วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

คน...อะไรที่เป็นของเรา


คนเรานั้นแม้นยิ่งใหญ่ครองพิภพ
แม้นเป็นปราชญ์รู้เจนจบทุกสิ่งสรรพ์
แม้นรวยทรัพย์ รวยญาติมิตร รวยฐานัน
สุดท้ายผันเป็นผุยผงลงสู่ดิน

เกิดมา..แค่ตาย

ทรัพย์สมบัติตามไปได้...แค่วันตาย
มิตรสหายตามไปได้...แค่วันจน
คนที่รักตามไปได้...แค่ป่าช้า
ตามไปได้ถึงชาติหน้า...มีแต่บาปกับบุญ

อะไรก็ไม่ใช่ของเรา... ปล่อยมันไป
จะให้ดีต้องปล่อยตัวเอง..เพราะ "สิ่งที่น่าเกลียด สกปรก คือ ตัวเรา"

สัมมา สัมมา

เกิดเป็นคน..ไม่มีอะไรดีเท่ากับการรู้ว่า อะไร คือ ความถูกต้อง
มันจะทำให้ความเห็นแก่ตัวหายไปจากพจนานุกรมได้เลย

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

อะไรเอ่ย...ไม่เข้าพวก....ช้าง ม้า วัว ควาย แกะ มะเขือ

ท่านี้คุ้นๆ...

การไม่เข้าพวกนั้น..มีสำนวนที่รู้จักกันดีและเป็นสากล คือ แกะดำ (black sheep) ซึ่งคุณประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์ (ถ้าอยากรู้ว่าเป็นใคร เจ๋งขนาดไหนก็ลองถามกูเกิลดู)  เจ้าของบริษัทที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อนการทำงาน นำมาตั้งชื่อบริษัท..แกะดำทำธุรกิจ สอนให้คนคิดแบบแกะดำ คิดสร้างสรรค์เชิงองค์รวมซึ่งไปฟังแล้วก็ได้คิดอะไรดีๆอยู่มากมาย ถ้าถามว่าใหม่ไหม..ก็คงไม่ใหม่ แต่ถามว่าดีไหม ต้องบอกว่าดีมาก คุ้มค่าที่กระตุกต่อมคิดได้ชะงัดทีเดียว ที่ชื่นชอบชื่นชมมาก คือ ผลของการฟังที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาในตัวคน ในธุรกิจ ในสังคม  
ที่จั่วหัวเรื่องว่าอะไรเอ่ยไม่เข้าพวกและต่อด้วย ช้าง ม้า วัว ควาย แกะ มะเขือนั้น เพราะเห็นคำว่าแกะดำแล้วนึกถึง มะเขือ มันไม่เข้าพวกยิ่งกว่าแกะดำ มันเป็นคนละสายพันธุ์กันเลย สิ่งที่คุณประเสริฐเล่านั้นมันเป็นสายพันธุ์ใหม่ ที่ไม่เข้าพวกจริงๆ ไอ้ตัวเลือดเนื้อ โครงสร้างกระดูกของความคิดมันคนละเรื่อง ไม่ใช่แค่กระดูกคนละเบอร์ มันเป็น disruptive thinking มันเป็นเรื่องความคิดที่ดื้อกับโลก ดื้อกับสิ่งปกติ.. ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่บนโลกนี้  ส่วนตัวแล้วชอบมะเขือ ไม่ชอบแกะ.. แต่รักความคิดกลุ่มแกะดำนะฮะ
ครึ่งเช้า.. ชอบอะไรบ้าง
เขาว่า...ขวานำ..ซ้ายตาม
ขอเติมเองว่า...ขวาอย่าตก ซ้ายตามให้ทัน
ให้คนใช้สมองซีกขวา....จินตนาการ ความรู้สึก อารมณ์ให้มากขึ้นแล้วค่อยใช้สมองซีกซ้าย.....ตรรกะ เหตุผลมาประเมิน  พูดง่ายๆใช้ heart แล้วค่อยใช้ head      ในทางธุรกิจ.. ผู้คนที่เข้าข่ายช้าง ม้า วัว ควาย แกะ(ขาว) มักใช้ convention thinking คือ คิดตามจารีต ตามเหตุผลตามที่เคยเชื่อๆทำๆต่อๆกันมา.... มันจึงลงเอยด้วยความเหมือนที่อันตรายต่อความยั่งยืนของธุรกิจ เพราะไม่สร้างอะไรใหม่ แข่งยาก อยู่ในเวทีคนอื่น ต้องคิดเบ็ดเสร็จแบบท่านนันท์ วัดดอนจั่น..ปกติ คือ ไม่ปกติ ไม่ปกติ คือ ปกติ... เป็นการพัฒนาวิธีคิดให้แข็งแรง กาลามสูตร..อย่าเป็นสาวเครือฟ้า..เชื่อคนง่ายแล้วต้องโดดน้ำตกตาย 
ตัวอย่างที่คุณประเสริฐยกมาแล้วชัด คือ เรื่องการออกแบบการวนของบันไดเลื่อนในห้างสรรพสินค้าที่ทำเหมือนๆกันทุกห้าง มุ่งขายโดยไม่คิดถึงความสะดวกของลูกค้า คิดถึงแต่การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ขาย  ซึ่งมันจริง...เพราะมันน่ารำคาญมาก แล้วเราก็ไม่ดูอะไรทั้งนั้น รีบเดินๆไปหาสิ่งที่เราต้องการ หรือจะคิดว่าให้ลูกค้าออกกำลังกายก็ใช่ที่ ผิดเวลาอีก... หรือ การที่ซุปเปอร์มาร์เกตมี fast lane สำหรับลูกค้าขาจร ซื้อของไม่กี่บาท แต่กลับให้ลูกค้าขาประจำที่ซื้อเยอะๆต้องรอจนขาแข็ง.. มันเป็นสิ่งที่ทำเหมือนกันอีก.... ตกลงว่าควรจะเอาใจใครแน่ จะค้าขายเอากำไร เอายอดขายอย่างเดียวเลย..​ อารมณ์ ความสุข ประสบการณ์ดีๆไม่มีให้หรืออย่างไร  ระวังอีกหน่อยยอดขายจะหายด้วย...
การทำธุรกิจด้วยการปักธงว่าเงินเป็นพระเจ้า..ยอดขายคือสรณะ​ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เพราะมันใช้ซ้ายนำ ขวาแทบไม่เห็น  ที่สำคัญคือมันใช้เหตุผลของตัวเองคิด คนเราจะเสียตังค์อะไรสักอย่างเราก็อยากมีความสุข ทำไมเราไม่ทำธุรกิจด้วยการคิดถึงความสุข ถ้าเอาความสุขตั้ง ขวานำ...ลองคิดดูว่าอะไรดีๆจะเกิดขึ้นมามากแค่ไหน ทำไมเราจึงคิดแต่ความสุขของเราโดยไม่เห็นแก่ความสุขคนอื่น..อันนี้ยังไงก็ไปไม่รอด  ซึ่งไม่ใช่แค่ค้าขาย..แต่มันเป็นชีวิตคน เป็นวิธีคิดของคน การสร้างความสัมพันธ์ของคนที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขยืนยาวมันต้อง...ยุติธรรม ซื่อสัตย์ต่อกัน แปลว่า..ไม่เอาเปรียบ ขอย้ำ..ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน.. นี่เป็นเรื่องของใจ เป็นของการ์ดขวาอย่าตก  ส่วนจะทำกำไรอะไรนั้นมาทีหลัง..​จะวางแผน คำนวณอะไร...ซ้ายค่อยตาม
(ยังมีต่อ..โปรดอดใจรอนะฮะพี่น้องเพื่อนฝูง)

