วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 108

เรื่องของคนใจดี 

ฝรั่งเรียก empathy แต่อยากเรียกว่า ใจดี  
เป็น habit ที่เก็บเกี่ยวได้นะ เพราะมันเป็นความสามารถที่เราเข้าถึง เข้าใจความรู้สึก มุมมองคนอื่นได้โดยไม่เอาแต่ตัวเองไปตัดสิน แต่ตรงกันข้ามเรียนรู้จากความรู้สึก มุมมองคนอื่นแล้วจึงมี action ประมาณเอาใจเขามาใส่ใจเราดังกฎทองของ George Bernard Shaw  ที่ว่า 

“do not do unto others as you would have them do unto you—they might have different tastes ”   

และความใจดี คือ การค้นพบ พวก tastes ทั้งหลายนี่แหละ  คนเราเป็นสัตว์สังคม ความใจดีจึงจำเป็นต้องมีไว้ให้โลกมันหมุนไปได้สวยงาม ไม่เบียดเบียนกัน 

มีงานวิจัยใหม่ที่พูดถึง habit ของคนใจดีว่า...คนใจดีนั้นย่อม...
1.ไม่กลัว ไม่รังเกียจคนแปลกหน้า : คนใจดีจะไม่อยู่แต่ในวงของตัวเอง แต่จะเผื่อแผ่การเคารพ รับฟังและสังเกตุคนอื่นไปด้วย คือ นอกจากเข้าใจโลกตัวเองแล้ว ยังพยายามเข้าใจโลกที่อยู่ในหัวคนอื่นด้วย 
2. ท้าทายอคติและมองหาความเหมือน : คนเรามีสมมุติฐาน (แปลว่าไม่จริง) ของตัวเอง มักติดตราคนอื่นไปอัติโนมัติ เช่น คนดำ พวกมุสลิม ซึ่งทำให้เราพลาดการชื่นชมปัจเจกบุคคลไปเสียฉิบ ทำให้ใจดีละลายหายไป 
3. กล้าเข้าไปมีชีวิตอยู่ในที่ๆคนอื่นดำรงชีวิต : ถ้าคิดว่าโดดร่มหรือปีนเขาเป็นประสบการณ์ ใจดีก็เป็นประสบการณ์ได้เช่นกัน การเดินทางเข้าไปในที่ๆคนอื่นอยู่อย่างลำบาก ฝึกการเป็นคนใจดีนะ ลองเข้าไปลำบากๆดูบ้าง ใจจะดีขึ้นมาก เข้าใจชีวิตขึ้นเยอะ มันเป็นการฝึกที่ทุกคนฝึกได้ 
4. เปิดกว้างและฟังเยอะ : อันนี้ถือเป็นคุณลักษณะสำคัญของคนใจดีทีเดียว คงไม่ต้องอธิบายมากนะ คนใจดีมีพื้นที่ว่างให้คนอื่นเสมอด้วยการฟังเพื่อรับรู้ความรู้สึกไม่แย่งซีนและการเปิดหน้าชก ไม่หมกเม็ดทำแอ๊บนางฟ้า
5. เห็นเรื่องส่วนรวมสำคัญ : เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับโลก ชาติ ชุมชน คนใจดีจะเข้าไปช่วยผลักเสมอ จะไม่ peaceful ignorance คือ อินกับความอยู่เย็นเป็นสุขของมนุษย์โลก จะเจอได้แถวที่ชุมนุมที่มีการเกื้อกูลช่วยเหลือกัน


ใจดีดีกว่าใจร้าย...ของมันฝึกกันได้ 


วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 107

ยูนิฟอร์ม...ใส่แล้วอึดอัด


คนที่ไม่เข้าใจความจริงเป็นเพราะความคิดของพี่นั้นมันใส่ยูนิฟอร์มตลอด ไม่สนโลก ไม่รู้ว่าโลกมันหมุนไปยังไง เปลี่ยนไปยังไง ไม่อยากค้นคว้าหาความจริง...แค่อยากเป็นคนที่ถูกต้องตลอดกาลเท่านั้น

