม่โดนอยู่ตลอดเวลา ควรกลับมาเรียนรู้ที่จะวางแผน วางเป้าหมายกันใหม่ให้ชัด เพื่อจะได้มั่นใจ เมื่อมั่นใจว่าจะจัดการชีวิตได้ดี ความเห็นแก่ตัวก็จะน้อยลง

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

เหตุผลที่คนไม่รู้ตัว..ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต


1. การมีชีวิตแบบ outside in ไม่ใช่ inside out

มันเป็นบรรทัดฐานของสังคมที่หลอมให้เรามองคนอื่น ต้องส้มพันธ์กับคนอื่นจนทำให้การหันกลับมามองตัวเองมันเหลือที่ว่างน้อยนิด หรือถ้าโชคร้าย หาไม่เจอเลย ส่วนใหญ่ทำอะไรไปก็เพื่อให้เกิดการยอมรับจาก..คนอื่น เราเลยไถลเลื่อนไปสู่โหมดชาวบ้านแบบห้ามไม่อยู่ ลองคิดดูนะ ทุกวันนี้มีชีวิตตาม script คนอื่นหรือเปล่า

2. เลือกอาชีพเพราะความเหมาะสม ไม่ใช่ความชอบ

สังคมมี checklist ให้เรา.. เราก็ขีดถูกไปตามนั้น เช่น เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่งงาน มีลูก มีอาชีพดีดีจนเกษียณ จบข่าว เรื่องนี้เป็นเหมือนกฎเหล็กที่คนต้องทำตาม แต่มันไม่ใช่เป้าหมายจริงๆในชีวิต เราละเลยเสียงเล็กๆที่ร้องอยู่ข้างในตัวตน เราขลาดเกินกว่าที่จะมองตัวตนจริง เรากลัวโง่ กลัวเสี่ยง กลัวว่าจะก้าวไปสู่ความไม่รู้ จนต้องเลือกทำตามสังคมแบบเติมคำลงในช่องว่าง แทนที่ของการเขียนเรื่องราวให้ตัวเอง ส่วนใหญ่คนจบลงที่อาชีพตามรายการของสังคมที่บอกให้เราทำ ไม่ใช่ที่อยากทำ Let Your Life Speak !!!

3. การไม่ยอมรับ "ความเงียบ"

เราอยู่ในสังคนที่ไม่ให้คุณค่ากับ "ความเงียบ"
แต่ให้คุณค่ากับ ACTIONs !!

มันอันตรายนะ ถ้าไม่ "อยู่เงียบๆ" บ้าง อีโก้มันจะมาครอบเบ็ดเสร็จ เราจะคิดว่าอีโก้นั้น คือ จุดหมายในชีวิตเรา เรามีชีวิตที่ดีแล้ว so what !!

ความเงียบจะทำให้เรามีโอกาสถามตัวเองเกี่ยวกับชีวิต ในความเงียบมันเป็นการประมวลข้อมูลชีวิตที่ผ่านมา ที่สามารถสรุปเป็นบทเรียนให้ตัวเอง มองเห็นตัวตนแท้จริงชัดขึ้น ไม่อย่างงั้นก็จะประมาณว่า ตื่น แต่งตัว กินข้าว ไปทำงาน เลิกงานกลับบ้าน ดูทีวี แล้วนอน..วนเวียนไปอยู่แบบนี้ทั้งปีทั้งชาติ แล้วเมื่อไหร่จะมีชีวิต..ชีวิตของเราจริงๆ

4. การรังเกียจด้านมืดของตัวเอง

Carl Jung นักจิตวิทยาเรียกด้านมืดว่า "เงา" คือ มันไม่ไปไหน อยู่กับเรานี่แหละ และที่สำคัญเราไม่อยากให้ใครเห็นเพราะมันเป็นข้อด้อย ความล้มเหลว หรือเป็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนไว้ เราซ่อนมันไว้ก่อนที่คนอื่นจะเห็น อย่าลืมว่าไอ้ด้านมืดนี่แหละที่ช่วยสอนเราได้ดี ช่วยให้เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิต ถ้าเรายอมเปิดใจให้กับตัวเองในด้านมืดๆของตัวเอง เราจะพบว่าทิศทางการเติบโตที่สวยงามสำหรับชีวิต คือ อะไร อันนี้ต่างหากที่เราต้องเรียนรู้ อันนี้ต่างหากที่จะฉุดเราออกมาจาก comfort zone ที่ทำลายตัวตนแท้จริงของเรา ยอมรับมันซะถ้าคิดว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตคนมันสำคัญ

