วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

มาย นิ้วเยียร์ เหรสโซลู้เฉิ่น


มันมาจากธรรมเนียมฝรั่ง ก็ออกเสียงตามมันไปนะ คือ พอจะปีใหม่ มันจะเป็นความเชื่อ...เชื่อว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่าเก่า มันเป็นหมุดหมายตอนจะต้นปีที่ฮึกเหิมของคน ถึงแม้กลางปี ปลายปีมันอาจแผ่วไปก็ช่างมันเถอะ 

ข้าพเจ้าคิดถึงคำว่า..เพื่อ... 
นี่ก็ทำอะไร เพื่ออะไรมาทั้งชีวิต จึงคิดว่าจะหยุดเพื่อ...”  
เพราะความสุขเป็นเป้าหมายไม่ได้...มันเป็นพฤติรรม !! 

ตื่นมาตอนเช้าส่วนใหญ่ก็จะนอนสั่นขา ยืดเหยียดไปเพื่อไม่ให้เส้นตึง เลือดไหลเวียนและสูดหายใจลึกๆไปเรื่อยๆ  มันออกแนวทรมานตัวเองนิดๆเพราะไอ่เพื่อนี่แหละ ทุกทีทำไปก็ท่องไปเพื่อสุขภาพๆๆๆ ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันเลยเครียด ทรมาน ไม่สนุก   แต่เมื่อเช้ามันปิ๊งขึ้นมาว่า เฮ้ย มันไม่ต้องเพื่อ ถามตัวเองว่ามันสนุก มันสุขตอนนี้ ตอนที่ทำหรือเปล่า เออ..มันมีความสุข ทำไปยิ้มในใจไป เออ ดีกว่ากันเยอะเลย ไม่รู้สึกทรมาน 55  เสร็จพิธีก็มาชงผงผักผสมคอลาเจนบีบมะนาว ทำไปรู้ไปว่ามันมีความสุขดีเหมือนกัน ทุกทีไม่ได้คิดอะไร ทำไปตามเวรตามกรรม เฮ้ย มันสติดีนะ 

ปีใหม่นี้เลยว่าจะหยุดเพื่อ...” 
ทำอะไรที่มันแฮบปี้ตอนที่ทำ ไม่ต้องเพื่อแล้ว 

ข้าพเจ้าเห็นเพื่อนพี่น้องวาดรูปก่อนแสดงงาน ท่าทางมีความสุขกว่าตอนเปิดงานอีก 
คือมันไม่ต้องเพื่อแสดงงาน มันมีความสุขกันตอนที่ทำไปแล้ว

ข้าพเจ้าเห็นเพื่อนพี่น้องไปเที่ยว เล่น คุย กิน มันสนุกตอนนั้นแล้ว 
ไม่ใช่ไปเพื่อสนุก หรืออะไร

ข้าพเจ้าเห็นครอบครัวปิ้งย่าง มันฟินตรงนั้นแล้ว 
ไม่ใช่เพื่อปาร์ตี้หรือสังสรรค์ หรืออะไร

เพิ่งเข้าใจว่าอยู่กับปัจจุบันนั้นมันเป็นยังไง (แหม โง่มานาน)
เพื่อ...” มันเป็นอนาคต...มันยังมาไม่ถึง จะไปเพื่อทำแมวอะไร
ฝากความหวังลมๆแล้งๆไว้ที่มันได้ยังไงตั้งนาน

ทำงาน วัยนี้ไม่รู้จะเพื่ออะไร 
เอาให้ม่วนตอนทำ ตอนประชุมกัน ตอนขบคิดกัน 
(ซึ่งคิดไป ก็ม่วนทุกทีนะที่ทำๆมาเนี่ย มาเครียดไอ่ตอนเพื่อ...” นี่แล
เที่ยว ไม่เพื่อ...ละ ตอนเที่ยวมีความสุขตอนนั้นเป็นพอ
กิน ไม่เพื่อสุขภาพ เพื่อผอม เพื่ออ้วนอะไรแล้ว
ถ้ากินแล้วมันฟินตอนนั้น จบข่าวเลย 
สวดมนต์ข้ามปีที่วัด รู้เลยว่าไม่ได้ ไม่ไปไหนสวดอยู่บ้านดีกว่าเยอะ
ไม่ต้องไปเบียดเสียดให้เสียจริต 

ฉลองปีใหม่กับเพื่อน ไม่ได้ดี๊ด๊าขนาดนั้น แค่คิดว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันเหลือน้อย
แค่คิดก็ม่วนไปหน่อยๆแล้วตอนนี้ 

สำคัญจริงๆตอนนี้...เดี๋ยวนี้...เวลานี้” 
พระพุทธองค์ว่าที่ใกล้ที่สุดของคน คือ ความตาย
ไม่แน่วินาทีหน้าอาจตายได้ วินาทีนี้มันจึงสำคัญ 
แต่มันสั้นจนเราลืม ลืมไปว่าเพื่อ...นั้น มันเพื่อไม่ได้ เราอาจไม่อยู่จนได้เจอเพื่อ...”

สุขมันวินาทีนี้ สงบมันวินาทีนี้แหละ 
เพื่อ...” มันยาวเกินชีวิตคน 

เขียนๆไปเหมือนพวกสิ้นคิด หมดหวังยังไงชอบกลนะ 55 
แต่มันโดนตอนเขียนนี่แหละ..มันได้ตอนนี้เลย ไม่ต้อง... “เพื่อ...”

เพื่อ...” = เหนื่อย เครียด ไม่สุข ไม่สบาย 
จะปีใหม่แล้ว..ชีวิตเหลือน้อยลงไป...ข้าพเจ้าไม่เพื่อ...”



วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 151

เรื่องง่ายๆทำไมเข้าใจไม่ตรงกัน !!

