วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

feedback !!


บริษัทที่ใช้ระบบการบริหารผลงาน Performance Management เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการ feedback กัน feedback ผลงานพนักงาน แต่เราคงต้องมาทำความเข้าใจให้ชัดเจน ไหนๆมีระบบแล้ว อย่าให้การ feedback กลายเป็นเรื่องสยองขวัญของคนของเรา เอาง่ายๆก่อนว่า...

feedback ไม่ใช่การเรียกคนไปตำหนิ
การเรียกคนว่ากล่าวตักเตือน ไม่ใช่ feedback
อย่าอ้าง !! 

feedback เป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลงานของพนักงาน ไม่ใช่เรื่องของการดุด่าว่ากล่าวหรือการชมเชยเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นการบอกถึงสิ่งที่ดีและสิ่งที่ต้องปรับปรุงที่เกี่ยวกับ “ผลงานของพนักงาน” เพื่อทำให้รู้ เพื่อให้พัฒนาตนเองในเรื่องของการทำงานว่าต้องปรับปรุงอะไร ทำงานเป็นยังไงบ้าง 

feedback ไม่ใช่การเรียกพนักงานมาแจ้งผลงานตอนปลายปี ว่าได้ผลงานอะไรเท่าไหร่อย่างไร และจะได้รับการปรับเงินเดือนเท่าไหร่ ฯลฯ อันนั้นเรียก Performance Review ทำปีละครั้ง ซึ่งไม่ใช่ feedback ขืน feedback ปีละครั้งคงไม่มีใครรู้เรื่องด้วย ไม่เคยคุยเลย สิ้นปีคุยกันที เป็นใครก็คงงงเพราะจำไม่ได้ว่าทำอะไรไปบ้าง

จะให้ดี feedback ได้ตลอดเวลา ได้ทุกวันถ้ามีเหตุ เพราะเป็นการบอกกล่าวให้คนของเราทราบถึงผลงานที่ทำไป วันนี้ทำงานอะไรพลาด หรือมีอะไรต้องปรับปรุง ไม่ต้องรอสิ้นปีก็ได้ คนจะได้จำได้และนำเอาสิ่งนั้นไปพัฒนาและปรับปรุงผลงานของตนเองให้ดีขึ้นทันการณ์

ย้ำ....เรื่องของการให้ feedback นั้นเป็นเรื่องของการพัฒนาผลงาน 

เรามีการตั้งเป้าหมาย มีการกำหนดตัวชี้วัด เพราะเราต้องการงานให้ได้ตามเป้าหมาย ถ้าหนึ่งเดือนผ่านไป ผลงานไม่ได้ตามนั้น ในฐานะที่เป็นหัวหน้าจะปล่อยไปแบบนั้นจนสิ้นปีหรือยังไง มันต้องเรียกมาคุย เรียกมาให้ปรับปรุงตัวเอง อันนี้แหละ feedback หัวหน้างานก็เหมือนกระจกเงา...ช่วยสะท้อนให้พนักงานรู้ว่าผลงานเป็นยังไง 

จงเป็นกระจกที่สะท้อนความจริง !!

motivation vs. passion

.....และ passion น่ะ...มีไหม

การจูงใจ motivation เป็นสิ่งที่ทำให้เราทำงานต่างๆให้ได้ดี ส่วนใหญ่เพราะเงิน ไม่ใช่ทำด้วยใจหรือรักในงาน นานๆไปจะเป็นคนทำอะไรเพื่อเงินได้ แม้แต่การโกง

แต่ passion มันมากกว่านั้นมหาศาล มันเป็นสิ่งที่จะฉุดเราขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง มันไม่ใช่ความอยากธรรมดา มันเป็นความหลงไหลได้ปลื้มอย่างแรงกล้าที่ช่วยผลักให้คนทำงานสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างต่อเนื่อง ไม่มีท้อ กล้าเจอกับปัญหา กล้าฝ่าฟันอุปสรรค เพื่อให้ได้สิ่งที่ “อยาก” “รัก” “หลงไหล” 

