วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 8

Forget about being perfect !!
สมบรูณ์แบบถือเป็น "โรค" ...มีอาการดังนี้

เยอะ...สนใจเรื่องปลีกย่อยมากเกิน
หมกมุ่นกับรายละเอียด ผมกระดิกเส้นเดียวก็ไม่ได้ ออกบ้านต้องเนี๊ยบ เห็นชาวบ้านซกมกนิดหน่อยก็รำคาญ ติติง ไม่รู้จักธรรมชาติ ขันธ์ของคน มันมีเน่ากันได้

ยาก...ไม่ยอมเปลี่ยน
ใช้ชีวิตเดิมๆ ดื้อๆ อะไรแปลกๆใหม่ๆไม่เอาด้วย ไม่ฟังคนอื่น จะกินร้านนี้อยู่ร้านเดียว ชีวิตมีรูปแบบเดียว เดินทางไปมาแบบเดิม ประสบการณ์ใหม่ที่จะได้เรียนรู้ก็ไม่เอา ยึดโซนสบายอยู่นั่นแหละ ไม่ออกมาซักที 

ยาว...ไม่กล้าตัดสินใจ
กลัวผิด กลัวเสียพักตร์ กลัวลำบาก กลัวเดือดร้อน คนเราแค่เกิดมาก็ทุกข์แล้ว จะอะไรกันมากมาย ชีวิตเดียว ใช้ไป ไม่รู้ชาติหน้าจะเกิดมาเป็นคนหรือเปล่า

ยุ่ง.....เครียดง่าย
ระเบียบจัด แห้งแล้ง ขาดสีสรร ไม่ยอมพักผ่อน ไม่รู้จักคุณค่าของความไม่สมบรูณ์แบบ ความไม่สมบรูณ์แบบที่สมบรูณ์แบบน่ะ...รู้จักมั๊ย

มันจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดนะ ต้องยอมรับว่าคนเราสามารถผิดพลาดกันได้
คนเราไม่จำเป็นต้องดีพร้อมไปเสียทุกเรื่อง ทุกที่...
เราน่ะ...ทำส่วนของเราให้ดีที่สุดก็พอมั๊ง...ที่เหลือได้แค่ไหนก็แค่นั้น 

ไอ้โรคสมบูรณ์แบบนี่เกิดกับใคร...ซวยเลย
เพราะมันจะกลายเป็น โรคย้ำคิดย้ำทำ ตามมาติดติด
อาจถึงคราวจำเป็น...ต้องพบจิตแพทย์
มันจะรบกวนการใช้ชีวิต การทำงาน ตลอดจนความเป็นอยู่ในทุกเมื่อเชื่อวัน
...รวมถึงคนที่อยู่ใกล้ชิด...ผิดหวังมากๆ มีซึมเศร้า เหงาลึกฝังในเข้าได้ด้วยนะ

จะคิดอะไรมาก จะสมบรูณ์แบบไปไหน...

ปลาทูไหม้ตัวเดียว..โลกไม่ได้แตก !!

คิดวันละอย่าง # 6

กักขังฉันเถิด กักขังไป

ใครมันจะกักขังอะไรได้ไปทั้งชาติ...
จากพวก postmodernism ว่าไว้...
"หากความเป็นหญิง/ชายเป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างขึ้นมาแล้วนั้น ในเวลาเดียวกันความเป็นเพศดังกล่าว ก็สามารถถูกรื้อถอนและสร้างขึ้นใหม่ (deconstructed and reconstructed) ได้ด้วยเช่นกัน "

เพศสภาพ (gender) ดังที่เป็นอยู่ก็มิได้เป็นสิ่งที่สถิตย์..ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
มันเปลี่ยนแปลงได้...เลื่อนไหลตามพื้นที่ (space) และเวลา (time) ที่ต่างไป
มันเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาตามวัฒนธรรมและอำนาจ !!

