วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

value vs. devalue

เรามักได้ยินบ่อยๆว่า...
"ใครๆก็ทำกันแบบนี้กันทั้งนั้น"
"อันนี้เป็นธรรมเนียมปฎิบัติ"
"มันเป็นนโยบาย"
"ที่ไหนก็เป็นแบบนี้"

มันแปลว่าอะไร
มัน = ไม่ต้องคิด(ต่อ) จบข่าวอย่างนั้นหรือ

โรงแรมที่ไหนก็สามารถคิดค่าซักผ้าแพงแอนนิมอล เป็นเรื่องปกติ
กินอะไรในตู้เย็นจ่ายมากกว่ากินข้างนอก เป็นเรื่องปกติ
เช็คอินได้เวลาบ่าย เช็คเอ้าท์ต้องก่อนเที่ยง เป็นเรื่องปกติ
การสะสมคะแนนสายการบินปีต่อปี ไม่ใช่คะแนนต่อคะแนน เป็นเรื่องปกติ
การแลกบัตรจอดรถ เป็นเรื่องปกติ
การชารต์เพิ่มเวลารูดบัตร เป็นเรื่องปกติ
และอื่นๆอีกมากมายที่ถือเป็นเรื่องปกติ.......

คิดแบบนี้มัน business for business sake มากเลย
มันไม่มีวัน "จับใจ" คนได้นาน 

อยากถามว่าเรื่องต่างๆที่เราคิดว่าปกติ... มันสามารถทำได้ดีกว่านี้ไหม
ทำได้แน่นอน...แต่ไม่ค่อยมีใครคิดจะ "ฝืนทำ"
อะไรที่ต้องใช้ความคิด ใช้ความพยายามเราถือว่า "ฝืน"
ทั้งๆที่มันเป็นต้นตอของความคิดสร้างสรรค์นะ...ไอ้ "ฝืน"เนี่ย..
แต่เรายังคงยอมลอยไปกับอะไรที่ไม่ต้องฝืน..
บอกเลยว่า...มันผิด 
ไอ้ที่ทำต่อๆกันมานั้น ไม่ได้ถูกต้องไปทุกเรื่อง
แล้วทำไมเราจะฝืนทำให้มันถูกไม่ได้
มีเหตุผลเดียว...กะเพราไก่ไข่ดาว = สิ้นคิด !!
เราชินต่อการทำอะไรตามๆกัน แล้วหลอกตัวเองไปวันๆว่ามันดีแล้ว
อันนี้ คือ หยุดโลกเลยนะ 
ถ้าทุกคนคิดแบบนี้...มันจะมีสินค้า บริการใหม่ๆที่สร้างคุณค่าใหม่ได้ยังไง
ชีวิตมันจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้ยังไง...
เราพูดเสมอว่า value เป็นเรื่องสำคัญ ในทางธุรกิจเราบอกว่าต้องสร้าง value แต่ที่เกิดขึ้นจริงตามที่บอกไว้ข้างต้นที่ถือเป็นเรื่องปกติ คือ devalue ลูกค้าชัดๆ 

เลิกเอาความสะดวกของกระบวนงานองค์กรเป็นที่ตั้ง
เลิกสนใจว่าใครๆทำกันมายังไง (จะไปตามคนอื่นทำไม)
เอา value ที่แท้จริงเป็นตัวตั้ง แล้วจะเห็นเองว่า...
เราสามารถพัฒนาอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมายนัก !!

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อย่าเอาแต่ใจ


เราชอบคิดว่าตัวเองสำคัญ เลยไม่รู้จักคำว่า "คิดเผื่อคนอื่น"
การคิดเผื่อคนอื่นเป็นการให้เกียรติกัน 
เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ
ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถเคารพชื่นชมตนเองได้
....และไม่สามารถมีความสุขร่วมกันได้

มีคนเขียนไว้...
"จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนสายลมที่พัดให้ความสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิ
แต่เข้มงวดกับตัวเองเหมือนเกล็ดน้ำค้างอันเยือกเย็นในฤดูใบไม้ร่วง"

Live & Learn ทุกข์ได้..แต่อย่าทุกข์ฟรี

นึกถึงเพลงของคุณกมลา สุโกศล เพลง Live and learn

....เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน
จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ 
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
จะยอมรับความจริงที่เจอได้เเค่ไหน....

