วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 51


"เป็น อยู่ คือ" 
...เป็น...เป็นเรานี่แหละ
...อยู่....อยู่ที่นี่ ตรงนี้...
...คือ....คือ แก่ คือ เยอะ คือ ยาก หรือจะ "คือ" อะไรก็แล้วแต่...
ที่แน่ๆ...ชื่นชมชีวิตในขณะที่ "เป็น อยู่ คือ...." 

ชีวิตคนเราเป็นเหมือนกับซีรี่ส์ของภาพ !!
..เวลาเรามองจากในรถที่แล่นบนซุบเปอร์ไฮเวย์ 
ภาพมันผ่านไป...ทุกวันทุกเวลา...
แต่มีบางภาพที่ไม่เคยผ่านไปจากใจ... 

เราไม่ต้องทำอะไร...
แค่ keep the memories and find ourselves moving on ก็แค่นั้น

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

ศักดิ์ศรีของมนุษย์.....ที่ต้องมีเหมือนเหมือนกัน

ศักดิ์ศรีของมนุษย์.....ที่ต้องมีเหมือนเหมือนกัน เท่าเท่ากัน ไม่ใช่ใครมีมากกว่าใคร.....
ที่น่าชังมากที่สุดประการหนึ่งในโลกนี้ คือ ใจและพฤติกรรมที่บั่นทอนศักดิ์ศรีคนอื่น เราอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันเรื่องใหญ่เลยทีเดียวและอาจถึงชีวิต เช่น การเมา ความประมาทแล้วขับรถชนผู้อื่นเสียชีวิต เหมือนกับกรณีรถเบนซ์ฝ่าด่านไปชนรถฟอร์ดไฟลุกไหม้ มีคนในรถฟอร์ดเสียชีวิตไปสองคน เราอาจคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่มันไม่ใช่ มัน คือ การไม่เคารพในศักดิ์ศรีของผู้อื่น คนขับเบนซ์คิดว่าชีวิตคนอื่นไม่มีความหมาย คิดว่ารวยแล้วสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่มีทางเดือดร้อน จึงทำลงไปอย่างไม่การคิด ขับรถเร็วได้ ฝ่าฝืนกฎจราจรก็ได้ นั่นคือหยามทั้งคนอื่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษากฎหมาย  หรือ อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เห็นกันบ่อยๆ เช่น การจอดในที่ห้ามจอด การจอดรถขวางทางผู้อื่น ที่หนัก คือ จอดในที่จอดของผู้พิการ คนทำอาจบอกว่าไม่เห็นมีใครตาย คิดแบบนี้ คือ ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นคนเหมือนกันไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น คิดแต่เรื่องของตัวเองจนเป็นนิสัย ลืมไปว่าคนอื่นก็เป็นคน มีความรู้สึก มีศักดิ์ศรีความเป็นคนเหมือนตัวเอง
ใจและพฤติกรรมแบบนี้มันต้องหยุด...ไม่เช่นนั้นจะเป็น...สันดาน ขุดยาก!!
แต่โลกใบนี้ที่ยังน่าอยู่เพราะมีคนที่คิดถึงคนอื่นว่า "เท่าเทียม" กัน ไปเจอบทความที่พูดถึงโรงทานใน Kansas City  คำว่าโรงทานนั้น ดูเผินๆก็น่าจะดีแล้ว เป็นความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่อดอยาก แต่คนที่นั่น "ละเอียด" ไปถึงการ “กินอย่างมีศักดิ์ศรี” !!  
The Kansas City Community Kitchen ได้เปลี่ยนหน้าตาของโรงทาน และวิถีในการแจกอาหารประจำวันแก่คนไร้บ้าน ที่ให้บริการชุมชนมากว่า 30 ปี ได้เปิดบริการครั้งใหม่ขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2559 ที่ผ่านมา ให้กลายเป็นห้องอาหารที่คนไร้บ้านสามารถเข้ามา “กินอย่างมีศักดิ์ศรี”
เมื่อคนไร้บ้านเข้ามารับอาหารฟรี ไม่ต้องเข้าแถวถือถาดรอคิว แต่เดินมานั่งที่โต๊ะ บริกรอาสาจะนำเมนูมาให้เลือกเหมือนร้านอาหารทั่วไป ซึ่งต่างจากโรงทานทั่วไป  นี่คือ  การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคน ที่ต้อง "เท่าเท่า" กัน  นอกจากนี้ใน Kansas City Community Kitchen ยังทำเมนูอาหารสดแบบครบห้าหมู่ มีอาสาสมัครมากมายที่มาช่วยเตรียมอาหาร ไปจนถึงเป็นอาสาสมัครพนักงานบริการประจำวันเพื่อบริการที่ดีที่สุด
มันเป็นเรื่องของการเสิร์ฟ "ความเป็นมนุษย์" เลยทีเดียวนะ !!
http://episcopalcommunity.diowestmo.org/Hunger%20Relief%20Network/kansas-city-community-kitchen.html
เกิดเป็นคน...ต้องเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคน
ทำอะไรต้องเอาการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันเป็นตัวตั้ง  ถ้าเอาอย่างอื่นเป็นตัวตั้ง จะกดความเป็นคนลง เช่น การเอาเงินเป็นตัวตั้ง เอาความรู้เป็นตัวตั้ง เอายศถาบรรดาศักดิ์เป็นตัวตั้ง แบบนี้สังคมเดือดร้อน 
การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นคน...
มัน คือ หัวใจของสุขภาวะ 
มัน คือ ศีลธรรมพื้นฐานของสังคม
ถ้าคนเรารู้สึกมีคุณค่าและศักดิ์ศรี มีศักยภาพ มีอิสรภาพ และมีการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ความสุขจะซึมซ่านอยู่ในคนทุกคน มันเป็นรากฐานของประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค ความเป็นธรรมทางสังคม