ทั้งผู้หญิงผู้ชายส่วนหนึ่งก็พยายามก้าวข้ามเขต พื้นที่ที่ถูกกักขังโดยอำนาจสังคม
เข้าใจว่าคงจะเบื่อเพศสภาพ วิถีเพศตัวเอง
เบื่อได้...มันเป็นธรรมชาติ...
อะไรที่ถูกกัก..มันก็หาทางโบยบินออกไปทั้งนั้น
(ไอ้ที่ยอมถูกขังนั้นน่ะ..โรคจิต)

วิถีทางเพศเนี่ย มันคือ ความรู้สึก อารมณ์ ความดึงดูด ความสนใจ ความรู้สึกชอบ รักใคร่ใครบางคนมากกว่าคนอื่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเกิดเป็นคนมันก็มีความรู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้น
...รับไป... รักใครมากกว่าใครก็รับไป...
ไม่เห็นจะต้องเลือกเพศเลย และก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดยังไง 

และยังเข้าใจ (ไปเอง) อีกว่าทุกคนมีดีเอ็นเอ ทอม ดี้ เกย์ อยู่ในตัว...
อย่างตัวเองสภาพเพศเป็นหญิง สมัยเรียนยังแอบชอบเด็กผู้หญิงรุ่นน้องเลย
ชอบแบบเอาจริงเอาจังด้วย มีส่งขนม เขียนเพลงยาว ฯลฯ
เวลาเปลี่ยนไป พื้นที่เปลี่ยนไป มันก็เข้าที่เข้าทางไปเอง...
และจะทางไหน...ก็ตัวใครตัวมัน!!

แต่สิ่งสำคัญ คือ การยอมรับ !!
เป็นอะไร ก็เป็นไป ไม่ต้องอาย ไม่ต้องเขิน ไม่ต้องกลัวเสียพักตร์
ผู้ใหญ่บางคนที่ไม่ยอมรับนั้น..น่ารังเกียจกว่าอีก
ลูกหลานจะเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป ไม่เห็นจะแปลก
หรือแปลก ก็ดี..มีของแปลกในบ้าน...

ดังนั้น..จะ Homo จะ Hetero จะ Bi ก็เป็นไป
ไม่ต้องบำบัด...มันไม่ใช่เรื่องของ "โรค" มันเป็นเรื่องของ "โลก"
จงเป็นให้มันสง่างามฮะ 
สวัสดีเพื่อนดีเอนเอทอม ดี้ เกย์ทุกท่าน kiki emoticon
และยินดีด้วยฮะ http://edition.cnn.com/…/supreme-court-same-sex-marriage-r…/

คิดวันละอย่าง # 5

ก็แค่รับมันไป..















มีเรื่องราวบางเรื่องต่อให้ยินดีปรีดาหรือไม่ยินดีเศร้าซึมยังไง...มันก็เกิดขึ้น
..อยากเจอ ไม่อยากเจอ..มันก็เจออยู่ดี

มีคนรัก มีคนเกลียด มีคนอิจฉา มีคนชื่นชม
ก็ช่างเหอะ...เรื่องของคนอื่นทั้งนั้น
เราในสายตาคนอื่น..ยังไงก็ไม่ใช่ตัวตนเราอยู่ดีนั่นแหละ

มองที่เดียวกัน เห็นคนละอย่าง
ฟังอย่างเดียวกัน เข้าใจคนละทาง
ตังค์เหมือนกัน ใช้ไปคนละเรื่อง
ใจเหมือนกัน คิดไม่เหมือนกัน
คนเหมือนกัน ใช้ชีวิตต่างกัน

ทำอะไรจะถูกใจใครๆไปเสียหมด...มันยากมาก
จะทุ่มเท จริงใจ..ก็แค่ให้มันถูกคน
จบข่าว

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง #4

ฟรายทาค (Freitag) กับภาวะร่างกายไม่สนองตอบ

ใครเป็นแฟนฟรายทาคต้องรู้ว่าเวลาได้มันมา สมองส่วนควบคุมความพอใจพุ่งกระฉูด
...เอามานอนเป็นเพื่อน
...สะพายไป กวาดบ้านไป
...มองไป ยิ้มไป
...พาไปนั่งรถเที่ยว
...หิ้วมาช่วยทำงาน
...กระเป๋าแบน แฟนทิ้งก็ช่างมัน
คือ สมองเราจะหลั่งสารตัวใหม่ ชื่อ "ฟรายทาค-โดปามีน" ออกมาเกินกว่าปกติ 
ไอ้สารนี้แหละตัวดี มันออกฤทธิ์ต่อสมองส่วนควบคุมการพอใจ
ทำให้สมองเราเสียสมดุลในการทำงานตามปกติ
คือ มันต้องออกมาในระดับมากมาก เราจึงพอใจ 

