วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นิทาน คือ นิทาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีประเทศยากจนน่าสงสารประเทศหนึ่ง แต่ละวันไม่มีอาหารเพียงพอให้ประชาชนทุกคนกิน ต้องทนอดมื้อกินมื้อไปตามยถากรรม แต่กระนั้นทุกคนในประเทศก็ไม่เคยประกอบพฤติกรรมไม่สุจริต ประชาชนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองและมักปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก่อนนอนและอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอเพียงให้พวกเขามีอาหารกินพออิ่มท้องไปวัน ๆ เท่านั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ 
       
วันหนึ่งขณะที่ทุกคนกำลังสวดมนต์กันอยู่นั้น พระราชาเสด็จมาปรากฎกายต่อหน้าและมอบกล่องวิเศษกล่องหนึ่งให้กับประชาชนและทรงตรัสว่า... "นี่คือกล่องพอเพียง ในกล่องนี้จะมีซาลาเปาอยู่สองลูก แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องหยิบกินเพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น กินแบบพอประมาณ กินแบบมีเหตุมีผล ส่วนอีกลูกก็ให้อยู่ในกล่องเช่นเดิมเป็นภูมิคุ้มกัน ถ้าทำดังนี้จะไม่มีวันอดและมีซาลาเปากินไปตลอดชีวิต"
              
ดังนั้นประชาชนจึงเปิดกล่องพอเพียงออกและปฏิบัติตามคำของพระราชาอย่างเคร่งครัด หยิบซาลาเปาออกมาจากกล่องพอเพียงเพียงลูกเดียวเท่านั้นแล้วแบ่งให้ทุกคนรับประทาน ซาลาเปาในกล่องพอเพียงนี้รสชาติเลิศรสยิ่ง และน่าแปลกที่แม้ทุกคนจะได้รับประทานไปเพียงคนละนิดคนละหน่อย แต่แค่นั้นก็ทำให้พวกเขาอิ่มท้องได้ตลอดทั้งวัน
       
วันรุ่งขึ้นประชาชนเปิดกล่องพอเพียงเพื่อกินซาลาเปาอีก ปรากฎว่ามีซาลาเปาอยู่ในกล่องพอเพียงสองลูกเท่ากับเมื่อวาน จึงหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมาแบ่งให้ทุกคนรับประทานแล้วปิดฝากล่องพอเพียงลงโดยไม่แตะต้องซาลาเปาอีกลูกเช่นเดิม
       
วันถัดมาซาลาเปาก็เพิ่มมาอีกหนึ่งลูกเช่นเดิม ประชาชนก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เป็นเช่นนี้ไปทุกวัน ทำให้ประเทศนี้แม้จะไม่ได้ร่ำรวยขึ้น แต่ทุก ๆ คนก็ได้อิ่มท้อง       
แต่กลับมีชายคนหนึ่งละโมบอยากได้ซาลาเปาทั้งกล่องเป็นของตัวเองด้วยความโง่เห็นแก่ตัว ไม่อยากแบ่งให้คนอื่นในประเทศ จึงตั้งตัวเป็นหัวหน้าแล้วหลอกประชาชนว่า เขาสามารถทำให้ซาลาเปาเพิ่มขึ้นจากนี้ได้หลายลูก ทุกคนจะได้มีซาลาเปากินอย่างเหลือเฟือ สามารถส่งออกขายไปยังประเทศอื่นได้และทุกคนจะมีเงิน จะมีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องติดกับกล่องพอเพียงใบเดียวนี้ ว่าแล้วก็ขโมยกล่องพอเพียงไปและโยนเศษกระดาษรองซาลาเปาให้คนแย่งกันกินราวกับเป็นของวิเศษ ช่างน่าอนาจใจยิ่งนัก  
       
หลังจากวันนั้นกล่องพอเพียงก็หายไปจากประเทศนี้ และชายคนนั้นให้ทุกคนรอคอยกินกระดาษรองซาลาเปา ประชาชนหลายคนเสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะตามไปเอาคืนจากที่ไหน เพราะชายคนนั้นหนีไปอยู่นอกประเทศ เพราะละโมบกินซาลาเปาไปหนึ่งลูกและหยิบอีกลูกหนึ่งไว้เป็นทุนสำรองเพื่อกลับมาปลุกปั่นคนโง่ในประเทศให้หลงเชื่อและคราวนี้จะปล้นกล่องพอเพียงอีกครั้งเพราะรู้ว่าพระราชาไม่ทิ้งประชาชนให้อดตาย พระองค์ท่านต้องประทานมาให้ประชาชนของท่านอีกแน่
เวลาผ่านไป พระราชาเสด็จเยี่ยมประชาชน เห็นประชาชนยังอดอยาก หน้าตาหมองเศร้า จึงตรัสถามว่า "เราให้กล่องพอเพียงพวกเจ้าไปแล้ว ทำไมยังอดอยากกันอีก หรือพวกเจ้าไม่ทำตามที่เราบอก" มีประชาชนหลายคนแย่งกันบอกว่า  "ข้าแต่พระราชา พวกเราได้พยายามทำตามพระราชดำรัสทุกประการ เพียงแต่ที่เราต้องกลับมาอดอยากเช่นเดิมก็เพราะมีขโมยมาขโมยกล่องพอเพียงที่ท่านมอบให้พวกเราไป และเรายังโง่เชื่อมันมากกว่าพระองค์จึงต้องคอยเก้อ อดอยากอยู่เช่นนี้ "
พระราชาตรัสขึ้นว่า "เอาอย่างนี้ เราจะมองกล่องพอเพียงให้เจ้าอีกหนึ่งใบ ให้เจ้าสามัคคีกันในประเทศ ป้องกันประเทศให้แน่นหนา อย่าให้คนชั่วครองเมือง แต่ห้ามเปิดกล่องใบนี้เด็ดขาดจนกว่าจะล่วงเข้าวันที่เจ็ด"
       
มีประชาชนในประเทศเริ่มทำตามคำบอกของพระราชาอย่างเคร่งครัด จนชายคนนั้นรู้สึกผิดสังเกต  รูู้้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล คนเริ่มต่อต้านมากขึ้นและกลุ่มตัวเองที่ส่งไปแฝงอยู่ก็โง่ขึ้นทุกวัน โดนจับขังคุกบ้าง  เขาจึงตะล่อมถามชาวบ้านว่า "ระยะห้าหกวันนี้ ข้าสังเกตว่าท่านไม่ค่อยยินดีกับเราเลยนะ เราเพิ่งได้พาสปอร์ตมาจะรีบกลับไปแจกซาลาเปาอยู่เนี่ย พวกท่านทำอะไรกันอยู่หรือ จึงต้องการความสามัคคีถึงเพียงนั้น"  ชาวบ้านผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตอบไปว่า "กล่องซาลาเปาพอเพียงของเราถูกท่านขโมยไป พระราชาจึงมอบกล่องใบใหม่ให้ประเทศเรา แต่พวกข้าก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าข้างในเป็นอะไร เพราะพระราชากำชับให้เราเปิดได้ในวันที่เจ็ด จึงดูได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้น แต่พรุ่งนี้ก็จะครบเจ็ดวันแล้วล่ะ"
       
ได้ฟังดังนั้น ความละโมบก็กระโจนเข้าครอบงำจิตใจชายคนนั้นอีก "กล่องใบนั้นจะต้องเป็นของเรา...พรุ่งนี้เราจะกินซาลาเปาอีกลูกในกล่องใบแรกให้หมด โยนเศษกระดาษให้ลิ่วล้อกินเหมือนเดิม มันจะได้รับใช้ถวายหัวโดยไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี และเอากล่องเปล่า ๆ ไปสับเปลี่ยนกับกล่องใบใหม่พวกมันจะได้ไม่สงสัย และนึกว่าพระราชาเล่นตลกกับพวกมันเอง..ในกล่องใบใหม่นี้คงมีเงินทองมากมายที่เพิ่มทุกวันไม่มีวันหมดดังเช่นกล่องซาลาเปาใบแรกอีกเป็นแน่"
       