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

รัฐบาลเดรัจฉาน


จั่วหัวแบบนี้ บางคนอาจคิดว่าแรง... อันนี้ไม่ได้ด่า (มาก) แต่เห็นเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมาแลัวรู้สึกเศร้าใจ รัฐบาลนี้ทำให้ความเป็นคนของคนไทยเลือนลางลงไปทุกที ทำให้เห็นว่าคนกับสัตว์เดรัจฉานไม่มีความแตกต่าง เพราะหลักๆเลย คือ ไม่มีความละอาย เหมือนสัตว์...สัตว์ ไม่มีความละอายใจ ไม่มีการสำนึกผิด มันไม่รู้สึกผิดเมื่อมันฆ่า เมื่อมันขโมย มันต่างกันตรงไหนกับการที่รัฐบาลสนับสนุนเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่เกิดขึ้น การยุยงให้คนทำร้ายกัน ให้ไปตายเพื่อความอยู่รอดของอำนาจ แล้วขโมยเงินหลวงมาจ่ายให้กับโจร.. ว่ากันว่าคนฉลาดกว่าสัตว์มากมายนัก อย่างกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ก็ฉลาด เรียนหนังสือเก่ง เป็นคนมีความคิด แต่หากว่านำความคิดและปัญญานั้นมาเพื่อทำร้ายซึ่งกันและกัน นำไปใช้ในทางที่ไม่ดี มันก็เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เพราะสัตว์นั้นรักพวกพ้อง ไม่ทำร้ายพวกเดียวกัน 
อันที่จริงคนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีโอกาสทำความดี ทำบุญ ทำกุศล มีสิทธิ์จะเลือกทางเดินของตน เลือกสันติสุข แต่รัฐบาล กลุ่มแดงนปช. กลุ่มนักวิชาการกลับลืมข้อได้เปรียบสัตว์ข้อนี้ กลุ่มคนเหล่านี้กลับยังเลือกที่จะทำทุกอย่างให้ได้มาเพื่อบำรุงกิเลสของตัวเอง ไม่คิดถึงส่วนรวม ทำไมจึงลืมไปว่าเราเป็นคน มีจิตวิญญาณ แต่กลับกระทำการอย่างไร้จิตวิญญาณเช่นสัตว์  คนเราทุกคนมี free will ที่สามารถแสวงหาความสมบูรณ์แบบได้อย่าง  Jean-Jacques Rousseau ว่าไว้ แต่คนกลุ่มนี้กลับทำให้ค่าของความเป็นคนตกต่ำ ไม่มีการใช้ชีวิตของตัวเองให้สมคุณค่าความเป็นคน  ไปอ่านมาว่าแท้จริงแล้วถ้าไม่มีจิตวิญญาณความเป็นคน คนจะมีค่าน้อยมาก เขาว่ามีหมอคนหนึ่งทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับร่างกาย เพราะอยากจะทราบว่าร่างกายของคนเอามาทำอะไรได้บ้าง  ปรากฎว่า..ร่างกายคนนั้น มีไขมันทำเป็นสบู่ได้ 7 ก้อน  มีธาตุฟอสฟอรัสทำหัวไม้ขีดไฟได้ 2,000 ก้าน  มีธาตุเหล็กทำตะปูได้ 1 ตัว  และมีน้ำ 55 ลิตร  ซึ่งถ้าจะนับเป็นจำนวนเงินประมาณ 250 บาท.. มันน้อยมาก.. น้อยเหลือเกินถ้าไม่มีจิตวิญญาณ 
ทุกวันนี้เราจะเห็นตัวอย่างที่เลวมากมายในสังคม การกระทำที่ปราศจากสามัญสำนึกจากรัฐบาล จากกลุ่มคนที่นิยมความรุนแรง จากนักวิชาการที่คลั่งประชาธิปไตยโดยไม่เห็นแก่รากเหง้าเสาหลักของแผ่นดิน  จึงต้องขอเพิ่มคำขยายต่อท้ายกลุ่มคนเหล่านั้นได้ว่า รัฐบาลเดรัจฉาน กลุ่มแดงเดรัจฉาน กลุ่มนักวิชาการเดรัจฉาน กลุ่มสื่อเดรัจฉาน หมายถึงการไม่มีสามัญสำนึก  ไม่มีความละอาย  ไม่รู้ผิดถูก  ไม่รู้จักความเมตตา จ้องแต่ทำตามสัญชาติญาณที่ถูกใส่ไว้  จนทำให้คนไทยหลายคนในสถานการณ์ที่ถูกปลุกปั่น  ก็สามารถยอมให้ถูกฆ่า ยอมตายได้โดยไม่รู้ว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือของเดรัจฉานที่เห็นแก่ตัวมุ่งแสวงหาอำนาจ เหยียบย่ำคนตายให้ตัวเองสามารถแสวงหาผลประโยชน์  วิวัฒนาการความเป็นคนจึงน้อยลงไปทุกวัน 
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ อีกหน่อยเด็กไทยก็จะกลายพันธุ์ มีการพัฒนาสายพันธุ์ชั่วๆเหมือนสัตว์มากขึ้นในสังคมไทย เพราะนิยมความรุนแรง การทำลาย การทำร้าย การฆ่าไม่ผิด (และยังได้รางวัล มีการปูนบำเหน็จอีกด้วย) มันเป็นการจงใจเหวี่ยงให้เกิดพฤติกรรมที่ผิดไปจากลักษณะเดิมของคนปกติ คิดแต่จะอยู่รอด แข็งแกร่งโดยไม่มีจิตวิญญาณความเป็นคน  แบบนี้ในอนาคตรอยหยักในสมองเด็กไทยจะน้อยลง  รอยหยักน้อยแปลว่าความคิดที่จะสร้างสรรค์ก็น้อย ซึ่งความคิดสร้างสรรค์นี่แหละที่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์เยอะอย่างสุดขั้ว ดังนั้นการพัฒนาการต่างๆในบ้านเราไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง พัฒนาสังคม พัฒนาวิทยาศาตร์เทคโนโลยี คงไม่เหลือ ที่สำคัญสติสัมปชัญญะก็จะไม่เหลือด้วย ลองคิดดูเอาเองแล้วกันว่าบ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร จะไม่ให้เรียกรัฐบาลเดรัจฉานก็คงไม่ได้แล้วเพราะทำให้คนขาดจิตวิญญาณและศักดิ์ศรีของความเป็นคน จึงเป็นคนที่สมบรูณ์ไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ละเอียดอย่างไรดี


