วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มาเป็นศิลปิน..ระบายสีชีวิตกันเถิด



ไหนๆคนก็อยู่คู่กับศิลปะมาตลอด ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ ความสัมพันธ์นี้ทำให้นึกถึงคนในแง่ของ actual art มันเป็นทางเลือกของคนธรรมดาที่จะใช้คุณลักษณะของศิลปินที่ทำให้ชีวิตมันมีความหมาย ตื่นเต้นและน่าจะเป็นคนดี หรือ ไม่ต้องดีมากแต่ไม่เดือดร้อนชาวบ้านที่หฤหรรษ์มากกว่าเดิม ลองมาดูคุณลักษณะที่อาจต้องทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองกันบ้าง..เหมือนศิลปิน
  1. ความตั้งใจ:  ศิลปินมีการแสดงออกที่ชัดเจนถึงความตั้งใจที่จะได้รับความสมหวังในงานที่เด็ดดวงกว่าคนอื่น...แล้วเราล่ะ ??? 
  2. มีจุดเน้น: ศิลปินมีการ highlight ลักษณะงาน สิ่งแวดล้อม จุดสำคัญที่ต้องการสื่อสาร อย่างชัดเจน.. เรามี focus อะไรในชีวิต ??? 
  3. ทักษะ: ศิลปินมีทักษะในการเข้าใจชีวิตคน สถาบัน องค์กร ประเด็นต่างๆที่ลึกซึ้งถึงแก่น.. แล้วเราพอจะเข้าใจอะไรบ้างไหม ???
  4. รูปแบบ: ศิลปิน combine การสื่อสาร โครงสร้าง เรื่องราวในเชิงองค์รวม มีรูปแบบความคิดจะแจ้ง..เรามี form มั่งไหม ??? 
  5. สื่อสาร: ศิลปินสื่อความหมายในเชิงนามธรรม แต่ตรง แต่จริง.. เราสื่ออะไรออกไปบ้างในเชิงสร้างการรับรู้ ในเชิงความจริงแท้ ??? 
  6. จินตนาการ: ศิลปินสร้างความแตกตื่น ไม่มีเงื่อนไข ต่างจากสิ่งธรรมดา สร้างสำนึกใหม่ สร้างความเข้าใจใหม่ๆ... เรายังวนอยู่ที่เดิมหรือเปล่า ??? 
  7. ของแท้: ศิลปินนำเสนอตัวตนอย่างซื่อแต่มีสไตล์ ให้คนมองออกถึงความเชื่ออย่างตรงๆแท้ๆ .. เรากำลังบิดเบือนอะไรอยู่ ???​ 
  8. ความหฤหรรษ์: ศิลปินให้อารมณ์ ให้ประสบการณ์ แบ่งปัน ส่งเสริมสิ่งเชื่อมโยงคนในสังคม ฟูมฟัก personal fulfillment ของคน.. เราหฤหรรษ์อะไรบ้างในชีวิต ???
  9. เน้นคนเป็นสำคัญ: ศิลปินอำนวยความสะดวกให้เห็นถึง personal reflection จุดสำคัญของความเป็นคนและความเป็นไปได้ของคน.. เรามองอะไรแบบนี้บ้างไหม ??? 
  10. บริบท: ศิลปินส่งความเข้าใจที่เกี่ยวกับบริบทไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี อุปสงค์ บรรทัดฐาน.. เรามีความเข้าใจ ชื่นชม ขมขื่นในสิ่งเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ??? 
  11. วิพากษ์: ศิลปินเมื่องานออกมายอมให้เกิดการแสดงความคิด วิพากษ์ วิจารณ์ ประเมินจากคนอื่นไม่ว่าจะดีหรือร้าย.. เราใจกว้างแบบนี้ไหม ???
การตอบคำถามเหล่านี้ได้...ไม่ง่าย  คนทุกคนมี unique way แต่มันก็ท้าทายเราอย่างยิ่ง.. อย่างน้อยถ้าเรามุ่งเน้นคน เห็นความสำคัญ เราก็จะไม่ลืมวันเกิดใครและทำให้เขาเป็นสุขได้ด้วยการสื่อง่ายๆ แค่ happy birthday  มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น  การที่เราจะเป็นอย่างศิลปินระบายสีชีวิตงามๆได้มันคงต้องอาศัยใจมุ่งดี อยากสร้างความสุข ความชัดให้กับคนรอบข้าง สร้างความสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์ที่นับถือความเป็นคนซึ่งกันและกัน ไม่ fake ไม่หลอก ไม่เลือนลาง  ทำได้มันคงไม่ใช่ short-term results แต่เราจะดีในระยะยาว ดีไปชั่วชีวิต  คนอื่นอาจไม่แคร์ว่าเราจะเป็นยังไง แต่เราต้องมี bottom-line results ที่จะเดินไปหามัน หาแต่เงินไม่ใช่คำตอบ การเป็นคนที่มีศิลปะในการใช้ชีวิตต่างหากที่เป็นคำตอบ 