ครั้นระดับมันลดลง...เกิดภาวะร่างกายไม่ตอบสนอง
..แปรปรวนเมื่อขาดมัน เรียกว่า อาการถอนพิษ !!
ต้องแสวงหาฟรายทาค-โดปามีนเพิ่มเข้าไป ร่างกายจึงทำงานปกติได้

ที่อันตรายต่อสุขภาพกระเป๋าเงิน คือ......
ร่างกายจะไม่ตอบสนองต่อปริมาณฟรายทาค-โดปามีนเดิมที่เคยได้รับ
ต้องเพิ่มปริมาณสารมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลความพอใจเท่าเดิม !!
(นี่ยังไม่นับรุ่น นับสี นับลาย นับตะเข็บนะ)

คือ มันเป็นสาเหตุของการซื้อที่ไม่หยุดหย่อน
ต้องเสพฟรายทาค-โดปามีนมากขึ้น
....ไม่งั้นพิษจะตกค้าง ร่างกายอ่อนแอ 555
น่าสงสารตัวเอง...มันถูกดูดซึมเข้าสมองไปแล้ว !!!

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง #3

อวยไส้แตกแหกไส้ดม.. 
to lick someone’s boots !!


คิดว่าหลายคนคงเจอมาบ้าง...มันมีทุกวงการ ทุกองค์กร...

คำว่า “อวย” ภาษาวัยรุ่น หมายถึง การที่ยกย่องคน ๆ นึงให้ดูดีเกินเหตุ
....เกินกว่าที่ควรเป็น 

ซึ่งมันเป็นเหมือนของเผ็ดร้อน 
กินแล้ว "แสบ"
คำชมที่มีเข้ามาหามากๆ เว่อๆ บางครั้งอาจเป็นดาบสองคม เพราะทำให้เราเหลิงต่อคำเชยชมต่างๆ จนทำให้เราหลงลืมตัว
....กลายเป็น “หมูในอวย” 
(สิ่งที่อยู่ในกํามือชาวบ้าน โดยไม่รู้ตัว = โง่) 
เพราะเจอปรนเปรอเข้าไปจนมึน !!

"อวย" จะให้ชัดๆ คือ อาการคล้ายๆกับ “เลียแข้ง เลียขาไปมา” 
เหมือนหมาเวลามันอยากกินอะไรก็เลียขาผู้เป็นเจ้าของ
ซึ่งเป็นหมาก็น่ารักอยู่ แต่พอคนทำนี่..หดหู่ ดูไม่ดี 
เพราะการเอาอกเอาใจประจบเกินเหตุ เพื่อต้องการได้อะไรที่ตัวเองต้องการนั้น มันตื้นเขิน 

เลียถูกแข้งเลียถูกขาพาหดหู่
เลียถูกใจคุณครูก็สอบผ่าน
หลายที่หลายคนเลียกันบาน
ขอซมซานโลกหน้า..ค่อยมาเจอนะจ๊ะ..จุ๊บๆ
จากแออวย = ละห้อยไห้

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 2



มีสมองไร้สายมาเสนอ : 
สมองเราเหมือนฮาร์ดดิสก์ไร้สายนะ...
จะจัดเก็บข้อมูล โอนย้าย ขยายพอร์ตโซลูชั่น สตรีมมิ่ง เพื่อการใดใดก็ได้ทั้งนั้น  
อยากสมองดีก็ประหยัดพื้นที่จัดเก็บกันมั่ง
มันออกแบบมาให้เก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น 
....จะได้ลดปัญหาเรื่องความจุเต็มได้มั่งไรมั่ง.... 