เมื่อวานได้ของดีจากท่านนันมาอีกหนึ่งดอก... คำว่า ละเอียด 
ท่านว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่ละเอียดที่สุด.. เนี๊ยบ ระเบียบวินัยจัด แต่ไม่มีความสุข..ทุกข์ที่สุดเพราะละเอียดที่เป็นอยู่ เป็นละเอียดแบบสุขเวทนา ทุกขเวทนา มันเหนื่อย
แต่ละเอียดของพระพุทธเจ้า.. เป็นละเอียดแบบ เบา โล่ง 
คิดว่าน่าจะเป็นความละเอียด.....ที่เกิดจากการปล่อยจริต พิจารณาจริตของคนบนโลกนี้ที่พระพุทธเจ้าว่ามีอยู่ 6 ประเภทด้วยกัน 
จริต = ความประพฤติของคนใดคนหนึ่งจนเคยชินเป็นนิสัย มาจากพื้นฐานใจของแต่ละคน
มาดูกันว่า จะละเอียดอะไรได้บ้าง...
ราคจริต = รักสวยรักงามเป็นสำคัญ ประมาณว่า พอใจในรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด ประณีต เกลียดความสกปรก ไม่ชอบอารมณ์ประเภท เศร้าโศก ความพินาศย่อยยับ การทำลายล้าง เป็นต้น 
ยัง freitag อยู่เลยน่ะ ยังชอบกินเนื้อ เซ็งความวุ่น รก สกปรก.. จะละเอียดยังไงดี

โทสจริต = ใจร้อน ใจเร็ว กระด้าง อะไรนิดอะไรหน่อยก็โกรธ รีบร้อน ว่ากันว่าจะเป็นคนแก่เร็ว พูดเร็ว พูดเสียงดัง เดินแรง ทำงานหยาบ ไม่มีถี่ถ้วน ไม่พิถีพิถัน
อันนี้..พอได้ พอดับได้เมื่อมีสติ...
โมหจริต = เป็นลักษณะเฉื่อยชา ไม่คล่อง อยู่ในความรู้สึกมากกว่าความคิด ไม่ค่อยชอบคิด หรือคิดไม่ออก อาจถึงขั้นมองตัวเองว่าไม่ดี ไม่เก่ง ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่มีความสามารถ ใบหน้าไม่เบิกบาน ถึงเวลาพูดไม่พูด ถึงพูดก็ไม่มีพลัง ต้องให้อารมณ์มากระตุ้นจึงจะทำงาน
ยังมีอยู่..แต่น้อยละ ติดอยู่ที่ต้องใช้อารมณ์กระตุ้นนี่แหละ อย่างอื่นไม่มี
วิตกจริต = คิดมาก ชอบคิด แสดงความคิด มีคำถามเยอะ ฟุ้งซ่าน ต้องคิดอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสินใจ ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองเพราะคิดเยอะเกิน หน้าตาเหนื่อยตลอด หาความสุขสบายใจได้ยาก
ยังมี ยังอยู่  แต่หน้าตาไม่เหนื่อยนะ ยังระรื่น
สัทธาจริต = มีความเชื่อเป็นอารมณ์ประจำใจ ทำตามความเชื่อ เอาความเชื่อออกหน้า ยึดมั่นความเชื่อเหนือเหตุผล อะไรที่ไม่เป็นไปตามที่ตัวเองเชื่อถือก็จะเห็นว่าไม่ถูกต้อง ใครแนะนำอะไรก็ใจง่ายเชื่ออย่างเดียวไม่ได้พิจารณา
ยังมีอยู่บ้าง เหมือนกัน... แต่ให้น้อยลงได้
พุทธจริต = เจ้าปัญญาเจ้าความคิด ฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณดี คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล ใช้ความรู้และเหตุผลในการพิจารณาตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ มองปรากฏการณ์ต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริง บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่มีปรุงแต่งหรือใช้อคติส่วนตัว
อันนี้ดีจัง.. ยังไม่ถึง..
ทั้งนี้ทั้งนั้น “ละเอียด” ที่ท่านนันว่า น่าจะเป็น "ไม่สุขไม่ทุกข์"  เป็นอุเบกขาเวทนา มันจึงเบา ละเอียด โล่ง  ไม่ยึด ไม่ติด..ลองดู ต้องลอง..