ชายคนนั้นคิดอย่างย่ามใจ เช้ามืดอันเงียบสงัด ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสบาย ชายคนนั้นเปิดกล่องพอเพียงใบแรกออกมาแล้วกินซาลาเปาลูกที่สองจนหมดโดยไม่แยแส เขาคิดว่ากล่องใบที่สองจะต้องให้อะไรกับเขามากกว่าซาลาเปาเพียงแค่สองลูก หลังจากนั้นก็ย่องเข้าไปประเทศยากจนและขโมยกล่องพอเพียงใบที่สอง โดยนำกล่องพอเพียงใบแรกไปสับเปลี่ยนด้วย จะได้หลอกชาวบ้านได้แนบเนียน  เมื่อได้กล่องมาแล้ว ชายคนนั้นก็รีบเผ่นออกนอกประเทศ เมื่อถึงที่อยู่อาศัยก็ค่อย ๆ แง้มฝากล่องออกดูอย่างตื่นเต้น
       
ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออก แมลงมีพิษมากมายก็พุ่งตัวออกมาและบินเข้าไปรุมกัดต่อยชายผู้ละโมภอย่างเอาเป็นเอาตาย จนวิ่งหนีแทบไม่ทัน ว่ากันว่าชายจอมโลภลวงโลกคนนี้ถูกแมลงมีพิษไล่กัดต่อยไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวและไม่มีใครเคยพบเห็นเขาอีกเลย
       
ฝ่ายประชาชนในประเทศยากจนนั้น เมื่อถึงเวลาเปิดฝากล่องออกก็พบซาลาเปาสองลูกอยู่ในกล่องเหมือนเดิม พวกเขาดีใจมากรีบสรรเสริญพระบารมีพระราชาเป็นการใหญ่ จากนั้นมาประเทศยากจนก็มีซาลาเปาในกล่องพอเพียงอันวิเศษที่ช่วยให้พวกเขาอิ่มท้องและมีความสุขตลอดไป

ขอขอบคุณภาพจากอินเทอร์เนตและขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ที่ทำให้นิทานอีกเรื่องเกิดขึ้น........

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งกว่าการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน

คำว่าสิทธิมนุษยชน คำว่าประชาธิปไตย คำว่าเสรีภาพ ถูกนำมาแอบอ้างใช้ สลับปรับเปลี่ยนกันไปอย่างฟุ่มเฟือยเหลือเฟือในระยะนี้ ด้วยวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อปิดบังความโสมมของคนบางคนและกลุ่มบางกลุ่ม (ที่คุณก็รู้ว่าใครบ้าง) ใช้ลามไปถึงนอกประเทศ ทำให้องค์กรระหว่างประเทศกับประเทศอื่น(ที่คุณก็รู้อีกว่าองค์กรอะไร ประเทศอะไร) ที่กลัวเสียผลประโยชน์เกิดบ้าจี้ ชักกระตุกตามจนถูกกระหน่ำด่าเพจแทบทะลุ (สมน้ำหน้า) 
อยากถามพวกหน้าด้านแอบอ้างเรื่อง “การละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน” นั้นว่า... เคยหันกลับไปมองบ้างไหม หรือ เคยตักน้ำใส่กระโหลก ดูเงาพวกตัวบ้างไหมว่าเคยทำอะไรที่ยิ่งกว่าการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน ไว้บ้าง... ถ้าสมองเสื่อม ความจำสั้นแต่ความเลวยาว ก็จะยกตัวอย่างของความเลวร้ายมากให้ดูกัน
เมื่อครั้ง กลุ่มแดงเดินขบวนและการชุมนุมที่อ้างว่าเพื่อประชาธิปไตย อ้างเสรีภาพอย่างกลวงๆ สั่วๆ แล้วลงท้ายด้วยการเผาเมืองแผ่นดินแม่ของตัวเองนั้น   ลืมไปแล้วหรือว่า มีการละเมิดต่อเด็ก นำเด็กตัวเล็กมากไปอยู่ตามบังเกอร์  ให้ผู้หญิง คนชรา คนรากหญ้าไปอยู่ในที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตสูงซึ่งกำบังพวกตัวเองไว้อีกชั้น ที่ตัวเองยังกลัวตาย ดูๆไปเหมือนทหารประเทศเพื่อนบ้านนรก(ที่ก็รู้อีกนั่นแหละว่าประเทศอะไร) ที่ไร้ศักดิ์ศรีโดยการนำผู้หญิงและเด็กกว่า 600 ครัวเรือนเข้ามาอาศัยอยู่ในฐานทหารตลอดแนวเขาพระวิหาร (อะไรมันจะเหมือนกันได้ขนาดนี้ มิน่าหัวหน้าโจรสองตนกอดกันกลมดิก มันซึมเข้าเลือดกันนี่เอง)   การกระทำเยี่ยงนี้ถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่สิทธิมนุษยชน.. ถูกประณามไปทั่วโลกยังจำไม่ได้อีก  แล้วยังหน้าด้านมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชน.. สะกดเป็นหรือเปล่า 
อันที่จริงพฤติกรรมที่มีลักษณะการใช้เด็ก ผู้หญิง และ คนชรา เป็นโล่ห์มนุษย์นั้นมันเลวร้ายจนเห็นได้ชัด  ตอนนั้นไม่รู้ว่าองค์กรระหว่างประเทศกับประเทศเสรีภาพจ๋ามัวไปอยู่ที่ไหน(สงสัยมัวยุ่งกับอิรัคและปากีสถาน หรือไม่ก็ไล่ล่าบินลาเดน)  โดยเฉพาะกับเด็ก..ทำได้อย่างไร  มันไม่ใช่ความผิดตามกฎหมายเท่านั้น แต่ผิดที่ไร้สำนึก ไม่มีความละอายเลย
ยังมีเหตุการณ์ประปรายแต่ร้ายเลว เช่น ใช้เด็กหญิงพ่อแม่ไม่สั่งสอนอย่างก้านธูปมาขึ้นเวทีจนเกือบหาที่เรียนไม่ได้ ต้องเปลี่ยนชื่อนามสกุลถึงมีที่เรียน ใช้พระมาเดินขบวน(จะพระจริงพระปลอมก็เถอะ)  ตอนนี้เอาคนแก่..อากง(ใครก็ไม่รู้)มาเป็นเล่น  และมีของแถมเป็นตัวร้ายขายนมยาน ไม่อยากจะชมว่าชั่วชาติจัดหนักจัดเต็ม  เรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์วรนุชมาเกิดจริงๆ ใช้แต่เด็ก ผู้หญิง คนชรา อ้างรากหญ้าตลอด เล่นกับจุดอ่อนของคน เล่นกับความทุกข์ยากของคน (แม้ตอนน้ำท่วมคนเดือดร้อนแสนสาหัสก็ไม่เว้น) ทุกอย่างเป็นเกมอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ชีวิตคนอย่างนั้นหรือ ใจมันช่างเหี้ยม ใจมันช่างโหดร้ายเลือดเย็นอย่างที่สุด แบบนี้ยังจะมาแหกปากถามหาสิทธิมนุษยชน  ถามหาความเป็นคนดีกว่า..  
เรื่องการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนนี้เป็นเพียงอีกเรื่องหนึ่ง  จากหลายๆเรื่องที่นำมาสับขาหลอกคนไทย   บิดเบือนเบี่ยงเบนจากจุดสนใจ จากจุดวิกฤติที่ใกล้ประทุ คือ มันมีหลายเรื่องมากที่ชั่วๆ โกงๆ อัปมงคลทั้งนั้นที่ทำไปแล้ว ทำอยู่และกำลังจะทำ จึงสามารถเปลี่ยนประเด็นได้รายวันหากมันจะร้อนเกินไป แต่ประเด็นไหนก็ไม่ทำร้ายจิตใจคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินเท่ากับประเด็นจะแก้ ม.112 เพราะเกี่ยวโดยตรงกับพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักเคารพบูชายิ่งชีพ  อันนี้ยอมไม่ได้ อุเบกขาไม่ได้ เพราะทรพี ทรราชย์เท่านั้นที่คิดและคิดจะทำจนได้  ใครที่วางเฉยก็เท่ากับส่งเสริมให้เกิดการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คุ้มหัวให้มีคนไทย ประเทศไทยอยู่ในแผนที่โลก ที่ให้เราได้มีที่เกิด ที่โต ที่ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองเลี้ยงครอบครัวมาจนทุกวันนี้  ลองคิดดู ต้องมีความกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ โดยเฉพาะพระองค์นี้ที่เป็นเจ้าแผ่นดินที่เราได้เกิดมาเป็นตัวเป็นตน  ไม่งั้นแม่เราจะไปคลอดที่ไหนกัน 
ขอสรุปดื้อๆเลยว่า ความเลวร้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้มีต้นเหตุมาจากคนเพียงคนเดียว คือ ทักษิณ  ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับทักษิณที่จะดื้อด้านอยากมีอำนาจต่อไป ทั้งที่ตนเองหมดสิ้นแล้วซึ่งคุณธรรมความดีงามทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการตระบัดสัตย์ การโกงกิน ทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ประเทศชาติให้พวกพ้อง พฤติกรรมที่ส่งเสริมการจาบจ้วงต่อสถาบันเบื้องสูง การเสี้ยมให้แตกแยก ความดื้อด้านดึงดันไม่ยอมรับผิดโดยการใช้คนอ่อนแอเป็นโล่ห์ให้ตนเอง ขาดอย่างเดียวตอนนี้ยังไม่ได้ใช้้้สัตว์ตัวเป็นๆมาเป็นเกราะกำบัง (เพราะมัวใช้แต่น้องปู พี่เป็ด พวกตะกวดและควายแดงๆอยู่ ยังนึกไม่ถึง) ถือเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรม จรรยาบรรณ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษและเป็นการกระทำที่ขี้ขลาดที่สุด ซึ่งเหมาะกับนรกขุมที่ 8 เท่านั้น

