วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 276

คนร้ายคนรุนแรงเพราะอะไร

บางทีก็มีให้คิดนะว่าทำไมคนต้องร้ายหรือบางทีรุนแรง อันนี้รวมทั้งตัวเองด้วย มีร้ายบ้างพอให้ชีวิตมีรสชาติ ว่ากันว่าที่คนสามารถด่ากันหรือสามารถทำร้ายกันได้นั้นมันเรื่องยาวมากกว่าเหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่นการอยู่ในสถานะการณ์สุ่มเสี่ยงซอยเปลี่ยวกลางคืน เราเห็นผู้ชายตัวใหญ่ถือแท่งอะไรในมือตรงมาหาเรา เรามีไม้อยู่ในมือ เราฟาดมันไปก่อนเลย ทำไมเราฟาดไปได้ มันเป็นเพราะเรากลัวไง สมองที่ขี้กลัวของเรา อะมิกดาลา Amygdala เลยสั่งการ โดยไม่มีการใช้สมองส่วนหน้าที่เป็นเหตุเป็นผล คือถ้าเป็นผู้หญิงเดินเข้ามา อาจยังไม่ทันฟาดก็จะมองๆก่อน คือมันเป็นอคติด้วยอ่ะนะ ผู้ชายตัวโตหน้าตาดุ เราเลยไม่ไว้ใจ กลัวก็ฟาดไป อ้าว ปรากฎว่าผู้ชายคนนั้นถือม้วนกระดาษเขียนแบบ โอละพ่อเลย แต่มันไม่ทันแล้ว 


อันนี้ยังมองเลยเถิดไปอีกชั่วโมงก่อนหน้าได้อีกว่าเราเครียดอยู่ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ไอ่อะมิกดาลานี่ก็ไวมาก ส่งความรู้สึกกลัวขยายอยู่แล้ว จึงเกิดการฟาดไปก่อนแบบสมองส่วนหน้าวิเคราะห์ไม่ทัน แล้วถ้ามองเลยไปถึงตอนเด็กๆ ถ้าเกิดพ่อแม่เลี้ยงไม่ดีเราเจอแต่เรื่องทุกข์เศร้า สะเทือนใจ  ไอ่อะมิกดาลาก็จะไปบอกให้เจ้า Hippocampus บันทึกความรู้สึกแบบนี้ไว้เป็นความทรงจำระยะยาว เป็นจำฝังใจไปซะงั้น ชีวิตบัดซบมีอาการกลัวเรื่อยมา แหม แบบนี้สมองส่วนหน้าแทบไม่ได้ทำงานเลย ใช้แต่อารมณ์ ความรู้สึก มีปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรงไปได้ ยัง...ยังมีอีกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ถ้าแม่ไม่แฮบปี้ ถ้าแม่เครียดมันจะส่งผลไปที่ตัวอ่อนในท้อง ทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่องแต่ก็รับเอาความกังวลความกลัวไปด้วยแล้ว หนักไปกว่านั้น คือ เรื่อง DNA บรรพบุรุษ ถ้าใครมีบรรพบุรุษที่เป็นนักรบ ทำสงครามมานี่ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะมันจะมีสัญชาติญาณที่เป็น “นักฆ่า” หรือที่เรียกว่าเป็นยีนส์อาชญากรเข้ามาร่วมด้วย คราวนี้มันฝังเลย มาแต่ชาติปางก่อน 


คือการที่คนด่าหรือทำร้ายกันรุนแรงนั้น มันมีเหตุปัจจัยมหากาพย์มาก แต่จะให้ดีต้องไม่ลืมว่าเรายังมีสมองส่วนหน้า เป็นส่วนที่มีเหตุผล เป็นส่วนที่เอาไว้คิด วิเคราะห์ วางแผน ถ้าจับหน้าผากรู้สึกอุ่น ๆ แปลว่า มันกำลังทำงานอยู่ จริงๆแล้วมันต้องพัฒนาตั้งแต่เกิดมันเกี่ยวกับที่เค้าเรียกกันว่า EF หรือ Executive Function และสมองส่วนหน้าสามารถพัฒนาเต็มวัยเมื่ออายุ 25 ปี คือถ้าแก่กว่านั้นมันลำบากแล้วนะ แต่ก็ยังพอมีทาง คือ หมั่นเจริญสติไป นั่งสมาธิก็ได้ จะช่วยให้เรารู้ตัวทุกขณะว่าทำอะไรอยู่ ก่อนที่อารมณ์จะสั่งการ สมองส่วนหน้านี้จะเริ่มคิดแบบมีเหตุมีผลได้ทัน เราก็จะไม่วู่วามแล้วเสียใจทีหลัง 




วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 275

 อยู่แบบให้ “รู้สึก” 

จังหวะช่าช่าช่า บางทีมันเร็วไป...เดินช้าลง กินช้าลง จิบเครื่องดื่มไม่ต้องซดโฮก เรียกว่าดื่มด่ำเป็น รู้สึกกับการเคลื่อนไหวของใจและกาย เนิบๆกับสิ่งง่ายๆที่ตาและใจได้สัมผัส ทุกช่วงขณะมันจะวิเศษเลย เช่น