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

อาหารการกิน..

เป็นเรื่องที่ชอบมากในต้นปีนี้.. เอามาจาก http://wwisartsakul.wordpress.com/tag/อาหารการกิน/
Q: Doctor, I’ve heard that cardiovascular exercise can prolong life. Is this true?
คุณหมอครับ ผมเคยได้ยินว่าการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ (ออกแบบเหือกๆ แบบหนักๆ ต่อเนื่องๆ เหงื่อซกๆๆๆ) สามารถทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้จริงไหมครับ
A: Your heart is only good for so many beats, and that’s it…  don’t waste them on exercise. Everything wears out eventually.  Speeding up your heart will not make you live longer; that’s like saying you can extend the life of your car by driving it faster.  Want to live longer?  Take a nap.
นี่คุณ หัวใจน่ะ มันใช้ได้ดีสำหรับเต้นตึ๊กๆๆ ไม่กี่ครั้งเองนะ พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าไปเสียเวลาออกกำลังเลย ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งใช้ๆเข้า มันก็หมดเกลี้ยงนะ ฉะนั้น การทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นบ่อยๆ น่ะไม่ได้ช่วยให้อายุยืนหรอก ก็เหมือนๆ กับ ถ้าคุณจะพูดว่าขับรถเร็วๆ จะทำให้รถของคุณคงทนขึ้นอย่างนั้นน่ะเหรอ? ถ้าอยากอยู่นานๆ ก็งีบหลับซะเหอะ
Q: Should I cut down on meat and eat more fruits and vegetables?
ผมควรจะลดปริมาณการกินเนื้อ แล้วเพิ่มการกินผักผลไม้ไหมครับ?
A: You must grasp logistical efficiencies.  What does a cow eat?   Hay and corn.   And what are these?  Vegetables.  So a steak is nothing more than an efficient mechanism of delivering vegetables to your system.   Need grain?   Eat chicken.   Beef is also a good source of field grass (green leafy vegetable).   And a pork chop can give you 100% of your recommended daily allowance of vegetable products.
ใช้วิจารณญาณเชิง ตรรกะเหตุผลเอาละกันคุณ วัวมันกินอะไรล่ะ? ก็หญ้าแห้งและก็ข้าวโพด ซึ่งไอ้สองอย่างนี่มันคืออะไรล่ะ? ก็ผักไง! ฉะนั้น การกินเนื้อสเต๊กเนี่ย มันคือหนทางที่มีประสิทธิภาพในการส่งผักเข้าสู่ร่างกายเรา ถ้าต้องการธัญพืชเหรอ? ก็กินไก่สิ! ยิ่งกว่านั้นนะคุณ เนื้อวัวน่ะยังเป็นแหล่งผักใบเขียวที่ดีด้วย (ก็วัวมันกินหญ้าเขียวๆ) และพอร์คช็อปน่ะสามารถให้คุณค่าทางอาหารจากพืชที่เพียงพอต่อความต้องการของ คุณในวันนึงเลยทีเดียว
Q: Should I reduce my alcohol intake?
ผมควรจะลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงไหมครับ
A:  No, not at all.  Wine is made from fruit.  Brandy is distilled wine, that means they take the water out of the fruity bit so you get even more of the goodness that way.   Beer is also made out of grain.  Bottoms up!
ไม่ ไม่จำเป็นเลย ไวน์น่ะทำมาจากผลไม้ บรั่นดีก็คือไวน์ที่กลั่นแล้ว นั่นหมายความว่าส่วนที่เป็นน้ำถูกเอาออกไปจากส่วนผลไม้ มันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลยน่ะสิ เบียร์ก็มาจากธัญพืช……เอ้า………..หมดแก้ว!!!!
Q: What are some of the advantages of participating in a regular exercise program?
ประโยชน์ของการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอคืออะไรครับ?
A: Can’t think of a single one, sorry.  My philosophy is: No Pain…Good!
หมอเองยังคิดไม่ออกสักข้อเลยคุณ เสียใจด้วยนะ ปรัชญาของหมอคืออะไรที่ไม่ทรมาน ก็ดีทั้งนั้นแหล่ะ!
Q:  Aren’t fried foods bad for you?
อาหารทอดๆ นี่มันไม่ดีสำหรับร่างกายใช่ไหมครับ?
A:  YOU’RE NOT LISTENING!!! …..  Foods are fried these days in vegetable oil.  In fact, they’re permeated in it.  How could getting more vegetables be bad for you?