ปัญหาโลกแตก คือ เรื่องการสื่อสาร มันเกิดกับคนทั้งโลกไม่ใช่เฉพาะพวกเรา มันไม่ใช่เฉพาะคำพูดภาษาที่ใช้ มันยังมีพวกทัศนคติ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆเข้ามาผสมกันด้วย
ความจริง คือ คนจะรับรู้ในสิ่งที่ต้องการจะได้ยินเท่านั้น
ส่วนที่ไม่อยากได้ยินมักจะละเลยและไม่รับฟัง
มันเหมือนตั้งธงไว้แล้ว มันไม่เข้าหู 
คนอยากพูดในสิ่งที่ตัวเองสนใจ
อยากฟังในสิ่งที่ตรงใจตัวเอง
พอมันไม่ตรงกัน..มันเลยเป็น “เรื่อง” ขึ้นมาได้ง่ายๆ
เพราะ frame of reference กรอบอ้างอิง...มันแตกต่างกัน
มุมมองของแต่ละคนมันเกิดจากได้รับอะไรมาในอดีต
อาจเป็นประสบการณ์บ้าง มโนเอาบ้างก็มี... 
นอกจากนี้ ทุกคนก็อยากมีความสำคัญ อยากให้คนฟัง อยากให้คนรับรู้ถึงเรื่องของตัวเอง มันจะยุ่งตรงที่ไม่มีใครฟังใคร ฟังแต่ไม่ได้ยินก็มี มันเลยโอละพ่อผิดความไปได้
เอาใหม่... เราไม่ตัดสินคุณค่าก่อนรับ “สาร” เพราะการตัดสินคุณค่านั้นมันขัดขวางการรับรู้ “ความจริง” ที่คนอยากจะสื่อกับเรา
ไม่ตัดสิน...รับรู้ได้ และรับรู้เร็วด้วย 
คือ ไม่ต้องพิจารณาสามวันแล้วค่อยมาว่ากัน
มันจะสายไป มันเสียความรู้สึกไปแล้ว
เอาใหม่...เอาให้ตรง ไม่เยอะแยะ ยื้ดเยื้อ ต้องการอะไรว่าไปให้ชัดๆ
เอา ไม่เอา ไป ไม่ไป ดี ไม่ดี...ก็ว่าไปตรงๆ
บางทีเรากรองไปกรองมา เปลี่ยนข้อมูล เพิ่มข้อความ
ด้วยกลัวคนจะไม่เข้าใจมั่ง เกรงใจมั่ง กลัวบาดใจมั่ง
อันนี้ คนแบกรับข้อมูลไม่สามารถตอบสนองได้นะ
“สาร” มันเพี้ยน เข้าใจยากอีก ต้องแปลความอีก
แปลได้ตรงก็โชคดีไป
แต่ส่วนใหญ่มันจะแปลเข้าข้างกรอบอ้างอิงของตัวเอง
ซึ่งจะเกิดอาการ...ไปไหนมาสามวาสองศอก..ได้ง่ายๆ
บอกเลย...เรื่องเล็ก เรื่องธรรมดาๆนี่แหละ
ถ้าไม่เข้าใจกัน...มันเครียด พาลทำให้สิ่งสำคัญถูกละเลยไปได้
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไร...ขำๆไปนะ
เรื่องใหญ่จะเล็กไปเลย 


คิดวันละอย่าง # 150


ทางออก...ทางใครทางมัน...แต่มันมีทางแน่นอน
ปัญหามันเป็นเรื่องท้าทายสติปัญญาคน
มันมาของมันได้ตลอดชีวิต...มากบ้าง น้อยบ้าง หนักบ้าง เบาบ้าง
แต่เชื่อว่า....มีทางออกกันทุกคน 
แค่ไม่ต้องพายเรือในอ่าง...แม่งวนอยู่นั่นแหละ 
...วนไปฮะ..หาทางออกไม่เคยเจอ..

อย่างแรกเลย ถามตัวเองดีดี...ปัญหามาจากอะไร
เกิดที่เราหรือเปล่า...นี่สำคัญ เกิดที่เรา แก้ที่เรา
ไม่ต้องโทษอิทธิพลดวง..ดวงดาวไหน
ไม่ต้องโทษว่าคนอื่นเอาปัญหามาให้
พูดง่ายๆ...โทษหมดยกเว้นตัวเองนี่...ไม่ได้นะ ไม่มีทางสว่าง
แมนๆไป หยุดเข้าข้างตัวเอง รับความจริง
การยอมรับความจริงว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเองไม่ได้ง่ายนัก
แต่มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตก้าวต่อไปได้

ปัญหามันเยอะ !!! เอาทีละเรื่อง
อันนี้ต้องจัดลำดับให้ดี แก้ไขทีละขั้น
อย่าจ้องปัญหามาก...ไปที่สาเหตุเลย
เอาที่ต้นตอของปัญหา แล้วจัดไปซะ

แก้เองไม่ได้...เพื่อนมี ครอบครัวมี ผู้รู้มี
อ้าปากขอความช่วยเหลือไป...ไม่ได้เสียพักตร์ขนาดนั้น
เพราะผงเข้าตาตัวเอง บางทีมันเขี่ยไม่ออกนะ
เมื่อได้วิธีก็ให้ไว...ลงมือทันที ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
เพราะปัญหาบางอย่างปล่อยไว้นานเกิน
..มันเสียหาย มันเกินเยียวยา...
อย่าปล่อยให้ปัญหาลอยนวล !!

วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 149


บ้านเมืองแถวนี้ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา
ไทย เวียดนาม เขมร พม่า ลาว ก็คือกัน
มีคนรวยคนจน 
มีบางแห่งหรูหรา
บางที่ไม่รู้อยู่เข้าไปได้ยังไง 
แต่ที่รู้สึกได้ คือ เกิดเป็นคนไทยช่างโชคดีจริงจริง  🇹🇭 คนไทย โดยเฉพาะคนจน คนชายขอบได้รับการดูแลจากพระมหากษัตริย์ไทยมาโดยตลอด จะจนจะไกลยังไงพระเมตตาก็ไปถึงถิ่น แต่เพื่อนบ้านเรานี่รันทดกว่ามาก ถูกปกครองแบบขอไปที ไม่ว่าจะปกครองระบอบไหน ประชาชนก็อ้างว้าง ไม่ได้มีความอุ่นใจอะไร จะหวังอะไรก็ยากเย็น แววตาแห้งแล้ง ห่อเหี่ยว ไร้ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ 
เรานี่ถึงจะจน ก็มีความอบอุ่นใต้ร่มพระบารมีเสมอมา 🙏🏻❤️🇹🇭 #มีทุกอย่างที่ดีเพราะใคร

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

อยู่เพื่อตนเอง อยู่แค่สิ้นใจ อยู่เพื่อคนทั่วไป อยู่ชั่วฟ้าดิน

“อยู่เพื่อตนเอง อยู่แค่สิ้นใจ อยู่เพื่อคนทั่วไป อยู่ชั่วฟ้าดิน” ชีวิตการทำงานที่มีความสมดุลย์ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย บางครั้งมันบีบคั้นหัวใจ สร้างความเจ็บปวดให้กับเรา โดยเฉพาะเมื่อมาถึงเวลาต้อง “ตัดสินใจ” แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตนะ และถ้าเราสามารถจำกัดเรื่องอยู่ที่ไม่กี่เรื่องได้ มันจะง่ายขึ้นมาก เช่น การสร้างสมดุลย์ระหว่างการใช้เหตุผลกับการใช้ความรู้สึก การสร้างสมดุลย์ระหว่างชีวิตส่วนตัวกับชีวิตส่วนรวม และสมดุลย์ระหว่างการรับกับการให้ เป็นต้น 