5. ความที่ต้องมีเหตุผลตลอดเวลา

คนเรานั้นเรื่องอารมณ์ สัญชาติญาณ จิตไร้สำนึก ความอ่อนไหว มีกันอยู่ทุกคน แต่เราไม่ค่อยฟังมัน เราเลือกจะอยู่กับเหตุผล เพราะเราคิดว่ามันปลอดภัย แต่ non-logical mind เป็นสิ่งที่ทำให้เรายอมรับกับการที่บางครั้ง..ชีวิตก็ไม่ได้มีทุกคำตอบ เราควรยอมให้ชีวิตมีความคลุมเครือบ้าง เพื่อนำไปสู่ "ความรู้สึก" feeling จริงๆ ลึกๆ ของเรา มันดีกว่าคำตอบที่ปรุงแต่งมากนัก

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ไม่ชอบ..แต่ต้องทำงานด้วยกัน!!


เป็นธรรมดาที่เราไม่สามารถเลือกทำงานกับคนที่ชอบได้ทั้งหมด ในทีมงานอาจมีคนศรศิลป์ไม่กินกัน แต่ไมได้หมายความว่าคนนั้นไม่มีประสิทธิภาพ การมีคนที่เห็นต่างจะก่อให้เกิดการฉุกคิด ไม่งั้นมันจะมีแต่ขุนคอยพลอยพยัก ซึ่ง Amy Gallo เขียนใน HBR Blog เกี่ยวกับการที่เราจะทำงานกับคนที่เราไม่ชอบได้อย่างไร ไว้ดังนี้

อย่าตั้งธงว่ามันต้องแย่ : จากมุมมองด้าน performance แล้ว การโปรดปรานคน ชอบคนที่ทำงานด้วยมากเกินไปนี่มันเป็นปัญหามากกว่าการที่เราชอบน้อย หรือ ไม่ชอบเสียอีก เพราะคนถูกใจก็จะไปตามน้ำเรา ดีกับเรา ไม่มีการส่งสัญญาณ bad news !! ให้กันเลย หนักข้อกว่าเยอะ

มองตัวเอง : แทนที่จะคิดว่าทำไมคนนี้มันน่ารำคาญ ให้หันมาดูตัวเองว่าทำไมถึงรำคาญ เพราะเราเองที่สร้างปุ่มรำคาญ คนนั้นมันแค่กดปุ่ม ไม่ต้องไปหาหมอโรคจิตที่ไหน แค่ซื่อสัตย์ต่อการวิเคราะห์ตัวเอง เมื่อเราได้ข้อสรุปว่าทำไมแล้ว บางทีความรู้สึกไม่ชอบจะลดน้อยลงได้

คุมสีหน้าตัวเอง : อย่าทำหน้าหงิกหน้างอเวลาเจอคนไม่ชอบ มันจะไปกันใหญ่ มันแสดงออกชัดเกินว่าเรารังเกียจและไม่ยอมรับผลงานด้วย ไม่ใช่แค่ไม่ชอบคน หน้าที่ของเรา คือ ยุติธรรม fair play !!!

เอาอคติออกไป : แค่ถามตัวเองว่า นี่เราใช้มาตรฐานเดียวกันกับคนอื่นหรือเปล่า โดยเฉพาะเวลาประเมินผล หรือ ให้รางวัลการตอบแทน

ใช้เวลาอยู่กับคนที่ไม่ชอบมากขึ้น : อันนี้คงไม่อยากจะได้ยิน มันปวดใจ แต่ช่วยได้ มันอาจทำให้เราเข้าใจคนนั้นดีกว่าเดิม ยาแรงเท่านั้นที่จะทำให้การรักษาดีขึ้น !!!

เรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้องค์กรเปลี่ยน..ได้...หรือ..ไม่ได้


Organizational Change คือ การปรับวิถีการกระทำ ปรับใจคนอย่างขนานใหญ่ในองค์กร จึงต้องเน้น approach ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอย่างจริงจัง อยากจะยกเรื่องที่ Morten T. Hansen ผู้เขียนหนังสือ Great by Choice ร่วมกับ Jim Collins พูดถึง Organizational Change ที่สะท้อนการผลักดัน ขับเคลื่อนองค์กรในด้านที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ละเลย เพราะมัวไปมุ่งทำแผนหรือมุ่งเน้นการสัมมนาฝึกอบรม หรือแม้กระทั่งดูงานบวกไปเที่ยว ( ฮา) มีสามเรื่องหลักที่ต้องทำเพื่อให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม

1. แสดงภาพให้ชัด
Hansen ยกตัวอย่างตอนที่ Jamie Oliver คนที่เป็น celebrity chef ต้องการเปลี่ยนนิสัยการกินของเด็กนักเรียนในอเมริกา โดยใช้ภาพรถขนของขนาดใหญ่บรรทุกไขมันสัตว์มาเต็มลำ คือ มันน่าเกลียดมาก ดูไม่จืด ดูทุเรศมากๆ เพียงรูปเดียวมาดึงดูดความสนใจ เห็นแล้วเด็กอึ้งไปเลย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เรื่องราว ใช้ภาพ ใช้การเปรียบเทียบ ใช้รูปธรรมแสดงถึง ugly image ของ 'where we are now' ประกบไปกับภาพที่เป็น better vision ของความรุ่งเรืองเฟื่องฟูสดใสในอนาคต ให้มันจะจะกันไปเลย

2. สร้างสถานะการณ์
จริงอยู่ว่า...หากต้องการเปลี่ยนคนให้กินอาหารสุขภาพ เราอาจให้ความรู้เกี่ยวกับพวก healthy food แต่นั่นไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนมากนัก ที่ทำได้ คือ จัดใหม่ จัดเต็มไป เปลี่ยน physical flow ให้ได้แบบที่ Google ทำ คือ ใช้การเข้าคิว จัดวางอาหารใน cafeteria ใหม่ เอา salad bar มาไว้ข้างหน้าสุด เพราะคนมักจะหยิบ คว้าสิ่งที่มองเห็นก่อน เช่นเดียวกัน..ในองค์กรที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แค่อบรมให้ความรู้ (แบบที่ทำๆกัน) มันไม่พอ มันไม่เปลี่ยน ต้องสร้างสถานะการณ์ เปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน ทีนี้ไม่เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน

3. รู้เวลากำจัดบางอย่าง
มีเรื่องที่น่าสนใจในหนังสือ In The Power of Habit ของ Charles Duhigg เขียนไว้เกี่ยวกับทหารยศนายพันที่ประจำอยู่ฐานทัพในเมืองเล็กแห่งหนึ่งของ Iraq ในช่วงสงคราม ผู้คนส่วนใหญ่ยังไปออกันอยู่ที่ร้านค้าในห้าง แม้แต่ตอนที่เกิดจลาจล การจะเคลียร์คนไม่ใช่เรื่องง่าย ส่งทหารเข้าไปจำนวนมากขึ้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งวุ่นวายหนัก ผู้พันจึงให้ขนย้ายส่วนที่เป็นอาหารทั้งหมดออกไป มันแปลว่าเมื่อเราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามแผน ไม่ยุ่งยาก ไม่วุ่นวาย ต้องเลือกกำจัดบางอย่างออกไป ทางจึงสะดวกขึ้น

ทั้ง 3 เรื่องเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมล้วนๆ ที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนแผนงานการเปลี่ยนแปลง อย่ามัวงมโข่งกับการคิดกลยุทธ์ จัดทำแผน จัดฝึกอบรมความรู้ซ้ำซาก พฤติกรรมไม่เปลี่ยน องค์กรก็ไม่เคลื่อน!!!