วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ของดีท่านวรบรูณ์



ใช้ ขันธ์ 5 ให้คุ้มค่าแก่การเกิดมาเป็นคน
ขันธ์ 5 ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
  1. รูปขันธ์ คือ ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่าง ๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย 
  2. เวทนาขันธ์ คือ รสอารมณ์ ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
  3. สัญญาขันธ์ คือ หมายที่ให้จำอารมณ์ เช่น รูปสวย กลิ่นหอม รสหวาน ร้อน หนาว เป็นต้น
  4. สังขารขันธ์ คือ ปรุงแต่ง เป็นสภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลาง ๆ มีเจตนาเป็นตัวนำ
  5. วิญญาณขันธ์ คือ ความรู้แจ้งอารมณ์ ความรู้อารมณ์ผ่านทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ 
ก็ว่ากันไป..ไม่ต้องรู้มาก จำมากก็ได้ แต่ที่สำคัญ คือ พวกเราทุกคนเกิดมาด้วยบุญวาสนา จึงได้มาเป็นมนุษย์ มาเป็นคน เป็นเวไนยชนอันถือว่ายากยิ่งที่จะได้เกิดมาแบบนี้ บางคนยังไม่ครบรูปเลย ดังนั้นตายไปอย่าเสียชาติเกิด ท่านว่า ตายไปยังไม่สมควรตายเลยเพราะลืมตัว มัวประมาท ไม่ได้อยู่กับ “ธรรมะ” คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราไม่มีปัญญารู้ มองไม่ออก มันไม่ได้อยู่ที่ไหน หรือ ต้องเข้าใจพุทธประวัติ บาลีคำยาก ฝึกปฎิบัติ จงกรม หลับตาสมาธิอะไรแบบนั้น  มันอยู่ที่ตัวของเราเอง ไม่ใชที่่อื่น พุทธะ คือ ผู้รู้ ก็ตัวของเรานี้เองไม่ใช่ใครอื่นไกล ให้รู้ตัวเอง ดูตัวเอง อยู่กับมันมาทั้งชีวิต มันสอนเรามาตลอด แต่เราหลงไปไหนไม่รู้  ให้ใช้มันเรียนรู้ ให้รู้แบบไม่ต้องวิเคราะห์หาเหตุผลอะไรใดใดทั้งสิ้น รู้แล้วจบ จะรู้ต้องหมั่นภาวนา ภาวนาก็ไม่ใช่สวดมนต์ พึมพำไป การภาวนา คือ การรับรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่เท่านั้น ไม่ส่งจิตออกนอก เอาแค่รู้ว่ากำลังทำอะไร แค่นี้ก็ภาวนาแล้ว 
ในชีวิตคนปกติการภาวนามันคงยากอยู่ สิ่งเร้ากายเร้าใจมันเยอะ หมายไปเยอะ ปรุงแต่งไปเองก็เยอะแต่ท่านว่าให้ฝึกไป ฝึกให้มันนิ่งก่อนเท่านั้น  คนเป็นพระกันทุกคนโดยไม่ต้องห่ม หรือ อยู่วัด ตัวเราเป็นวัด ให้อยู่ในวัด บวชได้เลยที่นี่ ในวัดร่างกายนี้  สำคัญ คือ อย่าลาไปเที่ยวบ่อย ไปต้องรีบกลับมา ตอนนี้กำลังนั่งหน้าจอ ก็ไปเที่ยวอีกแล้ว ลืมไปว่าทำอะไรอยู่ ให้กลับมาดูเท่านั้นว่า กำลังทำอะไร กลับมาทำภาวนาใหม่ มันคงต้องกลับไปกลับมาหลายรอบอยู่นะ มันฟุ้งไปเรื่อย ดูทีวีก็ไหล อ่านหนังสือก็ไหล กินข้าวอร่อยก็ไหล ไม่เป็นไร ไม่ต้องเดือดร้อนไป กลับวัดเราได้เสมอ ขอให้รู้ว่าทำอะไรเป็นพอ ไม่ต้องมาก ไม่ต้องหวัง ไปเรื่อยๆตามธรรมชาติของเรา  มีเวลาก็ไปอยู่กับตัวเอง นิ่งๆรับรู้ขันธ์ 5 ไป 
เจ้าประคุณท่านพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเกิดมาเพื่อใช้ขันธ์ 5 ให้เป็นประโยชน์แก่โลก อยู่ก็เป็นประโยชน์ ตายไปก็เป็นประโยชน์ จะอยู่จะตายไม่ต่างกัน  ต่างจากเราที่อยู่ก็งง หลง เมา ตายไปคนก็ลืม แล้วยังผูกปิ่นโตเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น ท่านให้ลองคิดดูว่า เรามีตัวตนจริงหรือ ไอ้ที่เรียกว่า ผม แขน ขา มันบอกเราหรือว่ามันชื่อนั้น มันไม่ได้บอก เราไปหมายกันเอาเอง  ที่เป็นก้อนๆกระดูกๆนั้นมันมาจากธาตุของโลกนี้ เขาให้ยืมมา แต่กลับยึดเป็นของตัว เมื่อไหร่ยึดเป็นของตัว ทุกข์มาทันที ทุกข์ คือ เกิด แก่ เจ็บและตาย  คนโง่เท่านั้นที่อยากเป็นแบบนี้ แต่เราโง่แล้วยังไม่รู้อีกว่าโง่  เอาเป็นว่าค่อยๆปล่อยไป ปล่อยสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา แต่เราว่ามันเป็นของเรานั้น ปล่อยไปเท่าที่บุญกรรมทำมา ไม่ต้องสุขมากทุกข์มาก เพราะเรากำหนดให้เป็นอย่างนั้น เลิกหมาย เลิกปรุง อยู่ๆกับมันไป พิจารณาร่างกายให้แตก มีคนว่ามันเหมือนไข่  ไข่อยู่ข้างในของเปลือกของไข่ ทำให้เปลือกไข่แตก เราก็ได้ไข่ พิจารณาร่างกายของเราให้แตก แล้วเราก็จะได้ธรรมะ เราเป็นพุทธะได้ แต่มัวโง่ หลงว่าเป็นไปไม่ได้ ร่างกายก็ไม่ได้พิจารณาว่าเป็นของเน่า เป็นของเหม็น แต่เห็นว่าเป็นเรา ต้องดี ต้องสวย ท่านว่า มันโง่ ดังนั้น ใคร ต้องการอะไร ก็ให้เร่งรีบสร้างเอา คุณงามความดีทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราแล้ว หลวงปู่ตื้อก็บอกว่า ขันธ์ 5 นี้เมื่อมันยังไม่แตกดับ ก็อาศัยมันประกอบความดีได้ แต่ถ้ามันแตกดับแล้วก็อาศัยมันไม่ได้เลย 
ฟังท่านแล้วซึมไป นี่..เกิดอารมณ์ซึมอีก ออกนอกวัดอีกแล้ว เอ้า กลับมาใหม่ ดูไปดูมาเหมือนชาตินี้จะเอาดีไม่ได้ นี่ก็ความรู้สึกปรุงเองอีก.. ไม่เป็นไร ท่านให้คาถามา ท่องไว้..กำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำอะไรอยู่  สาธุ สาธุ สาธุ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น