ในบ้านเมืองเวลานี้ต้องการคนที่ทำ ”ความดี” “ทำประโยชน์” มีหลายคนอาจคิดว่าทุกวันก็ทำหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว หรือคิดว่าธุระไม่ใช่ หรือคิดว่าโปรดสัตว์ได้บาป เพราะทำอะไรไป ทำความดีทำความดีไปแล้ว ได้รับสิ่งที่ไม่ดีกลับมา ทำให้เกิดความรู้สึกที่ “ไม่อยาก” “ไม่ยุ่ง” มันจึงเกิดสังคมของความเห็นแก่ตัว ไม่เอื้อเฟื้อถ้าไม่ใช่เรื่องของตัว ต่างคนต่างอยู่ไป อันนี้อันตรายต่อลูกหลานไทย อย่างน้อยเป็นคนไทยน่าจะต้องมีจิตใจฮึกเหิมที่จะทำเพื่อบ้านเมือง เพื่อคนไทยด้วยกัน หากผู้คนหยุดหมด หยุดทำความดี เอาแต่ทางรอดของตัว อะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเรา และถ้าคนเหล่านี้คิดว่าตัวใครตัวมัน ไม่ใช่ธุระ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย..
เรื่องจากคนค้นคน...
เรื่องที่หนึ่ง...
ชุดปฏิบัติการเหยี่ยวดง 60 กลุ่มชายชาติทหารผู้ต้องเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดทั้งหมด 15 ชีวิต นำทีมโดย ร้อยตำรวจตรีแชน วรงคไพสิฐ ทุกคนในทีมล้วนผ่านเหตุการณ์ระเบิดมาหลายต่อหลายครั้ง ผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมามากมาย บาดเจ็บมาจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทว่าก็ไม่มีใครยอมแพ้และขอลาออก เพราะหัวใจยัง "สู้" เพื่อบ้านเมือง ไม่มีใครรู้ว่า สถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด เช่นเดียวกับคนเหล่านี้ที่ไม่มีใครรู้ว่า วันนี้จะออกไปปฏิบัติหน้าที่เป็นวันสุดท้าย แต่คนเหล่านี้ตระหนักไว้เสมอว่า หากต้องตายก็ขอตายอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ในฐานะของข้าราชการที่ปวารณาตัวเป็นข้าของแผ่นดิน
"พวกผมเกิดเป็นคนไทย เกิดในสามจังหวัดภาคใต้ พวกผมต้องตอบแทนพระคุณแผ่นดิน พวกผมทั้งหมดที่ยืนตรงนี้เป็นลูกชาวสวน ชาวนา ชาวไร่ อุปกรณ์ที่ชาวสวน ชาวนาใช้ทำงานก็คือ "ขวาน" หาก "ขวาน" ไม่มีด้าม ก็ใช้ทำอะไรไม่ได้ พวกผมขอสัญญาต่อหน้าพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้ว่า พวกผมจะดูแลรักษาด้ามขวานตรงนี้ตลอดไป"
คำพูดนี้นี้คงเป็นคำตอบว่า ทำไมทั้ง 15 ชีวิตต้องยืนหยัดที่จะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อปกป้องคนไทยอย่างเราให้นอนหลับฝันดี บางคนอาจคิดว่า..นั้น คือ หน้าที่ของทหาร มันก็ใช่ แต่ถามว่าเขาเลือกได้ไหม เลือกได้แน่นอน เลือกที่จะทำ หรือ ไม่ทำ แต่คนไทยเหล่านี้..เลือกที่จะทำความดีเพื่อแผ่นดินเกิดของตน
เรื่องที่สอง
วิชิต คำไกร หมออนามัยที่ตัดสินใจเลือกบรรจุตัวเองให้มาทำงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทับพริก อำเภออรัญประเทศ พื้นที่ชายขอบซึ่งคงจะมีน้อยคนนักที่อยากจะมาอาศัยอยู่ แต่วิชิตเลือกเส้นทางนี้ เพราะได้เห็นความทุกข์ยากของคนไข้ในเขตชายแดนที่ห่างไกล ซึ่งนอกจากการรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลแล้ว ภารกิจหลัก คือ การลงพื้นที่ไปเคาะประตูดูแลสารทุกข์สุกดิบด้านสุขภาพให้กับชาวบ้าน ตระเวนตรวจความเรียบร้อยของหมู่บ้านร่วมกับผู้นำชุมชนเพื่อป้องปรามปัญหายาเสพติดในหมู่เยาวชนภายในตำบลทับพริก โดยหวังขจัดปัญหาต่าง ๆ และยกระดับชุมชนให้เข้มแข็งขึ้น ซึ่งเป็นงานที่ลงมาทำด้วยตัวเอง ด้วยจิตใจที่หวังให้เกิดประโยชน์กับชุมชน