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คิดไม่ดี..คิดดี..คิดได้ไง..เครียด



ความคิดนี้สำคัญ.. จากพระราชดำรัสของในหลวง “ความคิดนั้นเป็นแม่บทใหญ่ของการพูดและการกระทำ เพราะกิจที่จะทำคำที่จะพูดทุกอย่างล้วนสำเร็จมาจากความคิด การคิดก่อนพูดและก่อนทำจึงช่วยให้บุคคลสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง”  อยากเป็นคนดี ทำอะไรให้มันถูกต้อง ถูกใจ ไม่เครียด ให้ดูความคิดตัวเองไว้...มันต้อง ช้า เปิดและสวยงาม

ช้า
ที่คิดไม่ดีนั้น มันก็ไม่ได้ผิดโดยตัวมันเองนะ เพราะเรายังอยู่ในโลกที่มันผันผวน ยังเป็นคนธรรมดา แต่อย่าให้มันมากล้นจนเกินกว่าความเป็นจริง มันสะสมความเครียดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว การรับมือกับความคิดไม่ดี ไม่ใช่การบังคับตัวเองให้พยายามมองทุกอย่างในแง่บวกไปทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ต้องมีการปล่อยให้มันมีเวลาย่อยสลาย มีเวลาใคร่ครวญทั้งด้านดีและไม่ดี ให้มันตกผลึกเป็นความจริงของโลก ไม่ใช่ความจริงแบบที่เชื่อตามกันมา หรือความจริงแบบที่เราอยากให้เป็น หรือแม้กระทั่งความจริงแบบที่เราไม่อยากให้เป็น  คิดให้ช้าลง น้อยลง ลุ่มลึกมากขึ้น พูดให้น้อยลง ไตร่ตรองนานขึ้น มันจะช่วยเก็บรายละเอียดของชีวิตได้ลึกล้ำกว่าเดิม เห็นสิ่งละอันพันละน้อยที่เราเคยละเลยไป มันเป็นเครื่องมือคัดกรองไอ้ที่ไม่สลักสำคัญออกไป ทำให้เรามี focus ที่ความดีความงามความเป็นธรรมมากขึ้น ให้เวลากับมันอย่างเต็มที่กันหน่อย ประณีตกันหน่อยกับชีวิต คิดดีจะตามมา..ต้องช้าลง

เปิด
การพยายามหลีกหนี หรือ การพยายามบังคับตัวเอง ไม่มีอะไรดีขึ้น มันฝืนธรรมชาติของคนอย่างที่สุด มันจึงไม่ใช่แนวที่จะขจัดความเครียดที่เป็นผลมาจากการคิดไม่ดีของเรา เวลามองอะไรบวก มองอะไรว่าดี  อย่าลืมหาแง่มุมลบมา verify มันด้วย และที่สำคัญมันไม่ได้มีเฉพาะดีไม่ดี บวกหรือลบ  การอยู่ในโลกมันซับซ้อนกว่ามาก มันมีมิติต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา ค่านิยม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง สภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม   ดังนั้นการ “เปิด” สัมผัสให้มันหลากหลาย ตอบรับประสบการณ์ในขณะนั้น ความรู้ที่มีหลากหลาย โอบมันเข้ามา เปิดรับมัน ขยายมุมมอง  ชีวิตไม่ได้มีแค่บวกลบ มันมีคูณหารด้วย ไม่ติดจำกัดกับกรอบคิด กรอบอาชีพ  เราไม่ได้มีเวลาทั้งชาติ มีความสามารถทุกอย่างที่จะทำอะไรก็ได้  มันต้องเปิดเพื่อเลือกที่จะตอบสนองเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ถึงที่สุดก็ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะดีที่สุด แม้กระทั่งตัวเราเองที่เสมือนเป็นเจ้าของชีวิตก็ตาม  ลองทำตามหัวใจ ลองดูตัวตนที่แท้ อย่าปฏิเสธ อย่าเพิ่งเบื่อ บางทีอาจจะมีสิ่งที่ดีซุกซ่อนอยู่ เป็นลายแทงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าก็ได้  ชีวิตไม่มีเส้นตรง การเดินทางเข้าหาสิ่งที่เราต้องการไม่มีได้แบบทันที อาจไม่มีวันไปถึงก็ได้ แต่มันต้องผ่านสิ่งที่เกลียด เซ็ง สิ่งที่เลวร้าย สิ่งที่มัวลุ่มหลง สิ่งที่ออกนอกเส้นทางไปไกล เพื่อจะได้กลับมาใหม่อย่างสมดุลย์ ถ้าหาเหตุผลที่จำต้องทนไม่ได้ ก็ทิ้งมันไปอย่างเร็ว  อย่าเสียเวลากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ปล่อยวางเพื่อเปิดปุ่มรับความเป็นธรรมชาติของคน ธรรมชาติของตน 

