ช่วงสิ้นปีถึงเวลานี้..น้ำตาไหลมาแล้วสามครั้ง..ไหลแบบ..ไม่รู้จะไหลมาทำไม..
ครั้งแรกที่..เขาคิชฌกูฎ อันนั้นไหลมาพร้อมขี้มูกแบบพร่างพรู อึกอัก
ครั้งที่สองที่..วัดเชตวัน..ไหลแบบเรื่อยๆ
และครั้งที่สาม..ที่บ้านท่านวรบรูณ์..ไหลชั่วขณะ หยดแหมะๆ
จะเรียกว่า ธรรมปิติ..ก็ไม่นะ เพราะไม่รู้ธรรมอะไรเลย ไม่ได้ปฎิบัติอย่างจริงจังด้วย รู้แต่ว่ามันเหลือใจอีหลี เหลือใจคักคัก เลยไปค้นมาเพราะอยากรู้..(ไม่รู้จะรู้ไปทำไมเหมือนกัน) ท่านว่า...
ลักษณะของอาการปิติมีมากประเภท เกิดแก่คนปฏิบัติเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง เพราะบุญบารมีมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน และวิธีปฏิบัติของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน สรุปได้ว่าปิติมี 5 อย่าง คือ
- ขุททกาปิติ ปิติเล็กน้อย เกิดขนลุก น้ำตาไหล บางทีผมตั้ง แต่เกิดนิดหน่อย แล้วก็ไป
- ขณิกาปิติ ปิติชั่วขณะ เกิดเสียวแปลบขึ้นตามร่างกายเหมือนสายฟ้าแลบ เกิดคันตามใบหน้าเหมือนมีมดหรือมีไรมาไต่ บางทีกระตุก แต่พักหนึ่งก็ไป
- โอกกันติกาปิติ ปิติเป็นพักๆ โคลงเคลงเหมือนจะล้ม แผ่นดินตะแคง อันนี้ท่านว่าน่ารำคาญ
- อุพเพงคาปิติ ปิติโลดโผน ใจฟู มีอุทาน มีลอยขึ้น..ฮู้ยยย
- ผรณาปิติ ปิติซาบซ่าน เอิบอิ่มไปทั่ว อันนี้ดี..มีเมตตาขึ้น
คำปิติต่างๆแบบนี้..ชวนเวียนหัว..ช่างมัน
เอาเป็นว่าลองดู..เราเคยแบบไหนมั่ง แต่ไม่ต้องรู้ก็ได้..เป็นมันไปยังงั้นแหละ
แต่รู้เลย...รู้เลยว่าเราโชคดีที่ได้เกิดมาแล้วพบกับพระพุทธศาสนา พบพระอาจารย์ที่สั่งสอนธรรมอันบริสุทธิ์ขององค์พระศาสดา มีกี่คนในโลกที่มีโอกาสแบบคนยุคนี้ ยุคเรานี่แหละ พวกเรานี่แหละ ที่หลายคนได้พบเจอพระอรหันต์ เกือบทุกคนทันได้รู้ได้ฟังคำสั่งสอน เมื่อวานท่านวรบรูณ์ให้ scenario vision ในปีพศ. 4990 มา..ฟังแล้วหนาวจับจิต...ท่านว่า ลองคิดดูในเวลานั้น คนจะไม่ละอายต่อบาป ไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญากันแล้ว ใช้สัญชาติญาณของสัตว์กันอย่างเดียว พ่อแม่ไม่สามารถสอนลูกได้ว่าธรรม คือ อะไร เพราะพ่อแม่ก็ไม่เคยรู้ คนก็คงไม่รู้จะไปฟังธรรมได้ที่ไหนเพราะพระที่แท้...น้อยลงไปทุกที อาจไม่มีเหลืออีกด้วยในตอนนั้น ถ้าเราตายไปแล้วดันไปเกิดในช่วงนั้น...ชีวิตคงนรกสิ้นดี
มันสังเวช.. คิดถึงพระพุทธศาสนา เห็นทุกข์ของจริงที่จะเกิดขึ้น เรามีช่วงอายุในกึ่งพุทธกาล ได้ไปรู้ไปเห็นสถานที่ของพระพุทธองค์ ได้มีโอกาสฟังธรรม ท่านว่าต้องมีความตั้งใจที่จะเพียรทำหน้าที่ “ข้างใน” อย่ามัวเมาเพลินกับหน้าที่ “ข้างนอก” ...