  • แค่หลับตา หายใจลึกๆยาวๆทุกครั้งที่ระลึกได้ มันจะช้าลง มันจะว่างๆดีนะ ไร้สิ่งกระตุ้น เราก็อิสระจริงได้ ผ่อนคลายตัวเอง อยากสบายก็สบาย ไม่ต้องเคร่งกัดกรามนั่งตรงตลอดเวลาก็ได้ มันเกร็งจนอาจพลาดความรู้สึกที่ควรรู้สึก 
  • เอาตัวออกมาจากสิ่งแวดล้อมปกติ ค่อยๆลดเลี้ยวไปหาที่ใหม่ๆจรรโลงใจบ้างก็จะดี จะได้มีความรู้สึกใหม่ๆไม่ยึดติดกับความรู้สึกเดิม ความคิดเดิม หาอะไรเป็นธรรมชาติๆมาเพิ่มพลังจิต เยียวยาความปลดไม่ลงปลงไม่ได้ นั่งเงียบๆดูใบไม้ร่วงก็เหมือนได้คิดว่า ความตายมันใกล้ชิดนัก เราสักวันก็ร่วงเหมือนกัน ไปเร็วนักมันมองไม่เห็นนะ
  • เวลาใครด่า ก็รู้สึกให้ช้าหน่อย หรือถ้าวืดแล้วต้องรีบลง ขำขำไป ใครชมก็ไม่ต้องพองทันที รู้สึกช้าๆไป มันจะกลายเป็นเฉยๆ ซึ่งดีนะ เหมือนค่อยๆวางไข่ลงมันไม่แตก ปล่อยอารมณ์แรงๆไปมันจะแตกเหมือนไข่ตกพื้น ไม่เวิค ช้าๆแต่ชัวร์
  • ค่อยๆดับแสงตัวเอง ไม่ต้องว่องไวให้มันเจิดจ้าแยงตาคนอื่น เป็นดาวตลอดเวลามันใช้พลังแรงเยอะ ค่อยๆกระพริบตามสถานะการณ์ไปแบบมีกาละเทศะ รีบพูดแย่งพูดมันเหนื่อย 

ประมาณนี้ ชีวิตก็คงรู้สึกอะไรที่ไม่เคยรู้สึกได้เหมือนกัน นี่ก็ฝึกอยู่เพราะเคยเป็นคนเร็วแรงแซงโค้ง ตอนนี้แก่...เร็วไม่ไหว ช้าๆไปอยู่กับความ “รู้สึก” โลกมันก็มีอะไรให้เรามากขึ้นกว่าเดิม...มาก 



วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

อะไรที่ไม่ดีกับเรา...เป็นเรื่องดี

มันเป็นธรรมดาที่คนเราอาจรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่มีผลกระทบกับจิตใจในทางลบ

ความโมโหความโกรธ มันทำให้สำนึกว่าเราโง่เราบ้า
ความเสียใจ มันทำให้เรารู้ว่ายังดีที่มีความรู้สึก ยังมีใจ
เป็นคน ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นยังไงนี่ยังดีกว่าที่ “ไม่รู้” เรื่องตัวเอง
แต่จะดีกว่านั้นมันต้อง “ตั้งใจ” ที่จะสำรวจตัวเอง
ชีวิตที่ตั้งใจ ทำให้เราชัดเจนกับทุกอย่าง
ทุกเรื่องที่ได้คิดได้ทำ มัน คือ ความตั้งใจ
(รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว หรือทำเป็นไม่รู้ตัวนี่อีกเรื่อง)
ผิดก็รู้สึกผิดไป ไม่มีการแถ ผิดก็แค่แก้ แต่ไม่ใช่แก้ตัว
ถ้าชีวิตมันดีทุกอย่าง...การเรียนรู้มันไม่สาสม
ประมาณอกหักดีกว่ารักไม่เป็น
คือรักสำเร็จ มันก็แค่นั้น แต่ไม่สมหวังนี่ความรู้สึกมันมาเต็มๆ
มันทำให้เราเรียนรู้ได้ถึงกึ๋น ดังนั้นอะไรที่ไม่ดีที่เป็นทุกข์กับชีวิต
มันเรียนรู้อะไรได้เยอะกว่า มันทำให้เกิดสำนึกทบทวนได้ลึกซึ้งกว่า

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 274

ช่วงนี้อินเรื่อง “ตั้งใจ” “ใส่ใจ” “ดูใจ”  มันเป็นกลยุทธ์แห่งความสุขในชีวิต

“ตั้งใจ” ใช้ชีวิตตัวเองไป อย่าแค่หายใจทิ้ง 

...ทุกนาทีที่ผ่านไปมันไม่หวนคืน..

แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ถ้าใส่ใจ ทุกกิจกรรมจะมีความหมาย 

ความหมายทำให้เกิดความสำคัญ

และความที่เห็นว่าสำคัญ...เราจะไม่พลาดเรื่องการใช้ชีวิต

ที่พลาด..เพราะบางที “วง” มันใหญ่เกินจะจัดการ

กลยุทธ์ : เรากินรวบไม่ได้...ต้อง “ตั้งใจ” เลือกกิน 


“ใสใจ” กับปัจจุบันขณะ มันคือความสุขตรงหน้า ความสุขทันที

...อย่าหวังถูกหวยได้สุขในอนาคต มันเสียเวลา... 