ในชีวิตมันมีสุขทุกข์เข้ามาหาโดยไม่ได้นัดหมาย 
สุขก็ดีไป แต่ถ้าทุกข์ ขัดใจ ข้องใจนั้น...มันต้องจัดการ
เพราะว่า..จะมานั่งกลุ้ม หม่นหมอง มันไม่คุ้มค่าใจเสีย เปลืองเวลาชีวิต
ใช้เหตุการณ์ที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน สิ่งขัดอกขัดใจ ใช้มันฝึกใจ 
ลองไม่ทุกข์ใจดูบ้าง 
ใครต่อว่า...เราไม่ทุกข์
ใครขัดใจ...เราไม่ทุกข์
ใครโกรธ...เราไม่ทุกข์
เจ็บตัว...ไม่ทุกข์
เจ็บใจ...ไม่ทุกข์
แต่หากจะทุกข์แล้ว...ก็อย่าทุกข์ฟรี ๆ หาประโยชน์จากสิ่งเกิดขึ้น
ใช้เรื่องขัดอกขัดใจมาเป็นเครื่องฝึกความอดทน ลดละอัตตาตัวตน
มันน่าจะดีกว่ามาก...มาฝึกกัน
ดีใจ...ดีไป
เสียใจ...ไม่ทุกข์ 

...อยูที่เรียนรู้...อยู่ที่ยอมรับมัน !!


วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 38

พยามคุ้นเคยกับความไม่คุ้นเคยเสียบ้าง

ชีวิตที่ไม่เสี่ยงเลย คือ อับเฉา 
อะไรเดิมๆ ไม่มีวันพัฒนาไปได้
ยิ่งอายุมากขึ้น มันยิ่งเจออะไรที่ไม่ “คุ้นเคย” มากขึ้น
ทำใจรับความเสี่ยงเหอะ
ถามตัวเองไป...ระหว่างนี้จะเลือกอะไร
- ทำไปเดิมๆ หรือ หาวิธีใหม่ในการสู้กับปัญหา
- ออกไปหาสิ่งใหม่ๆ หรือ จะจัดการกับสิ่งเดิมๆในชีวิต (อยู่นั่นแล้ว)

การเสี่ยงต่อความไม่คุ้นเคย ไม่ใช่ว่าจะสมใจเสมอนะ
John F. Kennedy ยังว่า “Nothing worthwhile has ever been accomplished with a guarantee of success.” และอยากต่อว่า...Nothing ever will be !!

แต่การก้าวออกไปเจออะไรที่แปลกใหม่ กล้าผิดพลาด มันทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าแน่ๆ และดีกว่าที่เคยเป็นเคยทำอยู่แน่ๆ

หลายครั้งที่เราไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรที่ผิดแผก แปลกไปจากเดิม เพราะเราเอาความหลัง เอาสิ่งที่เคยพลาดมากำหนดเส้นทางไว้อย่างแน่น มันใช่มั๊ยเนี่ย กับการที่เอาอดีตมาตัดสินในการเลือกอนาคต โอกาสดีดีมันจะเกิดไหม..
ลองคิดดู...จากนี้อีกสิบปีจะได้ไม่มานั่งเสียใจ ว่า..รู้งี้..เฮ้อ
คนที่มีความสุข ตื่นเต้นกับชีวิตล้วนกล้าก้าวออกมาจาก comfort zone ทั้งนั้น
กล้าเสี่ยง
กล้าโง่
กล้าออกมาอยู่กับสิ่งไม่คุ้นเคยบ้าง
S T O P   P L A Y I N G   S A F E !!
มันอาจอึดอัด มันอาจไม่สบายนัก แต่รับรองว่าคุ้ม !!

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Giving yourself a break !!




