การตัดสินใจถือว่าเป็นงานสำคัญของผู้นำ ซึ่งมันจะทำให้เรา “เกิด” หรือ “ดับ” ได้เลยนะ ในการทำงานมีหลายโมเม้นที่เราต้องตัดสินใจ แต่มันมีไม่กี่โมเม้นที่เป็น magic moment ที่ทำให้เชีวิตเราเปลี่ยนไป และขอบอกว่าโมเม้นแบบนี้...บางครั้งมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต...ตัดสินใจถูก...ชีวิตเป็นอิสระ และจะยิ่งใหญ่ไปตลอดกาล 

การจะฝึก " ภาวะผู้นำ " ต้องฝึกการตัดสินใจโดยนึกถึงความเป็นธรรม (เหตุและผล vs. ความรู้สึก) ภาพรวม (ส่วนตัว vs. ส่วนรวม) เมตตา (การรับ vs. การให้) เพื่อให้เป็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ได้ใจคนเบ็ดเสร็จไปทั้งชาติ 

ลงลึกอีกนิดนะ...เพื่อให้มันชัดเจนเวลาต้องตัดสินใจ
1. นึกถึงผลกระทบที่มีต่อคนอื่น ก่อนผลกระทบที่มีต่อตัวเอง : อันนี้สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกของการตัดสินใจด้านภาวะผู้นำ มองไปในดวงตาของทีมงาน ของลูกน้องที่เป็นฟันเฟือง พวกนี้รอความหวังจากเรา รอความมั่นคงจากเรา อย่าทำให้ฟันเฟืองฝืด เกิดปัญหา งานจะไปไม่ได้ ปัญหาจะตามมา ภาวะผู้นำล้มเหลวเลยทีนี้ เมื่อใดที่เรานึกถึงคนอื่น มันจะลื่นไหล ได้ใจทุกครั้ง      
2. เปิดโอกาสให้ทีมได้มีส่วนร่วม : ฟังความคิดเห็น เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพ   ตรงใจ ไม่เสียเวลา ไม่เจ็บปวด ถึงจะเหนื่อยยังไง จะมีคนพร้อมเหนื่อย พร้อมสู้ไปด้วยกันตลอดการเดินทางของชีวิตในการทำงาน 
3. อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล : ไม่ตัดสินใจตอนเครียด หรืออารมณ์ไม่ปกติ จำไว้เสมอว่าการตัดสินใจของเรากระทบต่อความสำเร็จและล้มเหลวขององค์กร กระทบขวัญกำลังใจของทีมงานของเรา หายใจเข้าลึกๆ  หายใจออกยาวๆ  ทำต่อเนื่อง 5 นาที จิตใจจะดีขึ้น กินน้ำสักแก้ว แล้วค่อยว่ากัน 
4. ยิ้มสู้ : ถ้าจะตัดสินใจ ให้ยิ้มไปด้วย นี่ไม่ได้บ้านะ แต่ลองนึกดูว่าทำหน้าเครียด หน้าไม่มีความสุข บรรยากาศจะเสีย คนจะสับสน ถ้าเราตัดสินใจแล้วและจะแจ้งให้ทุกคนรู้ ยิ้มไปเลย มันแปลว่าเรามั่นใจ เรายินดีกับการตัดสินใจที่ถูกต้องของตัวเอง 
ขอย้ำ...คนเราไม่ได้มีโมเม้นที่ยิ่งใหญ่หลายครั้งในชีวิต
...มันมีครั้งเดียวสำหรับบางคน !! 
ครั้งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ภูมิใจในตัวเองไปตลอดชีวิต

“Only a life lived for others is a life worthwhile”
“ การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นเท่านั้นจึงจะเป็นชีวิตที่คุ้มค่า”
การมีชีวิตที่มาจากการคิดถึงตัวเองให้น้อยลง คิดถึงคนอื่นมากขึ้น จะเป็นชีวิตที่มีความสุข ปรับใจไม่ให้คิดแต่จะเอา จิตที่คิดแต่จะเอาเป็นจิตที่ทุกข์ง่าย เพราะถูกเผาผลาญด้วยความโลภ จึงหาความสงบสุขได้ยาก ตัดสินใจอะไรก็ไม่เคยถูก
“การให้” 
จะช่วยลดทอนความโลภ บรรเทาความเห็นแก่ตัว ละความยึดติด 
“การให้” เท่านั้นที่จะบรรเทาทุกอย่าง 
จะนำความสุขใจ ความปิติออกมาจากภายในตัวเอง
....ตัดสินใจอะไร...ถูกตลอด

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 148


เป็น "หมาขี้เรื้อน" หรือเปล่า...
==================
..พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์
มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี
มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้นความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน"
นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว....มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อย ๆ แล้วผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก
หลวงพ่อชา สุภัทโท
==================
สาธุ สาธุ สาธุ
ตกลงเราเป็นหมาขี้เรือนกันหรือเปล่า...วิ่งวุ่นอยู่ตลอด
เกานู่น เกานี่ คันทั้งวัน...ไม่เป็นสุขสักที !!
ไปหาวิธีรักษาโรคเรื้อนกัน...ป่ะ 