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

My Pitch


มีคุณเพื่อนและคุณน้องอาจารย์เห็นว่าทำสื่อการสอนได้สวย... เข้าใจง่าย เขาเลยขอไปพูดให้นักศึกษาฟังในวิชาสัมมนาการจัดการ... บอกเขาไปว่าเทคนิคอะไรนั้นไม่มี ไม่รู้ เอาที่รู้สึก เอาที่ตอนทำก็แล้วกัน    มันเริ่มต้นจากคำพูดของ Dr. Arnold Itao ตอนที่ฝึกไปเป็นวิทยากรใหม่ๆ และเรากำลังอยู่ในภาวะเกียจคร้าน จำได้แม่น คือ “Your presentation reflects your quality”    อันนี้แสบเข้าไปถึงทรวง  และคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องการทำ presentation อย่างเดียวแล้ว    มันเป็นเรื่องความเป็นตัวตนของเราที่สะท้อนกลับออกสู่งาน   ประมาณ  you are what you eat นี่แหละ     คิดว่า presentation เป็น pitch หนึ่งที่สำคัญในชีวิตของคนเรา  อาจใช้เวลาไม่นาน แต่ส่งผลยาวแน่ๆ เนื่องจากมันส่งผลต่อคนพูด ต่อคน present โดยตรง มันเอาคืนยาก เขาจำกัดเวลา ไม่สามารถแก้ตัวได้อีก  จบแล้วจบเลย จะบอกว่า อุ้ยตาย พลาดไปแล้วขออีกทีน่าจะลำบาก เพราะฉะนั้นอยากเล่าให้ฟังว่าจาก pitch ของตัวเองที่ยึดถือเป็นหลักง่ายๆ ทำ 4 ไม่ใช่ 4 คือ  
ทำด้วยใจ ไม่ใช่แค่จบ
ทำให้ครบ ไม่ใช่แค่ได้
ทำให้คลาย ไม่ใช่ให้เครียด
ทำให้ละเอียด ไม่ใช่สุกเอาเผากิน
ทำด้วยใจ ไม่ใช่แค่จบ !! 
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เหตุที่ผลในการทำ หรือ อยู่ที่ข้อมูลความรู้ที่มีอย่างเดียว มันอยู่ที่ใจมั่นคง มีความตั้งใจ การสร้างความเชื่อมั่นที่เกิดจากอารมณ์ จากใจเรา ส่วนใหญ่จะคิดว่าต้องกระหนำ่ข้อมูลให้เกิดความประทับใจ แต่หัวใจที่แท้ คือ เราจะทำให้เขามั่นใจต่างหาก ซึ่งการจะขับเคลื่อนให้มั่นใจในสิ่งที่นำเสนอได้  เราต้องใช้ใจ ใช้อารมณ์ ไม่ใช่ตรรกะ ต้องเร้าความรู้สึก สร้างการสปาร์คทางอารมณ์ให้เกิด... ทำด้วยข้อมูล ทำด้วยเหตุผลจะได้แค่จบ ไม่ได้ใจ  เราต้องมีใจก่อน ไม่อย่างนั้น ไม่โดน   เพราะว่า presentation คือการเล่าเรื่อง การเล่าเรื่องต้องโดน      A pitch does not take place in the library of the head, it takes place in the theatre of the heart (อันนี้ลอกเขามา)  
เปิดเรื่องต้องช็อคคนได้ก่อน มันถึงจะมีพลัง  อย่างเวลาจะนำเสนองานให้กับลูกค้าที่มีปัญหา  อย่ายืดเยื้อ อวดความรู้มาก ให้ยิงที่ปัญหา  แปลว่าเราต้องแม่นมาก่อน ต้องรู้จริง มันแสดงถึงพลังความจริงใจที่เราใช้เป็นเครื่องมือสร้างอารมณ์ร่วม  มันเป็นเวทีของเรา เวทีที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ แสดงกึ๋นของคนพูด ให้คนได้รับรู้ personal passion ของตัวเราให้ได้  มันจึงต้องมีใจ มี passion ก่อน มันไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องทำ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยใจ ต้องถามตัวเองก่อนว่า..ใจน่ะ มีไหม 
พวกเราคงเคยดูข่าวกันมาเยอะ คงรู้จักคุณกนก รัตน์วงศ์สกุล เวลานำเสนอ หน้าตาท่าทางจะไปด้วยกันหมด เห็นถึงทั้งอารมณ์ หลักการ ความเชื่อที่ชัดเจน มันเป็นเพราะเขาตั้งใจ เขารู้สึกถึงสิ่งที่เขานำเสนอจริงจริง ต่างจากหลายคนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน      presentation อย่าอ่านเด็ดขาด มันแสดงถึงการไม่ได้วางแผน การไม่มีใจ มันขาดพลัง  ซึ่งบางครั้งการพูดที่มีพลังมีความสำคัญมากกว่าความสามารถในการนำเสนอเสียอีก เพราะมันแสดงถึงใจ  การทำด้วยใจนั้น.. ต้องวางแผนอย่างยิ่ง แปลว่าต้องให้เวลากับการเตรียมตัวอย่างดี จัดสรรบทการนำเสนอ รวบรวมข้อมูล ความเห็นต่างๆแล้วเขียนเพื่อให้เป็นการนำเสนอที่มีพลังในการจูงใจ
ทำให้ครบ ไม่ใช่แค่ได้!!
ครบไม่ได้แปลว่ามาก หรือเยอะเข้าไว้ ลงเป็น bullet ตรึมไว้ก่อน..มันไม่ใช่ ไม่สวยงาม   ในที่นี้ความครบหมายถึงการมี theme ของการนำเสนอที่ชัดและต้องเรียบง่ายด้วย  เพราะความเรียบง่ายทำให้คนฟังมีความเข้าใจในสิ่งที่นำเสนอ ไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นคนไม่เก่งที่นำเสนออะไรง่ายๆ  Jack Welsh เคยกล่าวไว้ว่า “Only confident people can be simple”  ความเรียบง่ายจะเป็นตัวบอกถึงความมั่นใจของเรา  การมี theme ทำให้ไม่หลงประเด็น ไม่เกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง ตัดสิ่งฟุ่มเฟือย ส่วนเกินออกได้ง่าย  การทำ slide presentation จะได้ครบ กระชับและมีความเรียบง่าย เทคนิคที่ใช้สื่อสารอาจจะใช้รูปภาพ ใช้ตาราง ใช้โมเดล เป็นเครื่องมือสื่อประเด็นได้ทั้งนั้น อยู่ที่ถนัด และเขียนคำพูดเป็น key wording ใช้เป็นวลีมากกว่าจะเขียนเป็นประโยคก็น่าสนใจ เพื่อให้คำพูดนั้นสั้นและสื่อความหมายให้สอดคล้องกับเครื่องมือที่ใช้สื่อ  อันนี้อาจสวนทางกับของบรรดาครูบาอาจารย์อยู่บ้าง แต่มันมีพลังในการสื่อสารมากกว่าแน่ๆ   