ยูนิฟอร์มที่ชอบใส่กันอันแรก คือ I am not the cause of the matter พี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ธรรมชาติของคนมักโทษอะไรที่อยู่นอกตัวก่อน ซึ่งสาเหตุที่อยู่นอกตัวมักไม่ง่ายที่จะไปเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดผลดีขึ้น เพราะหลาย ๆ อย่างเราควบคุมมันไม่ได้ เช่น มาสาย ทำไมมาสาย คำตอบคลาสสิก แทบไม่ต้องคิด ก็รถมันติดไง ตกลงกลายเป็นว่าการจราจรผิด ก็แล้วทำไมไม่เตรียมตัวก่อน รู้อยู่ว่ารถมันติด คือ แค่เปิดใจยอมรับไปเลยว่าเรานั่นแหละไม่วางแผนล่วงหน้า เรานั่นแหละที่สายประจำ (พี่สายได้ คนอื่นห้ามสาย..เสียมารยาท)

ปัญหาอื่นๆก็เช่นกัน เราหาที่ผิด หาคนผิดในทุกเรื่อง ใส่ยูนิฟอร์มแบบนี้ตลอด มันเหนื่อยใจเหมือนกันนะ เพราะปัญหาต่างๆจะไม่ได้รับการแก้ไขเนื่องจาก I’m not a part of it ดังนั้นไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเราถอดยูนิฟอร์มออก...ความรับผิดชอบจะเริ่มมาละ เราจะเริ่มมี mindset ที่จะลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหานั้น เพราะจะมองเห็นว่าเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุของปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้น และจะหาหนทางแก้ไขปรับปรุงมัน แบบนี้มันจะพัฒนาได้ ถ้าไปถาม Stephen Covey ที่เขียนเรื่อง Seven Habits of Highly Effective People เขาจะบอกว่า Be Proactive ไปเลยพี่ เพราะเพราะคนที่ Proactive จะไม่โทษสิ่งรอบตัว

ยูนิฟอร์มยอดฮิตอีกอัน คือ I don’t want to change พี่ไม่อยากจะเปลี่ยน พี่จะเป็นของพี่แบบนี้แหละ (ใครจะทำไม) ใส่ยูนิฟอร์มนี้ไม่ถอด สมองพี่จะสั่งการเรื่อยๆเลยนะ สั่งการให้หาเหตุผลสารพัดมาเป็นแรงเคลื่อนไหว ตัดสินใจทำอะไรลงไปก็คิดเลยเถิดไปว่าตัวเองมีเหตุผลสนับสนุนแล้ว คือ คนเราเวลา “อยาก” หรือ “ไม่อยาก” ทำอะไร เหตุผลมันมีร้อยแปดพันประการ ที่ทำให้ตัดสินใจทำอะไรผิดทิศผิดทางไปโดยยังคิดว่ามันดีแล้ว ความจริงอะไรในโลกไม่ต้องพูดถึง

กรอบความคิดที่แคบ ประสบการณ์ที่จำกัด จะพัฒนาไม่ได้ มันแทบจะ “หยุดนิ่ง” การใส่ยูนิฟอร์มให้ความคิดนี่มันสำคัญนะ เพราะไม่ว่าการสร้างความสัมพันธ์ การทำงาน การใช้ชีวิต มันจะเริ่มที่ “กรอบความคิด” นี่แหละ ถ้าไม่ชัด ก็พัฒนายาก

ยูนิฟอร์มความคิด...ถอดออกบ้างก็ได้...relax จะเห็นอะไรชัดเจนขึ้น

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 106


การรู้การเข้าใจในธรรม ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย !!

เราคิดว่ามันยากมาก พระท่านเคยบอกว่า...มันยาก เพราะอะไร
ตอบ...มันยากเพราะว่าเราคิดว่ามันยาก ถ้าเอาจริง...ไม่มีอะไรยาก
คนเมื่อถึงเวลา...ทำกันได้ทุกคน ที่ทำไม่ได้เพราะว่า...ไม่ได้ทำ !!