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 147


บางที...การหยุดก็ดีเหมือนกัน
ปัจจุบันทุกอย่างมันพุ่งพรวดราวกับจรวด เร็วจนตาพร่า คว้าจับเข้าใจอะไรได้ไม่ชัดเจน แต่ก็ยังมีคว้าอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่
ภาพ เสียงอึงคะนึงตรงหน้า...มากมาย หลากหลาย
หยุดและหันกลับมาหาตัวเองหน่อยน่าจะดี 
หยุดไม่เป็น...ไม่เห็นชีวิต
หยุดเป็น...เห็นความจริง
การเรียนรู้ที่จะหยุดเสียบ้างเป็นเรื่องสำคัญ
การหยุด ไม่ใช่ การนิ่งแบบไม่ทำมาหาอะไร
มันเป็นการหยุดในจังหวะที่ควรหยุด
...หยุดเพื่อหาความหมายใหม่ในชีวิต
...หยุดเพื่อชื่นชมความงามของชีวิต
...หยุดเพื่อหาหนทางเดินของชีวิต
……ที่สมดุลมากขึ้น....
มีคนบอกว่า...การหยุดของนักดนตรี คือ การรู้จักตีความเพลง
และ การหยุดของนักใช้ชีวิต คือ การรู้จักตีความชีวิต (คมเลยนะ)
นักดนตรีเล่นไปไม่หยุดเลยนี่ ไม่ได้นะ
นักใช้ชีวิตก็เช่นกัน มันต้องมีหยุดฟังสัญญาณชีวิตกันบ้าง
โดยเฉพาะเมื่ออายุเริ่มมาก...มันมีสัญญาณชีพที่เต้นผิดเต้นพลาดอยู่แน่นอน ถ้าไม่หยุดฟังดีดี มันจะไม่ได้ตายดี
แต่บางอย่างมันเป็นสัญญาณหลอกๆ อย่าไปเชื่อ...
ตัวอย่าง คือ เรากินยาอยู่ เราก็สบายดี อย่าคิดว่า “ยังสบายดี”
มันไม่เคยจะสบายดี หลังจากสัญญาณมันดังขึ้น
สังขารยุบมั่งพองมั่ง ก็เป็นสัญญาณที่บางทีหลอกตัวเองว่าดี
มันดียังไง..มันต้องมีดีอย่างเสียอย่างเสมอ
แต่เรามักเข้าข้างที่มันดี ไม่เคยจะมองที่มันเสีย
...ทั้งที่เสียอาจมากกว่าดี...
การหยุด...จะทำให้พิจารณาสังขารและใจได้ดีขึ้น
และเราจะจัดการตัวเองได้สัดส่วนลงตัว...กับทุกเรื่อง
ไม่ได้ยากอะไร...แค่ “หยุด”
ร้องเพลงตามไป...หยุด หยุดชีวิต หยุดกับตรงนี้...แม้ว่ามันจะดีสักแค่ไหน...หยุด หยุดความรักทั้งหัวใจ หยุดไว้ที่ใจตัวเอง...(ฮั่น)

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 146


สุขและทุกข์...วนเวียน
ความสุข คือ การโอบกอดเอาสรรพสิ่งเข้าสู่จิตใจ 
โอบกอดด้วยความรัก ความเข้าใจ
โอบกอดด้วยสติที่มองเห็นความจริงของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ความสุข คือ การมองสรรพสิ่งเป็นการเปลี่ยนผ่าน
ดังใบไม้ที่ต้องร่วงหล่นผลัดใบและแห้งเหี่ยว
ดังการไหลล่วงไปของเวลา
ความทุกข์ คือ การสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองตลอด
ความทุกข์ คือ การมองไม่เห็นว่าโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
ความทุกข์ คือ การไม่โอบกอดสรรพสิ่งด้วยความรัก ความเข้าใจ
มะ..ขอกอดที
ความสุขไม่ใช่ภาวะปลื้มปิติของการ ‘ได้’ อะไรสักอย่าง

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 145


เห็นข้อความนี้เมื่อปีที่แล้ว ยังชอบอยู่
ไม่ใช่ทุกวันที่เป็นวันที่ดี...แต่เราต้องอยู่ให้ "ดี"
เป็นคนนี่เรื่องทุกข์ใจมันเข้ามาเยี่ยมเรื่อยๆนะ ไม่เชิญก็มา ไม่เรื่องอะไรก็อะไรนี่แหละ ดีหน่อยที่ไม่มาทุกวัน มาเป็นครั้งคราวก็พอได้นะ พอทำใจให้ดี มีความสุขได้กันบ้าง และเรื่องอยู่ดีมีสุขมันเป็น person’s state of mind เป็นเรื่องของใครของมัน บางทีเราก็ติดยึดของเรา โดยคิดว่าคนอื่นจะมีความสุขแบบเรา มันไม่ใช่เพราะทุกคนล้วนมี "ทาง" ของตัวเองที่จะทำให้แฮบปี้ ซึ่งมันต้องหาให้เจอแล้วจะ...อยู่ดีดี 
ไม่ใช่คนที่เรารักทุกคนจะรักเรา..แต่เราต้องรักให้เป็น
มันเป็นเรื่องจริงที่ต้องทำใจด้วยเหมือนกัน อันนี้ต้องเมตตามหานิยมมาก คือ ไม่ต้องนึกถึงการได้รับ การให้ การเสียเปรียบ หรือได้เปรียบ คือ ไม่คิดเยอะ ปล่อยไปตามที่มันเป็น หายใจลึกๆเข้าไว้ เพราะว่า...เมื่อรักแล้วและรักแบบรักจริง ไม่คาดหวังให้ปวดหัว เราก็ยังคงรักต่อไปได้ เอาแค่รู้สึกสบายใจ แปลว่ารักเป็น
ไม่ใช่ทุกคนที่พูดความจริง...แต่เราต้องไม่โกหก
จะโกหก ไม่โกหก มันก็เรื่องของคนอื่นนะ ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเรา คือ ไม่โกหก ท่องไว้ เพราะโกหกแล้วมันจะร้อนใจ อึดอัด ที่แน่ๆเลย ผิดศีลข้อ 4 เป็นบาป เดี๋ยวลงนรกฮะ 
ไม่ใช่ทุกข้อตกลงที่เจอจะยุติธรรมเสมอไป...แต่เราต้องเล่นในเกม
ความมีศักดิ์ศรีนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนก็เห็นความสำคัญ แต่ต้องไม่ใช่เรา เราต้องมีความกล้าหาญชาญจริยธรรมใจเลิศล้ำย้ำสู้...อยู่...ไม่ถอย เรายืดหยุ่นได้แต่มันต้องอยู่ในเกม นอกเกมมันจะเหนื่อยกายเหนื่อยใจ จะหาความยุติธรรมในทุกเรื่องคงต้องไปหาโลกหน้า โลกนี้ต้องทำใจไปก่อนนะ