คุณนี่หูแตกรึไง!! ปัจจุบันนี้อาหารทอดก็ถูกทอดในน้ำมันพืชทั้งนั้นแหล่ะ และน้ำมันพืชก็อยู่ในอาหารพวกนั้นนี่นา แล้วการกินพืชมากขึ้นมันไม่ดีตรงไหนวะ?
Q:  Will sit-ups help prevent me from getting a little soft around the middle?
การซิท-อัพช่วยป้องกันไขมันรอบหน้าท้องได้ไหมคะ?
A: Definitely not! When you exercise a muscle, it gets bigger. You should only be doing sit-ups if you want a bigger stomach.
ไม่มีทาง! เวลาคุณออกกำลังกล้ามเนื้อมันก็จะใหญ่ขึ้น ถ้าคุณอยากมีพุงใหญ่ๆ ก็ซิท-อัพไปเหอะ
Q:  Is chocolate bad for me?
ช๊อกโกแล๊ตนี่ไม่ดีใช่มั๊ยคะ
A:  Are you crazy? HELLO Cocoa beans! Another bean!!! Beans are good for you. It’s the best feel-good food around!
บ้ารึเปล่าคุณ? โว้ยยยยยยยย ก็เมล็ดโกโก้ไงเล่า!!!! แล้วธัญพืชมันก็ดีสำหรับคุณ ช๊อกโกแล๊ตน่ะมันเป็นอาหารที่เยี่ยมที่สุด!
Q:  Is swimming good for your figure?
การว่ายน้ำดีต่อรูปร่างมั๊ยคะ?
A:  If swimming is good for your figure, explain whales to me.
ก็ถ้ามันดีจริง ไหนอธิบายซิว่า ปลาวาฬหุ่นดีแค่ไหนกันเชียว
Q:  Is getting in-shape important for my lifestyle?
การมีรูปร่างดีๆ สำคัญต่อชีวิตมั๊ยคะ?
A:  Hey!  ’Round’ is a shape!
โธ่เว้ย! แล้วทรงกลมๆ มันก็เป็น “รูปร่าง” ไม่ใช่เรอะ
Well, I hope this has cleared up any misconceptions you may have had about food and diets.
เอาล่ะ นี่คงแก้ปัญหาความเข้าใจที่ผิดๆ เรื่องโภชนาการที่ดีได้แล้วนะ
And  remember: และก็จำไว้ด้วยว่า
‘Life should NOT be a journey to the grave with the intention of arriving safely in an attractive and well preserved body, but rather to skid in sideways – Chardonnay in one hand – chocolate in the other – body thoroughly used up, totally worn out and screaming ‘WOO HOO, What a Ride’  
ชีวิตน่ะมันไม่ใช่การฝังจิตฝังใจเอาไว้กับการระมัดระวัง เพื่อรักษารูปร่างให้ดีๆ ไว้ แต่มันควรเป็นเหมือนการเล่นสไลเดอร์ มือข้างนึงไวน์ชาร์ดองเน่ไว้ และถือช๊อกโกแล๊ตไว้ในมืออีกข้าง ใช้ร่างกายทั้งหมดให้คุ้มๆ แหกปากกู่ก้อง เว้ยเฮ้ยยยยยย!!!! สนุกอะไรอย่างนี้!!
AND….แล้วก็นะ….
For those of you who watch what you eat, here’s the final word on nutrition and health. It’s a relief to know the truth after all those conflicting nutritional studies.
สำหรับพวกที่ต้องคอยดูแล้วดูอีกว่ากินอะไรเข้าไปยังไงบ้าง อ่านด้านล่างนี่ซะ นี่คือข้อสรุปเกี่ยวกับโภชนาการและสุขภาพ อ่านแล้วจะโล่งเอามากๆ เลยที่ได้รู้ความจริงหลังจากที่ผลวิจัยทางโภชนาการเขาถกเถียงกันมานาน
1. The Japanese eat very little fat and suffer fewer heart attacks than Americans.
คนญี่ปุ่นบริโภคไขมันน้อย และก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน
2. The Mexicans eat a lot of fat and suffer fewer heart attacks than Americans.
คนแม๊กซิกันบริโภคไขมันเยอะโคดๆ  แต่ก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน
3. The Chinese drink very little red wine and suffer fewer heart attacks than Americans.
คนจีนไม่ค่อยดื่มไวน์แดง และมีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน
4. The Italians drink a lot of red wine and suffer fewer heart attacks than Americans.
คนอิตาเลี่ยนดื่มไวน์แดงเยอะมากๆ แต่ก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน
5. The Germans drink a lot of beers and eat lots of sausages and fats and suffer fewer heart attacks than Americans.
คนเยอรมันตะบี้ตะบันดื่มเบียร์ แถมยังยัดทะนานกินไส้กรอกและก็พวกอาหารไขมัน แต่ก็มีภาวะหัวใจวายน้อยกว่าคนอเมริกัน
CONCLUSION ข้อสรุปก็คือ……..
Eat and drink what you like. ชอบอะไรก็กินๆ ดื่มๆ มันเข้าไปเหอะ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