บางคนกังวลกับเรื่องในอนาคตจนลืมเสพสุขที่มีอยู่

เอาความเครียดกับสิ่งที่ยังไม่เกิดมาทำลายการใช้ชีวิตตอนนี้

ที่ยังมีลมหายใจ ที่ยังกินเดินวิ่งเที่ยวเล่นได้ มันดีที่สุดแล้ว

อย่าให้ตัวเองต้องเสียใจกับอะไรที่มันจะสายเกินไป

..ในวันที่คิดจะกินก็ไม่มีฟัน คิดจะทำก็ไม่มีแรง...

กลยุทธ์ : ยึดความสุขก้อนเล็ก ความสุขง่ายๆตรงหน้า 


“ดูใจ” คนใกล้ตัว คนที่อยู่ตอนนี้ อย่าทำให้เสียใจ 

...เพราะเราไม่รู้ว่า...จะมีวันพรุ่งนี้หรือเปล่า.... 

คนสำคัญในชีวิตมีไม่กี่คน มันคือคนที่เข้าใจกัน สายเดียวกัน

แน่นๆเข้าไว้ อย่าให้ความอื่นใดมาทำให้ไขว้เขวไปได้ 

ที่สำคัญ คือ ความไร้เงื่อนไขต่อกัน มองตารู้ใจ  

กลยุทธ์ : ยืนหนึ่งกับ “คนใน” ไร้ข้อแม้ 





วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 273

เล่นกันที่สมอง

เหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา มันลึกลับซับซ้อนเกี่ยวทับผลประโยชน์ทั้งต่างชาติและนักการเมืองไทยทั้งอดีตและปัจจุบันที่อยากเป็นใหญ่ เรื่องนี้เข้าใจได้แต่ไม่รู้จะทำยังไงกับความหยาบของกิเลสคน คือ มันอยากครองอยากอำนาจไม่สิ้นสุด บ้านเมืองจึงปั่นป่วนต่อเนื่องกันไปแบบไม่รู้จะจบสวยได้ยังไง แต่ลูกหลานเรานี่สิ...ที่ผิดเพี้ยนตามการกระหน่ำชักจูงด้วยความเร็วและแรงของเทคโนโลยีสื่อสารแบบเอาให้ลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เหตุผลอะไรก็เอาไม่อยู่ 


จึงมาคิดว่ามันคงเกี่ยวกับการใช้สมองด้วย ถ้ามาดูกันตามทฤษฎีสมอง 3 ส่วน ของ Paul D. Maclean นักประสาทวิทยา จะเห็นได้ว่าลูกหลานเราถูกกระตุ้นให้ใช้สมองชั้นสัตว์เลื้อยคลาน Reptilian Brain ที่สนใจแต่ว่าอะไรที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดหรือการหลีกเลี่ยงจากอันตรายซึ่งในที่นี้คงเป็นเรื่องเผด็จการ เรื่องสถาบันที่คิดว่าเป็นเรื่องคุกคามอยู่นี่แหละ ก่อนเป็นด่านแรกเลย มีการชวนให้สมองลูกหลานเชื่อโดยกระหน่ำ “Visual” ที่ “Fake” ภาพบิดเบือน ข้อความโกหกหลอกลวง เพราะมันรู้ว่าสมองส่วนนี้ไม่เข้าใจภาษาคน ไม่ต้องมีเหตุผล มันง่าย ไม่ซับซ้อนและกระตุ้นสัญชาตญาณในเวลาอันสั้นได้ผลดี ลูกหลานไม่ต้องคิดจาก vitual หรือ message ต่างๆ แค่ใช้สัญชาติญาณว่ามันเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตัวเอง มันมีความจำเป็นต้องลุกฮือชู 3 นิ้ว หรือผูกโบว์ขาวที่เห็นว่าสำคัญแค่นั้น ให้สมองประมวลผลแบบชั้นเดียว ไม่ใช้ตรรกะหรือเหตุผลอะไรทั้งสิ้น แค่นี้ก็คงพอเข้าใจว่าทำไมพูดกันด้วยเหตุผลไม่ได้  