"เราเป็นข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงบอกว่า เมื่อจะทำงานอย่ายกเอาความขาดแคลนมาเป็นข้ออ้าง แต่ให้ทำงานท่ามกลางความขาดแคลนนั้นให้บรรลุผล เพราะฉะนั้นความขาดแคลนในพื้นที่ตำบลทับพริกอาจจะมีบ้าง แต่เราต้องแปรเปลี่ยนความขาดแคลนนั้นให้เป็นพลังในการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้เรามีพลังใจในการทำงานช่วยเหลือผู้อื่น"
ถือเป็นต้นแบบคนดีของแผ่นดินคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยคิดว่า “ธุระไม่ใช่” ถ้าเป็นเรื่องของบ้านเมืองที่ตนอาศัย เราก็ทำประโยชน์ได้เช่นกัน ไม่ต้องลงไปถึงภาคใต้ หรือดินแดนชายขอบ แค่เลิกคิดเฉพาะเรื่องตัวเองและสร้างโอกาสให้สังคมไทยตามกำลังความสามารถที่มีอยู่
เรื่องที่สาม
พีระพงษ์ วงศ์ศรีจันทร์สอนศิลปะในโรงเรียนซับมงคลวิทยา พื้นที่ไกลปืนเที่ยง อำเภอเทพสถิตย์ จังหวัดชัยภูมิ ครูเลือกมาประจำการเพราะเห็นว่าเด็กอีสานเป็นเด็กที่ขาดโอกาสมากกว่าพื้นที่อื่นและก็ขอเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่จะมาเติมเต็มโอกาส ครูได้ใช้ศิลปะสร้างความสุนทรีย์และเพลิดเพลินหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนและการทำงานหนักช่วยพ่อแม่ที่บ้าน แต่เหนือสิ่งอื่นใดครูหวังให้ศิลปะเป็นใบเบิกทางให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น
"ผมเป็นศิลปินประเภทที่ไม่ได้จะสร้างผลงานทางศิลปะบนเฟรมผ้าใบ แต่เฟรมของผมคือชีวิตของเด็ก ผมต้องรับผิดชอบสิ่งที่ผมเขียน ซึ่งก็คือชีวิตคน"
"ถามว่าข้าราชการคืออะไร ข้าของแผ่นดิน ข้ารับใช้ของประชาชน เงินที่เราได้มาเป็นอยู่ทุกวันนี้คือเงินของประชาชน เราต้องทำงานให้เต็มกำลัง ผมสอนเด็กเสมอว่า ถ้าเขาจ้างเราให้แบกของไปสัก 3 กิโล เราควรแบกสัก 4 กิโล คือทำให้มากกว่า ไม่ใช่แค่หมดเวลาตอกบัตรกลับบ้าน เราควรเป็นข้าราชการ 24 ชั่วโมง"
สำหรับตัวเอง ครูไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพราะนี่คือความสุขแล้ว แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาแก้ไขอะไรอีก แม้ว่าอาจจะเสียโอกาสกับอาชีพที่ก้าวหน้า เงินทองก้อนโต แต่การที่ลงมาทำอย่างนี้ทำให้มีความสุขทุกวัน และยิ่งเห็นเด็กมีอาชีพ มีความสุข มันคือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ และเป็นความสุขที่สุดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ครู" แล้ว นี่คือการ "สร้าง" และ "เปลี่ยน" ชีวิตของผู้อื่นให้ดำเนินอยู่ในเส้นทางแห่งความถูกต้องและได้รับโอกาสทางสังคมมากขึ้น
เรื่องที่สี่
ป้าหาบ