จิตวิญญาณของผู้ประกอบการ

เรื่องราวก่อนจะได้เป็นเจ้าของ multimillion-dollar company นั้น ผู้ประกอบการระดับโลกหลายคน บ้างก็ขายวิ่งหนังสือพิมพ์ ขายเนคไทแถวชายหาด ขายน้ำอยู่แถวบ้าน บ้างก็วุ่นกับการคิดค้นสิ่งใหม่ในโรงรถ  มันดูเหมือนว่าเบื้องหลังความสำเร็จของผู้ประกอบการเหล่านี้ คือ การเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นโดยรู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำธุรกิจเพื่อเป็นผู้ประกอบการ    อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เป็นความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าที่จะทดลอง ไม่กลัวความล้มเหลว อยากบินสูง  คนแบบนี้แหละที่จะกลายเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้  อาจกล่าวได้ว่า entrepreneurial spirit เป็นพรสวรรค์ที่ดลบันดาลให้คนสามารถผลักดันตัวเองให้เป็นได้ เป็นดีที่สุดในสิ่งที่จะดีได้เป็นได้   ในบรรดาผู้ประกอบการในโลกนี้ Steve Jobs เป็นคนหนึ่งที่อยู่แถวหน้ามาตลอด เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นว่าไอ้การที่ take it to the limit มั่นใจแต่ไม่ไร้สติเป็นอย่างไร  มีหลายคำพูดที่แสดงถึงลักษณะของความมีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการที่ชัดเจน เช่น “Don’t be trapped by dogma. Don’t let the noise of others’ opinions drown out your own inner voice. Don’t settle.”  อันนี้เป็นความมั่นใจในตัวเองอย่างสูงของ Steve Jobs ที่ทำให้ Apple Store เป็นร้านค้าปลีกที่มีรายได้ต่อตารางฟุตสูงที่สุดในโลกทั้งๆที่ในปี 2001 บริษัทคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ฮิตวิธีปฏิบัติของ Dell ที่ขายตรงให้กับลูกค้า ไม่ต้องมีหน้าร้าน  แต่ Apple เองก็เป็นบริษัทที่มักจะทำอะไรสวนทางกับชาวบ้านเสมอ     หรือคำพูดที่ว่า “It’s only by saying no that you can concentrate on the things that are really important.” ที่มันเป็นเรื่องของการเลือก เลือกทำ เลือกไม่ทำ ต้องชัดเจน  Steve Jobs ชัดเจนว่าไม่ทำ PDA ทั้งที่ในช่วงนั้น PDA เป็นสินค้ายอดฮิต    การเลือกไม่ทำ PDA นั้น ก็นำไปสู่การพัฒนา iPod ขึ้นมา    Steve Jobs มั่นใจขนาดที่บอกว่า “A lot of times, people don’t know what they want until you show it to them.” ซึ่งก็กลายเป็นที่มาของทั้ง iPhone iPad เป็นสิ่งที่เห็นได้อีกว่า Apple เน้นการสร้างความต้องการใหม่ๆ ให้ลูกค้ามากกว่าการตอบสนองความต้องการเดิมๆ  สิ่งเหล่านี้เป็นการพิสูจน์ได้ว่าการจิตวิญญาณในการคิดต่างของตนเองโดยเชื่อมั่นในความคิดของตนเองนั้นนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้อย่างสวยงาม จนตายไปคนก็ยังยอมเป็นสาวกอย่างไม่ลดละ  
ทีนี้เรามาดูกันว่า จิตวิญญาณของผู้ประกอบการมันมาจากอะไรได้บ้าง... 
1. ความปรารถนาอันแรงกล้า (Passion)  ที่เป็นเหมือนเชื้อเพลิงสุมใจให้ใฝ่ดี ใฝ่สูง ใฝ่สำเร็จ เป็นสุดยอดแห่งผู้ประกอบการ  ผู้ประกอบการที่ปราศจาก passion ไปได้ไม่ไกล คว้าได้แค่ความสำเร็จอันน้อยนิด    ไม่สามารถก้าวข้ามเขตบ้านตัวเองออกไปยิ่งใหญ่ที่อื่น    ต้องถามตัวเองว่า รักในสิ่งที่ทำอยู่เข้าใส้หรือเปล่า ต้องการความสำเร็จระดับไหนในชีวิต     ถ้าต้องการดังนอกบ้าน ลองมาดูประโยคเด็ดๆที่ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จได้พูดไว้และสะท้อนถึง passion ที่ชัดเจน
Howard Huge “ I want to be remembered for only one thing – my contribution to aviation.”  
Madam C. J. Walker “ I am not satisfied in making money for myself. I endeavor to provide employment for hundreds of the women of my race.”
Richard Branson “ What does the name Virgin mean? We are a company that likes to take on the giants. In too many businesses, these giants have had things their own way. We are going to have fun competing with them.”  
Steve Jobs  “....the only way to do great work is to love what you do.”
Marc Jacobs “ I love to take things that are everyday and comforting and make them into the most luxurious things in the world.”
เหล่านี้ี่คือ passion ที่แท้และจิตวิญญาณของผู้ประกอบการมาจาก passion ซึ่งผู้ประกอบการมีทั้งด้านการทำธุรกิจและชีวิตส่วนตัวแบบสุดสุด    passion ก่อให้เกิดความมั่นใจ การเชื่อในตัวเอง ยืนหยัดในสิ่งที่เลือกไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรขนาดไหนก็จะไม่ท้อถอย ทำให้ผู้ประกอบการมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ  สามารถหาหนทางใหม่ๆได้เสมออย่างรวดเร็วกว่าคนอื่น       