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

ทำความดีเพื่อความดี...ไม่ต้อง “ติดดี”

ทำความดีเพราะรักในความดี เพราะอยากทำดี
แต่ไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นคนดี
===============================
หลายปีที่แล้วมา หลวงพ่อชา ลงไปเยี่ยมวัดชิตเฮิร์สท์ที่อังกฤษ
มีอุบาสกคนหนึ่งที่เคยศึกษาธรรมะฝ่ายมหายาน
มาถามหลวงพ่อชา เรื่องการปฏิบัติว่า 
“คนที่ปฏิบัติเพื่อเป็นอรหันต์ กับคนปฏิบัติเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์
อันไหนจะดีกว่ากัน อันไหนสูงกว่ากัน” 
หลวงพ่อชาตอบว่า “อย่าเป็นอะไรเลย
พระอรหันต์ก็อย่าเป็นเลย
พระโพธิสัตว์ก็อย่าเป็นเลย
แม้พระพุทธเจ้าก็อย่าเป็นเลย
เป็นอะไรแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ทันที” 
คืออย่าเป็นคนดี อย่าไปถึงระดับนั้น
เป็นคน อย่าเป็นคนดี 
ถ้าเป็นคนดีแล้วต้องรำคาญคนไม่ดี 
ทุกวันนี้คนที่ไม่ดีมากกว่าคนดีเยอะ
ไปที่ไหนก็กลุ้มใจ มีแต่ความไม่พอใจ 
เหมือนกับคนที่สูบบุหรี่เลิกแล้วดูคนอื่นสูบ
ก็ไปเทศน์ให้เขาฟัง นี่เรียกว่าติดดี 
ท่านไม่ให้ติด แม้จะเป็นความดีท่านก็ไม่ให้เราติด
เพราะว่าความติดเป็นทุกข์ สร้างความทุกข์ใจ
==============================
อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าถ้าเราจะปลูกต้นไม้
อันดับแรก เราต้องเตรียมดินให้ดี ขุดหลุมกว้างเมตร ลึกเมตร
คลุกดินด้วยปุ๋ยคอกอย่างดี แล้วจึงปลูกต้นไม้ลงไป
เมื่อปลูกแล้ว เราต้องคอยดูแล โดยหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ดายหญ้า และล้อมรั้วกันอันตรายให้ 
หน้าที่ของเรามีเพียงแค่นี้ ทำให้ครบ ทำให้ดีที่สุด
ส่วนผลที่ต้นไม้จะให้นั้น บางชนิด 1 ปีให้ผล
บางชนิด 3 ปี 5 ปี 10 ปี
นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของต้นไม้เอง 
หน้าที่ของเรานั้น....ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น 
ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา
ดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวาง...ทุกข์ก็ไม่รุมล้อม
===============================
สาธุ สาธุ สาธุ
ธรรมะอย่างนี้...ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้
ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติเมื่อไรก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