สวยงาม
คนมันซับซ้อนกว่าอะไรทั้งปวง มันไม่ใช่ 1+1 = 2 หรือใช้สูตรอะไรใส่เข้าไปแล้วมันจะออกมาตามนั้น ชีวิตนี้ไม่มีใครไม่มีปัญหา ไม่มีใครไม่เคยเครียด  อย่าตีบตัน ออกจากที่เดิมบ้าง หาสิ่งสวยงาม สถานที่ใหม่ๆ จะได้คำตอบที่ต่างไปจากเดิม เลือกเฟ้นคนที่จะอยู่ด้วย ทำงานด้วย หรือทำอะไรก็ตามด้วยสักหน่อย  ความคิดดีๆ ความสบายใจจะเกิด จะมีพลังพัฒนาตัวเองได้ดี หากรู้สึกว่าชีวิตมันมืดก็ย้ายที่ ไปที่มันสวยๆ งามๆ เดินเล่น นั่งเพลินๆ ไม่ต้องเทคโนโลยีล้ำยุคมากก็ช่วยให้คิดดี ไม่เครียดได้เหมือนกัน 

ทำมาแล้ว..โปรดลองดู

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

หัวอก CEO ยุคผันผวน



วันก่อนได้อ่านบทความเรื่อง Leading in the 21st century จาก McKensey Quarterly เดือนมิถุนายนปีนี้   Dominic Barton Andrew Grant และ  Michelle Horn ได้สัมภาษณ์ผู้นำระดับโลก 6 คน คือ Josef Ackermann CEO ที่พึ่งเกษียณของ Deutsche Bank Carlos Ghosn CEO ของ Nissan  Moya Greene CEO of the United Kingdom’s Royal Mail Group  Ellen Kullman CEO ของ DuPont และ Forbes จัดอันดับเป็นหนึ่ง 100 Most Powerful Women ในปีที่แล้ว  Shimon Peres ประธานาธิบดี Israel และ Daniel Vasella เป็น chairman ของ Swiss pharmaceutical company Novartis AG   จุดใหญ่ใจความสำคัญของบทความ คือ ทำให้เห็นถึงลีลาการเป็นผู้นำในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วผกผันชนิดหัวหกก้นขวิด  การจัดการตัวเองของคนที่รับผิดชอบองค์กรระดับบิ้กเบิ้ม และการตัดสินใจภายใต้สภาวะการณ์ที่ไม่มีอะไรแน่นอน  และเป็นการบอกเราว่าโลกนี้มันร้ายกว่าเดิมมากจนเกินจะจินตนาการ มันมีความท้าทายใหม่ๆตลอดเวลาที่ต้องเรียนรู้  โดยเฉพาะบทบาทของผู้นำที่ต้องเปลี่ยนใหม่เพื่อเข้ากับแรงผลักดันสารพัดที่โถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง

ตอบรับการผกผันของยุคสมัย

เศรษฐกิจโลกถูกปรับตามแรงผลักดันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอย่างอาฟริกา บราซิล จีนและอินเดียที่พากันผุดผงาดกันขึ้นมาแทรกแซงเศรษฐกิจโลกจากเจ้าเก่าแถบซีกตะวันตก กลายเป็นเครื่องจักรใหม่ของเศรษฐกิจโลก  นอกจากนี้ยังมีการก้าวกระโดดของนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ การล้มละลายของอุตสาหกรรมเก่า เครือข่ายการติดต่อสื่อสารที่โยงใยคร่อมกันไปมาในความเร็วที่แทบตามไม่ทัน  สิ่งเหล่านี้ คือ แรงผลักให้เกิดบริบทใหม่ในการเป็นผู้นำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

Josef Ackermann ให้ความสำคัญที่ managing risk ซึ่งไม่ใช่แค่ความเสี่ยงทางการตลาดแต่เป็นความเสี่ยงที่ซับซ้อนมากขึ้นจากทางการเมืองและสังคม จะเห็นจากในปี 1980 ที่ Deutsche Bank มีรายรับ 80% จากเยอรมันประเทศเดียว แต่ทุกวันนี้รายรับ 38% มาจากทั่วโลก พนักงานที่  Frankfurt ถึงขั้นถามว่าทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นหน้า CEO เลย  มันเป็นเหตุให้ CEO ต้องเดินทางไปตามเส้นทางการเติบโตขององค์กรทุกแห่งในโลกไม่ว่าจะเป็นแถบลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง หรือเอเชีย  คือต้องไปมันทุกที่เพราะ financial markets กลายเป็น political markets ที่ต้องอาศัยการเรียนรู้และทักษะใหม่ๆ ซึ่งทักษะเหล่านั้นมันหาไม่ได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัย การจะทำงานเป็นผู้นำได้ดีต้องรู้ว่าจะจัดการกับสังคมที่องค์กรอยู่ร่วมด้วยอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกที่รันทดหดหู่จากวิกฤติทางการเงินที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากที่เป็นคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับธนาคาร  จะเรียนรู้ จะเข้าใจ จะจัดการได้ต้องลงพื้นที่จริงเท่านั้น 