2. ความคิดเชิงบวก (Positivity) เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิด entrepreneurial spirit    คนที่รู้ซึ้งถึงการคิดบวก รู้ถึงอำนาจการคิดบวกที่มีผลต่อความสำเร็จคนหนึ่งในปัจจุบัน คือ Jeff Bezos ผู้ยึดคติประจำใจในการดำรงชีวิตว่า "every challenge is an opportunity" เป็นผู้สร้างให้โลกนี้ให้มีร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก   Amazon.com ที่เกิดขึ้นในปี 1995 มียอดขาย $20,000 ต่ออาทิตย์ภายในแค่สองเดือนโดยปราศจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ใดใด   แต่อีกห้าปีต่อมาหุ้น Amazon ตกลงจาก $100 เหลือ $6   มีนักวิจารณ์หลายคนบอกว่า Barnes & Nobles ซึ่งเป็น website คู่แข่งจะกวาด Amazon ลงไปจากเวที    แทนที่ Bezos จะหลีกลี้หนีหน้า หลบมุม คนนี้ฮึดสู้ด้วยแรงบวกทั้งหมดที่มี ด้วยความมั่นใจ  มุ่งในของดีที่ Amazon ยังคงมีอยู่และขยายจนเดี๋ยวนี้เราสามารถหาทุกอย่างได้จาก Amazon ไม่ว่าจะเป็นสากกระเบือยันเรือรบ จนเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง $5.7 พันล้าน   จิตวิญญาณผู้ประกอบการของ Bezos เกิดจาก positive thinking ในชีวิต แม้กระทั่งภรรยาของ Bezos  ยังบอกว่า "If Jeff is unhappy, wait three minutes." 
3. การปรับตัว (Adaptability) ความสามารถในการปรับตัวเป็นจุดแข็งที่สุดของผู้ประกอบการที่พึงมี เราจะเห็นได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจและสามารถก้าวข้ามขอบเขตความกลัวไปสู่การปรับตัวได้  ต้องมีจิตพร้อมจะปรับปรุง ปรับแต่ง เปลี่ยนให้สินค้าหรือบริการสามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง    founder ของ Google คือ Sergey Brin และ Larry Page ใช้แนวคิดนี้ในการสร้าง Google ให้เป็นพระเจ้าของเรา  ซึ่งไม่ใช่แค่ใช้ในการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้ adaptability  เป็นเหมือนแสงนำวิถีชีวิต  Google จึงทำให้เราเห็นหรือทำในสิ่งที่ไม่เคยเห็นไม่เคยทำมาก่อน (ลอง Google Earth แล้วจะรู้)   ด้วยการปรับตัวตลอดเวลานี้เองที่ทำให้ Google ก้าวนำไปหนึ่งก้าวเสมอและถือเป็นบริษัทที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดบริษัทหนึ่งบน web ที่มาจากจิตวิญญาณของผู้ประกอบการที่ปรับเพื่อต้องการครองอันดับหนึ่ง ต้องการโตอย่างต่อเนี่อง
4. การมีภาวะผู้นำ (Leadership) ผู้ประกอบการที่มีความเป็นผู้นำที่ดี หมายถึง คนที่มี charisma มีจริยธรรม มีแรงขับในการสร้างให้องค์กรมีศักดิ์ศรี มีความกระตือร้อล้น เห็นความสำคัญของทีมและเป็นครูที่เจ๋ง และทั้งหมดนี้อยู่ในตัวตนที่แท้ของ Mary Kay Ash ผู้สร้าง Mary Kay Cosmetics ให้เป็นบริษัทที่ช่วยให้ผู้หญิงเป็นล้านได้สมหวังในความฝันที่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ  จิตวิญญาณของผู้ประกอบการฉายชัดอยู่ในตัวของ Ash ซึ่งเป็นเพียง single mom เริ่มทำงานจากระดับพนักงานขายสินค้าประเภท home products และได้เป็น top sales director มา 25 ปี แต่ได้รับการปฎิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือนเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชาย      Ash คงเซ็งว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงออกมาตั้ง Mary Kay Inc. ในปี 1963 ด้วยเงินเพียง $5,000  ในวงการผู้ประกอบการของอเมริกาถือว่า Ash มีชื่อเสียงในเรื่องการโน้มน้าวจิตใจคน เป็น inspirational leader ที่สร้างบริษัทมาด้วยทัศนคติ "You can do it " ที่เป็นการสร้างจิตวิญญาณของผู้ประกอบการที่ไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่สร้างแก่คนในบริษัทด้วย  วันดีคืนดีมีแจก pink Cadillac ให้ top sales director เป็นกำลังใจ  Ash ถือเป็น one of the 25 most influential business leaders และบริษัทนี้ได้รับการยอมรับเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นมาจากจิตวิญญาณของผู้ประกอบการหญิงที่แข็งแกร่ง
5. ความทะเยอทะยาน (Ambition) โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบคำนี้ แต่คิดว่าจิตวิญญาณของผู้ประกอบการเกิดมาจาก ambition แน่ๆ  ไม่เช่นนั้นผู้หญิงตัวเล็กๆอย่าง Debbi Fields เมื่ออายุ 20 และไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองคงไม่สามารถสร้างธุรกิจขาย cookie อย่าง Mrs. Fields ให้มีมูลค่าถึง $ 450 ล้าน มีสาขา 600 สาขาในอเมริกาและเป็นสิบสาขาในต่างประเทศ  Fields เป็นแค่แม่บ้านธรรมดาที่ไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจ แต่มีสูตร chocolate chip cookie และมีความใฝ่ฝันให้คนทั่วโลกได้ชิมฝีมือ มีแต่คนว่าเธอเพี้ยนหรือเปล่าที่เชื่อว่าจะอยู่รอดได้ด้วยการขายแค่ cookie ยังไม่ต้องคิดไปถึงขายได้นอกประเทศ แต่คุณเธอไม่สน เพราะเธอมีความทะเยอทะยานขั้นเทพฝังอยู่ในจิตวิญญาณ  เริ่มจากปี 1977 เปิดร้านแรก จนตอนนี้ แม้แต่เมืองขนมหวานอย่างเมืองไทยก็ยังได้ชิม cookie สูตรเด็ดของเธอจริงๆ 