ข้างนอก = ที่ทำๆกันอยู่ทุกวันนี่แหละ ที่ขโมยเอาช่วงเวลาเกือบทั้งหมดของ 7/24 ของเรา
ข้างใน = สติ ระลึกรู้ บางทีสามวันค่อยกลับมารู้ บางทีเป็นปี บางทีถึงขั้นอ่านไม่ออกกันเลย
เกิดเป็นคนโชคดีขนาดนี้ อยู่ในช่วงเวลาที่ดีแบบนี้ มันเป็น window of opportunity ของทุกคน ที่เรียกว่าอย่างนี้เพราะ window of opportunity มันมาช่วงสั้นๆ ช่วงชีวิตตอนนี้ แต่มันเป็น window ที่พร้อมให้เราโดดเข้าใส่.. อยู่ที่ตอนนี้ โดดเข้า โดดออก.. ธรรมดาโดดออกมากกว่าโดดเข้า แต่ท่านว่าไม่เป็นไร.. ต้องศรัทธา แล้วจะโดดเข้าไปได้บ่อยๆ อย่าละความเพียรเป็นอันขาด
ปฎิบัติง่ายๆ คือ มุ่งที่ “กาย” มีอยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อหา ติดมากับตัวให้ระลึกได้ทุกขณะ
กาย = ศีล
ทำศีลก่อน.. ไม่ต้องถึงกับแยกขันธ์ 5 ได้ตอนนี้.. ให้แค่ “รู้” แล้วจบ
กำลังทำอะไรอยู่.. แค่นี้เหลือๆ
เดี๋ยวสมาธิมา...ปัญญาตาม
เป็นอันจบ..ไม่เสียชาติเกิด ถึงแม้จะต้องเกิดอีกหลายชาติ..ก็ทำไป
น้ำตาไหลเพราะสังเวช สลด สำนึก มันไม่ได้สลด แล้วหงอยหรือหดหู่นะ...มันมีฮึกเหิมอีกด้วยเพราะว่าต้องสู้กับความล้าใจ เหนื่อย เสียงที่ไม่พึงใจเวลาอยู่กับคน สู้กับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ
นึกถึงธรรม สิ่งที่ดีงาม ไม่ควรประมาทและเพียรต่อไป
ไม่ง่าย.. ให้พยายามยึด “กาย = ศีล” เข้าไว้..กำลังทำอะไรอยู่...
ดูความรู้สึก ดูอารมณ์ ดูจิตมีหลงได้..
หลงโง่ มาได้ตั้งหลายชาติ..และยังโง่อยู่...จึงต้องเวียนว่ายไป
ลอกมาว่า....“ หาได้ยากนัก ข้าแต่พระผู้มีภาค ในการที่พระสัมพุทธเจ้าตรัสพระสูตรอันสุขุมล้ำลึกเป็นปานฉะนี้ ในอดีตกาลนับแต่ข้าพระองค์ได้บรรลุปัญญาจักษุเป็นต้นมา มิได้เคยสดับพระสูตรดั่งนี้เลย ข้าแต่พระสุคต ถ้ามีบุคคลผู้ได้สดับพระสูตรดังกล่าวนี้ มีศรัทธาอันบริสุทธิ์ แล้วบังเกิดลักษณะอันแท้จริง (กล่าวคือ ปัญญารู้แจ้งในสภาพตามเป็นจริง) ก็พึงสำเหนียกได้ว่าบุคคลนั้นได้บรรลุสำเร็จซึ่งคุณานิสงส์อันเยี่ยมยอดหาได้โดยยาก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ลักษณะอันแท้จริงนั้น โดยความจริงไม่มีลักษณะ ฉะนั้นพระตถาคตเจ้าจึงตรัสว่า นั่นเป็นลักษณะที่แท้จริง ข้าแต่พระผู้มีภาค ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรนี้ ณ บัดนี้ มีความศรัทธาและซาบซึ้งในธรรมอรรถรับปฏิบัติตาม ย่อมไม่เป็นข้อยากเย็นอะไรเลย ก็แต่ว่าในอนาคตกาลจากนี้ 500 ปี หากมีสรรพสัตว์ใดได้สดับพระสูตรนี้ แล้วแลบังเกิดความศรัทธาซาบซึ้งในธรรมอรรถรับปฏิบัติตาม บุคคลนั้นนับว่าเป็นบุคคลอย่างเยี่ยมยอดชนิดหาได้โดยยากทีเดียวพระเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุใด เพราะว่าบุคคลนั้นจักเป็นผู้ปราศจากความยึดถือผูกพันในอาตมะลักษณะ ไม่ยึดถือผูกพันในปุคคละลักษณะ ไม่ยึดถือผูกพันในสัตวะลักษณะ ไม่ยึดถือผูกพันในชีวะลักษณะ ข้อนั้นเพราะเหตุไฉน เพราะว่าอาตมะลักษณะนั้นไม่มีสภาวะลักษณะเลย ด้วยเหตุดังฤา เมื่อละความยึดถือในสรรพลักษณะทั้งปวง ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้งตรัสรู้เช่นพระสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น