ความพลาดของเรา คือ การพยายามให้ข้อมูลความจริงกันกับลูกหลานมากมาย สื่อสารข้อมูลที่ยาวยื้อเยื้อ พยายามอธิบายโดยที่ไม่ได้คำนึงว่าตอนนี้ลูกหลานใช้แค่ Reptilian Brain เป็นด่านแรก มันไม่โดน ลูกหลานจะไม่เข้าใจหรอกว่าเราต้องการบอกอะไร สิ่งที่รู้แค่อย่างเดียว คือ ข้อมูลที่กำลังบอกนั้นซับซ้อนเกินไปและไม่มีความสำคัญ สมองจะ skip ผ่านไปทันที ไม่เข้าหัว นี่ขั้นแรกนะ สมองมันมีกระบวนการของมัน ในเมื่อมีคนปลุกปั่นให้สมองด่านแรก “ตัดสินใจ” ไปแล้ว ข้อมูลเราจึงผ่านเข้าไปไม่ได้  และสมองด่านที่สอง Limbic Brain มันประมวลต่อแล้วว่ามันรู้สึกยังไงกับข้อมูลปลอมๆที่รับเข้ามาเต็มๆอย่างต่อเนื่อง ไอ้คนที่ยัดเยียดข้อมูลมันต่อด้วยการกระตุ้นอารมณ์ สมองส่วนนี้เป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก มันจดจำประสบการณ์ที่ได้รับจากส่วนแรกได้ดีเป็นพิเศษ จึงคล้ายกับ double action ที่มีผลต่อพฤติกรรมชุมนุมของลูกหลาน ตอกย้ำการทำตามอารมณ์มากกว่าที่จะใช้เหตุผล และก็แน่นอนมองส่วนนี้มันไม่มีความสามารถในการรับรู้เรื่องภาษา มันจึงมีข้อความแปลกๆแย่ๆจากลูกหลานเราเป็นวาทกรรมบ้าๆบอๆที่ฮิตกันไปอย่างได้อารมณ์กันเอง จะเห็นว่าเวลาคุยกับลูกหลานมันอธิบายไม่ได้มันแค่รู้สึกอะไรก็ว่าไปตามนั้น สมองในสองส่วนแรกนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำโฆษณาชวนเชื่อที่ต้องการดึงความสนใจให้กลุ่มเยาวชนรับรู้ข้อมูลปลอมที่ยัดเข้าไปแต่แรกรวมถึงกระตุ้นการตัดสินประเทศ ตัดสินสถาบันไปอย่างไร้เหตุผล กลายเป็นเชื่อแบบงมงาย เพราะตามการศึกษากว่า 90% ของการตัดสินอะไร ตัดสินใจ หรือการแสดงพฤติกรรมทั้งหลายที่จาบจ้วงรุนแรงเกิดจากการทำงานของสมองสองส่วนนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมไม่ได้ โอละพี่ โอละพ่อมากเลยนะ 


จากสมองสองส่วน มันมาถึง Neocortex หรือ New Brain ที่รับผิดชอบในเรื่องของ “ตรรกะ” ซึ่งสมองของลูกหลานเรามันแชร์มาจาก Reptilian Brain กับ Limbic Brain มันเลยกลายเป็นตรรกะเหมือนกัน แต่เมื่อส่วนแรกส่วนที่สองผิดเพี้ยน สมองส่วนนี้จึงเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายเลยว่าสุดท้ายลูกหลานก็มีตรรกะที่ผิดเพี้ยนเป็นของตัวเอง ซึ่งมันประมวลออกมาเลยแล้วว่า “คุ้มค่าแก่การชุมนุมต่อต้าน” 


หากเราเข้าใจและอยากลุยกับลูกหลาน มันคงต้องมาเล่นกับสมองของมนุษย์แล้ว ต้องสื่อสารสิ่งที่ต้องการจะสื่อกับสมองทั้งสามส่วนให้ครบถ้วนและถูกลำดับของมัน คือ กระตุ้นสมองส่วน Reptile ให้สนใจด้วยเมตตาธรรมที่ไม่ยื้ดเยื้อ เอาให้โดนโดนจะจะ ขาดๆไปเลยว่าอะไรกันแน่ที่อันตรายกันแน่ ไปหารูปที่โดนๆมาให้ดูแล้วคุยกันแล้วสร้างความผูกพันทางอารมณ์ ไม่ต้องอ้างเหตุผลเพราะไม่มีประโยชน์ในการกระตุ้นสมองสองส่วนนี้ ดราม่าน้ำตาไปให้สุด ดูว่าใครมันจะแน่กว่าใคร คิดว่าขนาดนี้แล้ว สมองส่วน New Brain ของลูกหลานจะสามารถเรียนรู้วิเคราะห์ได้ คือมันเป็นการสื่อสารกับสมองทั้งสามส่วนครบ มันเป็นพื้นฐานเลยนะของการจะรู้จักผิดชอบชั่วดี เพื่อการยืนหยัดอยู่รอดภายใต้สถานะการณ์ขัดแย้งของครอบครัวในปัจจุบัน 





วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 272

เลือกเกิดไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่จะต้องรู้จักเลือกว่าต้องการใช้ชีวิตแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นใคร รวยหรือจนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการนะ บางคนเลือกแล้วมีความสุขกับชีวิตในแบบที่ตนเองเลือก บางคนเลือกแล้วแต่ชีวิตกลับไม่มีความสุขก็มี การเลือกนี่สำคัญพอๆกับการทำให้มันเป็นจริง มันใช้พลังมากพอๆกันเลย ไม่ว่าจะเลือกให้ตัวเองทุกข์หรือเลือกให้ตัวเองสุข ว่างๆก็ลองตั้งคำถามกับตัวเองบ้าง ว่า ชีวิตมีความสุขไหม? มันไม่มีอะไรถูกหรือผิด เพราะมันเป็นชีวิตใครชีวิตมัน ความต้องการในชีวิตก็แตกต่างกันไป มันอาจดีสำหรับเราแต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่น

บางทีมันอาจถึงเวลาที่ต้องบอกกับตัวเองว่า พอแล้ว หยุดได้แล้ว มันมีอะไรอีกเยอะแยะที่เราอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ มันถึงเวลาทำอะไรที่อยากทำเสียที
บางทีเพียงต้องการใช้ชีวิตง่ายๆ ธรรมดาๆ มีชีวิตแบบพอเพียง ไม่ต้องร่ำรวยมากมาย พอมีพอกิน พอได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ...กิน ท่องเที่ยว ถ่ายรูปเล่น แบบไม่มีห่วง แบบไม่เครียด มันอาจเป็นโลกใบใหม่ของเราก็ได้ อาจจะเจอช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับสายจนเกินไป ถ้าตอบคำถามตัวเองได้ รู้ทันความรู้สึกจริงๆแล้วปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่ มันมีอะไรดีดีรออยู่ข้างหน้าอีกมาก...ที่ทำให้เรามีความสุข...แค่ “เลือก”


