ไปสังเวมา..ขอเตือนตัวเองเรื่อง โลภะ โทสะ โมหะ ให้มันรู้ตัวเองสักหน่อย..การเดินทางครั้งนี้มันสุดจะทดสอบตัวเองเห็นๆ รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ขอใคร่ครวญเพราะหงุดหงิดตั้งแต่วันแรกที่พุทธคยา เห็นคนภาวนามากๆสติจะแตกเลยเชียว..เดินกลับวัดตัวเองในใจไปเป็นนานกว่าจะเงียบจิตอกุศลได้..
เรื่องโลภะ..ส่วนใหญ่เราจะรู้ว่ามีโลภะก็ต่อเมื่อมันเป็นโลภะที่แรง ไอ้เราเลยนึกว่าไม่มี ที่ไหนได้โลภะที่ไม่รุนแรงก็มีมาให้ทดสอบอยู่เนื่องๆ เช่น อยากได้ที่นอนดีๆในโรงแรมดีๆ อยากจะกินแต่ของอร่อยมากๆ.. สังเวนะ ไม่ใช่โฟร์ซีซั่น ไม่ใช่กาดวโรรส หรืออยากสูบยามากๆในที่ๆเขาไม่ให้สูบ ก็หงุดหงิด นั่งไปก็หวังใบโพธิ์หล่น..น่าน..เป็นซะงั้น มันเป็นความผูกพันยึดมั่นชัดเจนกับตัวเราเลย มันมีีหลายระดับขั้นแต่เราไม่รู้ว่าเรามีโลภะที่เป็นความผูกพันยึดมั่น ทำให้เกิดความทุกข์ คับข้อง หมองอารมณ์ ถ้าเข้าใจความจริงก็คงปรารถนาน้อยลงได้ แต่โลภะจะหมดไปในทันทีทันใดคงไม่ได้ มันยากนัก ระงับได้เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันมาใหม่ เมื่อมีเหตุปัจจัยต่างๆมาช่วยกันรุม แม้จะรู้ว่าโลภะทำให้เกิดทุกข์โทมนัสขัดใจ มันก็เกิดครั้งแล้วครั้งเล่า... มันคงอิสระกับตัวเองถ้าคิดได้ว่าความจริงทั้งตัวเราเองและคนอื่นเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เวลาใครพูดคำที่ไม่น่าฟัง เสียดสี ชวนเวียน มันก็เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เขาพูดอย่างนั้น และก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เราได้ยินคำเหล่านั้น การกระทำของคนอื่นและปฏิกิริยาของเราต่อการกระทำนั้นๆ ล้วนเป็นสภาพที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยและไม่เที่ยง ขณะที่กำลังคิด...สภาพเหล่านี้มันดับไปแล้ว คิดไปทำไมมี.. การเจริญปัญญาตัวเองก็คงเป็นทางที่จะทำให้ละ ทำให้คลายการยึดมั่นในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต การกระทำของคนอื่นต่อเราก็สำคัญน้อยลง ไม่ถือตน ถือเขา ไม่มีใครดีกว่า เสมอกัน หรือ ด้อยกว่า เก็บอาการถือตนก็ละมานะไปได้อีกแบบ.. ง่ายๆคือ ไม่มี “กู” (และ..ไม่มี “มึง” ด้วย)
เจ้าโลภะนี่แสบสุด..เมื่อมีขึ้น..โทสะตามมาอย่างด่วน..เป็นอกุศลจริงจริง เพราะเราไม่ตระหนักว่ามันเกิดแล้วมันก็ดับไป คนและสิ่งต่างๆที่เราไม่พอใจ ไม่สบายใจกับเมือง สถานที่ คน พาหนะในครั้งนี้ เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปทันที มันชั่วขณะ มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มันไม่มีประโยชน์อันใดที่ไปยึด เออ..ทำไมคิดตอนนั้นไม่ได้เลย ปล่อยให้มันเผาอยู่ได้ อารมณ์เซ็งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง คงต้องรีบสังเกตุว่ามันบ่อยไหม.. จริงๆก็ไม่บ่อยนะ มีบ้าง เพราะคงมุ่งคิดถึงแต่ตัวเองเมื่ออยู่กับคนอื่นมากๆ เห็นความตระหนี่ เห็นแก่ตัว ได้ฟังอะไรที่ไม่อยากฟัง พระพูดยังไม่อยากจะฟัง เดินมากก็เมื่อย กินข้าวช้าก็เซ็ง เวลาไม่เป็นไปตามคาดก็เบื่อ คนบริการไม่ดีก็หงุดหงิด เด็กๆคนขายของมารุมก็หน่าย อันนี้ก็มีโทสะอยู่ มันยังติดข้องในอารมณ์ มันเป็นเพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจธรรมของตัวเอง จึงสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออารมณ์ที่ไม่น่ายินดีพอใจ ก็มักจะครุ่นคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีนั้นอยู่อีก ถ้าสติระลึกรู้สภาพมันควรจะคลายการคิดถึงอกุศลวิบากด้วยโทสะลงได้ เวรกรรม เวรกรรม...
