วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 164

เรื่องที่คนแก่ต้องรู้...
อย่าฝืนว่าอะไรๆต้องอยู่กับเราไปจนวันตาย
อย่าหวัง...ความสะดวกที่คนหยิบยื่นให้ 
อย่าหวัง...ความเห็นใจที่เคยร้องขอ
อายุไม่น้อยแล้ว...หันมาพึ่งพาตัวเองให้มาก
อย่าอ้างอาวุโส...มันไม่โอเค
เราทุกข์ คนอื่นก็เคยร้องไห้
เรื่องราวที่ผ่านมา คนอื่นก็ผ่านมาเหมือนกัน
มันไม่ใช่ข้ออ้าง มันไม่ใช่ยุคคนแก่อีกต่อไป
ตำแหน่งอะไรก็ไม่ถาวร ลงตอนนี้ได้ ลงให้คนสรรเสริญ
เรามันขาลง...ลงให้สวย ตอนที่คนยังไม่รู้สึกรังเกียจ
คนอื่นมีขาขึ้น...ส่งให้ขึ้นไป
ความสามารถเรามีจำกัด แค่เอาตัวเองให้รอดก็ลำบากแล้ว
ไม่แบก ไม่ยื้อ... ความเสียสละของคนแก่จะมีความหมาย
เราจะสบายใจที่ไม่ต้องหาม..ในสิ่งที่ฝืนหาม มันหนักเกินไป
สิ่งใดควรอยู่ย่อมอยู่
สิ่งใดควรได้ย่อมได้
สิ่งใดควรไปย่อมไป
หลายสิ่งยังค้างคา
ทำใจได้จะเกิดปัญญา
ยอมรับได้ถือว่ายังมีวาสนา
ปล่อยวางได้ย่อมสงบสุขในใจ
อยู่แบบแก่ไป ยิ้มไป สบายกว่ามาก


วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 163


เวลาเหลือน้อยลงทุกที
อะไรดีดีก็ทำไป
คิดจะโกรธใคร...หายใจลึกๆ 1 ที ต้องหาย...เวลาเหลือน้อย
เห็นอะไรไม่เข้าตา...ปล่อยมันตรงนั้น...
ทำไมต้องเรื่องเยอะ มันไม่มีอะไรสำคัญ อะไรก็ไม่มีอยู่จริง
อะไรที่ยึดอยู่ เราให้ความหมาย ให้คำจำกัดความเอง
วางๆมันลงมั่ง เดี๋ยวเสียอารมณ์
ช่างมัน ช่างแม่งไป สบายดี
ยิ่งเป็นเพื่อนกันมันต้องอะไรก็ได้
เมื่อก่อนเยอะอาจไม่เป็นไร
เดี๋ยวนี้ยังเยอะ...เงื่อนไขมาก...สติปัญญาจะลดลง...เวลาเหลือน้อย
พวกเราคงต้องเวียนว่ายด้วยกันไปหลายชาติอยู่
อย่างน้อยในชาตินี้...มีเวลาเหลือไม่มาก ก็ฝึกจิตกันไป
ยากไหม...โคตรยาก แต่ก็ต้องเตาะแตะไปก่อน 
ฝึกยังไง...ไม่รู้เหมือนกัน
ฟังคำพระ อ่านธรรมะ มันได้แค่รู้ ทำอะไรไม่ได้
มันต้องปฎิบัติ...ไปหาวิธีกันเอาเอง
เรื่องนี้ตัวใครตัวมันนะ เพราะเอาตัวไม่รอดกันทั้งนั้น
มันช่วยกันไม่ได้จริงๆ