มี theme แล้วจะให้ครบอีกก็คงต้องทำโครงสร้างการนำเสนอด้วย ประกบเข้าไป ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับภาพรวมมากกว่ารายละเอียด เห็นมามากกับการนำเสนอที่คนนำเสนอสนใจรายละเอียดมากกว่าภาพรวมทำให้เกิดความมึน เรียกได้ว่าเป็น avalanche หิมะถล่มใส่หรือ information overload อันนี้หนักหนานัก คนไม่มีวันเข้าใจว่าต้องการสื่อสารถึงประเด็นอะไร เพราะมัน “งงมึนง่วง” ไปล่วงหน้าแล้ว    การจัดโครงสร้างการนำเสนอให้ลองนึกถึงช่วงชีวิตคนเป็นตัวอย่างก็ได้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่ชัด เถียงไม่ขึ้น การแบ่งการนำเสนอเป็นช่วงทำให้เราสามารถทบทวน ประเมิน ปรับปรุงในแต่ละช่วงได้  ซึ่งการแบ่งช่วงนี้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในแต่ละคนก็ได้ถึงแม้จะเป็นเรื่องเดียวกันก็ตาม ลีลาใครลีลามัน เราต้องมีเกณฑ์ของเราเอง อย่างชีวิตคนใช้วัย ใช้เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับชีวิตเป็นเกณฑ์ก็ได้ เป็นต้น  
ทำให้คลาย ไม่ใช่ให้เครียด !!
ไหนๆก็ต้องใช้ใจ ใช้อารมณ์ใส่ลงในการนำเสนอแล้ว  การนำเสนอของเราต้องทั้ง entertaining และ informative   แต่ไม่ใช่ต้องทำแบบเชิญยิ้ม หรือ dancing monkey ลิงหลอกเจ้า   โดยเฉพาะเวลาพูดเรื่องหนักๆ บรรยากาศมันแห้ง เครียดมากเหมือนน้ำนะ ยิ่งนานยิ่งเน่า    ในการนำเสนอมันไม่ผิด มันดีด้วยซ้ำที่จะสร้างน้ำพุ สร้างความชุ่มชื่นบ้างโดยการมีมุขเด็ดที่ทำให้คนสนใจ  ซึ่งการจะมีได้เราคงต้องสนุก ต้องใส่ passion ลงไป   เรื่องแบบนี้มันเป็นโรคติดต่อนะ  ถ้าเราเครียด ทั้งห้องเครียด มันบาปกรรม ถ้าเครียดให้ slow down ระงับอาการ หายใจเข้า และอย่าหายใจออกดังนัก   
คนชอบคิดว่า humor เป็นความเสี่ยง จึงหลีกเลี่ยงกลัวเสียฟอร์ม เดี๋ยวไม่ขลัง ไม่ใช่พระนะที่ต้องการความขลังตลอด พระอารมณ์ดีคนเข้าไปเคารพออกจะเยอะในสมัยนี้  สิ่งสำคัญที่ต้องคลายอีกประการ คือ อย่าจ้องจะเปลี่ยนคนด้วยการนำเสนอของเราจนเกินไป  จากประสบการณ์ของผู้สูงวัยพบว่า เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปยากที่จะไปควบคุมหรือเปลี่ยนแปลง remake ชีวิตคนอื่นให้เป็นไปตามที่เราต้องการ ปลงบ้างแล้วจะสบาย สุขภาพจิตดี อารมณ์ดี บรรยากาศการนำเสนอก็จะดี win win นะ
ทำให้ละเอียด ไม่ใช่สุกเอาเผากิน !!
อันนี้เป็นรายละเอียดปลีกย่อย  แต่ก็มีความสำคัญเพราะมันสื่อสารถึงคุณภาพ ใน slide presentation ของเราอาจใช้หลักของ Guy Kawasaki ก็ง่ายดี คือ 10-20-30 Rule หมายถึง 10 แผ่น ไม่เกิน 20 นาทีและ font ตัวหนังสือไม่น้อยกว่า 30   อีกอันหนึ่งอ่านมาเหมือนกัน เขาว่าเป็น 20-20 Rule ไม่รู้ของใคร คือ ควรมี 20 แผ่น แต่ละแผ่นให้ฉายอยู่ ไม่เกิน 20 วินาที  เพราะจะไม่ทำให้คนเบื่อ  เรื่องนี้มีหลายตำราแต่คงไม่ต้องเคร่งกับมันมาก   เพราะว่าควรต้องละเอียดกับสิ่งที่จะนำเสนอมากกว่า อย่างเช่น การใช้คำที่เข้าใจง่าย ไม่ใช่ก๊อบมาแล้ววางจบ.. จะกลายเป็นจบเห่ เพราะเวลาพูด มันจะไม่คล่องเพราะไม่ได้มาจากความเข้าใจของเรา ไม่ได้เป็นคำพูดของเรา การใช้ศัพท์แสงก็ควรพอประมาณกับคนฟัง ไม่ต้องออกลวดลายลีลาจัดนัก มันจะสื่อไม่ถึง  ให้อ่านข้อมูลแล้วลองนึกดูว่าเราจะสรุปได้สั้น กระชับ แบบประมาณ 15 คำจบได้หรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ พยายามไปให้จนได้  นี่คือละเอียดแล้ว ได้ทบทวนผ่านสมองแล้ว   
การเลือกรูปสำคัญมากเหมือนเขาว่ากัน รูปเดียวอธิบายได้ดีกว่าร้อยคำพันคำ  มันไม่ใช่แค่สอดคล้องอย่างเดียว มันต้องยิ่งกว่าชัด ผสมกับการดึงดูดความสนใจได้อย่างชะงัดอีกด้วย  หรือแม้แต่การเลือก transition การไหลของตัวหนังสือ ก็ยังต้องคิดด้วยอีก อันนี้อาจมากเกินไป แต่มันเป็นความชอบส่วนตัว บางคนอาจบอกว่าเสียเวลา ใช้เวลามากเกินไป นั่นเป็นเพราะสุกเอาเผากินหรือเปล่า ต้องคิด​​  แปลว่ามีเวลาเตรียมตัวน้อย ซึ่งไม่ถูก  มันไม่ใช่เรื่องงานดีไม่ดี สวยไม่สวย ลื่นไม่ลื่นอย่างเดียว บอกตั้งแต่ต้นว่ามันไม่ใช่แค่ presentation แต่มันสะท้อนวิถีชีวิตของเรา อยากละเอียด อยากหยาบต้องเลือกเอง   แต่ให้รู้ไว้ว่าการทำ presentation แย่ๆเหมือนดูถูกคนดูคนฟัง  ละเอียด คือ การให้เกียรติคน ไม่ใช่แค่สร้างการยอมรับในการนำเสนอเท่านั้น 
อยากสรุปว่า... การนำเสนอแต่ละครั้งเป็นการเผย move ของตัวเอง อยากจะโป๊ก็ตามใจ อย่าคิดว่าเราไม่มีศิลปะ เราไม่มีรสนิยมที่จะทำให้มันออกมาสวย ออกมาดี ความประทับใจไม่ได้เกิดจากความสวยเท่านั้น สวยไร้สาระไม่มีประโยชน์   ความตั้งใจของเราต่างหากที่จะสื่อออกมาให้คนรับรู้ได้  พวก gimmick สวย ลูกเล่น มันฝึกกันได้ อยู่ที่ใจอยากฝึก อยู่ที่เห็นความสำคัญของสิ่งที่ทำ และเหล่านี้อยู่ข้างใน..ในตัวตน ถ้าคิดแค่แก้ผ้า เอาหน้ารอดก็ไม่สามารถสร้างและสื่อคุณค่าของการนำเสนอได้