ใช้ภูมิคุ้มกันที่มีให้คุ้ม


ระบบภูมิคุ้มกันความผิดหวัง (psychological immune system) มีอยู่ในตัวทุกคน มันจะทำงานโดยอัตโนมัติ ถ้าเราไม่ลืมว่ามีมันอยู่ !!

เวลาเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นทุกข์ เราจะหันหน้าไปหาคนที่สามารถปลอบใจเราได้ ไม่มีใครไปหาคนที่ทำให้ผิดหวัง หรือ ทุกข์ใจแน่ๆ นั่นก็คือกลไกภูมิคุ้มกันของเราเริ่มทำงาน ถ้ายังไม่ชัดลองดูประโยคต่อไปนี้ น่าจะคุ้นๆนะ
- ไม่เป็นไร ดีแล้วที่ไม่ได้
- เราดีเกินไป
- มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
ฯลฯ

ภูมิคุ้มกันความผิดหวังของเราจะทำงานทุกวันเมื่อเจอเรื่องแย่ๆ และคนส่วนใหญ่เมื่อต้องเจอกับความผิดหวัง จะหาเหตุผลอะไรก็ได้มาบอกกับตัวเองเพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แต่จะมีคนบางพวกที่จะลงโทษตัวเองให้หนักขึ้นไปอีกโดยการบอกกับตัวเองว่า “เรามันโง่เอง ไม่มีความสามารถเอง เรามันผิดเอง” พวกนี้เป็นพวกลืมว่าตัวเองมีภูมิคุ้มกันอยู่ มักถมตัวเองให้เศร้าหนัก 

ถ้าลืมว่ามีภูมิคุ้มกัน...ก็สร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ขึ้นใหม่ 

อย่าไปมัวมองคนอื่นที่มีชีวิตราบรื่น ชีวิตที่มีแต่ความสะดวกสบาย ได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ไม่รู้จักความผิดหวังนั้น อาจดูเหมือนเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา แต่แท้จริงเป็นชีวิตที่เสี่ยงอันตรายมาก เพราะขาดภูมิคุ้มกันความทุกข์ หากวันใดพบกับความผิดหวังหนัก ๆ ก็อาจเสียศูนย์ได้ 

เราเจออุปสรรค เจอความผิดหวังนั้นดีแล้ว...
นี่...ภูมิคุ้มกันเริ่มทำงาน !!
มองให้ดีก็จะเห็นว่าความทุกข์ ความผิดหวังก็ให้สิ่งดี ๆ แก่เรานะ อย่างน้อยก็ช่วยให้อดทนมากขึ้นและไม่กลัวความยากลำบาก