ถ้าคิดว่าการทำผิดพลาด คือ ความล้มเหลว คิดใหม่นะ ให้เวลาตัวเองบ้าง สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นในชีวิตมันล้วนใช้เวลา  

การกดดันตัวเองมากเกินไป...ไม่ได้ช่วยอะไรเลย และยังทำให้กำลังใจลดลง ความคิดสร้างสรรค์หดหายด้วย ลองคิดว่าเวลาเราเล่นเทนนิสแล้วตีลูกติดกับตาข่ายกั้น แล้วโค้ชบอกให้เอาไม้ฟาดหัวตัวเอง 10 ที มันจะเล่นดีขึ้นมั๊ย ในทางตรงกันข้าม ถ้าโค้ชแนะนำวิธีการตีลูกข้ามตาข่ายให้ อันไหนมันจะดีกว่ากัน อย่าตีอกชกหัวตัวเองเวลาพลาด หันกลับมาหา self-correction อนาคตจะรุ่งกว่ามาก

เวลาเพื่อนพลาดพลั้ง เรายังปลอบใจ 
ตัวเองพลาดก็รู้จักปลอบใจตัวเองบ้าง 

อย่า double-standard !! 

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 37

จะอ้วน...จงอ้วนฟิต !!
เกิดมานี่มันเหนื่อยนะ...เมื่อก่อนถือว่าเป็นหญิงงามก็ต่อเมื่อมีฟันดำ ต้องตะกายไปกินหมาก ผู้หญิงตะวันตกในยุคสมัยหนึ่งต้องอวบจึงจะถือว่างาม ต้องสรรหาของกินมาทำให้อวบอิ่ม แต่ในปัจจุบันมีแต่คนอยากผอม เนื่องจากค่านิยมผอมบางสวยประโลมโลก ต้องทำทุกวิธี จนตายไปก็มีให้เห็น...

แบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาตินะ 
แต่เป็นความคิดความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นและยึดถือ ทำสืบต่อกันมาเรื่อยๆ 
ค่านิยมความงามจึงนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและสังคม

ค่านิยมสังคมไทยให้ความสำคัญกับผู้หญิง ผู้ชายที่มีหน้าตา รูปร่างสวยงาม ยิ่งปัจจุบันคนยิ่งมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างฉาบฉวย การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมในสังคมที่บูชาวัตถุ ทำให้คนมองว่าร่างกายมันเป็นสินทรัพย์รูปแบบหนึ่ง ขายได้ขายดี ทำให้คนสมหวังอยู่หลายประการ การพัฒนาเทคโนโลยีแห่งความงามก็รุดหน้ามาก หมอสามารถทำศัลยกรรมให้ร่างกายคนไร้ที่ติ สวยหล่อสั่งได้ดังใจปรารถนาและยังจะมีอิทธิพลสื่อที่กระตุ้นค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์เรือนร่างเข้ามาเสริมทัพอีก การเปิดรับภาพความสวยความงามแบบนี้ซ้ำๆ กันทุกวัน ทำให้อดไม่ได้ที่จะนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนสวยคนหล่อขาวผอมบาง

คนเราจึงเหนื่อยมาก กดดันมาก
ไม่สามารถเลือกที่จะงามในแบบที่ตัวเองต้องการได้ 
หยุดดดดด......
ไม่เอาแล้ว มันล้าสมัย เชยยยยยย.....
สำหรับคนอ้วน...(ขออภัยใช้คำหยาบคาย)
สวยผอมมันไม่ได้ทำลายสุขภาพกายอย่างเดียว...มันทำให้จิตเสื่อมด้วย
คิดใหม่...อ้วนฟิต อ้วนฟิต
ที่คิดแบบนี้ คือ อ้วนเนี่ยได้ละ เหลือแต่ฟิต 555
อยากกินไร...กิน ไม่ต้องอด
แต่เคลื่อนไหวตัวเองไป จะเดิน จะวิ่ง จะโยคะโยคีอะไรก็ตามจริตตัวเอง
ตั้งเป้าหมายผอม มันยากสำหรับวัยชราที่เผลออ้วนลงพุงไปแล้ว
เอาใหม่..ผอมอ้วนช่างมัน..
ตั้งไว้ที่ "ฟิต" กว่าเดิม ไม่ได้ให้ไปหักโหมทำอะไรเกินวัย..
เอาที่ "สบาย" แต่ "ฟิต" 
ดีไหม....ดีนะ