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

เกิดเป็นหัวหน้าคน


เกิดเป็นหัวหน้าคน
เกิดมาเป็นหัวหน้าต้องรู้จักเปลี่ยนหัว เวลาไหนต้องเป็นเจ้านาย เข้มงานก็ต้องเข้ม เป็นผู้บริหารต้องรับนโยบาย วางแผน ควบคุมลูกน้องได้ เป็นให้ได้ทั้งให้พ่อ เพื่อน พี่โค๊ช และที่ปรึกษา ดังนั้นต้อง....
1. เข้าใจคน : ลูกน้องเป็นมนุษย์ และมี DNA ที่ไม่เหมือนกัน กับลูกน้องแต่ละคน แต่ละสถานะการณ์ หัวหน้าต้องสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้เหมาะ ลูกน้องบางคนแค่บอกเป้าหมายก็พอ บางคนชี้ทางก็เดินไปได้แล้ว บางคนต้องประคองไป หรือบางคนต้องโหดบ้างถึงจะยอมเคลื่อน ใช้ One size fits all ไม่ได้ คนไม่ใช่เสื้อยืด !!
2. สื่อสารให้ลูกน้องเข้าใจ : หัวหน้าเข้าใจคนเดียวเข้าใจไม่พอ ลูกน้องต้องเข้าใจเหมือนกัน ให้ลูกน้องเข้าใจความแตกต่างของแต่ละคน ให้ลูกน้องเข้าใจนโยบายบริษัท ให้ลูกน้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่พลาดไม่ได้ ต้องสื่อสารทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ สื่อสารให้บ่อย สื่อสารจนเข้าใจ เข้าไปในสายเลือดมันจะลดปัญหาต่างๆในการทำงานไปได้มาก
3. ปากต้องดี : เป็นหัวหน้าปากไม่ดีนี่จบข่าว บางเรื่องที่ไม่สำคัญพูดจริงจังมากไป มันเกินความจำเป็น แต่เรื่องที่คอขาดบาดตาย กระทบถึงภาพรวม พูดเล่นๆไม่ได้ ผู้นำต้องเปลี่ยนโหมดตัวเองให้ถูก ว่าตอนไหนควรจะพูดแบบใด การฟังก็เช่นกัน ต้องหุบปากตัวเองเป็น เพราะถ้าพูดเป็นอย่างเดียว จะไม่ได้ยินความคิดลูกน้อง
อันที่จริงมีอีกข้อนะ...หน้าตาดีด้วยนี่ ช่วยได้เยอะ 55

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

พวกผลไม้พิษ (Toxic People) ในองค์กร

Harvard Business School ได้ศึกษาพนักงานกว่า 60,000 คน พบว่า พวกที่เป็น superstar performer คนเก่งที่สร้างผลงานสม่ำเสมอนั้น สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กรได้มากกว่า $5,300 และถ้าคัดเลือกคนเก่งๆดีๆเข้าองค์กรได้จะประหยัดไปถึง $ 12,500 เลยทีเดียว เพราะว่า...
การมีพวกผลไม้พิษ พวกห่วยแตกอยู่ในที่ทำงานนั้นเสียหายหลายเงิน
  • คนที่ห่วยแตกในที่ทำงานนั้นไม่มีความผูกพันกับการทำงาน
  • มีกว่าครึ่งของพวกห่วยแตกที่ไม่สนใจงาน ตั้งใจละเลยงานรวมถึงใช้เวลาในการทำงานน้อยมาก
  • 38% ตั้งใจลดคุณภาพการทำงาน
  • 25% ของคนที่ถูกพวกผลไม้พิษกระทำยอมรับว่าได้เอาเรื่องที่ถูกกระทำไปคุยกับลูกค้า
  • 12% ออกไปจากองค์กรเพราะทนถูกกระทำแบบหยาบคาย ไร้อารยะไม่ได้
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นะ พวกผลไม้พิษห่วยแตกพวกนี้สร้างผลกระทบกับคนอื่นในองค์กรตรงๆเลย
  • 80% ของคนทำงานเสียเวลาไปกับการกังวลเรื่องของคนห่วยแตก 
  • 78% บอกเลยว่าความผูกพันกับองค์กรน้อยลงเมื่อต้องเจอกับพฤติกรรมที่เป็นพิษทั้งหลาย
  • 66% ยอมรับว่า performance ตกต่ำ
  • 63% เสียเวลางานไปกับการป้องกันตัวเองจากพวกนี้
  • 48% สูญเสียพลังการทำงาน
เรามาดูกันว่าพวกผลไม้พิษห่วยแตกนี่มีพวกไหนบ้าง
  • The Slacker พวกดินพอกหางหมู ผลัดวันประกันพรุ่งตลอด มีแต่ข้ออ้าง โทษชาวบ้านเวลางานตัวเองไม่เสร็จ 
  • The Bully พวกคนพาล  ก้าวร้าวกับเพื่อนร่วมงาน ใช้ตำแหน่งหน้าที่หรืออำนาจทำให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขายหน้า  หมดกำลังใจ ทำให้ productivity ลดลง อัตราการลาออกสูงขึ้น ชื่อเสียงองค์กรเสียหายไปจนถึงเสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องทางกฎหมายก็มี 
  • The Gossip พวกสุมหัวนินทา พวกนี้ยังติดอยู่ในโลกของโรงเรียน ยังไม่หลุด ปล่อยเรื่องดราม่าออกมา สร้างข่าวลือ เผือกได้ทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องตัวเอง  
  • The Lone Wolf พวกโดดเดี่ยวกูแน่  มักจะมีคำพูดประมาณอันนี้ไม่ใช่หน้าที่อั้ว” “ทำเองก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อใครพวกนี้บ่อนทำลายการเป็นทีมในองค์กร เก่งอยู่คนเดียว แต่ไม่ฟิตกับวัฒนธรรมองค์กร
  • The Emotional Mess พวกสับสนชีวิต ไม่สามารถจัดการความเครียด แยกไม่ออกระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว พลอยทำให้คนอื่นไม่มีความสุขในการทำงาน
  • The Closed-Minded Know-It-All พวกใจแคบ เรียกว่าพวก M-100 ก็ได้ คือ คิดว่ารู้มันทุกเรื่อง ไม่เปิดใจ เรียนรู้ลำบาก แบบนี้องค์กรเติบโตไม่ได้ เพราะองค์กรนั้นเติบโตด้วยคนที่เปิดใจเรียนรู้ 
#กำจัดจุดอ่อนไปเลย



วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

From Worst to First

From Worst to First ของกอร์ดอน เบทูน

ในปี 1994 กอร์ดอน เบทูน รับตำแหน่ง CEO ของคอนติเนนตัลแอร์ไลน์ ด้วยความรู้สึกหดหู่สุดสุด เพราะทุกคนบึ้งตึงใส่ลูกค้า หน้างอให้กัน ทุกคนอับอายที่จะบอกใครว่าทำงานที่สายการบินนี้เพราะมีการยื่นลมละลาย 2 ครั้ง เปลี่ยน CEO มาสิบคนในเวลาสิบปี ขาดทุนไปแล้ว 600 ล้านดอลล่าร์ 

ผู้บริหารระดับสูงหลายคนบอกว่า..ไว้ทำกำไรได้ ค่อยมาสนใจกับเรื่องอื่นๆ แต่มีคนเดียวที่สวนกระแสบอกว่า ถ้าพนักงานไม่มีความสุข ไม่มีทางที่อะไรจะดีขึ้น โชคดีที่เบทูนเห็นด้วย หลังจากเบทูนเข้ามาบริหารทุกอย่างก็ดีขึ้น ในปีถัดมาสายการบินทำกำไรได้ 250 ดอลล่าร์ เป็นบริษัทที่หนึ่งในอเมริกาที่คนอยากเข้ามาทำงานด้วย

ระหว่างยกเครื่องบริษัท เบทูนได้ปลูกฝัง บ่มเพาะสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจวัดค่าเป็นตัวเลขได้ นั่นคือ ความเชื่อใจ  ซึ่งไม่ใช่แค่คำสัญญา หรือรายการที่ต้องทำ หรือการทำตามหน้าที่ครบถ้วนก็สร้างความเชื่อใจไม่ได้ ความเชื่อใจมันเป็น feeling มันเป็นความรู้สึก บางทีก็ไม่มีเหตุผล เราอาจเชื่อใจคนบางคน บางบริษัทแม้จะทำผิดพลาด แต่ไม่เชื่อใจบางคนทั้งที่ทุกอย่างดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย ความเชื่อใจเป็นสิ่งค่อยๆผุดขึ้นมาเมื่อเรามีความรู้สึกว่าคนนั้น หรือบริษัทนั้นมีแรงจูงใจอื่นนอกเหนือจากผลประโยชน์ส่วนตัว 

Trust = Value
ความเชื่อใจ = คุณค่า 
มันมาพร้อมกัน มันเป็นคุณค่าจริงๆ ที่ไม่ใช่มูลค่าราคาค่างวด มันคือการส่งมอบความไว้ใจ เหตุผลหรือการโน้มน้าวไม่สามารถสร้างความเชื่อใจ ไว้ใจได้ เราบอกให้คนอื่นเชื่อใจเราไม่ได้ ของแบบนี้มันต้องแลกมา โดยแสดงออกชัดเจนว่าเรามีค่านิยม มีความเชื่อแบบนี้ สิ่งที่เบทูนทำ คือทั้งแสดงออกในความเชื่อ ใช้วิธีการที่ทำให้ความเชื่อเป็นจริงและสร้างผลลัพธ์ที่ทุกคนสามารถไว้ใจได้ โดยตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์บริษัทเป็นหลักเท่านั้น  พนักงานทุกคนจึงมองเห็นคุณค่าความเชื่อใจนั้น 