Carlos Ghosn เน้นว่าผู้นำต้องเตรียมรับวิกฤติภายนอกมากว่าภายในองค์กร วิกฤติในองค์กร คือแค่บริหารห่วย ยังพอจะทำอะไรได้บ้าง แต่วิกฤติภายนอกอย่างการล่มของ Lehman Brothers  แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น หรือ น้ำท่วมประเทศไทยแลนด์นั้น มันฉับพลัน ทุกอย่างถาโถมลงมาที่ตัวผู้นำ ในค่ายที่สอนบริหารธุรกิจก็ออกแนวเน้นการบริหารวิกฤติภายในเสียเยอะ  ซึ่งเวลามีวิกฤติภายนอกมันไม่ใช่เรื่องกลยุทธ์องค์กรแล้ว มันเป็นความสามารถของผู้นำล้วนๆที่ต้องเล็งว่าจะเอายังไง จะปรับกลยุทธ์ยังไงจึงจะเอาอยู่จริงๆ เพราะองค์กรอาจถูกถล่มโดยสิ่งที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยกับองค์กรมาก่อน สิ่งที่ Nissan สามารถรับมือกับวิกฤติภายนอกได้อย่างหนึ่ง คือ ความหลากหลาย การมี multinational culture และไม่ได้นั่งรอการแก้ปัญหาจากสำนักงานใหญ่ คนในองค์กรมองหาแนวคิดใหม่ๆเสมอจากหลายที่หลายแห่ง 

Ellen Kullman เชื่อว่าทุกวันนี้ผลกระทบทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น คลื่นยักษ์สึนามิมันรุนแรงแบบไม่เคยเห็นมาก่อน มีผลต่อเศรษฐกิจอย่างยิ่ง การเติบโตของประชากรโลกที่เข้าไปแตะเจ็ดพันล้านคนเมื่อปีที่แล้วจะมีผลต่อการทำมาหากินและสิ่งแวดล้อม  ผู้นำต้องสามารถเชื่อมโยงโดยศึกษาวิจัยพวก megatrends แบบนี้เพราะมันเป็นอนาคตที่ต้องเข้าใจ

มาดูฝั่งประธานาธิบดีกันมั่ง Shimon Peres คมขาดเช่นกัน “ You may have the strongest army but it cannot conquer ideas, it cannot conquer knowledge.”   มันเป็นโลกใหม่ที่ Adam Smith หรือ Karl Marx ถ้าฟื้นขึ้นมาอาจงงได้ว่าทฤษฎีที่เคยให้ความสำคัญกับพวก land labor หรือความมั่งคั่งมันหายไปไหน  ทำไมมันถูกแทนที่ด้วยไอเดียกันไปหมด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศมันทำให้คนเดี่ยวๆคนเดียวที่ไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีกองทัพ และไม่ได้มีมรดกพกห่ออะไรเลยมาก่อน  สามารถมีบทบาทในโลกได้อย่างคาดไม่ถึง เด็กหนุ่มสองคนสร้าง Google เด็กหนุ่มคนเดียวสร้าง Facebook และชายอีกคนสร้าง Apples  

การจัดการวิถีตัวเอง

โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้นำต้องเจ๋งมากต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเหมือนนักกีฬาอาชีพ ต้องเข้าใจทุกบริบทของการดำรงชีวิตไม่ว่าจะเรื่องกิน นอน ออกกำลัง ต้องตระหนักว่าทุกอย่างเกี่ยวพันกันกับการมีวิจารณญาณและการจะยืนอย่างโดดเด่นเป็นสง่าในโลกที่ผันผวนนี้ 

คุณป้าพลังร้าย Moya Greene บอกว่าอย่างแรก คือ ถามตัวเองว่ารักงานเข้าใส้ไหม รักองค์กร รักพนักงานอย่างจริงใจหรือเปล่า  ถ้ารัก case closed  คนนี้ตื่นตีห้า วิ่งครึ่งชั่วโมงทุกวัน เล่น weight สามครั้งในหนึ่งอาทิตย์  กินของดีแต่ปริมาณน้อย เดินทุกวันหยุด เป็นหญิงเหล็ก big walker   เมื่อก่อนชอบอ่านหนังสือ ตอนนี้หาเวลาอ่านโดยไม่ถูกขัดจังหวะไม่ได้เลยหากลอนมาอ่านแทน เช่น กลอนของ Ted Hughes Emily Dickinson และ Philip Larkin อ่านระหว่างนั่งรถเมล์ได้ประมาณ 15 นาทีก็เหมือนได้ฉีดโปรตีนเข้าหัวใจไปแล้ว