ภูมิคุ้มกันความทุกข์ ความผิดหวังในเบื้องต้นเป็นเรื่องของระบบกลไกที่เกิดจากทฤษฎีของการวิวัฒนาการของคน (evolutionary theory) คือ คนต้องมีความสุขจึงจะมีชีวิต สามารถสืบเผ่าพันธุ์ คนอมทุกข์นั้นอายุสั้น ตายเร็วกว่า มันเป็นเรื่องของการดำรงอยู่ แต่คนเราก็มีตัว "ปัญญา" อีกตัวที่จะยกระดับภูมิคุ้มกันความทุกข์ ความผิดหวังได้ มันคือปัญญาที่เข้าใจความทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง จนตระหนักว่ามันเป็นธรรมดา ที่ไม่มีใครหนีพ้น ยังจะเห็นความจริงชัดขึ้นอีกว่า ความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความล้มเหลว ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้เลย ถ้าไม่ยึดติดถือมั่นกับสิ่งต่าง ๆ ว่าต้องเป็นไปดังใจ 

ปัญญาจะเกิดได้
...ต้องเจอทุกข์บ่อยๆ ที่เขาเรียกกันว่าดวงตาเห็นธรรม
สรุปมีภูมิคุ้มกันก็ใช้มันให้คุ้ม 
และแสวงหา "ปัญญา" เพื่อดับความผิดหวัง..
....อย่างเข้าใจ..ไม่ใช่แค่อัตโนมัติ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

ล้มแล้วต้องลุก ความทุกข์ไม่ได้มีไว้แบก และ เลือกคิด ชีวิตคมชัด !!


คนที่ไม่เคยล้ม คือ คนที่ไม่เคยเดิน ! 
เพราะคนที่เดิน มักจะเคยล้ม !
การล้มอาจจะมาจากหลายเรื่อง เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ทำให้สิ้นเรี่ยวแรง หรือใช้กำลังมาก เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนต้องล้มลง แต่บางทีคนเราอาจล้มลงทั้ง ๆ ที่แข็งแรงดี เพราะไปสะดุดสิ่งที่เป็นอุปสรรค ทำให้ล้มลงได้ ! 
ล้ม = ทุกข์
แต่อย่าลืมว่า "ความทุกข์มีไว้ให้ดับ ไม่ได้มีไว้แบก" 
และอย่าปล่อยให้ความทุกข์ลุกลามจนเรื้อรัง
เดี๋ยวทุกข์จะกลืนกินความสุขไปจนหมด....
การที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข
ไม่ได้แปลว่าเราต้องกำจัดความทุกข์ได้ให้ถาวร
มันแค่ต้องรู้วิธีที่จะอยู่กับความทุกข์เฉพาะบางเรื่อง
ไม่แบกทุกข์ในวันวานมาเป็นทุกข์วันนี้
และไม่สะสมทุกข์ของเมื่อวานกับวันนี้ ไปพอกพูนไว้กับความทุกข์ของพรุ่งนี้ 
ทุกข์ = เจอโจทย์หิน
อ่านโจทย์กี่รอบก็ไม่เข้าใจ
ตีโจทย์ไม่ออกก็เลยหาคำตอบไม่เจอ

การที่แก้โจทย์ชีวิตไม่ได้ เกิดได้จากสามเรื่อง คือ
....โจทย์มันยากมาก
....โจทย์มันผิด หรือ
....เราอาจจะมีความสามารถไม่พอที่จะแก้โจทย์
มันจึงต้องหาสาเหตุให้ได้ว่า ปัญหาอยู่ที่โจทย์ หรือ อยู่ที่เรา !!

ถามตัวเองก่อนไหม....เรียนรู้ชีวิตน้อยเกินไปหรือไม่เข้าใจชีวิตหรือเปล่า
เรื่องไหนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ....ต้องติวเข้มบทเรียนชีวิตให้มากขึ้น
เพราะถ้าคนมีพื้นฐานความคิดที่ดี มีความรู้ความเข้าใจ จะแก้โจทย์ชีวิตไม่ยากนัก
ถึงแม้โจทย์จะโหดหินไป แต่ถ้าแน่พอ ก็พอจะแก้โจทย์ได้บ้าง
แต่หากไม่มีความรู้ความสามารถพอ ต่อให้เจอโจทย์ง่าย..ก็อาจจะตอบผิด 