ชีวิตไม่ต้องมาก...ฝึกแค่ 2 เรื่อง…



เรื่องแรก คือ ฝึกตรวจ focus ตัวเอง 
เรื่องที่เราจดจ่อนั้นมันเป็นแม่เหล็กดึงดูดสำหรับชีวิต  เล็งโอกาส...ประตูเปิด มุ่งที่ปัญหา...อุปสรรคตรึม

ทุกวันนี่เราเล็ง เรามุ่งอะไรระหว่าง...
คนอื่น vs. ตัวเอง
โอกาส vs. ปัญหาสารพัด
รู้คุณคน vs. อิจฉาตาร้อน
วันนี้ vs. เมื่อวาน
ขำขำ vs. ดราม่า
การให้ vs. การเอา
สิ่งที่คุมได้ vs. สิ่งที่คุมไม่ได้

ง่ายๆ คือ มุ่งบวก..บวกมาหา
มุ่งสบายๆ ขำขำไป...เสียงหัวเราะมีอยู่ทุกที่
มุ่งดราม่าชาวบ้าน...จบลงที่ soap opera ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ลองมองไปรอบๆตัว...เราใช้เวลา ใช้เงิน ใ้ช้พลังไปทางไหน....
คำถาม คือ คำตอบ

เรื่องที่สอง คือ ฝึกคุม inputs ที่เข้ามาหา

ใจที่ตั้งรับเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ บางทีมันลืมตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสทางใจนะ มันเลยมีอะไรไม่ดี ร้ายๆเข้ามาก่อกวนอยู่เป็นนิจ โดยที่บางทีไม่รู้ตัวด้วย ไม่ได้เชื้อเชิญ มันมาเองและดันไม่รู้ตัวอีก  

ที่เรียกได้ว่าเวรกรรม คือ มันไม่ "Garbage in, garbage out" 
แต่เป็น"Garbage in, garbage stays.”

ใจมันไม่ค่อยจะแยกแยะนะว่าอะไรดี อะไรไม่ดี  
มันรับมา บันทึก จัดเก็บไปเลย..อย่างเร็ว
ใจจึงเป็นได้ทั้งศัตรูตัวร้าย และ มิตรสหายตัวดี

ง่ายๆ คือ กรองแต่ positive inputs และเราจะสามารถปรับโอกาสตัวเองให้เจอแต่ positive outputs 

วันๆไม่ต้องอะไรมาก...มีสติกับเรื่องที่เข้ามา เช่น TV FB ข่าวต่างๆ ถ้าเจอร้ายๆ ไม่สบายใจก็บอกกับตัวเองว่า..เฮ้ย นั่นมันแค่ข่าว !! ไม่งั้นมันจะบันทึกจัดเก็บ ทีนี้ฝันร้ายทั้งคืน หนักข้อ คือ แค่ชำเลืองมันก็เข้ามาแล้ว ตั้งรับให้ดี คิดเรื่องดีดี หลักการงามๆในชีวิตไว้ก่อนจะดำดิ่งลงไปอ่าน ไปมองเรื่องต่างๆ ก็ช่วยได้  อีกอย่าง คือ คนที่อยู่รอบๆเรามันมีทั้งพวกรันทดหดหู่ ไม่เคยพอใจชีวิต กับพวกชีวิตรื่นรมย์สมหวัง เราไม่สามารถแอบชีวิต ไม่พบไม่เจอได้  มันต้องมี filter สำหรับ negative inputs เพื่อลดขยะที่รกใจ สร้างความเหม็นให้ชีวิตลงให้มาก 

กลยุทธ์ที่ดี คือ การเลือก 
ก็เลือกเอานะ ระหว่าง  positive builders vs. negative destroyers