แปลว่า...ถ้าไม่มี passion
....เจอตอ เจอปัญหาหนัก...เราจะข้ามผ่านไปไม่ได้เลย

ที่ทำงานอยู่นี้...เราอยากเจ๋ง อยากเป็นมืออาชีพ
หรือ แค่อยากเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของงาน
ลองถามตัวเองดูนะ... มันต่างกันมาก
และผลที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรก็ต่างกันมาก
อยากเจ๋ง = องค์กรติดจรวด
อยากเป็นส่วนหนึ่ง = องค์กรเต่า

สัญญาณของ passion คือ....
การชอบคุย เล่า เรื่องงานได้อย่างไม่มีวันหมด ยิ่งคุยยิ่งมัน
การทั้งจดทั้งจำทั้งหาความรู้อ่านเพิ่มเติมอย่างไม่มีเบื่อ

ว่าแต่วันๆที่ผ่านไป...อยากเล่าเรื่องงานของเราให้คนอื่นฟังแค่ไหน?

การค้นพบตัวเอง คือ "ชอบ" แล้วต้อง "ใช่"

การค้นพบตัวเอง คือ "ชอบ" แล้วต้อง "ใช่"

คนจะแฮบปี้ได้...ความ "ชอบ" กับความ "ใช่" ต้องไปด้วยกัน
งานที่ชอบ...ได้ผลลัพธ์ที่ใช่ = สบายใจทุกที
งานที่สบายใจ และ ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ...แค่เริ่มทำงานก็แฮบปี้

แต่ถ้าความ "ชอบ" กับ ความ "ใช่" ยังไม่ไปด้วยกัน
อันนั้นแปลว่า...ยังไม่ค้นพบตัวเอง
เพราะการค้นพบตัวเองจะมาจาก "ชอบ" และ "ใช่"
มันคู่กันเสมอ !!

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 74














ไม่คิดไกล ไม่ต้องวิสัยทัศน์กว้าง...

ชีวิตมี 3 เรื่อง: ความขัดใจ ความขำและความเปลี่ยนไป
ความขัดใจ : ไม่ต้องเสียเวลาหมกมุ่น อะไรมันก็ไม่ถูกใจทั้งนั้น ถ้าไม่ดังใจ
ความขำ: ขำตัวเองไป มันเป็นสิ่งที่พลังอะไรก็สู้ไม่ได้
ความเปลี่ยนไป: ไม่มีอะไรที่ "ตั้งอยู่" ตลอดไป

เอาแค่นี้...ถ้าไม่ได้..ไปหา "วัด" อยู่กัน

การเข้าพวก vs. ความถูกต้อง


คนเป็นสัตว์สังคม...เราอยู่กันเป็นฝูงมานาน ดังนั้นเรื่อง “herd instinct” หรือ "สัญชาติญาณฝูง” เป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตลอด มันเป็นเหมือนสัญญาณ "การยอมรับ" หรือ "การให้เข้าพวก" ที่ทำให้คนโล่งสบายในการตัดสินใจอะไรอะไรในชีวิตเหมือนชาวบ้าน

หลายครั้งที่สัญชาติญาณฝูงออกฤทธิ์...ทำให้เราไม่กล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง ไม่กล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง อันนี้ถือว่าอันตรายนะ เพราะเราจะคิดไปเอง รู้สึกไปเองทันที...ว่าตัวเองกำลังกระทำสิ่งที่ถูกต้องเมื่อกระทำสิ่งเดียวกันกับคนอื่น ๆ ไม่มีการฉุกคิด ทั้งๆที่มันผิดหรือไม่เข้าท่า

คิดว่าเราคงเคยลงมติ ลงความเห็นที่บางทีตัวเองก็คัดค้านในใจ แต่ไม่กล้าหือเพราะคนส่วนใหญ่เขาว่ากันแบบนั้น ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย อาจไม่เป็นไร เพราะมันกัดกร่อนเล็กน้อยเช่นกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ คอขาดบาดตาย สร้างความเสียหายได้มากมาย อันนั้น อย่าให้ ฝูงมาจูงเราได้ 

สติจะเป็นตัวเดียวที่ทำให้คนไม่หลงตามฝูง !!