ชีวิตคือการเดินทางที่รีบร้อนตลอดเวลาสำหรับ Josef Ackermann ภายในสิบวันจะเป็นแบบพรุ่งนี้อยู่ Berlin แล้วไป Seoul แล้วมา Munich ไป Frankfurt ไป Singapore และไปแถวตะวันออกกลาง ซึ่งไม่ได้มีวันหยุดเที่ยว ไปถึงก็เข้าประชุม หรือบางทีก็ conference call ในรถ ถ้าโชคดีหน่อยก็ได้อาบน้ำก่อน ในขณะนั้นข้อมูลจะไหลเข้ามาถมทับอย่างมหาศาลที่ต้องจัดการ ต้องตัดสินใจ หรือต้องพิจารณาการเคลื่อนไหวของตลาดทั้งโลก ซึ่งหลายคนเจอแบบนี้ก็มีตายตกไปตามกัน burn out ไป   คนนี้ไม่ใช่ tech freak ใช้แค่ iPhone และ text messages เท่านั้น เพราะยังชอบจับกระดาษ ชอบเขียน และคิดว่าพวกใช้ BlackBerry หรือ  iPhone มากๆจะสูญเสียการมองภาพใหญ่ (อ้าว..)  แต่เป็นคนโชคดีที่นอนหลับได้ทุกที่ไม่ว่าในรถหรือบนเครื่องบิน  ถ้าหาวิธีพักผ่อนง่ายๆแบบนี้ไม่ได้ก็เป็น CEO ไม่ได้  เรื่องทำสมาธิ โยคะไม่เอาเพราะถือว่า CEO มีอยู่แล้วใน DNA 

Dan Vasella “ The expectation is that your job is 24/7. But no one can be the boss 24/7.”  มันต้องมีเวลาที่รู้สึกว่า เฮ้อ..ถึงบ้านแล้วบ้าง ชีวิตไม่ใช่งานอย่างเดียว ถึงจะเป็นการทำงาน CEO ทุกคนก็ต้องการคนที่รับฟัง คนที่คุยได้จริงๆ คนที่เข้าใจไม่ว่าเราอยากตะโกนว่า เบื่อโว้ย ก็ได้ คนที่จะช่วยให้เกิดการสมดุลย์ในอารมณ์กันบ้าง 

Carlos Ghosn บอกว่าคนเป็นผู้นำต้องมีความมั่นคงทั้งร่างกายและอารมณ์ เมื่อก่อนทำงานแบบจัดหนักได้ แต่ถ้าอายุ 60 ขึ้นแล้วคงลำบาก ทุกวันทำงาน 15-16 ชั่วโมง มีทั้งอาการ jet lag เหนื่อย เจอของกินต่างๆนานา  ต้องมีวินัยอย่างยิ่ง เป๊ะตามตารางชีวิต กิน ออกกำลัง หลับ ทุกวันนี้มีชีวิตเหมือนพระ ตื่น กิน ออกกำลัง หลับตรงเวลา ซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ 

Ellen Kullman ว่าพลังที่มีอยู่ทุกวันนี้ได้มาจากการติดต่อสื่อสาร เยี่ยมสาขา สำนักงานขาย พบลูกค้าและเข้าห้องแล็ปวิจัย  วันดีคืนดีก็พาคณะกรรมการบริษัทไปอินเดียสองอาทิตย์ ไปดูของจริงว่ากำลังเจอกับอะไรบ้าง มันเป็นพฤติกรรมที่ติดไปแล้ว มันเป็นแรงขับให้คิด ให้เคลื่อน ให้เห็นทิศทางองค์กร  

Shimon Peres ผู้นำต่้องว่าง จิตใจต้องว่างพอที่จะจินตนาการที่จะฝัน  สิ่งใหม่ๆจะได้มาจากความฝันนี่แหละ  ต้องปล่อยๆอย่าฟอร์มมาก 

การตัดสินใจภายใต้ภาวะผันผวน

ในเวลานี้..เวลาที่อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน สถานะการณ์ทั้งระดับโลก ระดับประเทศและเมืองสวิงไปมา ประสบการณ์ในอดีตที่เคยแจ๋วเจ๋งก็ดูเหมือนจะช่วยตัดสินใจอะไรไม่ได้ การันตีอนาคตไม่ได้  ผู้นำต้องใจใหญ่ในการสร้างวัฒนธรรมในมิติที่สร้างสรรค์และใช้คนเก่งที่มีมุมมองรอบด้านที่ไม่ใช่พวก “ใช่ครับนาย ดีครับพี่ ถูกครับผม” ต้องเป็นพวกใจกล้าไม่กลัวที่จะพูด ต้องเอามาไว้ใกล้ๆตัว 