แอบไม่ได้...แต่เลือกอยู่ได้ 

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 35

การเริ่มยิ้มให้กับตัวเอง


คนที่จะเริ่มยิ้มให้ตัวเองได้ คือ คนที่มี self esteem ที่ไม่ใช่ต้องเป็นคนเก่ง คนดีที่หนึ่ง หรือ คนที่เหนือคนอื่น  แต่เป็นคนที่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น รับรู้ได้ถึงข้อดีและข้อเสียในตัวเอง พอใจ ยอมรับมันได้และรู้สึกดี นั่นคือให้เกียรติตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง คิดแก้ปัญหา เชื่อมั่นในความคิดและความสามารถของตัวเอง สามารถตัดสินใจชีวิตตัวเองแบบไม่แคร์สื่อ  ถือเป็นคนที่มีจิตใต้สำนึกที่แข็งแรงมาก 



นักจิตวิทยาและนักเขียนชาวอเมริกัน ชื่อ Virginia Satir สะท้อนเรื่อง self esteem ได้ชัดในคำพูดที่ว่า  “I own me, and therefore I can engineer me. I am me and I am OK.”   เป็นความรู้สึกว่า “ฉันเป็นเจ้าของตัวเอง ฉันสามารถควบคุมจัดการตัวเองได้ ตัวฉัน คือ ตัวฉัน และตัวฉันนั้นดีพอ” 

อะไรมันจะดีไปกว่าการที่เราสามารถมองตัวเองได้เต็มตา แล้วชื่นชมกับตัวตนที่ไม่ใช่การหลงตัวเอง แต่เป็นเรื่องการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง รู้สึกได้ว่าชีวิตเรามีความงดงามในแบบที่เรารู้สึกได้โดยเองไม่ต้องรอให้คนอื่นมาตัดสิน คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา


เอ้า...เริ่มยิ้มให้กับตัวเองได้แล้ว ภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะว่าคนที่ไม่รู้คุณค่าตัวเองและไม่มีความมั่นใจจะไม่มีความหวัง ไม่มีพลังในการต่อสู้ชีวิตและไม่ต้องอยากเป็นคนอื่นให้มันเสียเวลา การอยากเป็นคนอื่น คือ การทำลายคุณค่าตัวเอง !!

คิดวันละอย่าง # 34

โรคโกรธไหลย้อน

โรคโกรธไหลย้อน คือ เรื่องเก่าเอามาคิด ทั้งที่ตอนนั้นอาจไม่ได้คิด คิดไม่ทัน ไม่ได้โกรธมากขนาดนั้น แต่ครั้นนึกขึ้นมาได้กลับโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจมีอาการฟุ้งซ่าน เลิกคิดเลิกโกรธไม่ได้  บางคนถึงกับเดินหน้าในชีวิตต่อได้ยาก 

อาการ คือ หัวใจเต้นแรงและเร็ว หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้นเพราะหายใจเร็วขึ้นเหมือนจะหายใจไม่พอ สิ่งที่ตามมาคือกล้ามเนื้อตึงตัวและเกร็งไปทั่วตัว ทำให้ความร้อนมากขึ้น ตัวร้อนขึ้นและเหงื่อออกมากมาย

โรคนี้เป็นแล้วหงุดหงิด จิตตก !!

ในชีวิตคนย่อมมีเหตุการณ์มากมายที่ยากจะลืมเลือนได้ มันไม่ได้มีแต่เรื่องชื่นชูใจ  มันมีเรื่องราวที่ขมขื่น หนาวเหน็บและเจ็บปวด นึกทีไรความเศร้าโศก โกรธแค้น หรือรู้สึกผิดก็เกาะกุมใจ  ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้อามิกดาลา (สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์) สั่งการให้มีการบันทึกความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ฮอร์โมนดังกล่าวหลั่งออกมามากเท่าไร ความจำในเรื่องนั้น ๆ ก็จะยิ่งฝังลึกโดยมีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปย้ำ มันจึงเป็นตัวการสำคัญที่ตอกย้ำความทรงจำให้ประทับแน่นมากขึ้น ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งลืมเลือนได้ยาก คือ มันโกรธไหลย้อนได้อีก ทั้งโกรธคนอื่น โกรธตัวเอง โดนชาวบ้านโกรธ  และมีทั้งปล่อยออกมาตรงๆ ก้าวร้าว หรือเก็บกดทำเป็นเฉยแต่ในใจโกรธ 

โกรธมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่โกรธสิแปลก 
แต่โกรธไม่เลิก โกรธไหลย้อนนี่ ต้องควบคุมให้เป็น ไม่งั้นอาจมีเสียคน ทำได้โดย...

1. แก้โกรธที่ตัวเอง
อย่ากดดันตัวเอง มันอยู่ที่วิธีเผชิญกับมัน มองสถานการณ์อดีตที่ทำให้โกรธใหม่ว่ามันเป็นเรื่องที่ใครๆก็เป็น ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ทุกครั้งทุกเรื่อง จะโกรธทำไม
2. สร้างการสื่อสารที่ละมุน
ถ้าเริ่มรู้สึกมีอารมณ์โกรธขึ้นมาอีกขณะพูดกัน ทำตัวเองช้าลง ระมัดระวังคำพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วนสรุป ถ้าเห็นว่าบรรยากาศไม่ดีให้พัก ถอนหายใจ ยิ้มเบาๆในใจเบรกความตึงเครียด
3. สร้างสมดุลอารมณ์
หายใจเข้าออกช้าๆให้สมาธิไปอยู่ที่ลมหายใจ สักพักหนึ่งค่อยหายใจตามปกติ อย่าใจร้อนหรือรีบใช้คำพูดเสียดสีแบบสะใจ เพราะการโกรธจะซับซ้อนมากขึ้น มองเป็นเรื่องขำขันไป แต่ไม่ต้องฝืนหัวเราะเพราะจะรู้สึกแย่มากขึ้น 
4. เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
ถ้ารู้สึกว่าจะระเบิด ขอเวลานอกเลย ไปสงบตัวเอง หาอากาศปรอดโปร่งสุดเข้าไป  จิบน้ำให้สดชื่น หรือเล่นกับหมาแมวไป ถ้าไม่ดีขึ้นอาจจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อปลดปล่อยแรงขับโกรธไหลย้อนออกมาเช่น ขุดดินปลูกต้นไม้ เล่นกีฬาที่ต้องออกแรงเหวี่ยงไป
 5. ยอมรับความจริงและหาตัวเลือกอื่น
บางครั้งเราก็ออกไปจากสิ่งเร้าอารมณ์กระตุ้นโกรธไหลย้อนไม่ได้ ก็ควรยอมรับในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้วพยามยามปรับตัวอยู่กับสิ่งนั้นอย่างเข้าใจ หรือ หาทางเลือกอื่นๆมาชดเชย เช่น เปลี่ยนที่ทาง หาสิ่งแวดล้อมใหม่
6. ระวังความคิดอัตโนมัติ
คนเราเวลาโกรธไหลย้อน มักคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ไม่ยุติธรรมเลย ความคิดแบบนี้จะกระตุ้นให้โกรธเร็วและแรงขึ้น และตัวเองก็ไม่คิดจะแก้ปัญหาเพราะเห็นว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ หรือถูกกระทำมาก่อน เลยไหลย้อนหนัก ระวังจะอ้วก

ความทรงจำเกี่ยวกับความผิดหวัง เสียศูนย์ สูญเสียในอดีตนั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงมากับความรู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น เศร้าโศกเสมอไป และมันมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมดตรงกันข้ามอดีตมันยังสามารถเป็นต้นทุนที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิตได้ ทำให้เราเข้มแข็งและมีปัญญามากขึ้นอีกต่างหาก  

ระวังโกรธไม่เลิก..ต้องจัดการให้ได้ 

หัวใจจะเป็นสุข โรคโกรธไหลย้อนจะไม่ถามหา