เบทูนตั้งใจพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนทำได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสนั้น มีผู้บริหาร 39 คนจาก 60 คนที่ไม่เชื่อในสิ่งเดียวกันถูกเชิญออกไป ถึงแม้จะเก่งแค่ไหน ประสบการณ์โชกโชนแค่ไหน แต่ไม่ให้ความร่วมมือ ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมความเชื่อใจนี้ไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้  คือ ไม่มีพื้นที่สำหรับคนที่ไม่เชื่อในเรื่องเดียวกัน 

ไม่ใช่แค่พูดปลุกใจ หรือปรับค่าตอบแทนอย่างงามให้กับหัวกะทิของบริษัท อันนั้นไม่พอ ความพยายามของพนักงานต้องไม่เป็นไปเพื่อ CEO ผู้ถือหุ้น แม้แต่ลูกค้า แต่ทุกคนต้องอยากชนะเพื่อตัวเอง ทุกการสื่อสารจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อตัวพนักงาน เช่น เรื่องความสะอาด การทำความสะอาดไม่ได้เป็นไปเพื่อลูกค้า ลูกค้าเดี๋ยวก็ไป แต่พนักงานต้องอยู่บนเครื่องบินตลอด มันดีกว่าไหมที่ได้ทำงานในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด วันดีคืนดีก็ไปโผล่ช่วยคนทำความสะอาด บอกว่าที่นี่ คือ ครอบครัว จากนี้ไปทุกคนต้องร่วมมือกัน 

เบทูนให้ความสำคัญกับเรื่องสำคัญ คือ การตรงเวลา มันเป็นหัวใจของธุรกิจการบิน (คุ้นๆมั๊ย) ก่อนเบทูนจะเข้ามา คอนติเนนตัลถือว่าบ๊วยสุดในบรรดาสายการบินทั้งหมดในเรื่องตรงต่อเวลา เบทูนบอกพนักงานว่า เดือนไหนติด 5 อันดับแรก ทุกคนจะได้รับเชค 65 เหรียญ อันนี้ต้องใช้เงินถึง 2.5 ล้านดอลล่าร์ เพราะมีพนักงานถึง 40,000 คน แต่มันคุ้ม เพราะแค่ค่าปรับกรณีไม่ตรงเวลากับค่าโรงแรมผู้โดยสารก็ปาเข้าไป 5 ล้านดอลล่าร์ต่อเดือนแล้ว  

หมดยุคที่เฉพาะผู้บริหารระดับสูงเท่านั้นที่จะได้ส่วนแบ่งจากความสำเร็จ ทุกคนได้รับเชคจริง และไม่ได้อะไรเลยหากพลาดเป้า และเบทูนยังยืนยันแยกเชคต่างหากจากเงินเดือน เพราะเป็นเงินคนละส่วน อันนี้เป็นสัญญลักษณ์แห่งชัยชนะ บนเชคจะมีข้อความย้ำเตือนผู้รับว่า ทำไมต้องมาทำงานขอบคุณที่ช่วยกันทำให้คอนติเนนตัลเป็นหนึ่งในสายการบินที่ดีที่สุด”  อันนี้สำคัญ มันเป็นการวัดจากพนักงานที่ทำงานโดยตรง มีอำนาจควบคุมงานตัวเอง การกำหนดเป้าหมายจึงอยู่ในรูปของสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมมือทำด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ นี่คือ การลงเรือลำเดียวกัน กินข้าหม้อเดียวกัน

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ คือ การสร้างวัฒนธรรม ความเชื่อ มนุษย์ยิ่งใหญ่ได้ไม่ใช่เพราะมีกำลังแข็งแรงที่สุด แต่เป็นเพราะความสามารถในการสร้างวัฒนธรรม ขนาดหรือพละกำลังไม่อาจรับประกันความสำเร็จ  วัฒนธรรมเกิดจากกลุ่มคนที่มีความเชื่อเหมือนกัน อยู่ด้วยกัน มีค่านิยมเดียวกันจึงก่อให้เกิดความไว้วางใจกัน 


วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2561

หัวหน้าแบบไหน

บริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย ทำการสำรวจพนักงานคนไทยจำนวน 2,076 คนเรื่อง “หัวหน้าแบบไหนที่ลูกน้องคนไทยอยากทำงานให้” โดยแบ่งพนักงานออกเป็น 4 เจเนอเรชั่นในหลายธุรกิจและระดับชั้นของตำแหน่งงานที่แตกต่างกัน พบว่า
1. กลุ่ม Baby Boomer คือ คนที่เกิดในช่วงปี 2488-2507 เป็นกลุ่มคนที่ขยันทุ่มเท ทำตามกฎ และมีความจงรักภักดีสูง หัวหน้าที่ Baby Boomer อยากทำงานด้วย คือ
➡️มีความยุติธรรม (76.47%) 
➡️กล้าคิด กล้าตัดสินใจ (64.71%)
➡️มีเหตุผล (61.76%)
➡️รักษาคำพูด (61.76%)
➡️รับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง (58.82%)
Baby Boomer จะทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานมาก ให้ความสำคัญกับระบบสายการบังคับบัญชา หัวหน้าที่ต้องทำงานกับลูกน้องในเจเนอเรชั่นนี้ควรมีภาวะผู้นำสูง ตัดสินใจรอบคอบ และมีความเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ดี หัวหน้าควรระมัดระวังเรื่องการให้ feedback ในการทำงานของลูกน้อง มีศิลปะในการให้คำแนะนำ โดยเน้นที่ผลงานเป็นหลัก เนื่องจาก Baby Boomer ไม่ชอบการเสียหน้า
2. กลุ่ม Gen X เป็นคนที่เกิดในปี 2508-2523 มีความเป็นปัจเจกบุคคล เน้นสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน ใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ชอบพัฒนาตนเอง หัวหน้าที่ Gen X อยากทำงานด้วย คือ
➡️มีความยุติธรรม (72.47%)
➡️สื่อสารชัดเจน (69.41%)
➡️มีเหตุผล (66.62%)
➡️กล้าคิดกล้าตัดสินใจ (64.23%)
➡️ให้เกียรติ (63.83%)
Gen X ให้ความสำคัญกับ work-life balance และมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่า Baby Boomer ลูกน้อง Gen X คาดหวังว่าเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ท้าทายความสามารถ หัวหน้าจะคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ลูกน้อง Gen X จะมีความสุข หากได้รับคำชื่นชมและเป็นที่จดจำจากผลงานและการแสดงความสามารถ
3. กลุ่ม Gen Y คือ คนที่เกิดในช่วงปี 2524-2535 ชอบหัวหน้าที่
➡️มีความยุติธรรม (74.44%)
➡️สื่อสารชัดเจน (72.45%)
➡️มีเหตุผล (71.37%)
➡️ไม่เอาเปรียบลูกน้อง (70.04%)
➡️ให้เกียรติ (69.21%) 
จากผลการศึกษาพบว่ายิ่งลูกน้องอายุน้อยมากเท่าไร ยิ่งรักษาสิทธิส่วนบุคคลมากขึ้นเท่านั้น ลูกน้องในเจเนอเรชั่นนี้ให้ความสำคัญกับสิทธิส่วนบุคคล ไม่ชอบการถูกเอาเปรียบ หัวหน้าควรที่จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความยืดหยุ่น เป็นแบบอย่างที่ดี มีความน่าเชื่อถือ สร้างแรงจูงใจในการทำงาน สนับสนุนให้ลูกน้องมีกำลังใจในการทำงาน มีการสื่อสารเรื่องความก้าวหน้าในสายอาชีพที่ชัดเจน รับฟังความคิดเห็น ทำงานเป็นทีม สิ่งเหล่านี้จะทำให้หัวหน้าได้ใจลูกน้อง Gen Y
4. กลุ่ม Gen Z คือ คนที่เกิดในปี 2536 ถึงปัจจุบัน หัวหน้าที่ Gen Z และเด็กจบใหม่อยากทำงานด้วย คือ
➡️รับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง (77.65%)
➡️ไม่เอาเปรียบลูกน้อง (77.65%)
➡️ให้เกียรติ (71.76%)
➡️สื่อสารชัดเจน (71.76%)
     มีเหตุผล (70.59%)
ลูกน้อง Gen Z มีความเป็นตัวของตัวเองสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ Baby Boomer Gen X และ Gen Y หัวหน้าควรให้อิสระในการทำงาน ให้คำปรึกษาเมื่อต้องการ นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้ความสำคัญกับเส้นทางความก้าวหน้าในสายงาน มีแผนการพัฒนาที่ชัดเจน Gen Z ชอบหัวหน้าที่รับฟังความคิดเห็น และให้ feedback ในการทำงานที่เน้นเรื่องงานไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
=================================
ความเข้าใจเรื่องนี้ จะทำให้สามารถจัดการกับลูกน้องให้เหมาะได้ เพราะลูกน้องเจนเนอเรชั่นต่างกันให้ความสำคัญกับปัจจัยที่อยากทำงานกับหัวหน้าต่างกัน ชีวิตการทำงานในปัจจุบัน ไม่ใช่ one size fits all !!

