ธนินท์ เจียรวนนท์: ผมบอกพนักงานอยู่เสมอ คือ ในโลกนี้ ไม่มีคนไหนเก่งไปตลอดกาล วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้ อาจมีคนเก่งกว่าคุณ เพราะฉะนั้น คนใดก็ตามที่ภูมิใจว่า ตนเองเก่ง จงจำเอาไว้ได้เลยว่า ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้ว ความโง่คืบคลานมาใกล้ตัวคุณแล้ว
ยุคสมัยนี้ เป็นยุคที่เราพากันยกย่องคนเก่งมากกว่าคนดี จึงมีคนจำนวนไม่ใช่น้อย..เราก็ด้วยที่ไม่ยอมน้อมรับถึงสัมพันธภาพที่สร้างสรรค์ระหว่างตัวเองและคนอื่น จึงเลยเถิดจนไปคิดว่าตัวเองเจ๋ง รู้และเก่งด้วยตัวเอง นับวันยิ่งอันตรายสำหรับค่านิยมที่เก่งเกินใครเพียงผู้เดียว เราเองบางทีก็ทำตัวให้เก่งและมักเคืองขุ่นใจเมื่อมีคนอื่นเสนอแนวทางที่แตกต่าง ซ้ำร้ายหลงในความอัจฉริยะของตัวเองโดยไม่ฟังความรอบด้าน หูดับขึ้นมาซะงั้น พยายามครอบครองโอกาสเพื่อแสดงความสามารถ ไม่มีการแบ่งปันความดีงามให้ผู้อื่นได้กระทำ ไม่เว้นระยะให้ผู้อื่นเป็นทางเลือก เหล่านี้ที่เราทำอยู่ คือ ภัยแห่งยุค ภัยมืดที่มาพร้อมกับความเห็นแก่ตัวด้วยการแอบเร้นมาในรูปของความเก่งกาจ ผลักดันให้คนอื่นตกขอบ บางทีตั้งใจ บางทีไม่ตั้งใจ ซึ่งเราก็ลืมไปเหมือนกันว่าไม่มีใครในโลกที่สามารถเก่งได้ด้วยตัวเอง ความเก่ง ความสำเร็จของเราย่อมมาจากคนอื่นรอบข้างทั้งนั้น ง่ายๆเลย ถ้ามันไม่โง่ ความฉลาดของเราจะฉายรึเปล่า บางครั้งหนักกว่านั้น คือ การฉกฉวยความคิดของคนอื่นไปเป็นของตัว เพียงเพราะว่า อยากเก่ง อันนี้ เก่งไม่จริง.. อันไหนที่ไม่ใช่มาจากเรา ก็ต้องให้รู้ว่ามันเป็นของคนอื่น ให้เกียรติ ให้เครดิตชาวบ้านบ้าง มันไม่ได้ทำให้ใครตกต่ำลงกับการให้ความดีความชอบคนอื่นแน่ๆ
เข็มที่มีประโยชน์ใช้ได้จริงสำหรับ เย็บ ปะ สอย ไม่มีปลายแหลมสองด้าน มันแหลมด้านเดียว ทุกคนมีจุดเด่นและจุดด้อย คนเราจึงไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง ทุกด้าน ถ้ายังคิดว่าคนอื่นโง่ตัวเองฉลาด เก่งอยู่คนเดียวมันก็หนีไม่พ้นความคิดวังวนเดิมๆ แน่นอน..เราอาจจะเป็นคนเก่งที่สุดในองค์กร แต่ไม่ใช่ทุกที่แน่ๆ เราไปอยู่อีกที่ เราอาจจะเป็นได้แค่ท้ายแถว และที่ชัดๆตัวเองก็เป็นเด็กอนุบาลในเรื่องธรรมะ หรือ อาจกลายเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ได้เพราะโลกนี้มันกว้างใหญ่เกินที่ใครจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไอ้คนที่เราเห็นว่าสุดยอด สุดยอดนี่แหละ แพ้ภัยตัวเองมานักต่อนักด้วยความด้อยปรีชาญาณ ด้วยมิจฉาทิฐิ แต่ละคนล้วนมีความเก่งเฉพาะด้าน เราเชื่อว่าคนเก่งควรใช้ความเก่งนั้นเพื่อสร้างความสุขให้คนอื่น สร้างสันติ ให้ความงดงามแก่โลก แต่ถ้าไม่ไหวก็..ลาไปบวชดีกว่า สำคัญ คือ เราจะใช้อัจฉริยะภาพเพื่อลดละความห่างเหินในการเรียนรู้ ในการอยู่ร่วมกันได้ยังไง และที่สำคัญกว่านั้น การเว้นช่องให้คนอื่น คือ การให่้เกียรติอย่างยิ่ง เก่งจริงต้องให้โอกาสคนอื่น อย่าเก่งแบบ “ข้ามาคนเดียว” มันจะกลายเป็นถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง ในหน่วยงานหรือองค์กรไหนที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องทั้งหมดและสามารถตัดสินใจได้ คนๆนั้นถือว่าอันตรายมาก ต้องให้ออก มีเรื่องเล่าว่าระหว่างการประชุมของพนักงานขาย ผู้จัดการว่าพนักงานอย่างรุนแรงที่ทำยอดขายตก เขาบอกว่า “ผมเอือมกับผลงานที่ไม่ได้เรื่องและข้อแก้ตัวต่างๆนานาเต็มทีแล้ว ถ้าพวกคุณทำไม่ได้ ก็ยังมีคนจากข้างนอกพร้อมที่จะกระโดดเข้ามารับหน้าที่แทน” แล้วเขาก็ชี้ไปที่อดีตนักฟุตบอลอาชีพคนหนึ่งซึ่งเกษียณอายุมาเป็นพนักงานขายใหม่ๆพร้อมกับพูดว่า “ถ้าทีมฟุตบอลเล่นไม่ชนะครั้งเดียว อะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะหานักฟุตบอลคนใหม่มาลงแทนใช่ไหม?” คำถามนั้นสร้างความอึดอัดอยู่ชั่วครู่ แล้วนักฟุตบอลจึงตอบว่า “ท่านครับ อันที่จริงถ้าทั้งทีมกำลังมีปัญหา ปกติแล้วเราจะหาโค้ชคนใหม่ครับ” (ฮ่า ฮ่า ขออนุญาตขำ)
ไม่มีใครที่ไม่อยากทำงานให้ดี คนงาน ลูกจ้าง พนักงาน ต้องการก้าวหน้าทั้งนั้น แต่ว่าจะทำงานได้ดีแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับนาย ขึ้นกับผู้บริหารนั่นแหละ ว่าเก่งพอหรือเปล่า มีเทคนิคหรือวิธีการเจ๋งๆหรือเปล่าที่จะยกทั้งแผงให้เก่งกันทั้งหมด ถ้าคิดว่าเป็นผู้นำแล้วทำให้คนอื่นตามไม่ได้ ก็เป็นได้แค่คนที่มาเดินเล่น โชว์ความเก่งในองค์กรชั่วคราวเท่านั้น...ซึ่งตอนนี้..กำลังรู้สึกว่าเดินเล่นอยู่..ดังนั้น ไปดีกว่า..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น