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 73


ก่อนอื่น...ขอบคุณเจ้าของรูป...สวยมากรูปนี้ ชอบเลย ^_^
เกิดเป็นไทย...อะไรก็ "ห้ามแตะ" 
ยังจำได้ว่าโดนขู่ตั้งแต่เด็กว่าอย่าทำหลอดทดลองแตก ไม่อย่างงั้นจะเจอสอบตกแบบไม่สอบสวน มันทำให้เราประสาทกินไม่อยากทดลอง ไม่อยากจับอุปกรณ์ในห้องวิทยาศาสตร์ หรือการที่ครูสอนเลขโหดๆดุๆ ไม่ยืดหยุ่นเรื่องการเรียนรู้ มันไม่ใช่แค่ทำให้เรียนอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือเลขอ่อนแอไปชั่วชีวิต แต่มันเลยเถิดไปถึงขาดความกล้าไปในหลายๆเรื่องแม้กระทั่งเรื่องความคิด !!
"ห้ามแตะ"
"อันนี้...ไม่ได้"
"อันนี้...ไม่ถูก" นี่มันน่ากลัวจริงๆนะ !!
เรื่องโขนนี่ก็เหมือนกัน...ทำไมต้องอะไรได้ อะไรไม่ได้
มันเป็นเรื่องวัฒนธรรม...ความงาม เป็นวิถีที่คนเลือกได้
วัฒน = ความงอกงามที่น่าจะเป็นไปตามกาล ไม่ใช่ข้อห้าม....
ถ้ามาบอกว่าอะไรงาม อะไรไม่งาม ยังรับได้
มันเกี่ยวกับรสนิยม ความชอบ ความเชื่อ
เถียงกันได้ แล้วก็ต่างคนต่างชอบ ต่างเชื่อกันไปตามทางของตัว.....
แต่ "ได้" หรือ "ไม่ได้" นี่ปวดใจ
เอาอะไรมาบอกว่าได้หรือไม่ได้
ใครมีสิทธิ์จะบอกคนไทยคนอื่นทั่วประเทศ
ให้คนทั่วประเทศต้องปฎิบัติตาม....มันใช่มั๊ยเนี่ย 
หลายๆเรื่องที่เราถูก "บดบัง" ด้วยความเห็นของผู้รู้ คนเก่ง
โดยที่ไม่ทันจะฉุกคิด แยกแยะเลยว่า...มันเป็นข้อห้ามได้ด้วยหรือ
แต่เราก็นะ...เกิดเป็นไทย ไม่แตะก็ไม่แตะ !!

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

อยากได้อะไรที่ไม่เหมือนเดิมก็ต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่

Einstein ว่าไว้...มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ถ้าเรายังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนบ้า ทำแบบเดิม loop เดิม และแล้ววงจรอุบาทว์ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ผลลัพธ์มันก็ต้องเหมือนเดิม คิดแบบเดิมทำแบบเดิมผลก็เหมือนเดิม 

แล้วทำไม ไม่คิดต่าง ลองทำอะไรที่มันแตกต่างจาก เดิมๆ บ้างได้ไหม? 

การทำเหมือนคนส่วนใหญ่ที่คิดว่า การทำอะไรเหมือนเดิม จะทำให้ผลลัพธ์แตกต่าง คือ ให้ได้ผลงานที่แตกต่าง ผลงานดีขึ้น ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเยอะ มันจะเป็นไปได้ยังไง ตลกหรือเปล่า ทำงานเหมือนเดิม routine ไปวันๆ แล้วคิดจะให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไป งงนะ...

ถ้าอยากได้อะไรที่ไม่เหมือนเดิมก็ต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่
มันก็จะได้ในสิ่งที่เราไม่เคยได้ !!

ขอถามหน่อย...
...เคยทำอะไรที่ออกจาก comfort zone โซนสบายที่คุ้นชินของตัวเองไหม?
...เคยเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลังจากเรียนจบไหม?
...เคยทำอะไรแตกต่างจากที่เคยทำมั๊ย แตกต่างจากคนอื่นๆไหม? 

ถ้าไม่เคย...ผลลัพธ์ คือ เหมือนเดิมไง !!