คิดวันละอย่าง # 162

มุมมอง...มองมุมไหนดี
สิ่งที่เห็นตรงหน้า มันมีที่มาที่ไปเสมอ
มองความงามและความจริงที่เกิดขึ้น มองให้ทะลุการปรุงแต่ง
โลกยังมีมุมสวยงาม ผู้คนยังมีความน่ารักซ่อนอยู่
มองด้วยสายตาเปล่า อย่าหวังอะไร เอาแค่ความทรงจำกลับไป
มองนิ่งๆมองเห็นความผิดพลาดของตัวเอง
มองหาความงดงามในแบบของตัวเองอย่างซื่อสัตย์
....ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
มองคนอื่นมากไป = แคร์คนอื่นมากไป ไม่สนุก
มองหลากหลายมิติ อย่าเลือกมองแต่ดอกไม้ มองหนอนบ้าง
....จะได้เห็นความต่าง
มองฟ้า มองพระอาทิตย์ มันเปลี่ยนไปได้ทุกวัน
....ไม่มีอะไรเหมือนเดิม
มองอะไรหนักๆ ก็พักเสียบ้าง
มองของดี ไม่จ้องแต่ของแพง
มองประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี
....ยังไม่ลงมือ ยังมีโอกาสได้ประสบการณ์ดีดี
มองความสุข ได้ความสุข มองคราบน้ำตามีแต่เศร้าหมอง
มองหาอะไรบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องสมบรูณ์ แค่เป็นสุขก็พอ
มองตามธรรมชาติ ปล่อยให้คนอื่นเป็นตามจริต
....อย่าบังคับให้เขาเป็นคนอื่น
ให้คนอื่นมองตัวเราบ้าง อาจไม่สวยงามดังคิด

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

คิดวันละอย่าง # 161


ประสาทจะแดก...
ชีวิตคนเหลือเวลาไม่มาก
มันไม่ได้มีอะไรสำคัญขนาดนั้น
ตอนป่วยไม่สบาย..เงินทองมากมายก็ช่วยไม่ได้
ตอนใกล้จะตาย...ยื้อลมหายใจไว้ ยังไม่ไหว
แล้วจะเอาอะไรอีก...
คำพูดบาดใจ...อย่าส่งไปให้ใคร
การทำให้คนอื่นลำบากใจ...เป็นบาป
บางทีเราคิดว่า หรือ บางทีก็ไม่ได้คิด
บางคำพูดมันหลุดออกไป..มันอุบาทว์เลยนะ
บางคนนึกไปว่าการเชือดเฉือนเป็นเรื่องเก่ง มันไม่ใช่อ่ะ
มันสะท้อนว่าคุณใจร้าย
มันแสดงว่าความคิดคุณมันแย่มาก จ้องแต่จะทำให้คนอื่นเจ็บ
แค่เสียงหัวเราะที่เสแสร้งเสียดสี...มันก็แทงเข้าไปในหัวใจแล้วนะ
ไม่ตลกไม่ต้องฝืนขำ น่ารำคาญ !!
นอกจากนี้คำพูดอวยใส้แตกแหกใส้ดมนี่ก็ชวนเวียนหัวมาก
คนไม่ได้กินหญ้า มีปัญญากันทุกคน
ใครจริงใจ ไม่จริงใจ หมามันยังรู้เลย อย่าว่าแต่คน
เอาให้มันพอดี พองาม พอเหมาะ
มากไป...ชวนอ้วก..
เราอยู่กันได้ด้วยความจริงตามธรรมชาติ...มันสวยงามกว่ามาก
จะฝืนไปให้มันได้อะไรขึ้นมา
ได้หน้า?? จะเอาไปทำไม หน้าตัวเองก็มีอยู่แล้ว
กลัวคนไม่รัก?? อยู่เป็นตัวของตัวเองไป ใครไม่รักก็เรื่องของมัน
เวลามีน้อย...
คิดไม่ดีกับคนอื่น...เขกหัวตัวเอง
พูดไม่ดีกับคนอื่น...ตบปากตัวเอง