มีไว้ดีมาก...ไม่มีวันไร้สิ่งบันเทิง แม้ในยามต้องเดินทางไกลไร้อินเทอร์เน็ตก็ตาม
ไปได้เรื่อยๆ..ไปเรื่องอะไรก็ได้
เรื่องจริง-ไม่จริง เรื่องดี-เรื่องไม่ดี...ได้หมดทุกสิ่งอย่าง
สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บ เชื่อมอะไรต่อมิอะไรได้หมดทุกอย่าง
...ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
...โดยไม่ต้องใช้ ต้องต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่ประเภท "แทบเล็ด"
หรือว่า สมาร์ทอะไรให้มันเปลือง 
...ไม่จำเป็นต้องพึ่งการเชื่อมต่อผ่านเน็ตเวิร์คใดๆ

ผ่าน "ใจ" อย่างเดียว !!

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้สมองไร้สายเพื่อดูวีดีโอ ภาพนิ่ง ฟังเพลง
...หรือแม้แต่อ่านอะไรได้อีกบน "จอใจ" ไม่ต้องใช้จอจาน
จอใจ จอความคิดนี่มันใหญ่มหึมานะ ไม่ต้องเรียกหาแอพพลิเคชั่น !!

แค่ "เปิดสัญญาณ" ก็ใช้ได้แล้ว
ส่งสัญญาณทันทีไม่ต้องมีแบตตารี่...
แค่ผู้มีสมองไร้สายนี้...ต้อง "เปิด" เท่านั้น

หากใครสนใจเจ้าตัวสมองไร้สายนี้...
ไม่มีสนนราคา ไม่ต้องไปหาที่แอพสโตร์
พ่อแม่ติดตั้งมาให้แล้ว...ดาวน์โหลดละยัง !!
หมายเหตุว่า..มีข้อจำกัดนิดนึง
...มันส่งและรับได้กับคนที่มีปัญญาเสมอกันเท่านั้น !!

คิดวันละอย่าง #1

อย่ายื้ดเยื้อ : 

"ยื้ดเยื้อ" เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะกับทุกวัย
มันแสดงว่าสมองน้อย สรุปความไม่เป็น ตัดสินใจไม่เด็ดขาด 
แบบนี้ต้องรู้ว่าบางครั้ง....มันลากคนอื่นลงโคลน ลงเหวไปด้วย !! 

หยุดทำอะไรก็ยื้ดเยื้อ ซ้ำๆซากๆ ชักช้าให้คนอื่นต้องรอ
ถ้ายังทำอีกก็มีแค่เหตุผลเดียว คือ ต้องการเรียกร้องความสนใจจัดๆเลย
จะบ้าหรือเปล่า..เนื้อหามีนิดเดียว พูดจายืดยาวอยู่ได้
ทำลักปิดลักเปิด..ทั้งๆที่ไม่มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น

ไม่ใช่นางรำ หรือลิเก...ไม่ต้องออกแขก
เสียเวลา น่ารำคาญ.....

ที่สำคัญ อย่านึกว่านั่นน่ะอ่อนช้อย มีมาด ไม่ใช่เลยเสียมารยาทมากกว่า !!

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เกิดอยากเป็น Mensch


ใกล้วันเกิด..เลยเกิดอยากเป็น  "mensch" มั่ง
..ได้ไม่ได้ อีกเรื่อง !!

ได้ยินคำว่า “mensch” ครั้งแรกก็จาก Gay Kawasaki (คนนี้ชอบเลย) ในหนังสือชื่อ “The Art of the Start”  คำนี้เป็นคำในภาษาเยอรมันแปลว่า มนุษย์ หรือ คน แต่ในภาษายิวใช้มันกินความลึกกว่านั้น คือ การเป็นคนที่ “ดี” “ใจดี” มี “ศักดิ์ศรี” เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่ทำร้ายคนอื่นเสมอ   “mensch” มี compassion ที่ลึกซึ้ง เข้าใจทุกข์ของคนอื่นและหาทางเยียวยาให้ เพราะว่า "ใจ" ของ นั้น “กว้าง” แบบไม่มีที่สิ้นสุด..กว้างกว่ามหาสมุทร

ดังนั้น..คนที่เรียกกันว่า mensch” จะ...
..ไม่โกงเรา
..ไม่หลอกลวงเรา
..ไม่ทำอันตรายเรา..ไม่ว่าจะมโนกรรม วจีกรรมและกายกรรม
..ไม่ดูถูกเรา..ไม่ว่ากรณีใดใด

