วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อิ่มเดียว หลับเดียวของในหลวง


มีคนส่งอีเมล์มาให้นานแล้ว.. กลับมาทบทวนก็ยังชอบใจ ซึ้งเหมือนเดิม เลยต้องทบทวนบ่อยๆ และอยากให้เพื่อนทบทวนด้วย (บังคับ)   นี่ลอกเขามาเลย..

ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ใหม่ๆ  ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น ( กางเกงขาสั้น )    

ในยามดึกเวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับต่างทำหน้าที่กันตามจุดต่างๆไม่มีบกพร่อง  ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อ เฮฮา ไม่มีส่งเสียง อึกทึกหรือเล่นหัวกัน  เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัยแด่องค์พระประมุขของชาติ จอมคนของปวงชนชาวไทย  แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี    ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก ใครจะนึกบ้างเล่าว่า...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา ทรงพระราชดำเนินไปรเวท(เดินเล่น)บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวรประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี  แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี... 

ตอนนั้นทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า  ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต   ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า   จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า

ชีวิตมนุษย์เรานี่...อิ่มเดียวหลับเดียว...เท่านั้น   


ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปจนลับพระองค์ ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ    นึกไม่ออกว่าทรง หมายความว่าอย่างไร  จนรุ่งเช้าออกเวร แล้วจึงได้กลับบ้าน อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา  จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า

ท่านมหาขอรับ  คำว่า...อิ่มเดียวหลับเดียว....นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ

ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย   ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า

โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ” 

ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ  ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่า
โยมเฉลิมศักดิ์  คำนี้น่ะ  ผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์ อันมีความหมายยาวให้ ย่นย่อเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่า...อิ่มเดียวหลับเดียว...นั้นมาจากพระพุทธพจน์   ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ชีวิตเป็นสุข ให้รู้จักคำว่า ...พอ...  เพราะมนุษย์เรานั้นจะกิน ได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน  พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่ม นอนของตัวเองเท่านั้น   มนุษย์เรานั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จัก...อิ่ม...   ได้มาอิ่มแล้ว ก็ยังอยากได้อีก นอนอิ่มแล้ว  ก็อยากนอนอีก อยากได้ให้มันมากขึ้นไปอีก ถ้าคนเรายึดในหลักว่า....อิ่มเดียวหลับเดียว....โลกก็จะเป็น...สุข...
ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีและแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่วคนเรานะโยม จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอม โอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุกน้ำปลา หรือ กินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น กินเข้าไปไม่ได้แล้ว   จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง  อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ  นอนในสลัม หรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น...... เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน  ก็เท่าเทียมกันด้วย

...อิ่มเดียวและหลับเดียว...นี่แหละ

สุดยอด...ไม่ต้องบรรยาย