ที่สำคัญ...ใครเป็นคนตั้งโจทย์
ชีวิตเรา..เราตั้ง หรือว่าปล่อยให้คนอื่นตั้ง
ถ้าตั้งเอง...มันเปลี่ยนแปลงโจทย์ชีวิตเองได้
ถ้าที่ตั้งไว้มันยากนัก ยากเกินความสามารถ... ลบโจทย์นั้นทิ้งไป
คิดโจทย์ใหม่ขึ้นมาแทน....
อย่าไปเสียเวลากับโจทย์ที่ไม่ให้ประโยชน์กับชีวิต !!

โจทย์ชีวิตมีมากมาย ไม่ต้องหาคำตอบให้ครบทุกโจทย์ก็ได้
ปัญหาบางอย่างในโลกนี้ อาจจะไม่ได้มีไว้ให้เราแก้ แต่มีไว้ให้เราเรียนรู้ว่ามันแก้ไม่ได้ !!
อย่าสนใจกับโจทย์ที่ไม่มีคำตอบ เพราะว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะตอบหรือไม่ตอบ และโจทย์ชีวิตไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้อง คำตอบเดียว !!
เลือกคำตอบที่ "ตอบ" ทั้งโจทย์ชีวิตและโจทย์หัวใจให้ดีที่สุด

ชีวิตมีแต่ทุกข์เพียงด้านเดียว เฉาตาย หาความสุขไม่ได้
แต่ถ้าชีวิตมีแต่สุขล้วนๆ ชีวิตคงไม่แข็งแกร่ง...
คนเรามันต้องมีทั้งสุขและทุกข์ เป็นธรรมดา...
ดูแล จัดส่วนผสมให้ดี ให้ชีวิตเป็นชีวิต
คมคิด...ชีวิตง่ายขึ้น...
ไม่ถามหรอกนะว่าล้มลงกี่ครั้ง.... 
แต่ขอถามว่า ลุกขึ้นมาทุกครั้งที่ล้มลงหรือไม่....
เพราะไม่ว่าจะล้มมาแล้วกี่ครั้ง ตราบใดที่ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป เราก็จะก้าวไปไกลกว่าจุดที่เคยล้มมาแล้ว และเดินเข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งกว่าเดิม จริงไหม....
ล้มลง (จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม) อย่านอนแช่หรือแน่นิ่ง 
มันไร้อนาคต ! 
เลือกคิด ชีวิตคมชัด !!

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 50


ใครไม่รู้ว่าไว้...ผู้หญิงมีไว้ให้ "รัก" ไม่ได้มีไว้ให้ "เข้าใจ"
บางคนเล่นตัว
บางคนอ่อนแอ
บางคนชอบต่อปากต่อคำ
บางคนสวยไม่มีหยุด
บางคนหึงหวงห่วงหา
บางคนอบอุ่นอ่อนโยน
บางคนสนุกสนาน
บางคนแนวๆ
บางคนฉลาด
บางคนโง่
บางคนอารมณ์ดี
บางคนขี้สงสัย
และอื่นๆอีกมากมาย

รักเธอเข้าไป...ถ้าเธอทำให้รู้สึกดี ชีวิตมีค่า kiki emoticon

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

จะจริงจังไปไหน...



จะจริงจังไปไหน...
คนจริงจังไปกับทุกสิ่ง จริงจังกับทุกอย่าง ประมาณว่า...คิดมาอย่างดีที่สุด ทำมาอย่างดีที่สุด ทำไมมันถึงยังไม่พอ ทำไมคนไม่เข้าใจ ทำไมไม่ผ่าน ไม่มีการโอนอ่อนผ่อนตามกับเรื่องอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว หรือเรื่องงานนั้น เตรียมรับ “ความเครียด” ไว้เลย เพราะเจอแน่ๆ คือ “ความผิดหวัง” 

และยิ่งไปกว่านั้น คนจริงจังเกินไปมักไม่ยอมที่จะรับความคิดเห็นของคนอื่น มักจะเห็นความคิดของตนเป็นหลัก และผลักให้คนอื่นเห็นตาม ทำตาม บีบคั้นคนอื่นโดยไม่รู้ตัวก็มี 

เป็นแบบนี้ก็จะพบว่าไม่มีใครที่อยากจะคบหาสมาคมด้วยทั้งนั้น !!