คิดวันละอย่าง # 144


สำคัญ คือ คือความรักและความเมตตา
บางทีเรา "ลืม" มองพื้นฐาน “ความเป็นคน” ที่เรามีร่วมกัน...
เรื่องกาย...มันจึงเกิดการเสียหาย เจ็บตัว
เรื่องวาจา..มันจึงเกิดการผิดคำพูด
เรื่องใจ.....มันจึงเกิดการโกงใจ
เกิดความเดือดร้อนที่เป็นปัญหายุ่งยากตามมา
คนยึดเอา “ตัว” เกินไป เห็นแก่ “ตัว” ทั้งที่ไม่มี “ตัว”
มองแต่ในมุมของตัว = ไร้ความรักและเมตตาคนอื่น
จึงเกิดอาการ “มีของ” คือ ของตัวดีกว่าของคนอื่น สูญเสียไปไม่ได้ 
ถ้าเราคิดอย่างจริงจัง ใคร่ครวญดีดี
มันไม่มีอะไรที่เป็น “นิจจัง” ทุกสิ่งทุกอย่างเป็น “อนิจจัง”
ความยั่งยืนไม่มีในโลก
แต่บังเอิญกระแสของกิเลสมันแรงเหลือเกิน..มันมองไม่เห็น
ถ้ารู้จัก “อนิจจัง” เราจะรักจริง !!
เราจะสามารถเมตตาได้จริง ไม่เฟคไปวันๆ เพราะว่า...
เราจะปรับความคิด การเป็นอยู่คือของเราให้เข้ากับทุกสภาพได้
จึงไม่หงุดหงิดเมื่อมีการ “เปลี่ยนแปลง”
จึงรักษาใจให้ยังมีความรัก เมตตาได้
ถ้าไม่รู้ทัน “อนิจจัง” เราจะรักและเมตตาไม่เป็น
เราจะยึด “สิ่งไม่ยั่งยืน” อยู่นั่นแหละ
จะรู้สึกประสาทกิน จะกลัวสูญเสีย
จนบางทีตัดสินทำอะไรไป กลายเป็นไร้ซึ่งเมตตาต่อคนอื่น
ยึดตัวเอง เกาะติด “สิ่งของ” จนลืมไปว่าเราต้อง “ละ” เป็น 
อะไรมันก็ “อนิจจัง” ทั้งนั้น...อยู่ในโลกนี้...มีได้ มันต้องมีเสีย 
ทำไมเราต้องเป็นทาสสิ่งที่ก็รู้ว่า “ไม่แน่นอน”
...จิตอ่อนไปไหม...
อย่าเริ่มต้นที่ความเชื่อ...จนเป็นความงมงาย
..มันไม่หลุด ไม่มีอิสระ....
เมื่อโดน “รัด” อยู่แบบนั้น...มันรักใคร เมตตาใครไม่เป็น...
อยู่ในโลก..ต้องรู้ว่าโลกในภาษาบาลีแปลว่าเสื่อม ขอย้ำยั่งยืนไม่มี !!

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 143

ภาวะจิตตก
“จิตตก” สำหรับทางการหมอคงเป็นคำที่ใช้บรรยายอาการของคนที่ประสบกับความเครียด ความกดดัน เป็นระยะเวลายาวนาน หรือ อาจไม่นานแต่ระดับความรุนแรงมันสูง แต่สำหรับคนปกติธรรมดา “จิตตก” นี่คงประมาณว่า “จิตตกใจ” คือ เวลาที่มีอะไรไม่เข้าท่ามากระทบจิตใจเรา แล้วมันช็อคแพร็บ เกิดความไม่สบายใจและไม่สามารถจัดการได้ มีเครียด มีกดดัน หรือ มีวิตกจริตจนกังวลไปต่างๆนานา อันนี้เกิดกันได้ทุกคน 
เช้านี้เกิดอาการจิตตก(ใจ) ช็อคไปแพร็บนึง เพราะลืมไปขึ้นเครื่องบินตามเวลา สติสตังค์หายหมด ร่างมันร้อนๆตึงๆ ใจก็สั่นๆงงๆและวูบๆ หายใจไม่อิ่มเลย พยายามจะรู้ตัวนะ แต่มันไม่ทัน มันเครียดวูบวาบไปแล้ว เพราะความเกรงว่าสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้น คือไปไม่ทันทำงานแล้วจะมีความเสียหายเกิดขึ้น คิดว่ามันยุ่งแน่ ความวิตกจริตบังเกิดเลยทีเดียว ย้อนนึกเวลาที่รู้สึกแบบนั้นได้ประมาณนาทีนึง (เหมือนนานมากกก) แล้วก็รีบจัดการจองตั๋วใหม่ มือสั่นกันเลย พอได้ตั๋วยังไม่หายนะ โล่งไปแป๊บ แล้วก็ติดต่อแจ้งคนที่จะมารับที่สนามบิน และ..เอ้ายังเวิ่นเว้อต่อไปอีก 5 นาที หมาเหมอกระจาย เลยหายใจลึกๆ เอาวะ จะไปจิตตกใจอะไรนักหนา มันจบไปแล้ว ทีนี้ได้ตั้งหน้าเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า แล้วก็มานั่งชิวทบทวน เขียนนี่แหละ 
ได้วิธีแก้จิตตกใจมาบ้าง..จึงอยากเล่าสู่กันฟัง
1. ต้องเชื่อก่อนว่า...มันต้องผ่านไปได้
2. สติมา สติมา ไม่ฟูมฟายตีอกชกหัวตัวเอง จัดลำดับความสำคัญ เอาทีละอย่างให้มันจบ
3. เริ่มท้าทายกับปัญหาละทีนี้ เอาดิ เป็นไงเป็นกัน มันเกิดขึ้นมาแล้ว ดีจะจำไว้เป็นบทเรียน อะไรจะเกิดต่อจากนี้เราไม่เป็นไรแล้ว
4. ผ่อนคลายตัวเอง จะอ่าน จะเขียน จะกินก็เบี่ยงเบนไป ทำในสิ่งที่ตัวเองสบายใจ (ข้าพเจ้าเลือกหาอะไรกินไป แล้วเขียนไปด้วย) วิตกกังวลจะค่อยๆหายไป ถ้ายังมีค้าง...ก็หายใจลึกๆเอาอ็อกซิเจนเข้าไปล้างซะ 
อือ...ดีเหมือนกัน ได้รู้เท่าทันความคิดและจิตใจของตัวเองได้หน่อย มันดีนะ มันรักษาจิตใจเราให้มั่นคงได้ดีขึ้นจริง อันนี้รู้เลยว่าถ้าปล่อยไว้มีบ้าได้ อาการอาจจะรุนแรงถึงขั้นไปหาทางการหมอกันเลยทีเดียว และมันจะมีผลกระทบกับการดำเนินชีวิตตามมาอีกมากมายแน่นอน