อยู่ใกล้ “mensch” เราจะปลอดภัยมากทั้งจิตใจและร่างกาย

Menschdom ของ Gay Kawasaki คือ
  1. ช่วยเหลือทุกคน : mensch ช่วยคนที่ไม่สามารถ “ช่วยกลับ” ได้ ไม่สนใจใครจะรวย จะจน มีชื่อเสียง หรือ อำนาจ ช่วยหมดถ้าเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ช่วยแบบไม่เลือกสถานะ 
  2. ช่วยเหลือแบบไม่คาดหวัง : mensch ไม่หวังอะไร (อย่างน้อยก็ในชาตินี้) มี  payoff คือ ความพอใจอันบริสุทธ์ที่ได้ช่วยคนอื่น  nothing more, nothing less !!
  3. ช่วยให้มากที่สุด :  Menschdom เป็น numbers game ความเอื้ออาทร ความใจดีต้องกระจาย อย่าไปแอบซ่อนไว้  ช่วยจริงๆให้ได้มากที่สุด แค่พยายามนั้น..ไม่พอ 
  4. ทำสิ่งที่ถูกต้อง ในทางที่ถูกต้อง : mensch จะไม่มีสีเทา ไม่อคติชอบหรือชัง ไม่มีการข้ามเส้นแบ่งความถูก-ผิดเด็ดขาด
  5. คืนให้สังคม :  mensch จะตระหนักเสมอว่าตัวเองนั้นโชคดี มีวิสัยทัศน์ มี  passion บวกกับความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ ดังนั้น baseline คือ ทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยสังคม จึงเป็นหนี้สังคมอยู่ 

ขอแอบต่ออีก 5 ข้อ 
1. เมื่อใครทำทุเรศ ไม่ดีกับเรา จงทำตอบไปแบบอารยชน อันนี้ mensch สุดสุด
2. ให้มากกว่าที่ได้ คิดว่าอันนี้ mensch way เลย
3. ใส่ใจคนอย่างจริงจังและจริงใจ นี่มันเป็น octane เลยนะสำหรับจิตวิญญาณ ต้องให้เวลาคน ให้ใจคนสุดติ่งกระดิ่งแมว
4. ตัวเลือกต้องเป็น kindness เสมอ และ
5. โอบกอดความหลากหลายเข้าไว้เลย ต้องโอบอุ้มความต่างเพราะคนในโลกนี้มันไม่เหมือนกัน  ความเป็นคนแต่ละคนที่แตกต่างนั้นทำให้โลกเป็นโลก  เหมือนที่ Louis Armstrong ร้องเพลงว่า...the colors of the rainbow so pretty in the sky, are also on the faces of people going by... ประมาณนั้น (เห็นสายรุ้งนั้นละยัง..มันงามนะ) 

สรุปว่า mensch คือ คนใจดี มีเกียรติเพราะเลือกทำในสิ่งที่ถูก ในวิถีถูกต้อง  ชีวิตนี้ถ้าใครถูกเรียกว่า mensch นี่ มันเป็น the greatest compliment one can give you เลยนะ   ซึ่งจริงๆแล้วเราทุกคนมีโอกาสเป็น mensch ได้ทั้งนั้น มันอยู่ที่ว่า...เกิดมาแล้ว มีชีวิตอยู่แล้ว จะอยู่มันไปเรื่อยๆ หรือ อยากให้มีคนจดจำได้ คิดเอาเองแล้วกัน !!

แบบฝึกหัดที่ Gay Kawasaki  ให้ไว้ คือ ในวาระสุดท้ายของชีวิต อะไรคือสามอย่าง (ไม่ใช่ไก่) ที่อยากให้คนจดจำเกี่ยวกับตัวเรา 

1.

2.

3.


สำหรับข้าพเจ้า mensch นี่คงเกินความสามารถของใจ ไม่ใจดีขนาดนั้น (ได้แต่หวังว่าจะใจดีจริงๆก่อนตาย....สักวัน) แต่ก็อยากให้เพื่อนพี่น้องลูกหลานจำได้ คือ...

อิชั้นนั้น แมน ใจถึง อยากพึ่งก็มาหา