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แบ่งปันเรื่องความคิดเชิงระบบ

เรื่อง “ความคิดเชิงระบบ” สอนแนวคิด หลักการไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยาก คือ จะสอนอย่างไรให้คนคิดเป็นระบบ เชื่อว่าความคิดที่เป็นระบบเป็นเรื่องข้างในมากกว่าข้างนอก หมายความว่ามันเป็นเรื่องของ “คุณเป็นคนอย่างไร” “คุณมีค่านิยมอะไร” “คุณได้รับการปลูกฝัง เรียนรู้อะไรมา” มันเป็นเรื่องข้างในที่มีผลต่อความคิด ไม่ใช่เรียนรู้หลักการ มีความรู้อย่างเดียวแล้วจะสามารถคิดเชิงระบบได้ มันเป็นเรื่อง mental model ของปัจเจกบุคคลที่จะทำให้ต้องเราปรับก่อนที่สามารถคิดเชิงระบบได้  เป็นความจริงที่ว่าถ้าเรามอง หรือสนใจแต่ผิว ไม่ลงถึงเนื้อ ถึงกระดูก เราจะไม่มีวันเปลี่ยน พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นได้ เช่นเดียวกับการคิดเชิงระบบ     ถ้า System Theory บอกเราว่ามันเป็นการมองความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆแบบองค์รวม       โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุก อยางเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ใหญ่ขึ้นไป  ไม่มันจบอยู่แค่นั้น มันอยู่ที่ตัวอัตวิสัย ตัวตนของเรา subjectivity มากๆที่จะเข้าไปทำความเข้าใจ  มันคล้ายๆกับเรื่องตาบอดคลำช้าง เช่น คนเป็นโรคหัวใจ คุณหมออาจวิเคราะห์ว่ามาจากสาเหตขุองเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ   แต่ถ้าให้สถาปนิกวิเคราะห์อาจได้คำตอบว่าบ้านไม่ดี ที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมก็ได หรือถ้าให้หมอดูวิเคราะห์คงได้ไปแก้กรรมกันบ้าง ให้คนอื่นวิเคราะห์อีก อาจมีมุมมองไปต่างๆนานา  แล้วที่ว่าความคิดเชิงระบบ เชิงองค์รวม big picture มันเป็นยังไง หัวใจไม่ได้อยู่ที่เรารู้อะไร หัวใจอยู่ที่เราจะปรับมุมมองให้กว้างขึ้นได้อย่างไร แก้ไขข้อจำกัดด้านค่านิยมที่ไม่เอื้อต่อการคิดเชิงระบบอย่างไร เพื่อเห็นถึงความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆทั้งหมดว่ามันสัมพันธ์กัน ปญหาตางๆ มากมายในโลกนี้ ในสังคมนี้รวมถึงในองค์กรของเราสวนใหญ่มีที่มาจากการยึดติดยึดมั่นถือมั่นใน "มุมมอง" ของตนเองเป็นใหญ่ มันจึงเป็นระบบสมบรูณ์ได้ยาก  
สองมุมมอง ห้าขั้นบันได
ขอขยายความคิดด้วยการเริ่มจาก 2  มุมมอง หรือ ทรรศนะ (perspective) ก่อน   เพราะเป็นสิ่งที่น่าสนใจเมื่อเราพูดถึงความคิดเชิงระบบ    Joseph O’Connor และ Ian Mcdermott พูดถึงมุมมองว่า แต่ละคนมีมุมมองแตกต่างส่งผลถึงการรับรู้ เราจะรู้ได้ถูก ต้องอยู่ที่ระยะห่างที่เหมาะสม แปลว่าใกล้ตัวเองมากๆไม่ดีแน่ ไกลเกินไปก็จะเห็นแต่ใหญ่ๆรางๆ ไม่ได้รับรู้ภาพจริงอีก ซึ่งเหล่านี้แหละที่หล่อหลอม เสริมแรงรูปแบบความคิด ให้อยู่ในมุมเดียว วิธีคิดก็จะแคบไปถนัดใจ คิดเป็นระบบได้ยาก ที่เรียกกันว่าการมองแบบเข้าใน (inward looking) มันอัตวิสัย (subjective) มาก เชื่อไม่ค่อยได้  ขอแนะนำให้ลองถอยมาสักก้าว มองแบบภววิสัย (objective) ด้วย คือ มองแบบ outward looking ออกนอก  มองตามสภาพจริง  การจะประยุกต์เข้ากับความคิดเชิงระบบเราคงต้องยืนแลกหมัดทั้งในและนอกใน สร้างความมั่นใจในการรับรู้ ขยับเข้าไปใกล้การมองเชิงองค์รวม  ซึ่งจะได้ไม่ได้ก็ขึ้นกับวิจารณญาณและภูมิปัญญาของแต่ละคนแล้ว ที่จะมองหามุมมองใหม่ที่จะเกิดความสร้างสรรค์ ความเป็นระบบ
สำหรับ 5 ขั้นบันได ลองคิดตามที่นักวิชาการได้นำเสนอมา ที่เขาเรียกว่า system thinking iceberg ก็น่าสนใจเหมือนกัน เพราะมีหลายสิ่งที่ซ่อนใต้ผิวน้ำ อาจทำให้เรามองโลกเก่าๆภายใต้ดวงตาใหม่ได้ คือ 