เอาใหม่ ลองทำอะไรที่เราไม่เคยทำ หรือ ลองทำอะไรที่มันอยู่นอก comfort zone แล้วเราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มันคือ step ที่หนึ่งของคนที่ต้องการจะก้าวหน้า ต้องการสิ่งใหม่ดีดี ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

อย่า "ตัวใหญ่" ไปทุกเรื่อง

"ไม่มีใครที่จะทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ได้ 
โดยการพยายามทำให้คนอื่นเล็กลง"

การเสียดสี การใส่ร้าย การนินทา
การทำให้คนอื่นดูแย่ มันไม่ได้ทำให้เราดูดีขึ้นเลย
การทวงบุญคุณ การลำเลิก 
ไม่ได้ทำให้เราสูงส่งขึ้น หรือมีบารมีมากขึ้นเลย
การบอกว่าคนอื่นสู้เราไม่ได้
ก็ไม่ได้ทำให้เราเก่งกว่าคนอื่นอยู่ดี
จะเก่ง หรือไม่เก่ง
จะใหญ่ หรือไม่
จะดี หรือไม่
มันอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า

จริงๆ อะไรๆ ในโลกมันง่ายนะ
เพียงเรารู้จัก วิธีที่จะมองมัน
อย่า "ตัวใหญ่" ไปทุกเรื่อง !!

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

กลัดกระดุมผิดเม็ด ไม่กลัดใหม่ ไม่มีทางถูก











กลัดกระดุมผิดเม็ด ไม่กลัดใหม่ ไม่มีทางถูก...
รู้ว่าผิดต้องแก้ไข...ดึงดันไปผิดทั้งกระบวน
มันต้อง right first time !!
ทำให้ถูกตั้งแต่ขั้นตอนแรก

การไม่ฟัง

การไม่ฟัง คือ บ่อเกิดของ...

การสื่อสารล้มเหลว
ความใจเร็วด่วนได้
การตัดสินใจ ตัดสินคนผิดพลาด
การเทคเครดิตคนอื่น 
การไม่ทำตามที่ตกลง ฯลฯ 

เพราะว่าฟังแต่ไม่ได้ยิน !!













เราคงต้องเรียนรู้ที่จะฟังคนอื่นมากขึ้น
พวกชอบเป็น “ครู” “ผู้รู้” มักเก่งพูด ยึดเวที ทำให้คนอื่นเป็นนักเรียนแทนที่จะสร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วม พวกนี้ฟังไม่เป็น ไม่เปิดโอกาสให้คนพูดหรือแสดงความเห็น หรือไม่ก็เปิดตอนตัวเองพูดไปหมดแล้ว มันก็เลยเวลาพูดของคนอื่นไป 

มันต้องรู้จักเวลา ปล่อยชอตเด็ดเป็นช่วงๆให้คนได้ฮึดที่จะพูด มีอารมณ์ร่วมที่จะเสนอ เวลาถ้าเลยไปแล้ว มันสายไป 

การเว้นช่วงเป็นจุดเริ่มของ “การฟัง” มันแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเราสนใจ เรายินดี เราให้เกียรติความคิดเห็น แบบนี้แหละ..การเปลี่ยนแปลงถึงเกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นแค่การยึดห้องเรียน โดยปราศจากการเรียนรู้ร่วมกัน เป็นที่มาของปัญหาหลายอย่างที่ว่าไว้ข้างต้น

ออกมาจาก...เงาดำมืดในใจตัวเอง

ไปอ่านบทความของคุณพศิน อินทรวงค์มาชอบมาก...ย่นย่อต่อเติมมาแบ่งกัน...

คนในโลกนี้ ไม่มีขาวล้วน ดำล้วน
ไม่มีอะไรดีตลอดตัว ชั่วตลอดใจ
อยากพัฒนาตัวเองต้องยอมรับก่อนว่า...
….ข้างในลึกๆเรายังมี “เงาดำ” “ความชั่ว” “ข้อเสีย” ที่ต้องลด ละ เลิก
ถ้ามีคนมาถามว่าเรามีอะไรไม่ดีบ้าง มันจะออกมาในแนวน่ารัก เช่น ซุ่มซ่าม ขี้ลืม หลงง่าย ใจเร็ว ใจร้อน ขี้เกียจดินพอกหางหมู พูดมาก มั่นใจเกิน ตรงเกินไป...ประมาณนี้  ซึ่งข้อเสียหน่อมแหน้มเหล่านี้เป็นเพียงเกราะกำบัง “เงาดำ” ที่แท้จริงในตัว