คราวนี้หันกลับมามองเราบ้าง... ผู้ประกอบการหลายคนอาจจะโทษบุญโทษกรรมที่ทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อน หรือคิดว่าเป็นที่พันธุกรรม เชื้อสายเราไม่ดี หรือคิดว่าเป็นเพราะพื้นฐานการเลี้ยงดูและการศึกษา ที่ทำให้เราไม่ไปถึงไหนเหมือนผู้ประกอบการระดับโลก แต่จริงๆ แล้วความสามารถของแต่ละคนไม่ธรรมดา เหมือน Einstein ว่าไว้ ทุกคนเป็น genius ทั้งนั้น มันอยู่ที่เราหวังให้ปลามีความสามารถปีนต้นไม้เก่งหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ปลามันก็คงคิดว่ามันโง่ทั้งชาติ ในการเป็นผู้ประกอบการนั้นการรู้จักตัวตนของเราสำคัญ ต้องรู้ว่าเรามี passion อะไร แรงพอไหม คิดบวกหรือเปล่า หรือวันๆเอาแต่โทษชาวบ้าน มุ่งมั่นมีความทะเยอทะยานมากพอหรือเปล่า เปลี่ยนเป็นไหม ปรับตัวได้ไหม แข็งแกร่งเป็นผู้นำพอที่จะพาธุรกิจไปให้สาสมกับที่คาดหวังได้หรือไม่  คิดใหม่และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เหมาะกับลูกค้าเป้าหมายได้ไหม จะสร้างจิตวิญญาณผู้ประกอบการที่พร้อมจะไปลุยต่างประเทศนั้นไม่ยาก  อยู่ใจพร้อมจะไปหรือเปล่าและมีจิตวิญญาณแบบจัดเต็มจัดหนักหรือเปล่า พวกนี้ฝึกกันได้ และไม่ได้อยู่ที่ความรู้เท่านั้น เพราะความรู้นั้นเรียนมากันก็มาก แต่ไม่ไปถึงไหนเพราะไม่รู้จริง มีแต่ความรู้ ไม่มีการรู้หรือปัญญาพอที่จะประเมินตัวเอง รู้จักตัวเองว่ามีจุดอ่อนที่ไหนแล้วจี้ให้ถึงที่สุดจนยอมต้องปรับ แล้วจึงไปได้ อยากให้ลองวิชาของ Clayton M. Christensen และพรรคพวกที่เขียนไว้ในหนังสือชื่อ The Innovator’s DNA เพราะเชื่อว่าการประกอบการเป็นเนื้อเดียวกับนวัตกรรม เป็นพฤติกรรม ทักษะที่ฝึกได้  พวกนี้ได้ศึกษาวิจัยและสรุปออกมาเป็นทักษะที่สำคัญ 5 ประการที่ผู้ประกอบการฝึกได้และจะทำให้เพิ่มจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้แจ๋วในธุรกิจของตน
  1. ทักษะในการคิดเชื่อมโยง (Associating) ถ้าเราสามารถคิดเชื่อมโยงโดยดูเหตุปัจจัยครบ จะคิดกว้าง มองกว้าง มีวิสัยทัศน์บรรเจิดเกิด passion แรงๆได้  ไอ้ที่ไม่มี passion คือ คิดใหม่ไม่เป็น คิดบวกไม่ได้มันอยู่ที่เราแคบ มองยังไงก็ไม่ทะลุ ติดกับความกลัวตัวเอง เลยตกลงอยู่ที่ปลอดภัยไว้ก่อน passion ไม่เกิด positivity ไม่ได้ 
  2. ทักษะในการตั้งคำถาม (Questioning) อย่ายอมในสิ่งที่คุ้นเคย หรือ มันเป็นไปตามที่มันเป็น มันจะวนอยู่เช่นกัน การตั้งคำถามจะทำให้ปรับตัวได้ดีขึ้น ตั้งคำถามให้เปลี่ยนจริตตัวเอง ท้าทายตัวเองด้วยการถามในสิ่งที่ไม่น่าถามด้วย ฝึกปรับตัวออกจากโซนสบายมุ่งสู่โซนเรียนรู้และปรับตัว  
  3. ทักษะการสังเกตุ (Observing) การที่เราเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของคน ของลูกค้า เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า คนที่ล้มเหลว คนที่สำเร็จ จะทำให้ได้ข้อมูลมาช่วยตัดสินความทะเยอทะยานของเราว่าจะไปถึงเหมือนคนอื่นไหม มีอะไรที่เราทำได้มากกว่าคนอื่น หรือมันอาจจะเป็น short cut สู่การบรรลุ ambition ของเรา 
  4. ทักษะการสร้างเครือข่าย (Networking) เป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่เราได้พบเจอหรือแลกเปลี่ยน ฝึกความเป็นผู้นำมากขึ้นจากการเป็นผู้นำแค่ในองค์กร เป็นสนามนอกบ้านที่ผู้ประกอบการสามารถใช้ประเมิน leadership ของตนได้อย่างดี ในบริษัทเราอาจจะชัด แต่ถ้าข้างนอกความเป็นผู้นำของเรายังฉายอยู่หรือเปล่า และเครือข่ายจะเปิดหูเรา ให้หัดรับฟังคนอื่นให้เป็น เปิดมุมมองและโอกาสใหม่ๆที่จะก้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ แต่คงต้องเลือกเครือข่ายให้ดีด้วย 
  5. ทักษะการทดลอง (Experimenting) ไม่ใช่แค่ใจถึงพึ่งได้ แต่ต้องใจกล้าลอง การทดลองเป็นการเรียนรู้ที่ดีของผู้ประกอบการ อย่ากลัวที่จะลองสิ่งใหม่ ฝึกใจให้เข้มแข็ง ขยับปีกไปสู่ดินแดนใหม่ 
มันไม่ได้ยากขนาดนั้นเพียงแค่ 5 ทักษะนี้ที่จะก่อให้เกิดการผุดขึ้นมาของจิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการที่พร้อมจะโลดแล่นไปสู่โลกกว้าง

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

ปีใหม่อีกปี..



ไม่เห็นมันจะมีความสุขตรงไหน ไอ้การเป็นคนเนี่ย... 
โง่ลงไปทุกวัน 
เคยทำไม่ดียังไง ก็ทำอยู่ 
เกิดมาเป็นทุกข์มากกว่า...


ปีนี้เอาให้มันดีอีกหน่อย...
...สูดลมหายใจให้ยาว (อีกไม่กี่ปีก็หมดเวลาสูดแล้ว)
...โกรธให้น้อย (คนอื่นไม่สน แต่เรื่องในหลวง เรื่องชาติ..ไม่ไกรธ ไม่ไหว)
...ขี้เกียจให้น้อย (วินัย ปัญญาให้มาก)
...ใช้จ่ายอย่างประหยัด (เสื้อผ้าหน้าผม..ช่วยไม่ได้ ไปเฉพาะที่อยากไป)
...กินให้น้อย (กินไปก็แค่นั้น.. ซากเน่ากองในตัวมาตั้งห้าสิบกว่าปี)


เอาแต่สนุก สุขอยู่..ไม่ไหว แก่ลงไปทุกปี...
The bad news is time flies. The good news is you’re the pilot. - Michael Altshuler