ขั้นแรก สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น (ต้องกังขาไว้ก่อน) ส่วนใหญ่เรามักใช้เวลากับเหตุการณ์ในชั้นนี้มากเกินเพราะว่าชั้นปรากฎการณ์ (event level) มันชัด ได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว ถ้าติดอยู่ขั้นนี้ก็แก้ปัญหาแบบ reactive ไป  ตั้งรับทั้งชาติ ไม่มีวันเห็นครบ
ขั้นแนวโน้ม แบบพฤติกรรม อันนี้ต้องลงบันไดเลื่อนไปอีกหน่อย จะมีปัญญาขึ้นอีกนิด คือ ถ้าเรารู้ถึงขั้น pattern เราจะสามารถคิดวางแผน คาดการณ์ได้มากขึ้น ดีกว่าตั้งรับอย่างเดียวแน่ๆ เพราะเราจะรวบรวมเหตุการณ์ที่เจอ ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลมาประมวล มาสรุปเป็นรูปแบบว่าเจอแบบเดิมๆจากเหตุการณ์ มันจะต้องเป็นอย่างนี้  ขั้นนี้เข้าใจว่าเป็นเรื่องหลักการ ทฤษฎีที่ใช้กันทุกวันนี้แหละ (ซึ่งยังไม่ครบอยู่ดี) 
ขั้นโครงสร้างพฤติกรรม (structure level) ต้องลงลึกไปอีก จึงเริ่มเห็นความสัมพันธ์ อาจไม่ง่ายที่จะเห็นชัดแบบ event แต่ถ้าได้ pattern แล้ว โครงสร้างมักจะตามมา  เป็นเรื่องของ cause and effect เป็นการตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรเป็นสาเหตุของสิ่งที่เป็น pattern ที่ได้มา ถึงขั้นนี้แปลว่าเริ่มคิดเป็น..เป็นระบบบ้างแล้ว เป็น proactive มากขึ้น
ขั้นตัวแบบความคิด ขั้นนี้ส่งผลอย่างยิ่งต่อโครงสร้างพฤติกรรม เป็นเรื่องความคิด เหตุผลที่ฝังอยู่ มาจากทั้งทัศนคติ ความคาดหวัง ประสบการณ์ที่คนได้รับ  การแก้ปัญหาในระดับนี้จึงยากเพราะคนไม่รู้ว่า mental model ของตัวคืออะไร หรือมีคนบอกก็ไม่อยากจะรู้  หนักกว่านั้นคือการบอกถึง mental model ของตัว แต่ไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นแบบที่กล่าวอ้าง ถ้าเราบอกว่าวิธีการคิดเชิงระบบเป็นเรื่องการเชื่อมโยง อันนี้จะทำให้เกิดการเชื่อมได้ชัดมากขึ้น เพราะลงลึกไปถึงตัวแบบความคิดของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน 
ขั้นล่างสุด ความเชื่อ ค่านิยมเป็น invisible container ที่ห่อหุ้มชีวิตคน ถือเป็น core ของทุกอย่าง เป็น DNA ที่ระบุว่าคนจะคิดเชิงระบบได้หรือไม่ เป็นตัวที่คนรู้ แต่ไม่ค่อยอยากแตะ เพราะยากที่จะเปลี่ยนและใช้เวลาที่จะปรับอันเนื่องมาจากการสั่งสมวิถีธรรมเนียมปฎิบัติและการเรียนรู้ของคน ดังนั้นจะมองรอบ มองครบ มองเป็นระบบ คนต้องสามารถเห็นถึงข้อจำกัดในการมองของตัวเองก่อนโดยลงลึกไปถึงอิทธิพลของค่านิยมที่โอบล้อม มันอาจจะยาก ค่านิยมบางอย่างก็ตรวจสอบยาก หรือไม่อยากจะตรวจเพราะไม่อยากเปลี่ยน โดยเฉพาะเรื่ออคติ อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน รู้ไปก็ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามไป
จากภาพข้างบนมันเหมือนกับเราหัดลงบันไดเลื่อนไป 5 ระดับ เป็นการลงลึกทางความคิดอย่างสวยงาม ค่อยๆลงอย่างมีเห็นมีผล เป็นขั้นๆอย่างมีระเบียบความคิด เป็นการเปิดประตูแรกสู่ความคิดเชิงระบบที่อาจเปิดโลก เปิดมุมมองใหม่ให้เราได้ ยิ่งลงลึกยิ่งมีความคิดแตกฉาน มีนวัตกรรมทางความคิด แต่ต้องระวังว่า..ยิ่งลงลึก ยิ่งยากในการปฎิบัติ แต่มันคุ้มค่าเพราะจะเกิด big impact ที่อยู่กับเราไปอีกนาน
วิธีคิดเชิงระบบ
มีหลากหลายวิธีทั้งของฝรั่งของไทย สามารถหาซื้อหาอ่านได้ทั่วไปในท้องตลาด  แต่จะยกมาเพียงสองวิธีที่เป็นความชอบส่วนตัว คือ การคิดแบบโยนิโสมนสิการและ six thinking hats ของ Edward de Bono วิธีแรกครบ ลึกซึ้ง วิธีที่สองฮิต ง่ายแก้การเข้าใจ
การคิดแบบโยนิโสมนสิการเห็นว่าครบที่สุด ตอกย้ำได้เหมาะกับคนไทย (เพราะลืมง่าย ต้องซ้ำๆ)  เป็นการคิดแบบลึกซึ้งถึงต้นตอ คิดสะท้อน คิดสะเทือน คิดซ้ำ คิดหลายมุม คิดให้ถึงรากเหง้า เป็น system thinking แบบชาวพุทธ    ขอมาจากการประมวลวิธีคิดจากทานพระธรรมปฎก มี 10 วิธี ชื่อคงอ่านยาก จำยากแต่แปลแล้วชัดแจ่ม เห็นถึงวิธีที่จะคิดเชิงระบบได้อย่างดี
    1. ปฏิจจสมุปบาท (interdependent) เรียกง่ายๆว่า คิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย สิ่งต่างๆล้วนเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน มีเงื่อนไขต่อกัน สัมพันธ์กัน  ถือเป็นต้นแบบ system theory เลยอันนี้ butterfly effect เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ไม่ต้องเสียเวลาอ่านหนังสือฝรั่ง 
    2. ขันธวิภังค์ (analysis) คิดแบบวิเคราะห์ แยกแยะองค์ประกอบ เป็น critical thinking 
    3. ไตรลักษณ์ สามกระแส (three streams) คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คิดแบบเท่าทันว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ต้องเท่าทัน การจัดการสมัยใหม่เน้นเรื่อง change อย่างเดียวในการบริหารที่คิดถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ไตรลักษณ์ช่วยให้คิดได้และปลงได้ด้วย 
    4. อริยสัจ 4 (problem solving) คิดแบบแกปัญหา แก้ทุกข์ พิจารณาว่าทุกข์-ปัญหามีอะไรบ้าง สมุทัย -เหตุอยู่ที่ไหน นิโรธ-แนวทางการแก้ปัญหา เป้าหมายคืออะไร มรรค-วิธีการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย เป็น model ที่ classic ที่สุด
    5. คาแท ค่าเทียม (true & artificial value) ไม่ให้หลง ให้คิดถึงความจริง ไม่ต้อง scenario thinking มากนัก
    6. กุศลภาวนา (moral development) คิดดี คิดเชิงคุณธรรม ไม่ถือสันโดษในการทำงานให้เต็มที่ หาความรู้เต็มที่ ทำความดีเต็มที่ คือ คนที่ถือคุณธรรมความถูกต้อง จะใจกว้าง การใจกว้างจะทำให้สามารถมีการรับรู้ที่ดีกว่า ไม่ subjective มากเกิน มองได้รอบ ไม่มีอคติจึงคิดเป็นระบบได้ดีกว่า
    7. สามมิติ (three dimension) ดูผลดี ผลเสีย ดูวิธีการ คุณ โทษ ทางออก 
    8. อรรถธรรมสัมพันธ์ (cause effect relation theory) คิดแบบสัตบุรุษ คือ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักบริษัท รู้จักบุคคล ก่อนคิด
    9. สติปัฏฐาน (now theory) อยู่ในปัจจุบัน อยู่กับความจริง 
    10. วิภัชชวาท (dialectic theory) คิดหลายด้าน แยกแยะประเด็นให้ชัด 
ถ้าชอบฝรั่ง วิธีที่ฮิตกันมาก คือ six thinking hats ของ Edward de Bono หัดใส่หมวกให้ครบหกสีช่วยให้คิดได้รอบด้าน อธิบายได้ง่ายๆดังนี้ 

หมวกสีแดง หมายถึงอารมณ์ ความรู้สึก นอกจากเหตุผลแล้ว ธรรมชาติของคนยังประกอบด้วยอารมณ์ ความรู้สึก กระทั่งลางสังหรณ์ที่อธิบายด้วยเหตุผลได้ยาก อาจกล่าวได้ว่าหมวกสีแดงตรงข้ามกับหมวกสีขาว ขณะที่หมวกสีขาวเสนอข้อมูลที่เป็นจริงที่เกิดขึ้น เป็นข้อมูลความรู้ มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน   สำหรับหมวกสีดำ มีแนวคิดเชิงลบอยู่ด้วย แต่เป็นการพิจารณาตั้งข้อสงสัยก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อลงไป เป็นการคิดที่มีเหตุมีผล มีความรอบคอบ ป้องกันความเสี่ยง  หมวกสีเหลืองเหมือนกับหมวกสีดำตรงต้องอาศัยเหตุผลมาสนับสนุนความคิด แต่ขณะที่หมวกสีดำเป็นการตั้งข้อสงสัย หาสิ่งซ่อนเร้นแอบแฝง หมวกสีเหลืองจะคิดถึงในแง่บวก เต็มไปด้วยความหวัง การมองไปข้างหน้า โลกสีชมพู คิดถึงประโยชน์ของเป็นหลัก    หมวกสีเขียว คือ ความคิดที่สร้างสรรค์ นำมาซึ่งทางเลือกใหม่และวิธีแก้ปัญหาใหม่ อาจไม่ต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นมาสนับสนุนก็ได้ เพราะเพียงการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นสำหรับการสำรวจตรวจสอบความเป็นไปได้ของแนวคิด    หมวกสีฟ้าเป็นหมวกคิดของการวางแผน คิดรวบยอด การจัดลำดับขั้นตอน ครอบคลุมประเด็นต่างๆ มีข้อสังเกตุ มีข้อสรุป    ซึ่งการคิดแบบ six thinking hats เป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ฝึกฝนและพัฒนาได้ จะช่วยให้เราสามารถคิดอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนในการคิดอย่างสร้างสรรค์และสามารถแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น 
สรุป
การคิดเชิงระบบได้ ต้องเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง  ต้องไปด้วยกัน สร้างให้คนเก่งได้ เรียนรู้เรื่องคิดเชิงระบบ คือ เก่งรู้ เก่งหลักการได้ไม่ยากขนาดนั้น วิธีการมีมากมาย  แต่การสร้างให้เป็นคนดีด้วยเพื่อที่จะมองได้ครบทุกมิติจริงๆ มองอย่างเป็นธรรมยากกว่ามาก มันเป็นเรื่องมโนธรรม จิตสำนึก คุณธรรม ความใจดี ใจกว้างที่ไม่มีมิจฉาทิฐิมาบดบังเรื่องการคิดเชิงองค์รวม เป็นคนที่สามารถปรับสมดุลในตนเองได้ ซึ่งจะต้องไม่มีจิตเบื้องต่ำมาขับเคลื่อน ก็จะทำให้ตัวเองสามารถคิดเชิงระบบได้สรุปคือ ต้องมี IQ ความรู้ ไหวพริบ เฉลียวฉลาด รู้แจ้งถึงความดีความชั่ว พาตนเองแจ้งในทางที่ดีควร ประพฤติปฏิบัติได้  มี EQ มีความอดกลั้น สติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยุ คือ โลภะ โทษะ และโมหะ สามารถเกิดปัญญาได้   มี AQ  มีความอดทน มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค รู้จักเสียสละ ยึดมั่นความดี  มี VQ คือไม่ยึดติดกับสิ่งไดสิ่งหนึ่งจนเกินพอดี ปรับเปลี่ยนตนเองได้ตลอดเวลาให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างเหมาะสม และสุดท้ายมี MQ เป็นคนมีศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม มีสำนึกของ "ความผิดชอบชั่วดี" มีความละอายใจต่อบาป ไม่ประพฤติชั่ว มีจิตใจที่ผ่องใส   ได้ทั้งหมดนี้เป็นการปรับตัวเอง ณ ขั้น invisible container ที่จะส่งผลไปถึงการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในการคิดเชิงระบบ 
สุดท้ายฝากให้คิด.. คิดอย่างเป็นระบบต้อง...
สงสัย กังขา
ใฝ่หาข้อมูล
เพิ่มพูนความคิด
สนทนาเปิดจิต
เสนอความคิดกลุ่มใหญ่ 
มีสาระมั่นใจร่วมกัน