ใครที่ต้องร่วมงานกับคนประเภทนี้ มักจะได้รับความกดดันและไม่มีอิสระในการทำงาน 
ถ้าเราจริงจังเกินไป..ปัญหาที่ต้องเจอแน่ๆ คือ “การรับมือกับความผิดหวัง” 

จริงจังได้..ไม่ต้องเครียด...
เราสามารถเป็นคนที่จริงจังได้โดยไม่ต้องมีความเครียด
เป็นคนที่จริงจังได้โดยที่มีความสุขกับชีวิต...
...เพียงแค่เราทำส่วนของเราให้ดีที่สุดและหยุดคิดถึงปัญหาหรือสิ่งมากมายหลากหลายที่จะเกิดตามมา
...เมื่อเราก็ไม่คาดหวังมาก ก็ไม่เครียดเวลาที่ผิดหวังไม่ได้ดังตั้งใจ
และอะไรที่ทำหรือกำลังทำอยู่ก็จะไม่ติดขัดที่ใจ...ทำไปได้ดีขึ้น...

จะไปคิดอะไรให้มาก...ยิ้มรับกับทุกสิ่ง
โชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังมีลมหายใจ...มีเช้าวันใหม่ที่จะทำดีดี...

คิดวันละอย่าง # 50


ประเทศนี้มีประเด็นเรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องใหญ่ของสังคม การเอาเปรียบ การโกง การช่วยคนผิดให้พ้นผิดเกิดขึ้นทุกระดับแบบไม่มีใครละอาย 

โดยเฉพาะกรณีธัมมชโย สมเด็จช่วง และสรยุทธ สุทัศนะจินดา 
หากสังคมไม่อาจสร้างความถูกต้อง ไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงในเวลานี้ มันจะเกิดวิกฤติด้านจริยธรรมกับคนไทยในอนาคตที่หนักกว่านี้แน่นอน...

…..การเสมอภาคในสังคมไทยจะหาไม่เจอ จะเจอแต่สังคมเบียดเบียนกัน
......ไม่ยกย่องคนดีเท่ากับคนมีชื่อเสียง เกิดการวัดคุณค่ากันและกันบนมาตรฐานที่ผิด คือวัดกันที่ชื่อเสียงทรัพย์สินที่แม้จะได้มาด้วยความไม่ซื่อสัตย์ก็ตาม
…..คนจะขี้เกียจ สำรวย อ่อนแอ ไม่อดทน ใจเสาะ เปราะบางมากขึ้น ทำให้ช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่พัฒนา ต้องหาทางลัด หาพวก เอาเปรียบ มุ่งสร้างความสบาย ความร่ำรวยให้ตัวเองมากที่สุดโดยไม่สนใจวิธีการที่ถูกต้อง
…..สังคมไทยจะหลอกลวงกันมากขึ้น คนรู้ไม่เท่าทันจะเป็นเหยื่อของคนฉลาดแต่โกง

สังคมที่แก้ทุกข์ตลอด ไม่มีความพอดีไม่อดทน เกิดการเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบ แข่งขันแบบไร้จริยธรรม...สังคมแบบนี้มันน่าอยู่ตรงไหน มันยิ่งตอกย้ำความอ่อนแอทางจริยธรรมของสังคมในภาพรวม ความหวังและโอกาสในการปฏิรูปประเทศช่างริบหรี่เหลือเกิน....