Carlos Ghosn ว่าต้องมั่นใจและมั่นคงในขณะเดียวกันต้องเปิดและเอื้ออาทร ซึ่งสองทางนี้มันคนละอ่าว หายากในคนๆเดียวกัน  แต่ยังไงก็ต้องฟังให้มากเมื่อต้องทำการตัดสินใจ และเมื่อตัดสินใจไปแล้วแปลว่าต้อง hard ต้องโหดได้ใจ  สิ่งสำคัญคือ สื่อสารให้ง่ายสุด ชัดสุดสุด เพราะในเวลาผันผวนอะไรก็สับสนไปหมด  ให้มันแน่ๆชัดๆไปว่าขาวหรือดำ ไปหรือไม่ไป จะมาเทาๆ กลางๆ คลุมเครือไม่ได้  เพราะเวลาแบบนี้ไม่ควรเสี่ยงต่ออะไรที่มันจะผิดพลาดไป  ดังนั้นต้องสามารถทำได้ทั้งฟัง ตัดสินใจ และสื่อสารให้มันง่ายเข้าไว้  ภายใต้วิกฤติสิ่งที่มันยกร่องก็คือทุกอย่างต้องเร็ว แม่น และทำให้คนสามารถตัดสินใจเองได้  ซึ่งถ้าทำได้ก็จะทำให้สงบนิ่งได้แม้ช่วงเลวร้าย

Moya Greene เน้นว่าดูเงินให้ดี ดูว่าลูกค้าคิดยังไง พนักงานคิดยังไง ที่สุดของที่สุด คือ เราจะทำให้ดีได้ยังไงกับลูกค้าของเรา

Daniel Vasella เชื่อว่าคนต้องการผู้นำในเวลาวิกฤติ แต่เป็นธรรมดาที่คนเราต้องมีความกังวล ถ้าไม่กังวลก็ดูจะผิดมนุษย์มนาไป การแสดงออกถึงความกังวลไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรงของการเป็นผู้นำ แต่ก็ไม่ต้องถึงกับสารภาพว่ากลัว  ในการที่ต้องตัดสินใจต้องฟันที่ปมของปัญหา เอาให้กระจุย ไม่ต้องสนหน้าอินทร์หน้าพรหม ปัญหาคือต้องรู้ตัวว่าถูกชักนำโดยบริบท หรือ เราเองเป็นผู้นำตัวจริง คนอื่นเลือกให้เราเป็นผู้ตัดสินใจหรือเราเลือกเองตัดสินเอง  เราไม่ได้เป็นผู้นำเพื่อตอบสนองความคาดหวังของใคร เราทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว ซึ่งธรรมดาตัดสินใจไปย่อมมีทั้งเจ็บปวด ปลื้มเปรม ถูกด่า ได้รับการชื่นชม อันนี้มันเป็นหน้าที่ (เท่จริงจริง) 

Josef Ackermann คิดว่าปัญหาซับซ้อนสารพัดจะเกิดในยุคนี้ ต้องรวมหมู่คนเก่งไว้ช่วยให้ความคิดเห็นก่อนจะตัดสินใจ   CEO เป็น personal leadership ก็จริง  แต่ CEO จำเป็นต้องมีคนเก่งที่พร้อมยอมทั้งใจในการลงเรือลำเดียวกันด้วย บางคนว่าอย่าตัดสินใจจนกว่าเราจำเป็น แต่นั่นไม่ใช่ทาง ไม่ใช่แนว ตรงกันข้ามมันเป็นแรงกดดันอย่างยิ่ง แท้ที่จริงมันไม่ได้มีอะไรต้องด่วนขนาดนั้น เราต้องรู้มาก่อนแล้ว มันไม่ใช่ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้โดยมีสมมุตติฐานจากแค่ executive summary 

รำให้ดีไม่ต้องโทษปี่โทษกลอง

จะมานั่งดูว่าคุณลักษณะของผู้นำยุคใหม่ต้องมีอะไรบ้าง ก็ไม่ใช่ มันไม่ realistic เอาเป็นว่ามาขยายจากความคิดเห็นของเซียนแต่ละคนดีกว่า มันคงช่วยให้เห็นและเตรียมพร้อมได้บ้าง 

1. มองแบบใช้กล้องขยายและกล้องส่องทางไกล
จากนี้ไป ไม่มีอะไรง่าย McKinsey research ว่าที่จะเกิดขึ้น คือ cheap capital ดอกเบี้ยต่ำ เงินรายรับของบริษัทจะมาจากทั้งโลกไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น commodity prices จะสาละวันเตี้ยลง สิ่งเหล่านี้ทำให้ CEO ต้องมีมุมมองทั้งใกล้และไกล มุมไกลเอาไว้ส่องหาโอกาสในอนาคต ตามความฝัน   มุมใกล้เอาไว้ขยาย focus คุ้ยแคะปัญหาที่ท้าทาย   ถ้าเป็นการใส่แว่นก็ประมาณแว่นเดียวที่มีทั้งสำหรับสายตาสั้นและยาว ดูยาก ไม่ชินอาจตกกระไดได้ แต่ถ้าชินแล้วก็สบาย  มันแปลว่าเราต้องมองทะลุทั้งสองมิติ สั้นและยาวด้วย speed ด้วยความเคยชิน ห้ามเงอะงะ 