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 142


รักเราจะยืนยาวแค่ไหน..อยู่ที่..
Fun ต้อง “ฟัน” เพราะเราม่วนได้เมื่อเราสบายใจที่สุด มันเป็นสัญญาณที่สำคัญที่สุดของมิตรภาพ ไผ๋บ่ม่วนฮาม่วนนี่มันบ่ได้นะ 55 การม่วนมันต้องม่วน สนุก ฟันกันทั่วถึง 
Support กัน เราล้วนมีช่วงที่ต้องผ่านความทุกข์ท้อทรมาน ต่างคนต่างมีปัญหาถาโถม มิตรภาพยืนยงได้ด้วยการดูแลกัน support ทั้งกายและใจ บางทีเราอาจไม่เห็นด้วย แต่มันก็ต้องดูแลใจกันไม่ใช่หรือ ความชื่นมื่นมั่นคงในมิตรภาพเกิดจากตรงนี้ด้วย
Hug ฮักกัน การกอดนี่มันไม่ต้องพูดอะไรเลยนะ กอดเดียวบอกอะไรได้มากเลย ยิ่งกอดกันความสัมพันธ์เหนียวแน่น...มะ 
Respect เคารพกัน ไม่ต้องบูชาเช้าเย็น แค่ “ให้ค่า” กับความคิดคนอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ไม่เคารพกันสัมพันธ์จะพังครืน มีแค้นเคืองได้
แค่นี้ก็พอละนะ..รักเรายืนยง 

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 141

เรามีทางเลือก...หรือ ???
แต่ละวันที่ผ่านไปในชีวิต เราคิดว่าเรามีเสรีภาพในการที่จะเลือก แต่บางทีในความเป็นจริงเรามีเสรีภาพในการที่จะเลือกเฉพาะตัวเลือกที่มีคนกำหนดไว้ให้ และเราก็ไม่ควรจะหลอกตัวเองว่าเรามีเสรีภาพในการเลือกมากน้อยแค่ไหน 
บางครั้งเราอาจจะหลอกตัวเองว่าเรามีเหตุและผลในการเลือก แต่มันเป็น choice architect !! การตัดสินใจของเรามันมักจะขึ้นอยู่กับการกำหนดตัวเลือก framing effect ที่เนียนๆ นี่แหละ 
ภาพนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นของอิทธิพลของการกำหนดตัวเลือกเพื่อโน้มน้าวการตัดสินใจ (ซึ่งชอบใจอยู่นะ)

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

การจัดการที่ดี = การมีมารยาทที่เหมาะสม

การปฏิบัติ หรือการแสดงวาจา ภาษา ท่าทาง และพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาให้ปรากฏแก่สายตาของคนอื่น เราเรียกว่า มารยาท เป็นคุณลักษณะประจําตัวของคน เช่น การมีสัมมาคารวะ ความสุภาพ อ่อนน้อม ความมีวินัย เป็นต้น แค่ความสามารถทางการบริหารจัดการไม่เรียกว่าการจัดการที่ดี เพราะการจัดการที่ดี..ต้องมีมารยาทด้วย มารยาทเป็นการแสดงความเคารพให้เกียรติกัน คนปัจจุบันที่เรียกตนเองว่า คนยุคใหม่ และชอบทําอะไรแบบง่าย ๆ ถือเอาความสะดวกสบายเป็นหลัก พฤติกรรมท่ีแสดงออกมาในบางครั้งจึงกลายเป็นคนไร้มารยาทไปได้โดยง่าย
คือว่า...รวยอย่างเดียวไม่ได้ บริหารธุรกิจแล้วร่ำรวย ไม่ได้แปลว่ามีการจัดการที่ดี เพราะการจัดการที่ดีและมีมารยาทเท่านั้น จะทำให้เกิดการยอมรับนับถือ เป็นคนมีเกียรติ ไม่ใช่มีแต่ตำแหน่ง มีแต่เงิน !! 
มารยาทนั้นไม่ได้เป็นเรื่องยาก
1. เกรงใจไม่ถือวิสาสะ
เบื้องต้นแค่รู้จักเกรงใจไม่ถือวิสาสะก็ดีแล้ว เกรงใจ คือ การรู้จักระวังความรู้สึกของคนอื่นในเรื่องต่างๆ เช่น การจะขอความช่วยเหลือไม่ควรกระหน่ำขอ การจะไปพบการจะโทรศัพท์ไปหาต้องดูเวลา การไม่ถือวิสาสะแปลว่าต้องขออนุญาต...แม้แต่คนเป็นลูกน้อง
2. มารยาทในการพูด
การมีมารยาทในการพูด ไม่ต้องถึงขนาดเจ้าคะ เจ้าขา ครับผมตลอดเวลา อันนั้นเอียน too nice แค่ไม่เพ้อเจ้อ คือ ออกนอกลู่นอกทางนอกเรื่องที่กําลังเป็นประเด็นสําคัญ หรือสั่งพรํ่าเพรื่อ ตอกย้ำเพราะกลัวคนจะลืม พูดบ่อย ๆ จะถือว่าเป็นการเสียมารยาทเลยนะ อีกอย่างที่เจอบ่อยในการพูด ถึงแม้จะเป็นนอกเวลางานของกลุ่มผู้บริหารชาย คือ การพูดตลกคะนองลามก แสดงความอยากแมนด้วยการพาดพิงผู้หญิงเหมือนเป็นเครื่องเล่น อันนี้ถือว่าไร้เกียรติ ไร้มารยาท ไม่แมน กรุณาให้เกียรติเพศแม่ของตัวเอง
3. ระมัดระวังตัวและอ่อนน้อมถ่อมตน
มารยาทเป็นเรื่องของการระมัดระวังตัวและอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เหลียวหน้าเหลียวหลัง เลิกลั่ก หรือทําตัวเป็นจุดเด่น โวยวาย กรี๊ดกร๊าดเหมือนคนมีปัญหา และไม่แสดงอาการหยิ่ง จองหองให้น่ารำคาญ
4. ตรงเวลา ตั้งใจ ไม่แซงคิว
การมาสาย ใช้เวลายืดเยื้อ คือ ความไม่มีมารยาท ไม่ต้องอ้างอย่างอื่น ทุกอย่างถ้าวางแผนล่วงหน้า มีการเผื่อ จะรักษาเวลาได้ ถ้าทำไม่ได้ คือ ไม่ใส่ใจเพียงพอ การแสดงความสนใจ ตั้งใจเป็นมารยาทด้วย ที่เห็นบ่อย คือ ใช้ความเป็นผู้บริหาร “แซง” ชาวบ้านไปทุกเรื่อง พูดแทรก แซงคิว ขอก่อน กินก่อน ได้ก่อน แบบนี้ไม่น่ารัก ไม่มีน้ำใจ
คงจะมีอีกเยอะ เอาแค่นี้ให้ได้ก็งามแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดเป๊ะแบบมารยาทในการรับประทานอาหารแบบฝรั่ง อันนั้นไปหัดเอาจากแถวโรงแรมได้ แต่ที่เกริ่นๆไปนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องติดตัว ติดให้เป็นคุณลักษณะประจําตัวไป 
จัดการเก่งแค่ไหน มารยาทไม่ดี ราศีบารมีไม่เกิด !!