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นึกว่าคิดไปเอง..ขอบคุณทุกคอมเมนท์..



MLcomputer Trang ประสบความสำเร็จเป็นนายก(ทำลายชาติ)ซึ่งบริหารจัดการน้ำจนประเทศชาติย่อยยับเสียหายเป็นแสนล้าน
Daeng Natdhayar กล้านะ...กล้านัก กับการ "เลีย" แบบชัดเจนไม่แคร์สื่อ..นี่หรือปัญญาชน ที่เขาเรียกขานกัน...
สีฟ้า รักในหลวง อายเป็นที่สุดค่ะ ในฐานะศิษย์เก่า มช. ขอสารภาพว่า "อายมาก" ค่ะ
วิษณุ รักในหลวง กำลังจะถามว่า รุ่นน้องทั้งหลาย ภูมิใจกับรุ่นพี่มั้ยเนี่ย พอดีคำตอบมาก่อนคำถามซะอีก 555+
Badman Rt จาเลียยยกัลปัยถึงน๋ายยย...เฮ้อ
บุศราคัม สงวนธำมรงค์ พูดไม่ออกเลยแฮะ
Kulachatr Chatrakul Na Ayudhya ดีเด่นตรงไหนอ่ะ ที่ผ่านมาเธอไม้ได้แสดงออกถึงความเป็นผู้นำยังไม่พอ เธอยังแสดงออกถึงความไม่มีสติปัญญาด้วยในหลายๆเรื่อง มช.ควรปล่อยเวลาให้มันผ่านเลยไปมากกว่า เสียหายน๊ะคราวนี้  คนเรา....ต่อให้เหนือกว่าศาสตราจารย์ก็เสร็จนักการเมือง มีสมองแต่ไม่เอาไว้คิด เอาไว้ปฏิบัติตาม...วันนี้แรงส์ ได้ด่าอธิการฯ มช.
Kunaporn Kanakupt ส่งผลกระทบต่อเนื่องไล่ยาวไปถึงชั้นมัธยมปลายเลยนะนั่น
Hbn-Nutt Smk เฮ้อ ... มช. คิดอะไรอยู่เนี่ยะ ...
Nina Maybe เอาใจกันเข้าไป เฮ้อ อีกอย่างนายกของประเทศไทยคนนี้คงสะกดคำว่าอายไม่เป็น!
ปรกฤษฎ์ อรกิจพูนพวง เค้าให้ช่วยกันหาครับ เพราะ หาไม่เจอจริงๆ ^.^"
นิพนธ์ สุวรรณรังษี เอาแล้วไง พูดเล่นกับเพื่อนพี่น้อง มช.ด้วยกัน ทุกวันนี้ก็อายแทนนายกในฐานะเคยร่วมสถาบัน
Nopadol Prompasit บทความนี้ ระดับความแรง ขนาด 9 ริคเตอร์ อ่านแล้วสะอึกแทนอธิการบดี มช. เลย
Atcha Srisumarl แรงดีค่ะ แต่จริง มช ตกต่ำทางด้านศีลธรรมสุดๆ
Supanut Taweesuk ตอบแทน ก็เธอเป็นศิษย์เก่า คนแรก ที่ได้เป็นนายก นี่
Sophon Ariyakul ในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่งหาคนที่ดีไม่มีแล้วเหรอท่าน
HonGame ขอเป็นข้ารองพระบาท เรารักในหลวง เขาก็คงคิดแค่ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้นแหละ เหมือนโฆษณามหาลัยไง แต่ในด้านที่ไม่ดีนะ
สิทธิพร ฤทธิสรไกร รัก ชัง อย่างไร ก็ว่ากันไปตามความคิดเห็น ถึงแม้ว่าดูจะใช้อารมณ์และอคติอย่างสุดโต่ง จนดูเหมือนคนที่ชัง แทบจะไม่เหลือความเป็นคน แต่พูดก็พูดเถอ ะ เราให้คุณค่าหรือจริงจังกับรางวัลอย่างนี้ (และรางวัล 'เหมาโหล' อื่น ๆ ของสยามประเทศ) กันเกินไปหรือเปล่า
Maneesang Chaiyachet Love ซื้อได้ทุกอย่างจริงๆ
Wiraphat Noowong ไม่ได้จบ มช. แต่อายแทน
Parinya Ak-karachinores จบแล้ว มช !!!!!
Parinya Yahouse ไม่กดไลค์ใด้ปะ เซ็งโคดโคด ไม่อยากบอกใครเลยว่ามันเป็นรุ่นพี่กรู เซ็ง
Nattapong Bie หมดกัล มช.
PaLakoo TAko เอ่อเสียเงินไปเท่าไหร่อ่ะ ถึงได้
Aom Thanantha อยากให้เค้าเอาเกรดมาโชว์ด้วย
Kris Surachatchaikul น่าอนาจคณาจารย์ไม่มีไรทำหรือไง สงสัยต่้องเอาสถานศึกษาออก เดี๋ยวหางานไม่ได้ มหาลัยแดง
แรงบันดาลใจ คุณความดี Amazing in มช. ^^
Jitpong Tansahawat รอดตัวไปลูกไปติดที่อื่น
Pathai Chundakowsol ชาวบ้านบ่่นว่าโง่ กันทั้งบ้านทั้งเมือง
คณะกรรมการเหล่านี้ มาชะเลียว่าดีเด่นเหรอครับ...
หยามเกียรติ ศิษย์ มช. ชัดๆ.....
Siri Lakana ยกยอห่อไข่กันเข้าไป..
Thummanit Phuvasatien พ่อช้างดูเฉยๆ แถมอวยอีกต่างหาก เฮ้อ :((
Polpamorn Visith Longlivetheking for what?
Wilailak Saraithong เหตุผลที่เบื่อ เซ็งอธิการ เท่าที่มีอยู่นี่ ไม่พอหรือไง
มันอะไรกัน..โว๊ย

Kroongtana Mimnu นอกจากเข็ม ก็ขอมอบ ดอกไม้ให้ อี(ก)ดอก
Patphan Paichayon ใครขึ้นมาก็ไปอุ้มก้นให้เค้าหมด อาจารย์ มหาวิทยาลัย อีกหน่อยก็ให้ศิษย์เก่าดีเด่นกับ นายก อบต. ก็ได้ คนจะได้ไปเล่นการเมืองกันให้หมด
Sineenart Santidherakul ขอขอบคุณที่ไม่โหวตให้หล่อนเป็นศิษย์เก่าดีเด่นของเรนาค่ะ เพราะแค่นี้ก็จะเอาหน้ามุดดินอยู่แล้ว เวลาใครมาถามว่าจบที่เดียวกะหล่อนเหรอ....แอร้ยยยยยย เจ็บกระดองใจ
Poon Moratat ดิฉันก็ศิษย์เก่าคนหนึ่งค่ะ และก็เชื่อมั่นว่า ยังมีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เป็นคนเก่ง คนดี อีกมากมาย....
Lucif Samael ไม่มีไรมากครับ...
อธิการจะเลีย แค่นั้น!!!