ไม่มีใครยอมรับว่า...
ตัวเองเห็นแก่ตัว โลภ งก ขี้อิจฉา ยึดตัวตน เห็นแก่พรรคพวก ไร้เหตุผล เอาใจตนเป็นใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้ว เราทุกคนยังมีพวกเงามืด เงาดำนี้วิ่งวนอยู่ในตัวตลอดเวลา

คนต้องรู้ตัวว่า..ตัวเองยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ลึก ๆ 
และมันก็พร้อมแสดงตัวออกมาเมื่อถึงเวลา

คนต้องรู้ตัวว่า...บางครั้งเราก็เลือกที่จะรู้สึกอิจฉามากกว่ายินดี โกรธมากกว่าให้อภัย
คนต้องรู้ตัวว่า...ไฟแห่งความอยากมี อยากได้ อยากเป็นนั้นยังโชติช่วงไม่เคยดับ
คนต้องรู้ตัวว่า...หลายครั้งเหตุผลของเราก็เป็นเพียงเหตุผลเพื่อตัวเอง 
ไม่ใช่เหตุผลที่วางอยู่บนความถูกต้อง หรือความยุติธรรม
คนต้องรู้ตัวว่า...เรายังอยากให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเป็นคนดี ทั้งที่รู้ตัวว่า เราไม่ได้ดีอย่างที่คิด
คนต้องรู้ตัวว่า...บางครั้งเราก็ยังเผลอเอาเปรียบคนอื่น ให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ตัวเองอยู่
คนต้องรู้ตัวว่า...เรายังรับไม่ได้ เวลาที่คนอื่นมาวิจารณ์ว่า...เราไม่ดีอย่างไร ทั้ง ๆ ที่มันเป็นความจริง
คนต้องรู้ตัวว่า...บางครั้งเราก็เลือกที่จะนินทาผู้อื่น เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
คนต้องรู้ตัวว่า...บ่อยครั้งที่เราไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเอง 
ในขณะที่เรามองเห็นความผิดของผู้อื่นเต็มไปหมด
คนต้องรู้ตัวว่า...เรามักหา คำพูดแก้ตัว มาบอกตนเองและผู้อื่นเสมอ
เวลาเราทำเรื่องผิด ๆ เพื่อให้เรื่องนั้น ดูผิดหรือเลวน้อยลง
คนต้องรู้ตัวว่า...ถ้าเลือกได้เราย่อมอยากให้ ตัวเรา พ่อแม่เรา คนที่เรารัก ลูกเรา บริษัทเรา พรรคพวกเราได้ดีกว่าคนอื่น
คนต้องรู้ตัวว่า...หลายครั้งที่เราพูดว่าสงสาร แต่หลังจากนั้น...
เราก็ไม่เคยคิดจะลงมือทำอะไรให้ดีขึ้น นอกจากพูดคำว่า สงสาร ซ้ำไปซ้ำมา 
คนต้องรู้ตัวว่า...เรามักคิดว่า เรารู้จักตัวเองดีเสมอ แต่ความเป็นจริงแล้ว
สิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เราอยากเห็นและยังไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเราทั้งหมด
คนต้องรู้ตัวว่า...การที่เราได้ยินคนที่เราเกลียดถูกนินทานั้น...ทำให้เรารู้สึก`ดี´
คนต้องรู้ตัวว่า...สิ่งที่ผิดพลาดหลายอย่างในชีวิตเรามักโทษสิ่งแวดล้อม คนอื่น
แต่เราไม่ค่อยโทษตัวเองสักเท่าไหร่ ทั้งที่ลึก ๆ เราก็รู้ดีว่าเรานี่เองที่เป็นตัวการใหญ่
คนต้องรู้ตัวว่า...คำโกหก บิดเบือน อำพราง ยังเป็น`เครื่องมือ´ ที่เราใช้ในการเอาตัวรอดเสมอ
...เมื่อเกิดเหตุการณ์จวนตัว...
คนต้องรู้ตัวว่า...เราชอบบอกว่า `ความดีสำคัญกว่าเงินทอง´
แต่เกือบทุกครั้ง เราก็เกรงใจคนรวย ๆ มากกว่าคนดี ๆ
คนต้องรู้ตัวว่า...ถ้าเขาชอบเรา เราก็ชอบเขา แต่ถ้าเขาเกลียดเรา เราก็เกลียดเขา
โดยที่ไม่เคยกลับมานั่งคิดเลยว่า...ที่เขาเกลียดเรานั้นเป็นเพราะอะไร
คนต้องรู้ตัวว่า...เรายังอยากรู้ข่าวร้าย ๆ ของคนอื่นมากกว่าเรื่องดี ๆ ของเขาเสมอ
คนต้องรู้ตัวว่า...เราชอบอ้างว่าตัวเองเป็นคนไม่มีโอกาส ทั้งที่เราก็รู้ว่าที่เราไม่มีโอกาสก็เพราะว่า 
`เราขี้เกียจ´
คนต้องรู้ว่าว่า...ความไม่ยุติธรรมที่เราอ้าง..มันแค่ไม่ถูกใจเรา
คนต้องรู้ตัวว่า...เราชอบวิจารณ์คนอื่นว่า โกงชาติบ้านเมือง 
ในขณะที่เราก็ทำทุกวิถีทางเพื่อเลี่ยงภาษี
คนต้องรู้ตัวว่า...น้อยครั้งที่เรารู้สึกว่าตัวเองมีเหลือพอที่จะแบ่งปันให้คนอื่น 
คนต้องรู้ตัวว่า...หลายครั้งที่เราก็คิด ในสิ่งที่ไม่สมควรคิด ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ 