คิดวันละอย่าง # 140


ชีวิตมีแต่เรื่อง...
ดีใจ
ได้ใจ
สุขใจ
ปลื้มใจ
สบายใจ
และก็มี...
ทุกข์ใจ
เสียใจ
ท้อใจ
หมด(กำลัง)ใจ
กลุ้มใจ
สรุปได้ว่า..มันอยู่ที่ "ใจ"

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คารวตา

ที่ Kochi, Kerala มีธรรมเนียมที่น่าประทับใจจนต้องเก็บเอามาคิด คือ ธรรมเนียมการแบ่งพื้นที่
ในรถเมล์ เป็นที่รู้กันเลยว่า พื้นที่ส่วนหน้าเป็นของผู้หญิง ส่วนหลังเป็นของผู้ชาย ผู้คนในเมืองอินเดียนี่
มีจำนวนมาก เราคงเคยเห็นการขนส่งคนที่เบียดเสียดยัดเยียด อัดเป็นปลากระป๋องกันเลย การแบ่ง
พื้นที่แบบนี้ถือเป็นการให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ การเข้าใจความแตกต่าง แสดงถึงการมีปัญญา
ที่ลึกซึ้งโดยไม่ต้องผ่านการเรียนหนังสือ แค่มองตามความเป็นจริงให้ออกก็เห็นได้และสามารถจัดการ
ได้โดยละม่อม พื้นที่นี้เป็นพื้นที่แห่งความเคารพกันเลยทีเดียว ผู้ชายอยู่ได้แค่ส่วนหลัง ผู้หญิงจะเลือก
อยู่ส่วนหน้า ส่วนหลังได้หมด เผื่อมากับสามีจะได้อยู่ข้างกันได้ เนี่ย..คิดละเอียดไปครบเลย  
การเป็นคนเหมือนกัน...ไม่ได้แปลว่าต้องเท่ากันไปทุกอย่าง เหมือนกับประชาธิปไตยก็ไม่ได้แปลว่า
ต้องมาจากการเลือกตั้ง (อ้าว..ไปโน่น) คือ มันแค่ “มองตามความเป็นจริง” ของผู้คน ของพื้นที่ 
วัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ต่างกัน ก็ไม่ได้แปลว่าที่หนึ่งล้าสมัย ที่หนึ่งมีอารยะธรรม มันขึ้นกับบริบท 
มันเอามาวัดกันไม่ได้ มันไม่ใช่แค่ว่าชอบ หรือ ไม่ชอบอะไรนะ บางที่บางแห่งมันเป็นความจำเป็นที่คน
ในพื้นที่ต้องคิดต้องจัดการกันเอง 
ความเคารพ = การให้เกียรติ 
ความเคารพ = การ(จัดการ)ให้ความเสมอภาค 
ความเคารพ = ความรักเอื้ออาทรกัน
ที่โลกมันยุ่งอยู่ทุกวันทุกสังคม คือ ไม่ให้ความเคารพกัน !!
มีการอวดศักดา สำแดงสิทธิความเป็นส่วนตัวกันอย่างตรงไปตรงมา จนกลายเป็นการใช้คำพูด ใช้พฤติกรรมคุกคาม ใช้กำลังรุกรานคนอื่นอย่างง่ายดาย โดยไม่มีความเคารพ เกรงใจคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ผลที่ตามมา คือ เราไม่รู้สึกว่า คนอื่นคือคนเหมือนกับเรา จึงแสดงพฤติกรรมออกมาอย่าง
สุดเหวี่ยงใส่กัน เพื่อปกป้องสิทธิ ความเป็นอิสระ ความสบายของตน....จนมองไม่เห็นความอดทนในตนเอง จึงไม่มีกรอบระหว่างความเหมาะสมและความไม่เหมาะสม จนผู้คนก้าวล่วงกันเสรีเกินไป 
แม้แต่ในกลุ่มเล็กๆของสังคมครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้แต่คนรักกัน ความเสียสละไม่มีในพจนา
นุกรมอีกต่อไป คือมันคิดแต่จะเอาเปรียบ มันเริ่มตั้งแต่การใช้ภาษา ส่อเสียด ด่าทอ ใช้สายตา 
อารมณ์ และแรงกาย แรงกำลัง ไม่คิดเห็นคุณหรือค่าของคนอื่น ไม่มีจิตสำนึกในตัวคุณลักษณะของ
มนุษย์คนนั้น อันนี้เท่ากับการทำลายกันเลยนะ 
อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ พวกนี้มันเป็น NCD เชื้อที่ติดกันได้โดยไม่ต้องมีพาหะ แค่เห็นๆ ทำๆไป
ก็จะชิน ติดโรคไปเลย แค่เอาแต่ใจตัวเองนี่ก็เป็นปฐมบทแห่งการไม่เคารพกันแล้วนะ มันทำลายบรรยากาศความเป็นมิตร เรื่องนี้จะว่าง่ายก็ง่าย ยากก็ยากเพราะมันเป็นเรื่องปัญญาล้วนๆ 
มันอยู่เหนืออารมณ์และความรู้สึก ปราศจากกิเลสและตัณหาทั้งหลาย  
ทุกวันนี้เราเคารพกันด้วยเหตุผลอะไรหรือ....
มันไม่ใช่แค่ค่านิยม ธรรมเนียม วัย ตำแหน่ง ฐานะ หรืออื่นใด 
คนต้องเคารพกันที่ความเป็นคน เคารพในความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ควรมีข้อจำกัดในสิ่งที่เป็น
สมมุติสัจจะทั้งหลาย เราสามารถเคารพกันได้อย่างไม่ยากถ้าคิดถึงข้อนี้ มองให้เห็นตามความจริง มันแสดงออกมาตรงหน้า คือ เป็นคนเหมือนกัน ชัดเจน สามารถเคารพซึ่งกันและกันได้เสมอไม่แบ่งแยก
ด้วยข้อจำกัดใดๆ และไม่จำเป็นต้องแสดงอะไรมากมาย แค่มองตากันก็ซาบซึ้งเข้าไปถึงจิตใจแล้ว
และมันต้องเริ่มจากการกระทำทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่รอให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาปฏิบัติให้แต่เพียงฝ่ายเดียว
ตามที่ตัวเองคิด หรือตามจารีตประเพณีปฏิบัติ การที่แต่ละฝ่ายมุ่งที่จะเข้าใจในความเป็นมนุษย์ด้วยกัน จะทำให้การเอารัดเอาเปรียบกันลดน้อยลง หาจุดลงตัวซึ่งกันและกันได้ง่ายขึ้น ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ “คน” เหมือนกัน 
ไปอ่านมา มีคนว่า...การเคารพนั้นง่าย แค่ LOVE 
L = Life เคารพการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละคน 
O = Opinion เคารพในความเห็นต่าง
V = Variation เคารพในความหลากหลาย
E = Efficacy เคารพในความสามารถที่ต่างกัน
ความรักแบบนี้ดี เพราะมันเป็น ได้กับได้ และรักกันยั่งยืน ไม่เหยียดหยาม ไม่ยัดเยียดในสิ่งที่เรา
ไม่ชอบให้คนอื่นเพราะ..การเหยียดหยามทำลายหัวใจคน การยัดเยียดไม่ใช่การให้ การให้แบบนี้ไม่
ใช่เรื่องใจดีหรือเอื้ออาทร อันนั้นไม่เคารพตัวเองแล้วยังไม่เคารพคนอื่นด้วยนะ 
ไม่ยัดเยียด ไม่ร้องขอ..ขอแค่คารวตา