คิดวันละอย่าง # 271

เกษียณสำราญใจ

อนุสนธิจากการไปฟังท่านนัน ท่านว่าเกษียณต้องเลิกทำงานประจำให้ได้ อยู่ไปภาวนาไปดีกว่าเยอะ จึงมาได้คิดว่าไม่ต้องกังวล ยิ่งเกษียณแล้วแพคเกจร่างยังดี ไปไหนมาไหนได้ ไม่เจ็บป่วยต้องนอนเตียงนี่ยิ่งดีมาก จัดการเรื่องละวางได้ยิ่งวิเศษ ที่เห็นๆบทความเกี่ยวกับเกษียณแล้วต้องมีเงินเท่านู้นเท่านี้บอกตรงเลยว่ามันเครียด มันละวางไม่ลงปลงไม่ได้ ยุ่งหนักกว่าเดิม ทำให้คนขี้เหนียวเห็นแก่ตัว หงุดหงิดยามแก่ก็เห็นมามาก ไม่สร้างสรรค์ลูกหลานประสาทจะกิน
อย่าคิดมาก ชีวิตเราผ่านมาขนาดนี้ ย่อมรู้ดีว่าแก่ เจ็บ ตายมันเรื่องสามัญประจำบ้าน คนเป็นข้าราชการยิ่งหายห่วงมีสวัสดิการ คนที่ไม่มี รัฐก็มีประกันสังคม จะเอาอะไรอีก คนอื่นยังเดือดร้อนต้องหาเงินมาเลี้ยงชีพจนตายก็ยังมี พวกเรานี่ถือว่าค่อนข้างสบายนะ แค่ต้องลดความทะยานอยากลง ทำตัวเป็นพลเมืองธรรมดาให้ได้ ถ้าไม่รวยล้นฟ้าอย่างคนอื่นน่ะ จะมาเก๋ไก๋ไฮโซแบบตอนมีรายได้คงไม่ไหว อะไรประหยัดได้ก็ทำไป ค่อยลดละเลิกไป ที่ดีที่สุดของวัยเกษียณ คือ มันเปิดโอกาสให้เราว่างพอที่จะเอาจริงกับชีวิตที่เหลือ ทางไหนก็ไม่ซุปเปอร์ไฮเวย์เท่าทางธรรม เริ่มสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือจะปฎิบัติอะไรก็ตามแต่จริตไป อันนี้มันท้าทายยิ่งกว่าการทำงานเสียอีก และมันทำให้เรามีอะไรดีดีทำในชีวิตที่ยังหายใจ แต่ไม่ต้องเคร่งมากจนน่ารำคาญ เที่ยวเล่นบ้าง ปฎิบัติบ้างไปก่อน สำคัญ คือ คนวัยนี้ต้องน่ารัก เข้าใจคนอื่นให้มาก อย่าทำให้คนรอบข้างอึดอัด แค่นี้ก็สำราญพอแล้วมั๊ย สวยๆสดชื่นๆไป อย่าโทรมจมอยู่อะไรเดิมๆ มันเป็นช่วง “ปล่อยตัว” ของคนจากภาระ ไม่ใช่ทำตัวเป็นภาระของตัวเอง !!!



วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 270

คนเราไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ดูแค่เวลาเรามีปัญหา ทุกข์ เจ็บป่วย เราจะเรียกใครมาหา ก็แค่นั้นแหละ คนเหล่านั้นเป็นคนใกล้ตัวที่เราต้องให้คุณค่าที่สุด ไม่ใช่คนอื่นที่เราต้องเกรงใจ ให้ผลประโยชน์ คนที่จะต้องได้ประโยชน์จากเราที่สุดคือคนใกล้ตัว และไม่ต้องคิดมากเพราะมันเป็นเรื่องของคนรักกัน  ช่วงเวลาสำคัญๆในชีวิตไม่ว่าสุขทุกข์ ใครที่อยู่กับเราเสมอ อันนี้มันยิ่งใหญ่มากในความรู้สึก จะไปเกรงใจงานหรืออะไรหรือให้เวลาคนอื่นมากกว่านี่ไม่ถูกต้อง คนเรามันเป็นคนจริงได้ก็อยู่ที่คนใกล้ตัว พวกนี้เป็นลมใต้ปีกที่ส่งให้เราบินได้อย่างอิสระ คือ เป็นสายลมแห่งความหวังดีเสมอ อาจแผ่วบ้างกระโชกโฮกฮากไปบ้างแต่ลมเหล่านี้ก็ส่งให้เราเต็มๆ คนอื่นที่เราเอาใจเกรงใจมันก็เพื่อประโยชน์บางอย่างที่ไม่ได้ช่วยกันด้วยใจเหมือนคนใกล้ตัว มันไม่ลึกซึ้งแบบร่วมหัวจมท้ายนะ แต่บางทีเราลืม มันชินจนลืม ลืมพูดกันดีดี ลืมเกรงใจ ลืมใส่ใจ ไม่ได้ให้คุณค่าไม่ให้ความสำคัญ ถ้ายังมีโอกาส..กลับมาหาคนใกล้ตัว ทำตัวให้มันน่ารัก ทำตัวให้คนใกล้ตัวรู้ว่า “สำคัญ” และคนที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนวงในใกล้ตัวก็ทำตัวให้มันสาสมหน่อย ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ มันต้องใช้เวลาและใจถึงใจ ไม่ใช่แค่ตัวใกล้ชิดหรือคุยกันทุกวัน 


ที่สำคัญ...วันไหนไม่มีคนใกล้ตัวแล้วจะหนาวลำพัง !!  




วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 269

อย่าปล่อยให้ใคร..ขโมยความสุข

คนที่ขโมยความสุขคนอื่น ก็เป็นคนดีดีนี่แหละ ไม่ได้เลวร้ายอะไร เราแค่ต้องระวังอย่าอินมากไป ก็มีที่สังเกตุได้ง่ายๆ เพื่อจะได้หลบทัน คือ 

  • อยู่ด้วยแล้วอึดอัด : อยู่กันนานไป ความสัมพันธ์ดันแย่ลง ยิ่งพูดจากัน ทำไมเราดันเป็นคนผิดทุกที คือ อาจมีวิธีพูด วิธีหัวเราะที่ฟังแล้วไม่ขำ มันมี hidden agenda บ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วๆไป แต่เราเหมือนตัวเล็กลงทุกที 
  • อยู่ด้วยแล้วต้องถูกตลอด : คือผิดครั้งเดียวนี่ กลายเป็นผิดมหันต์ ที่ยาก คือ พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนดี ไม่ใช่พวก mean girls เลยตัดไม่ได้ขายไม่ขาด ผดุงเกียรติยศศักดิ์ศรีจนไม่เหลือน้ำใจให้กัน 
  • อยู่ด้วยแล้วลามเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว : พูดง่ายๆ คือ ไม่เคารพสิทธิ์กัน ถามอะไรที่ล้วงลึก เจาะเกราะเกินไป หรือ บางทีไม่สนว่าใครจะลำบากเสียหายยังไง แต่จะเอาที่ตัวเองพอใจก็มี 
  • อยู่กันด้วยแล้วส่งเสริมให้แย่ลง : คนเรามันก็มีนิสัยไม่ดีกันทุกคน แต่จะมีบางพวกที่เห็นใครดีกว่าไม่ได้ คนกำลังจะดีจะงาม ต้องส่งเสริมนิสัยแย่ๆหรือพฤติกรรมแย่ๆให้มันหนักข้อไป เช่น ชอบดื่ม อยากจะเลิก เอ้า ซื้อมาบำรุงกันเลย กินให้มันสุดสุดไป 
  • อยู่ด้วย แต่มีเงื่อนไข : แบบนี้จะพบในตอนเราเป็นเด็ก กำลังท่องหนังสือ เอ้ย ไปเที่ยวกันดีกว่า ไม่ไปไม่รักกันจริง อันนี้มันเป็น term ของอีกคน ที่อีกคนไม่สามารถ พอโตขึ้น มันจะมีพวกกบฎที่ไม่ทำตาม หรือ ทำตามด้วยความเซ็ง ก็ไม่สุขอีก

ถ้าเราเป็นหนึ่งในนั้น..ต้องเลิกทันที ถ้าอยากให้ความสุขกันและกันจริงๆ หรือถ้าเราอยู่ใกล้ชิดกับหนึ่งในพวกนี้ ก็ห่างๆอย่างห่วงๆไป อย่าปล่อยให้ใครมาขโมยความสุข 





วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2563

การตายดีเป็นวิถีที่เลือกได้

ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คนมักหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเพราะถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล ซึ่งมันก็แปลกอยู่เพราะทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องตายในวันหนึ่ง แต่กลับไม่อยากพูดถึง ย้อนแย้งดีเหมือนกันนะคนเรา คือ การพูดถึงความตาย ไม่ได้ทำให้ตายเร็วขึ้น หรือการไม่พูดถึงความตายก็ไม่ได้ทำให้ตายช้าลง จะตายยังไงก็ตาย ตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้  ที่ดีคือการเตรียมตัวตายให้งามๆ ไม่ต้องเป็นภาระคนข้างหลัง คนไทยเรามีสิทธิ์การตายดีนะตาม ...สุขภาพแห่งชาติ 


“...การตายดีตามมาตรา 12 ของ ...สุขภาพแห่งชาติ .. 2550 ระบุว่าบุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้…” 


มันแปลว่าเราสามารถวางแผนดูแลตนเองไว้ล่วงหน้า เช่น ถ้าถึงระยะสุดท้ายแล้ว อย่ามารักษา อย่ามารุกราน อย่ามาปั๊มหัวใจ อย่าใส่ท่อนะ ประมาณนั้น  เป็นต้น หรือจะเอาให้เต็มที่ในการยื้อชีวิตก็ว่ากันไป แต่ยื้อได้ไม่ได้นี่มันตามบุญตามกรรมไปนะ หมอก็คงรับรองอะไรไม่ได้ พวกหมอเองยังอยากตายดีเลย ไปอ่านมามีการสำรวจพวกหมอเกี่ยวกับการวางแผนการตาย โดยมีสถานการณ์สมมติว่าถ้าเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย  หมอจะเอายังไง สรุปๆคือ