2. ลงแข่งในสนามไตรกีฬา
ต้องทั้งว่ายน้ำ วิ่ง ขี่จักรยานได้ในระดับนักกีฬาโอลิมปิก เพราะในทุกวันนี้ CEO เจอด่านหินทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคสังคมประชาชน  อย่าคิดว่าแค่วิ่งแข่งกับคู่แข่ง หรือ พาลูกค้าขี่จักรยานก็พอ มันไม่พอ อิทธิพลที่องค์กรพบเจอมันหลากหลายที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ  ต่อกลไกทางการตลาดของอุตสาหกรรม วันดีคืนดีจะเจอกับพวกประท้วงเป็นโบนัสอีกด้วย ดังนั้นขอยืมวลีของ Joseph Nye ที่เป็น political scientist จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ชมกัน...able to engage and collaborate across the private, public, and social sectors.. นั่นคือ ต้องออกมาจาก cocoon เรียนรู้ ศึกษาบริบททางสังคมและการเมืองให้ดี 

3. สงบยามวิกฤติ
การตอบรับสถานะการณ์ผันผวนในโลกใหม่ที่ผกผันถือเป็นบทบาทสำคัญของ CEO มันเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “stress-testing”  และ CEO ถือเป็นกลุ่มที่ถูกทดสอบอย่างแรง  ต้องมีสมดุลย์ทั้งร่างกายและจิตใจจิตวิญญาณ ซึ่งจากที่เขาสัมภาษณ์มาก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความสมดุลย์เป็นพิเศษ การตัดสินใจต้องนิ่งและเร็ว 

ภาระนี้ใหญ่หลวงนักสำหรับ CEO แต่อย่าลืมว่ามันได้ผลตอบแทนที่ใหญ่มากเหมือนกันในด้านการเติบโตขององค์กร  โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ ถ้าธรรมาภิบาลบริหารดีจะสามารถสร้างคุณูปการให้กับคนอีกเป็นจำนวนมากมายในโลกนี้ 

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

entrepreneurial journey เริ่มที่นี่



มีแต่คนพูดว่าธุรกิจสำเร็จขึ้นกับโอกาส... แต่มันไม่ใช่ มันไม่ได้ขึ้นกับโอกาสทางธุรกิจ แต่มันขึ้นกับตัวคุณเอง มันขึ้นกับว่าคุณต้องการเป็นนายตัวเองขนาดไหน คุณมี entrepreneurial qualities ที่ประกอบด้วยทั้งแรงจูงใจและพฤติกรรมที่เป็นเหมือนเลือดแห่งความเป็นผู้ประกอบการที่ไหลเวียนอยู่ในตัวคุณอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า การเริ่มต้นของเส้นทางผู้ประกอบการไม่ต้องวิ่งหาโอกาส  มันอยู่ในตัวคุณแล้ว  เพียงแค่คุณถามตัวเองว่า

พร้อมแค่ไหน

การเตรียมตัวของคุณอยู่ในระดับไหน.. กุญแจที่จะไขไปสู่การเริ่มต้นธุรกิจ คือ คุณเอง คุณมี mindset ที่ดีหรือเปล่า คุณมีดีอะไรที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ  ลองตอบคำถามต่อไปนี้ดูว่าเรามีดีหรือไม่

  1. คุณทนทานต่อความเสี่ยงได้ในระดับไหน
  2. คุณเตรียมพร้อมที่จะเจอความท้าทาย หรือ ปัญหาในการทำธุรกิจอย่างไร
  3. คุณเตรียมใจสำหรับความล้มเหลวหรือไม่
  4. มุมมองของคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในชีวิต ในธุรกิจเป็นอย่างไร

entrepreneurial journey เริ่มจากตรงนี้ การตอบคำถามจะช่วยบอกว่าคุณควรจะทำธุรกิจอะไรเพราะมันจะช่วยตีแผ่ใจ..ว่าคุณพร้อมหรือไม่

มีเงินในกระเป๋าเท่าไหร่

คนที่มีเงินแสนกับคนที่มีเงินร้อยล้านเลือกทำธุรกิจต่างกันแน่นอน  ถ้าเงินน้อยอาจเริ่มที่ online niche store แต่พวกเงินหนาอาจลงทุนในการทำโรงงาน เงินของเราก็เป็นปัจจัยของโอกาสทางธุรกิจด้วยเหมือนกัน  และมันเป็นตัวที่ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าจะทำธุรกิจอะไร

มีทีม หรือ ทำคนเดียว

โอกาสทางธุรกิจก็อยู่ที่นี่เช่นกัน  การที่มี management team ที่ดีที่เคยมีประวัติความสำเร็จมาแล้วจะทำให้รู้ว่าจะคว้าโอกาสแบบไหน ไม่ว่าโปรเจคจะใหญ่ขนาดไหน ทีมที่เจ๋งก็ทำได้ เป็นขนมๆ หรือ a piece of cake แต่ถ้า solo มาเลย โอกาสทางธุรกิจจะแตกต่างออกไป 