ในยุคข้าวยากหมากแพงนี้ ยังมีแม่ค้าวัยย่างหกสิบปี ชื่อ บุญยัง พิมพ์รัตน์ ลูกค้าเรียกว่า “ป้าหาบ” อาชีพหาบเร่ขายกับข้าวในซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 แยก 3 มานานกว่า 30 ปีและยังคงตรึงราคาเดิมที่ 5 บาท แม้ว่าของจะแพง น้ำมันจะปรับขึ้นราคา แต่แม่ค้าคนนี้ก็ไม่เคยแม้แต่จะคิดปรับขึ้นราคา
"นึกถึงตัวเองเวลาไม่มี ท้องหิวมันทรมานมากนะ คนเงินเดือนน้อย ๆ ก็อยากให้เขากินอิ่ม บางคนมีเงินมา 10 บาท มาซื้อกับป้า ป้าก็ให้เขาเยอะ ๆ เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนมาไกล ๆ ไม่มีเงินมา ป้าก็ให้ไปบ้าง หรือไม่ก็คิดเขาแค่ครึ่งเดียว 20 บาท เอา 10 บาทพอ"
ณ วันนี้ป้าหาบสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนพอมีพอใช้อย่างพอเพียง จึงต้องการแบ่งปันความอิ่มท้องให้กับผู้อื่นบ้าง ป้าหาบบอกว่า ชีวิตสุขสบายดี ไม่เป็นหนี้ ไม่ลำบาก ก็ไม่เป็นจำเป็นที่จะต้องเอากำรี้กำไรอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน สู้ "ให้ผู้อื่น" จะดีกว่า เพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ ของป้าหาบที่เจือจานน้ำใจอันยิ่งใหญ่สู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กลับทำให้มุมหนึ่งของสังคมไทยในยุคยากเข็ญ ดูแล้วมีความสุขขึ้นมาทันที
ยังมีคนไทยอีกมากที่ทำความดี เราถึงอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ เห็นแล้วก็ละอายอยู่เพราะเราล้วนเป็นผู้มีอันจะกิน ไม่เดือดร้อน เราได้ทำอะไรบ้าง จึงคิดว่า...อย่างน้อยตัวเรามีอะไรที่จะช่วยได้ก็จงทำให้เต็มที่ นอกจากอาชีพประจำที่เป็นสัมมาอาชีพแล้ว เครื่องมือสื่อสารที่มีในมือ ความคิด คำพูด การกระทำที่จะส่งออกเพื่อให้เกิดสำนึกดีในบ้านเมืองในแวดวงก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ มันอยู่ที่เราคิดว่าเราเป็นอิสระพอที่จะทำหรือไม่ มันอยู่ที่เราติดหัวโขนอะไรหรือเปล่าที่ทำให้เราต้องหมกตัว กลัวเสียประโยชน์ ไม่กล้าที่จะเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้อง ขอให้คิดใหม่ คิดเสียว่าจะทำความดี คิดเสียว่าทำความดีแล้วนั้นทำให้เราเป็นสุข เป็นการได้ช่วยเหลือผู้อื่นแม้ผลที่ได้รับกลับมานั้นอาจไม่ดีเท่าที่ควร อาจเป็นคำติฉินนินทา แต่หากเรามีจิตใจแน่วแน่ของการตั้งอยู่ในการทำความดี ก็จะยึดมั่นในการทำความดีแม้จะไม่มีคนเห็นก็ตาม
เราต้องไม่พ่ายแพ้ต่อความเห็นแก่ตัว เห็นแก่หน้า ถ้าจะคิดว่า “เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา” คิดแบบนี้กับทุกเรื่องไม่ได้ อย่างน้อยก็คิดกับบ้านกับเมืองไม่ใด้ ถ้าคิดว่ามันต้องเป็นไปตามกรรม ทุกอย่างอยู่ที่เวรกรรม ก็ละเสียให้สิ้นทุกสิ่งไป บวชใจไป ไม่ว่ากัน แต่ถ้าหลายสิ่งยังไม่ละ ยังอยู่ในความเป็นปุถุชนคนมีกิเลส อันนี้เป็นการเลือกปฎิบัติแล้ว ถ้าเลือกก็ควรพ่วงเรื่องการรักษาความดีความงามของประเทศชาติเข้าไปด้วย เราเหยียบแผ่นดินไทยอยู่ ไม่ควรละเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
เรื่องจริงแบบนี้ที่ทำให้ชาติของเรายังอยู่ได้
ตอบลบเชื่อคำสอนหลวงพ่อปัญญาฯ
ตอบลบทำดี..ดี ไม่หวังว่าจะ..ได้ดี
เมื่อ เป็นคนดี ก็จะ เป็นสุข ก็พอแล้ว