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ตัว ต้องยอมรับ ต้องสำนึก
ต้องไม่ปฏิเสธว่า...เรายังมีความรู้สึกด้านมืดเหล่านี้หลงเหลืออยู่ในตน
เพราะการยอมรับว่า "ตัวเรายังไม่ดีพอ" คือ บันไดขั้นแรก ที่จะทำให้เราเดินไปสู่หนทางที่ถูกต้อง...เดินไปสู่เส้นทางของการเป็นคนเต็มคนอย่างแท้จริง

คิดให้มากว่าเรานั้น...ไม่ดียังไง...
มีเงาดำตรงไหน ตรงไหนที่ยังคิดไม่ดี ทำไม่ดี สำนึกไม่ดี
การรู้ว่า... เรายังมีข้อไม่ดี
ไม่ได้แปลว่า เราต้องออกไป "ประจานตัวเอง" ให้คนอื่นรับรู้ว่า เราไม่ดีอย่างไร...
เราคงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น แต่เรารู้ของเรา สำนึกของเราแบบเงียบ ๆ อยู่ในจิตใจ
ค่อย ๆ ปรับ ค่อย ๆ เปลี่ยน ให้จิตใจของเรา เดินไปสู่หนทางที่สว่างไสวขึ้น

คนฉลาดย่อมรู้ว่า...โลกนี้ไม่มีสีขาวสนิท หรือดำสนิท..
ในสีขาวย่อมมีสีดำ และในสีดำย่อมมีสีขาว
ส่วนคนโง่มักคิดว่า ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ 
...ทุกอย่างมีค่าเท่ากับขวาสุดและซ้ายสุด....


ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีสองด้านเสมอ....แม้แต่ตัวของเราเอง

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 72


ความทุกข์ กับ ความสุข คือ....

จ้องคนอื่น กับ มองตน
อยากได้ กับ ไม่ได้ก็ไม่ต้องเสีย
พูดไม่คิด กับ คิดก่อนพูด
คิดมันทุกเรื่อง กับ อภัยทุกอย่าง
เอาดีเข้าตัว กับ ให้เครดิตคนอื่น
นั่งเสียใจ กับ ทำความเข้าใจ
เอา กับ ให้
ถากถาง กับ ปลอบใจ
ไม่ยอมเปลี่ยน กับ เปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมชาติ
หาแต่ความรัก กับ ไม่รักไม่ทุกข์
มองแต่ที่คนอื่นมี กับ มีแต่ที่ตัวเองชอบ

และอีกหลายๆอย่าง กับ อีกหลายๆอย่าง
ลองคิดดู ม่วนดี