เอาเมตตาแทนโทสะมั่งดีไหม น่าจะดีเลย เช่น เมื่อคนอื่นทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราไม่พอใจไม่ว่าเรื่องอะไร เราก็ไม่สบายใจและครุ่นคิดแต่เรื่องไม่สบายใจนั้น เมื่อโทสะยังไม่ดับ ก็ยังมีปัจจัยที่โทสะจะเกิดได้อีกเรื่อยๆ มันมาทดสอบเป็นระลอก แต่ต้องรีบรู้ ขณะที่สติระลึกรู้ ปัญญามันจึงเจริญขึ้นมาบ้าง แม้ว่ายังดับโทสะไม่ได้ แต่เมื่อโทสะเกิด ก็รู้ลักษณะของโทสะว่าเป็นนามธรรม มันไม่มีตัวตนจริง มันเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่เมื่อสติไม่เกิด ก็ดูราวกับว่าเกิดโทสะอยู่นานและยึดมั่นโทสะว่าเป็นตัวตน เลยอด..เลยไม่ได้สังเกตรู้นามธรรมและรูปธรรมอื่นๆที่ปรากฏ การเจริญสติจึงแผ่วไป.. เอ้า..เมตตา เมตตามหานิยมไป และใส่ใจในปัจจุบันขณะมากขึ้น แทนที่เรื่องในอดีตหรืออนาคต วิเวกไปบ้าง เงียบๆไปไม่ต้องพูดมาก พูดไปโทสะมาอีก พูดกับคนอื่นยิ่งสะสมโทสะมากขึ้นชักไม่ไหว เอาเป็นว่าคนที่ไม่ดีต่อเรานั้นสมควรได้รับความเมตตา เพราะเขาเองก็เป็นทุกข์มากเช่นกัน
ถ้ายังไม่หยุด..โมหะมันจะมาพร้อมกันด้วย กลายเป็นเพลิดเพลินไปในอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นอกุศลไปอีก เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมทางกาย วาจา ใจ ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ อีทีนี้ต่อให้ภาวนา สวดมนต์ ทำบุญในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใดใดในโลกยังไงก็ไม่ขึ้นแล้ว ไม่ดีแล้ว กลายเป็นมิจฉาทิฐิฝังลึก เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์เพราะติดข้องในนามและรูปไม่สิ้นสุด ทุกข์จึงไม่สิ้นสุด มงคลชีวิตไม่เกิด ทำบุญไปก็ไลฟ์บอย ทำบ่อยๆก็ออยแชมพูเท่านั้น
ถ้าโลภะ คือ ความชอบใจ ติดใจ อยากได้ อยากกิน อยากมี ก็ซวยแล้วงานนี้ มีมาโดยตลอดการเดินทางเลยเชียว ตัวเรามาดูสถานที่ ดูคน ดูเมือง มันแสนจะมีให้บทเรียนที่เราต้องสำเหนียก เพราะถ้าเกิดชอบใจอยากได้สิ่งใดก็ตาม เมื่อไม่ได้ดังใจชอบก็เสียใจ น้อยใจ คือโทสะขึ้นชัดได้อีก มีโมหะเป็นตัวสนับสนุนหนักเข้าไป คนอินเดียดูไปทุกข์ แต่ดูอีกทีเขาก็สุขตามแบบเขา เราเองโชคดีเหลือเกินแล้วที่เป็นแบบนี้ โลภะให้น้อยน่าจะดี แต่สำคัญว่า...ตอนนี้รู้อย่างเดียว คือ มันไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีอะไรสำคัญจริงๆแม้แต่ลมหายใจ คนมันแค่เกิด แก่ เจ็บ ตายกันทุกคน ไม่มีรอดจากนี้ ดังนั้นตัวเราเองต้องน้อยๆหน่อย อย่าเยอะ อย่ามากกับตัว “กู” มันเหนื่อยจริงเลยโว้ยค่ะ อนุโมทามิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น