  • ไม่ต้องการ CPR 90%(ไม่ต้องการให้ปั๊มหัวใจ 90%)
  • ไม่ต้องการ เครื่องช่วยหายใจ 80%
  • ไม่ต้องการสายให้อาหาร 80 %
  • ไม่ต้องการ การฟอกไต 80%
  • ไม่ต้องการ การผ่าตัด 80%
  • ไม่ต้องการ invasive test 80% การตรวจอื่นๆที่ ต้องเจ็บตัว
  • ไม่ต้องการเลือด 80%
  • ไม่ต้องการสารน้ำ 60%
  • ไม่ต้องการยาปฏิชีวนะ 60%
  • ต้องการยาแก้ปวดเพื่อจากไปอย่างสงบ 80%

สรุปคือ อยากตายตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีสายอะไรมาโยงใยยุ่งยาก คาดว่าคงคิดประมาณยื้อไปก็ตายอยู่ดี อาจยืดเวลาได้แต่ก็ได้นิดหน่อย ไม่คุ้มเจ็บจากการรักษา ที่เจ็บปวดกว่าการเจ็บป่วยจากโรค 


การมีแค่ชีวิตอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ พูดอะไรไม่ออก จำตัวเองยังไม่ได้มันคงน่ากลัวกว่าความตายเยอะ เลือกได้ ก็ เลือกตายดีดีกันไป มีคนว่าไว้  “...สิ่งที่มนุษย์ผู้มีสติปัญญาจริงๆต้องการ เมื่อถึงเวลา คือ การเสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี สงบ และ ไม่เจ็บปวดเท่านั้นเอง...”


วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 268

ไม่ได้ดังใจ..เป็นกันทุกวัย

อาการนี้น่าเป็นห่วง ยิ่งช่วงเชื้อโรคระบาดนี่ อะไรก็ยิ่งไม่ได้ังใจ คงต้องมาสงบสติอารมณ์กันหน่อยนะ เริ่มที่ตัวกูนี่แหละ พอสถานะเจ้าของเข้าสิง อาการไม่ได้ดังใจจะตามมาติดๆ มันมีตั้งแต่เรื่องพื้นฐานการกินอยู่ไปจนถึงความสัมพันธ์ของคนในสถานะต่างๆ และการงานที่ทำอยู่ (ถ้ายังมีงานทำอ่ะนะ)  

ไม่ได้ดังใจ = การยึดไว้ในใจตน
ยึดความรัก..คนนี้เป็นคนของเรา เสียทองเท่าหัวไม่ยกผัวให้ใคร 
ยึดความหวังดี...ปรารถนาดีของเรายิ่งใหญ่นัก ต้องเห็น ต้องได้ดี
ยึดเกียรติยศ ศักดิ์ศรี...หัวโขนมีไว้ใส่มันตลอด ถอดไม่เป็น
ยึดความสำเร็จ...โลกนี้มันมีคำว่าล้มเหลวอยู่คู่กันนะ
แบบนี้ คือ วางใจตัวเองผิดที่ผิดทาง
โลกนี้ไม่มีใครมีอำนาจจะควบคุมใครได้
โลกนี้ไม่อาจคาดหวังผลดังใจได้ทุกเรื่อง
โลกนี้ไม่มีใครฝืนความจริงได้ 

เมื่อไม่ได้ดังใจช่วยเคารพความจริงตามธรรมชาติ อย่า(ออก)นอกใจ เหลียวกลับมามองตัวกูสักหน่อย ทุกข์ที่ไม่ได้ดังใจอาจเบาบางลงได้นะ เรื่องใหญ่จะเล็ก เรื่องเล็กยิ่งจิ๋วมาก รุนแรงก็เบาลง อย่ากูมากนัก 

กูมาก = รู้สึกมาก
กูมาก = ความคาดหวังมีการ(เผลอ)ยกระดับขึ้นมาก
กูมาก = กำแพงสูงมาก

กูไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิต 
กูมันแค่สภาพจิต ไร้ตัวตน ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอนเลย

ช่วยเอากูออกไปจากชีวิตกูหน่อย 



วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 267

วันสำคัญทุกวัน....วันไม่สำคัญก็ทุกวัน
..วันไหนก็สำคัญและวันไหนก็ไม่สำคัญ 🥰
พอคิดว่าสำคัญ...มันดีที่เราอยากให้ดีและตั้งใจทำให้ดี
พอคิดว่าไม่สำคัญ...มันยิ่งดีที่ไม่ว่าเกิดอะไรที่ไม่ชอบใจก็ไม่เป็นไร
วันสำคัญคือวันที่ต้องทำใจดีดี อารมณ์ดีดี ยิ้มน้อยๆในใจไป
วันไม่สำคัญคือวันที่ปล่อยวางง่าย ยิ้มน้อยๆในใจไปเช่นกัน
ไม่ว่าเป็นวันสำคัญหรือไม่สำคัญ วันไหนก็ตาม...
➡️ การยังมีลมหายใจ รู้สึกถึงลมหายใจตัวเองเป็นเรื่องจำเป็นทุกวัน
➡️ อัตตาให้มันน้อย ไม่ต้องสำคัญว่าสำคัญทุกวัน
➡️ การยิ้ม หัวเราะได้คือเป็นบุญมากแล้วในวันนั้น
➡️ การนั่งมอง ฟัง พูดเมื่อเรื่องเข้าตัวในบางวันเรียกสติได้ดีในวันนั้น
➡️ การได้เห็นคนรอบข้างมีความสุขเพราะเรามันมหัศจรรย์เป็นวันดี
➡️ ความรู้สึกอบอุ่นในใจมีค่ามากกว่าสิ่งใด มันคือพลังชีวิต
➡️ ความรู้สึกคนอื่นสำคัญทุกวัน
➡️ สังขารเป็นเรื่องของมัน เรื่องเราคือดูแลมันตามอัตภาพได้ทุกวัน
➡️ วันไหนคิดทำเรื่องพิเศษจากปกติให้กันถือเป็นเรื่องของคนมีใจ
➡️ การทบทวนความคิดแบบสายกลางทำให้เกิดการรู้ตัวทุกวัน
ขอบคุณที่ทุกวันยังมีชีวิต... วันไหนๆสำคัญก็ได้ ไม่สำคัญก็ได้

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563

สมอง..อยู่กันไปนานๆหน่อย

ใจร้อน ไม่ยอมคน แรงมาแรงไปไม่โกง
แบบนี้สมองจะอยู่ด้วยกันไม่นาน
การโกรธ คือ แสดงอำนาจเหนือ
การเสียงดังโวยวาย คือ อยากให้คนทำตาม
แบบนี้เรียกคนหัวร้อน ทำบรรยากาศแย่
มันไม่ใช่แค่ทำให้คนอื่นลำบากใจ หรือ ร้อนตาม
แต่มัน backfire เพราะตัวเองจะซวย
มันส่งผลถึงสมองนะ ไม่ใช่แค่อารมณ์หรือใจ
สมองจะทำงานหนักมาก ใช้อ๊อกซิเจนมากกว่าปกติ
เพราะว่าต้องหาคำตอบในสิ่งที่เจ้าตัวหัวร้อนขึ้นมา
สมองเลยไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ดี
สมองแปรปรวนไม่มีเหตุผลแล้ว
ปิดเปิด ปิดเปิด มันทำให้สมองพังและเสื่อมก่อนวัย

วิธีบำรุงสมอง คือ
สูดหายใจเข้าลึกๆยาวๆ ให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองให้เพียงพอ
ให้มันมีสติมากขึ้น
โกรธ...อย่าเพิ่งแสดงออก อย่าเพิ่งพูด
ใช้ความร้อนให้เป็นประโยชน์ อย่าไปใช้กับคนอื่น
ใช้เผาหัวแข็งให้มันอ่อนลง
อัพเกรดปัญญาหน่อย อย่าให้สมองทำงานหนัก
สมองจะได้อยู่กับเราไปนานๆ


วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563

คิดวันละอย่าง # 266


ทุกวันนี้มันเดือดร้อนกันหนักข้อขึ้นทุกที เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการละเมิดสิทธิ์คนอื่นขาดความเข้าใจในสิทธิพื้นฐานของแต่ละคน เรามองเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องล้อเลียนเพื่อนฝูง ก็จะว่าล้อเล่นขำขำ แซงคิวหรือฝ่าไฟแดงก็จะว่าตัวเองรีบ  ไม่ตรงเวลาก็จะว่าไม่เห็นเป็นไร  มันมีอีกหลายเรื่องมากที่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้างเพราะมันชิน  แต่ในความจริงนั้น อะไรก็ตามที่เป็นการกระทำที่ส่งผลไม่ดีต่อจิตใจคนอื่น มันกระทบศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กันนะ ถือเป็นการเหยียดหยามกันเลย มันสามารถเลยเถิดไปเกิดความเสียหาย และที่หนักมากคือการเสียชีวิตก็มีให้เห็น

มันเป็นทัศนคติที่น่ากลัวมาก เพราะเป็นรากของมุมมองแบบจัดกลุ่มเป็นการเลือกปฎิบัติกันเลย มองแบบอคติว่าคนเป็นแบบไหน แล้วจัดประเภทพวกเขาพวกเราไปในทันที มันฝังลึกนะ พฤติกรรมแย่ๆเลวๆโหดๆจึงเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ก็เพราะไม่ตระหนักถึงเรื่องการละเมิดสิทธิ์คนอื่น” 

คนเรามีศักดิ์ศรี หวงแหนเกียรติยศของตัวกันทุกคน เมื่อมันเกิดความเสียหายร้ายแรงขึ้น มันจึงยากในการเยียวยาให้คืนมาดังเดิม 

ในสังคมเล็กๆของเรา หลายครั้งที่มีเรื่องละเมิดสิทธิ์ แค่จัดสรรให้คนนั้นเป็นแบบนี้ คนนี้ต้องทำแบบนั้น อันนี้ก็เริ่มนิสัยไม่ดีไม่คำนึงถึงสิทธิ์คนอื่นแล้วนะ  อย่าว่าแต่คน แม้แต่หมาเราก็ไม่มีสิทธิ์จะละเมิดนะ 

เริ่มต้นง่ายๆ แค่อย่าเอาแต่ใจตัวเอง !!