วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 274

ช่วงนี้อินเรื่อง “ตั้งใจ” “ใส่ใจ” “ดูใจ”  มันเป็นกลยุทธ์แห่งความสุขในชีวิต

“ตั้งใจ” ใช้ชีวิตตัวเองไป อย่าแค่หายใจทิ้ง 

...ทุกนาทีที่ผ่านไปมันไม่หวนคืน..

แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ถ้าใส่ใจ ทุกกิจกรรมจะมีความหมาย 

ความหมายทำให้เกิดความสำคัญ

และความที่เห็นว่าสำคัญ...เราจะไม่พลาดเรื่องการใช้ชีวิต

ที่พลาด..เพราะบางที “วง” มันใหญ่เกินจะจัดการ

กลยุทธ์ : เรากินรวบไม่ได้...ต้อง “ตั้งใจ” เลือกกิน 


“ใสใจ” กับปัจจุบันขณะ มันคือความสุขตรงหน้า ความสุขทันที

...อย่าหวังถูกหวยได้สุขในอนาคต มันเสียเวลา... 

บางคนกังวลกับเรื่องในอนาคตจนลืมเสพสุขที่มีอยู่

เอาความเครียดกับสิ่งที่ยังไม่เกิดมาทำลายการใช้ชีวิตตอนนี้

ที่ยังมีลมหายใจ ที่ยังกินเดินวิ่งเที่ยวเล่นได้ มันดีที่สุดแล้ว

อย่าให้ตัวเองต้องเสียใจกับอะไรที่มันจะสายเกินไป

..ในวันที่คิดจะกินก็ไม่มีฟัน คิดจะทำก็ไม่มีแรง...

กลยุทธ์ : ยึดความสุขก้อนเล็ก ความสุขง่ายๆตรงหน้า 


“ดูใจ” คนใกล้ตัว คนที่อยู่ตอนนี้ อย่าทำให้เสียใจ 

...เพราะเราไม่รู้ว่า...จะมีวันพรุ่งนี้หรือเปล่า.... 

คนสำคัญในชีวิตมีไม่กี่คน มันคือคนที่เข้าใจกัน สายเดียวกัน

แน่นๆเข้าไว้ อย่าให้ความอื่นใดมาทำให้ไขว้เขวไปได้ 

ที่สำคัญ คือ ความไร้เงื่อนไขต่อกัน มองตารู้ใจ  

กลยุทธ์ : ยืนหนึ่งกับ “คนใน” ไร้ข้อแม้ 





วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 273

เล่นกันที่สมอง

เหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา มันลึกลับซับซ้อนเกี่ยวทับผลประโยชน์ทั้งต่างชาติและนักการเมืองไทยทั้งอดีตและปัจจุบันที่อยากเป็นใหญ่ เรื่องนี้เข้าใจได้แต่ไม่รู้จะทำยังไงกับความหยาบของกิเลสคน คือ มันอยากครองอยากอำนาจไม่สิ้นสุด บ้านเมืองจึงปั่นป่วนต่อเนื่องกันไปแบบไม่รู้จะจบสวยได้ยังไง แต่ลูกหลานเรานี่สิ...ที่ผิดเพี้ยนตามการกระหน่ำชักจูงด้วยความเร็วและแรงของเทคโนโลยีสื่อสารแบบเอาให้ลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เหตุผลอะไรก็เอาไม่อยู่ 


จึงมาคิดว่ามันคงเกี่ยวกับการใช้สมองด้วย ถ้ามาดูกันตามทฤษฎีสมอง 3 ส่วน ของ Paul D. Maclean นักประสาทวิทยา จะเห็นได้ว่าลูกหลานเราถูกกระตุ้นให้ใช้สมองชั้นสัตว์เลื้อยคลาน Reptilian Brain ที่สนใจแต่ว่าอะไรที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดหรือการหลีกเลี่ยงจากอันตรายซึ่งในที่นี้คงเป็นเรื่องเผด็จการ เรื่องสถาบันที่คิดว่าเป็นเรื่องคุกคามอยู่นี่แหละ ก่อนเป็นด่านแรกเลย มีการชวนให้สมองลูกหลานเชื่อโดยกระหน่ำ “Visual” ที่ “Fake” ภาพบิดเบือน ข้อความโกหกหลอกลวง เพราะมันรู้ว่าสมองส่วนนี้ไม่เข้าใจภาษาคน ไม่ต้องมีเหตุผล มันง่าย ไม่ซับซ้อนและกระตุ้นสัญชาตญาณในเวลาอันสั้นได้ผลดี ลูกหลานไม่ต้องคิดจาก vitual หรือ message ต่างๆ แค่ใช้สัญชาติญาณว่ามันเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตัวเอง มันมีความจำเป็นต้องลุกฮือชู 3 นิ้ว หรือผูกโบว์ขาวที่เห็นว่าสำคัญแค่นั้น ให้สมองประมวลผลแบบชั้นเดียว ไม่ใช้ตรรกะหรือเหตุผลอะไรทั้งสิ้น แค่นี้ก็คงพอเข้าใจว่าทำไมพูดกันด้วยเหตุผลไม่ได้  