แผนธุรกิจคุณเจ๋งขนาดไหน

ถ้าแผนเยี่ยม ทีมยอด mindset ยิ่งใหญ่จะทำ mega project ที่ไหนก็ทำไป  แต่สำหรับผู้ที่ใชัแผนธุรกิจเพียงแค่ให้ได้เงินมาเริ่มต้น อันนี้ตัวใครตัวมัน  แผนธุรกิจก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่จะบอกถึงการคว้าโอกาสทางธุรกิจของคุณด้วยว่าจะไปทางไหน

สุดท้าย..สำคัญ

ไอเดียน่ะ มีไหม

อันนี้มันขึ้นกับตัวคุณและสิ่งแวดล้อม คนในประเทศจีนกับคนในประเทศเคนยาย่อมมีไอเดียไม่เหมือนกันในการเริ่มต้นธุรกิจแน่ๆ  ซึ่งแปลว่ามันขึ้นกับทั้ง personal passion ทักษะ งานอดิเรก สภาพภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม อุปสงค์ อุปทาน สารพัดที่ทำให้คนมองโอกาสในการทำธุรกิจต่างกัน มีไอเดียในการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน (ซึ่งไม่ควรจะเหมือน)  สำคัญ คือ ถ้าคุณอยากเดินบนเส้นทางผู้ประกอบการ แล้ว..คุณมีไอเดียทางธุรกิจมีหรือยัง... 

โลกนี้มันมีไอเดียที่วิลิศเลิศ ไอเดียประเภท million dollar ideas อยู่เยอะ  ที่ขาดน่ะ คือ savvy entrepreneur  และขอบอกว่า....การมีไอเดียที่ไม่ต้องเริ่ดมาก มี mindset ที่ถูก มีทีมที่ดี จะมีโอกาสมากกว่าพวก ไอเดียเจ๋ง poor mindset และทีมห่วย !! 

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จะรู้ไปทำไม

ช่วงนี้กระแสธรรมหลั่งไหลวนเวียนอย่างยิ่งในหมู่เฮา ขออนุโมทนาสาธุ... อยากจะบอกว่าดีใจและปลื้มใจที่อยู่ท่ามกลางพวกเราที่มุ่งใจใฝ่ดี  อย่างที่เขาว่าเลยนะ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คบผู้ใฝ่ธรรม ธรรมพาสว่างกมล.. (อันนี้ว่าเอาเอง..)

ธรรม คือ ใจ ธรรม คือ การปฎิบัติจริง ซึ่งแต่ละคนมีหลายทางที่จะไป.. ทางตรง ทางอ้อม ทางลดเลี้ยว ทางปีนเขาสูงชัน..ก็แล้วแต่จริต ความชอบและเวรกรรม แต่สักวันมันคงไปถึงที่เดียวกัน ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่างกันไป ความยากอยู่ที่ "ดับ" จะดับโดยอุบาย จะดับโดยปัญญารู้ตัวก็ดับกันไป เรื่องของใครเรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกัน.. dhamma is also a choice เหมือนสิ่งทั้งหลายที่เราเลือก มันเป็นเหมือนกลยุทธ์ของชีวิตนะ เราเลือกได้ เลือกได้ดีตามที่เราสบายใจก็เลือกกันเถอะ 

"ของกิ๋นลำอยู่ตี้คนมัก ของจักฮักอยู่ตี้เปิงใจ๋" แปลว่า อะไรดีไม่ดีอยู่ที่ใจ

ทางธรรม..ทางธรรมชาติ...ทางธรรมชาติของตัวเอง ขอให้เป็นอิสระ เป็นสุข สบายใจ ทำไป.. ที่สำคัญอีกอย่าง คือ รู้น้อยๆเข้าไว้ จะได้ไม่เป็นสัญญา เวทนา แต่ท่านว่าต้องทำจริง.. ซึ่งทำได้กันทุกคน ทำอย่างที่ทำอยู่นี่แหละ จะทำอะไรก็ได้ ขอให้รู้ตัวว่า..กำลังทำอะไรอยู่..แล้วจบแล้วดับตรงนั้นก็เริ่ดสุดสุดแล้วท่านผู้ชม... บุญบาป เวรกรรม มันก็มาตามเราไปอยู่ทุกวัน เอาเป็นว่า จะรู้ไปทำไม ไม่ต้องคิด ไม่ต้องคาดหวังก็พอแล้วนะชาตินี้.. ชาติหน้า..มันเรื่องของชาติหน้า.. อยู่วัดในใจเรา..ไม่ต้องยุ่งอารมณ์ หรือ วัดของคนอื่นก็เก่งแล้ว.. อายุบวรกันทั่วหน้า...