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 139

พระท่านว่ากุศลวาสนา ชีวิตราบรื่นจะบังเกิดได้ คือ 
1. ห้ามชั่ว : กำจัดอารมณ์ชั่วออกจากใจ ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหนนั้นใช้ไม่ได้ ดีไปเลยให้ตลอด จะดีมากไปทบทวนศีล 5 
ห้ามชั่วทางกาย คือ ลอบ ลัก ฆ่า 
ห้ามชั่วทางคำพูด คือ โกหก หยาบ เสียดสี เพ้อเจ้อ 
ห้ามชั่วทางใจ คือ โลภ อาฆาต คิดมิจฉาทิฏฐิต่างๆ คิดไม่ถูกตามทำนองคลองธรรม 
2. ทำอารมณ์ดี : ถ้าเริ่มจะไม่ดี เดินออกมาทำใจ เล่นกับหมา คุยกับตัวเองบ้างก็ได้ อ่านหนังสือฟังเพลงที่ชอบ หายใจลึกๆ เขียนระบาย หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ นับเลขไปเลย 1-20 ก็น่าจะอารมณ์ดีแล้วนะ 
3. เกิดอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว ก็ท่องไป อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์บุคคลนั้นก็ว่างเปล่า 
ฝึกไป...จะได้ประโยชน์อนามัยแก่ร่างกาย แก่จิตใจตัวเอง 
ใครอยู่ใกล้ก็สุขใจ ราบรื่น ชื่นบาน
อนุโมทนาสาธุ

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 138


แบกอะไรไว้มั่ง
แบกความเชื่อมั่น
...น้อยไป ขาดการนับถือตัวเอง...มากไป ไม่เห็นหัวชาวบ้าน
แบกความรัก
…น้อยไป เห็นแต่ตัวเอง...มากไป มัวเมาคิดไม่ตก
แบกความกลัว
…น้อยไป มีพลาดได้...มากไป ไม่ถึงไหนสักที่..สักที
แบกภาระรับผิดชอบ
…น้อยไป เสียคน...มากไป เสียพลัง
แบกความอิสระ
…น้อยไป ไม่เป็นตัวเอง...มากไป หาใครคบยาก
แบกการดูเป็นคนดี
…น้อยไป ไม่ได้รับความนิยม...มากไป กลายเป็น FAKE
แบกความสำเร็จ
…น้อยไป ฝันสลาย...มากไป เหนื่อยใจทุกวัน
แบกเกียรติศักดิ์ศรี
...น้อยไป อาจมีไม่ละอาย...มากไป หนักหัวไปจนตาย
สารพัดจะแบกกันไป...
แบกทุกข์ก็หนัก แบกสุข..อย่าคิดว่าไม่หนัก
ใส่บ่าแบกหามกันไปพอประมาณ

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 137

จะทุกข์ไปทำไมมี...
you don’t need more motivation !!
ชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปหาแรงบันดาลใจที่ไหน 
รับความจริงไป เรายังเป็นตัวเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 
สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด คือ.... 
การอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข 
ไปไหนที่อยากไป ทำอะไรที่อยากทำ (ตราบใดที่ไม่หนักหัวใคร)
และ we are the same until we’re CHANGED !!
เราอาจวุ่นวายอยู่กับการบังคับตัวเอง บังคับชีวิต
อยากชนะในทุกเวที...มันคงได้หรอกนะ ถ้าชีวิตมันเป็นเส้นตรง
คนนะ...ไม่ใช่หุ่นยนต์ สั่งได้ ทำได้ทุกอย่างที่ตั้งโปรแกรม
ชีวิตมันไม่ได้เป็นระบบขนาดนั้น
มันต้องมีขึ้น มีลง มีเปลี่ยน... ถ้าไม่เปลี่ยน มันก็เดิมๆนั้นแหละ
คนน่ะ เปลี่ยนได้ทั้งนั้น อย่างเดียวที่ไม่ได้ คือ เปลี่ยนเวลา !!
ชีวิตเดียว...ใช้ไปอย่างที่ต้องการ

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 136

แซสซี่แต่จิตใจดี = แข็งแรงต่อทุกสถานการณ์ 
แปลว่า....
ไม่กดดันคนอื่น สามารถจัดการได้ด้วยตัวเองทุกสถานการณ์
ไม่กลัว ไม่ยึดติด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่ตื่นตูม รู้จักรอคอยจังหวะ
ไม่กลัวที่จะอยู่คนเดียว ไม่ใฝ่หาการชื่นชอบ
และ....
“อิน” อ่อนโยน ละเอียดอ่อนทางอารมณ์ (ดูโอหัง แต่เบื้องหลังมีแต่เข้าใจ)
“รับผิดชอบ” ไม่เดือดร้อนกับการตัดสินใจ (ที่ทำไปแล้ว..ก็มันทำไปแล้ว)
“ยอมรับ” ทำความเข้าใจกับอะไรที่เปลี่ยนแปลง (ปล่อยว่าง ปล่อยวาง)
“ต่อต้าน” ตัวเองในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตามใจตัวเองเกินเหตุ (มีหลักดี)
“กล้าเสี่ยง” พร้อมพัฒนา (ชีวิต...แค่เรียนรู้มันไป) 
จิตดี ใจแข็งแรงมันต้องแบบนี้