Sor Pinya ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้สีรู้สาอะไรเลย?
V For Thailand ศิษย์เก่า "โง่ดีเด่น" ประจำ มช.
Khun Nok Yung อ้าว ไรฟ่ะ วิจารณ์ไม่ได้อีก ผู้นำต้องฉลาดนะ ชาติจะได้เจริญ (อย่างน้อยฉันก็เรียงหลักถูกล่ะกัน สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน... เป็นไงล่ะ เก่งกว่าเห็นๆ)
Phoenix Seen ‎5555+ปู เชิญยิ้ม ตลกหญิงคนใหม่ของวงการ
Nhu Duangduen โง่ สุดๆ
Nualchavee Joothasawad พี่ชายบอกว่าต้องยอมรับในความโง่ใครเค๊าด่าก้อต้องทนเพราะมึงโง่จิงๆทนๆไปก่อนน่ะ มีภาระกิจหลายเรื่องรอแป๊บน้ะน้องโง่ๆ สู้ๆ ดูมันสอนกันเด้
Jrw de Timsook เสียสถาบัน
Wirach Pansubkul จบที่นี่เหรอ จ่ายเท่าไรอะ เงินซื้อได้ทุกอย่าง ยกเว้นความโง่ เพราะมันมาเองติดตัวมาแต่กำเนิดมะต้องจ่ายซักบาท ไอ้แม้วโคตรภูมิใจในน้องสาวมันเลย
Oran Iemsawat ขอสนับสนุนการวิจารณ์ด้วยครับ ผมไม่มีคำด่าเพราะคุณด่าได้สะใจครับ
Noi Orawan ก็คิดอยู่เหมือนกันว่า..มันเคยเรียนที่ไหนมาบ้าง จะได้ไม่ส่งลูกหลานไปเรียนที่เดียวกัน..สรุปว่า ทำเสียสถาบันแต่ได้ดี..เซ็งแทนชาว มช.

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับโล่เข็มเชิดชูเกียรติ และประกาศเกียรติคุณในฐานะศิษย์เก่าผู้ประสบความสำเร็จของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขอถามอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่


นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับโล่เข็มเชิดชูเกียรติ และประกาศเกียรติคุณในฐานะศิษย์เก่าผู้ประสบความสำเร็จของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  

ในฐานะศิษย์เก่า ขอบอกว่าของขึ้น...อนาจใจ ไม่ทราบว่าคนที่เป็นอธิการบดีปัจจุบันและกรรมการพิจารณาเรื่องศิษย์เก่าดีเด่นปีนี้ทำได้อย่างไร เอาอะไรมาคิดแทนสมอง

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นคนที่คนมีปัญญาในประเทศนี้ลงความเห็นว่า โง่อย่างยิ่ง แปลว่าคนจบมอชอนี้มันต้องโง่มากหรือไงท่านอธิการ..จึงจะเป็นศิษย์เก่าดีเด่นได้  หัวหงอกแล้วไม่รู้จักคิด หรือ อามิสมันอุดหัวจนสมองเสื่อม คนที่เป็นนายกได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าเหี้ยฟักไข่เป็นตัว คนที่ไปกอดกับฮุนเซนเขมรชั่วที่จ้องฮุบแผ่นดินไทย คนที่แม้แต่พูดภาษาแม่ตัวเองยังไม่ชัด พูดภาษาที่เป็นสากลอย่างไม่รู้ความหมาย คนที่ไม่เคยรับผิดชอบต่อการกระทำความฉิบหายให้ประเทศยามมีอุทกภัย คนที่จ้องจะขออภัยโทษ จะแก้กฎหมายให้ทรราชย์ทักษิณนักโทษแผ่นดินกลับเข้าประเทศโดยไม่ต้องรับโทษ แต่ที่หนักข้อและรับไม่ได้ที่สุด คือ การเพิกเฉยต่อการ กระทำสามานย์ทั้งหลายที่เป็นการล่วงละเมิดและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ ทั้งของแกนนำแดงนรก พรรคควายทั้งคอก ตลอดจนนักวิชาการสุนัขรับใช้ที่จะแก้ ม. 112 จะสร้างรัฐไทยใหม่ การสถาปนาหมู่บ้านแดง อำเภอแดง จังหวัดแดงและอีกหน่อยคงเป็นประเทศแดง ที่ปลดรูปองค์เหนือหัวแล้วติดรูปไพร่ตัวพ่อแทน และล่าสุดตัวนายกเองไม่รับผิดชอบต่อการโพสรูปพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ในวันมหามงคลของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 และความเลวอุบาทว์อีกมากมายจารนัยไม่สิ้น.. คนแบบนี้หรือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยกย่องให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่น.. ควายเท่านั้นที่ทำได้

การตัดสินใจครั้งนี้ของมอชอ คือ การตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เปิดมหาวิทยาลัยมา เพราะไม่เพียงแต่ทำร้ายจิตใจลูกช้าง ทำร้ายจิตใจคนไทยที่มีความจงรักภักดี แต่เป็นการการจงใจทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายค่านิยมดี ค่านิยมที่ถูกต้องให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย เพราะมันหมายความว่า
เลวไม่เป็นไร
โกงไม่เป็นไร
ไม่รับผิดชอบไม่เป็นไร
โง่ไม่เป็นไร
ที่สำคัญ..ไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ก็ยังไม่เป็นไร
ไอ้ไม่เป็นไรก็นับว่าทุเรศสิ้นดีแล้ว.. ยังทำอัปยศ ซ้ำเติม ตอกย้ำให้ทุกคนเห็นเป็นว่าตัวอย่างที่ดีเด่น จนได้รับประกาศเกียรติคุณจากมหาวิทยาลัย.. ประกาศให้รู้กันทั่วว่าคนไทยต้องเป็นคนแบบนี้ถึงจะได้รับการยกย่อง.. สติปัญญามันพร่อง อับจนความคิด มีสมองเอาไว้คั้นหูอย่างเดียวหรือ จึงสามารถตัดสินใจได้อย่างนี้... 

การที่ยกย่องคนเพียงเพราะตำแหน่งที่ได้รับนั้นนับว่า.. เป็นความเขลาอย่างยิ่ง เบาปัญญาอย่างหาที่สุดไม่ได้ เป็นเรื่องของคนฉาบฉวย กลวงที่สุด ไม่ควรเกิดขึ้นในสถาบันที่ผลิตบัณฑิตเลย จะเรียกตัวเองว่าเป็นครูบาอาจารย์ได้อีกหรือ ไม่มีความละอายบ้างหรือ  ไม่รู้ว่าคนอื่นทนกันได้อย่างไร ขอเรียกร้องให้พี่น้องลูกช้างทำการคัดค้านอย่างหนักในสังคมออนไลน์นี้ ได้ผลอย่างไร ไม่ห่วง ขอให้คนรู้ว่ามีกลุ่มคนที่ไม่ยินยอม ไม่ยอมรับการตัดสินใจที่อยู่บนพื้นฐานของความหลงผิด มิจฉาทิฐิของอธิการบดีและกรรมการชุดนี้..