ความพลาดของเรา คือ การพยายามให้ข้อมูลความจริงกันกับลูกหลานมากมาย สื่อสารข้อมูลที่ยาวยื้อเยื้อ พยายามอธิบายโดยที่ไม่ได้คำนึงว่าตอนนี้ลูกหลานใช้แค่ Reptilian Brain เป็นด่านแรก มันไม่โดน ลูกหลานจะไม่เข้าใจหรอกว่าเราต้องการบอกอะไร สิ่งที่รู้แค่อย่างเดียว คือ ข้อมูลที่กำลังบอกนั้นซับซ้อนเกินไปและไม่มีความสำคัญ สมองจะ skip ผ่านไปทันที ไม่เข้าหัว นี่ขั้นแรกนะ สมองมันมีกระบวนการของมัน ในเมื่อมีคนปลุกปั่นให้สมองด่านแรก “ตัดสินใจ” ไปแล้ว ข้อมูลเราจึงผ่านเข้าไปไม่ได้  และสมองด่านที่สอง Limbic Brain มันประมวลต่อแล้วว่ามันรู้สึกยังไงกับข้อมูลปลอมๆที่รับเข้ามาเต็มๆอย่างต่อเนื่อง ไอ้คนที่ยัดเยียดข้อมูลมันต่อด้วยการกระตุ้นอารมณ์ สมองส่วนนี้เป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก มันจดจำประสบการณ์ที่ได้รับจากส่วนแรกได้ดีเป็นพิเศษ จึงคล้ายกับ double action ที่มีผลต่อพฤติกรรมชุมนุมของลูกหลาน ตอกย้ำการทำตามอารมณ์มากกว่าที่จะใช้เหตุผล และก็แน่นอนมองส่วนนี้มันไม่มีความสามารถในการรับรู้เรื่องภาษา มันจึงมีข้อความแปลกๆแย่ๆจากลูกหลานเราเป็นวาทกรรมบ้าๆบอๆที่ฮิตกันไปอย่างได้อารมณ์กันเอง จะเห็นว่าเวลาคุยกับลูกหลานมันอธิบายไม่ได้มันแค่รู้สึกอะไรก็ว่าไปตามนั้น สมองในสองส่วนแรกนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำโฆษณาชวนเชื่อที่ต้องการดึงความสนใจให้กลุ่มเยาวชนรับรู้ข้อมูลปลอมที่ยัดเข้าไปแต่แรกรวมถึงกระตุ้นการตัดสินประเทศ ตัดสินสถาบันไปอย่างไร้เหตุผล กลายเป็นเชื่อแบบงมงาย เพราะตามการศึกษากว่า 90% ของการตัดสินอะไร ตัดสินใจ หรือการแสดงพฤติกรรมทั้งหลายที่จาบจ้วงรุนแรงเกิดจากการทำงานของสมองสองส่วนนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมไม่ได้ โอละพี่ โอละพ่อมากเลยนะ 


จากสมองสองส่วน มันมาถึง Neocortex หรือ New Brain ที่รับผิดชอบในเรื่องของ “ตรรกะ” ซึ่งสมองของลูกหลานเรามันแชร์มาจาก Reptilian Brain กับ Limbic Brain มันเลยกลายเป็นตรรกะเหมือนกัน แต่เมื่อส่วนแรกส่วนที่สองผิดเพี้ยน สมองส่วนนี้จึงเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายเลยว่าสุดท้ายลูกหลานก็มีตรรกะที่ผิดเพี้ยนเป็นของตัวเอง ซึ่งมันประมวลออกมาเลยแล้วว่า “คุ้มค่าแก่การชุมนุมต่อต้าน” 


หากเราเข้าใจและอยากลุยกับลูกหลาน มันคงต้องมาเล่นกับสมองของมนุษย์แล้ว ต้องสื่อสารสิ่งที่ต้องการจะสื่อกับสมองทั้งสามส่วนให้ครบถ้วนและถูกลำดับของมัน คือ กระตุ้นสมองส่วน Reptile ให้สนใจด้วยเมตตาธรรมที่ไม่ยื้ดเยื้อ เอาให้โดนโดนจะจะ ขาดๆไปเลยว่าอะไรกันแน่ที่อันตรายกันแน่ ไปหารูปที่โดนๆมาให้ดูแล้วคุยกันแล้วสร้างความผูกพันทางอารมณ์ ไม่ต้องอ้างเหตุผลเพราะไม่มีประโยชน์ในการกระตุ้นสมองสองส่วนนี้ ดราม่าน้ำตาไปให้สุด ดูว่าใครมันจะแน่กว่าใคร คิดว่าขนาดนี้แล้ว สมองส่วน New Brain ของลูกหลานจะสามารถเรียนรู้วิเคราะห์ได้ คือมันเป็นการสื่อสารกับสมองทั้งสามส่วนครบ มันเป็นพื้นฐานเลยนะของการจะรู้จักผิดชอบชั่วดี เพื่อการยืนหยัดอยู่รอดภายใต้สถานะการณ์ขัดแย้งของครอบครัวในปัจจุบัน 





วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 272

เลือกเกิดไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่จะต้องรู้จักเลือกว่าต้องการใช้ชีวิตแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นใคร รวยหรือจนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการนะ บางคนเลือกแล้วมีความสุขกับชีวิตในแบบที่ตนเองเลือก บางคนเลือกแล้วแต่ชีวิตกลับไม่มีความสุขก็มี การเลือกนี่สำคัญพอๆกับการทำให้มันเป็นจริง มันใช้พลังมากพอๆกันเลย ไม่ว่าจะเลือกให้ตัวเองทุกข์หรือเลือกให้ตัวเองสุข ว่างๆก็ลองตั้งคำถามกับตัวเองบ้าง ว่า ชีวิตมีความสุขไหม? มันไม่มีอะไรถูกหรือผิด เพราะมันเป็นชีวิตใครชีวิตมัน ความต้องการในชีวิตก็แตกต่างกันไป มันอาจดีสำหรับเราแต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่น

บางทีมันอาจถึงเวลาที่ต้องบอกกับตัวเองว่า พอแล้ว หยุดได้แล้ว มันมีอะไรอีกเยอะแยะที่เราอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ มันถึงเวลาทำอะไรที่อยากทำเสียที
บางทีเพียงต้องการใช้ชีวิตง่ายๆ ธรรมดาๆ มีชีวิตแบบพอเพียง ไม่ต้องร่ำรวยมากมาย พอมีพอกิน พอได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ...กิน ท่องเที่ยว ถ่ายรูปเล่น แบบไม่มีห่วง แบบไม่เครียด มันอาจเป็นโลกใบใหม่ของเราก็ได้ อาจจะเจอช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับสายจนเกินไป ถ้าตอบคำถามตัวเองได้ รู้ทันความรู้สึกจริงๆแล้วปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่ มันมีอะไรดีดีรออยู่ข้างหน้าอีกมาก...ที่ทำให้เรามีความสุข...แค่ “เลือก”


คิดวันละอย่าง # 271

เกษียณสำราญใจ

อนุสนธิจากการไปฟังท่านนัน ท่านว่าเกษียณต้องเลิกทำงานประจำให้ได้ อยู่ไปภาวนาไปดีกว่าเยอะ จึงมาได้คิดว่าไม่ต้องกังวล ยิ่งเกษียณแล้วแพคเกจร่างยังดี ไปไหนมาไหนได้ ไม่เจ็บป่วยต้องนอนเตียงนี่ยิ่งดีมาก จัดการเรื่องละวางได้ยิ่งวิเศษ ที่เห็นๆบทความเกี่ยวกับเกษียณแล้วต้องมีเงินเท่านู้นเท่านี้บอกตรงเลยว่ามันเครียด มันละวางไม่ลงปลงไม่ได้ ยุ่งหนักกว่าเดิม ทำให้คนขี้เหนียวเห็นแก่ตัว หงุดหงิดยามแก่ก็เห็นมามาก ไม่สร้างสรรค์ลูกหลานประสาทจะกิน
อย่าคิดมาก ชีวิตเราผ่านมาขนาดนี้ ย่อมรู้ดีว่าแก่ เจ็บ ตายมันเรื่องสามัญประจำบ้าน คนเป็นข้าราชการยิ่งหายห่วงมีสวัสดิการ คนที่ไม่มี รัฐก็มีประกันสังคม จะเอาอะไรอีก คนอื่นยังเดือดร้อนต้องหาเงินมาเลี้ยงชีพจนตายก็ยังมี พวกเรานี่ถือว่าค่อนข้างสบายนะ แค่ต้องลดความทะยานอยากลง ทำตัวเป็นพลเมืองธรรมดาให้ได้ ถ้าไม่รวยล้นฟ้าอย่างคนอื่นน่ะ จะมาเก๋ไก๋ไฮโซแบบตอนมีรายได้คงไม่ไหว อะไรประหยัดได้ก็ทำไป ค่อยลดละเลิกไป ที่ดีที่สุดของวัยเกษียณ คือ มันเปิดโอกาสให้เราว่างพอที่จะเอาจริงกับชีวิตที่เหลือ ทางไหนก็ไม่ซุปเปอร์ไฮเวย์เท่าทางธรรม เริ่มสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือจะปฎิบัติอะไรก็ตามแต่จริตไป อันนี้มันท้าทายยิ่งกว่าการทำงานเสียอีก และมันทำให้เรามีอะไรดีดีทำในชีวิตที่ยังหายใจ แต่ไม่ต้องเคร่งมากจนน่ารำคาญ เที่ยวเล่นบ้าง ปฎิบัติบ้างไปก่อน สำคัญ คือ คนวัยนี้ต้องน่ารัก เข้าใจคนอื่นให้มาก อย่าทำให้คนรอบข้างอึดอัด แค่นี้ก็สำราญพอแล้วมั๊ย สวยๆสดชื่นๆไป อย่าโทรมจมอยู่อะไรเดิมๆ มันเป็นช่วง “ปล่อยตัว” ของคนจากภาระ ไม่ใช่ทำตัวเป็นภาระของตัวเอง !!!