คราวนี้มาดูว่า...ทำอะไรกัน...
….ไปวัด....ไปหาพระ....ไปทำบุญ...ไปปฎิบัติธรรม...
เป็นสิ่งที่ดี...แต่มัน คือ ทำ หรือ ธรรม ใช่ไหม...หรือว่าไม่ใช่
อยู่ที่ไหนก็ ทำ หรือ ธรรม...ได้ไหม...
รู้นิ่ง รู้เคลื่อน รู้อารมณ์ อยู่สงบ ใจสงบ ตั้งมั่น มีสติ...พอไหม...
แบบนี้เรียกว่า “ทำ” “ธรรม” ได้ไหม...

คือชีวิตเกิดมานี้...มีสำนึก “ธรรม” บ่อยๆ ก็น่าจะดีแล้วนะ สำหรับคนธรรมดา จะดีไปกว่านั้น...คงต้องเข้าใจ แต่ในชาตินี้คนจะเข้าใจ “ธรรม” นั้น คงมีไม่มาก แต่มันเรื่องใหญ่มาก...
คงต้องฝึกกัน.. เริ่มจาก...

คิด เห็น รู้สึก...ก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ไหม...
อะไรก็ไม่เที่ยง เกิดมาก็เป็นทุกข์และตัวตนแท้จริงไม่มี...ได้ไหม
มีอะไรกระทบใจ...ก็นึกไปเสียแบบนี้..ได้ไหม

แบบนี้ก็ไม่ยากนะ ถ้าสติมันอยู่ครบ...

เรื่องถือสมถะ นุ่งขาว ไปเสาะหาวัด ครูบาอาจารย์นั้นคงจริตใครจริตมัน แค่อยากรู้ว่า...อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...พอไหมกับคนที่ยังเป็นปุถุชน เพราะมันคงต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายภพหลายชาติอ่ะนะ ตามเวรกรรมไป

คือชาตินี้...เอาดี เอาธรรมให้ได้มากขึ้น...พอไหม

วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

คิดไปวันละอย่าง # 105


ไม่ได้คลั่งธรรมะ ไม่ค่อยไปวัด ไม่หาพระ
...แต่อันนี้โดน สาธุ สาธุ สาธุ
เรื่องข้างนอก-ข้างในของหลวงปู่บุดดา ถาวโร
มีบุญก็เข้าใจ น้อมรับ ไม่มีบุญ...แล้วไป...
"ถ้าเอ็งหมั่นชำระจิตให้หายเหม็น วาจาก็หายเหม็นได้
ส่วนกายนั้นแก้ไม่ได้ มีแต่ขี้ทั้งนั้น !!
จิตนั้นแก้ได้ ต้องแก้ที่จิต ทุกข์สุข เกิดดับ ต้องแก้ที่ตรงจิตนี้
สิ้นทุกข์สุข รู้เกิดดับเมื่อไหร่ จิตก็หายเหม็น เมื่อนั้น"
หลวงปู่ถามคนว่าเสื้อผ้าไม่ได้ซักเหม็นมั๊ย ขี้อยู่ข้างในเหม็นมั๊ย
เสื้อผ้าพอซักให้หายเหม็นได้
แต่ขี้..ไม่ว่าอยู่ข้างใน อยู่ข้างนอก..เหม็นหมด..
อ่านแล้วเห็นเลยว่า...เราคงพะวงกับการซักเสื้อผ้ามากไป มุ่งกลบความเหม็น อันนี้เห็นได้ว่าโง่เลยข้าพเจ้า เพราะขี้ในร่างกายนั้นมันเหม็นอยู่ตลอด แต่ไม่ยอมรับรู้ !! 
ขอกลบพอประมาณ...และจะนึกถึงขี้บ่อยๆ
มองเห็นใคร ก็นึกไปว่าเป็นก้อนขี้เดินได้ 55 จะอ้วก...
มันก็แค่สังขารนะ !! 

รำพึง : จะมีบุญได้ชำระจิตบ้างไหมในชาตินี้....