เพิ่งรู้ซึ้งถึงคำพูดของคนโบราณที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ก็คราวนี้.. การไปเดินดอยหลวง เชียงดาวมันใช้ “ใจ” ที่มีสติควบคุม “กาย” ให้ตื่น เผลอไม่ได้ เพราะทุกย่างก้าวมันหมายถึงประมาทอาจลื่นล้ม เจ็บตัว เผลอมากๆอาจตกดอยเดี้ยงได้ เหมือนคำพระว่าสติเป็นเครื่องตื่นในโลก ขาดไม่ได้ ทำให้เรียนรู้ว่าสติมันมีอยู่แล้วในสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ช่วยสนับสนุนสัญชาตญาณการอยู่รอดของชีวิต จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่จริงๆ ใช้ได้ในทุกกรณี ทุกอารมณ์ ทุกเวลา ทุกสถานที่ มันทำให้เราระลึกได้ ให้รู้สึกตัวในการเคลื่อน การไหว ใจมันจดจ่อ.. ก้าว วาง ก้าว วาง ไม้เท้าค้ำไว้ รู้เกร็ง รู้ผ่อน รู้เท่า รู้ทัน ซึ่งตัวเองคิดว่ามันดีกว่านิ่งๆอยู่มาก เพราะเคยทำนิ่งๆมาก่อนหน้านี้ตอนไปที่โกเอนก้า ไม่เคลื่อนไหว มันเลยเข้าไปในความคิดซะ ไม่มีอะไรดึงไว้ แต่การเดินครั้งนี้มันรับรู้การเคลื่อนไหวของกายเราอย่างยิ่ง ไม่คิด เอาปัจจุบันเท่านั้น อดีต อนาคต อนางอวางไปหมด ถึงแม้จะถอนใจเบา หนัก หรือแม้กระทั่งโวยดังๆ ก็ยังรู้ทุกขณะ มันสุดยอดจริงๆ

ที่รู้อีกอย่าง คือ ร่างกายคนเรานั้นมันทนยิ่งกว่าควาย ไม่คิดว่าจะทนได้ มันก็ไปได้ของมัน มันไม่ยักกะตายแฮะ เรามีความสามารถใช้ร่างกาย อวัยวะต่างๆของเราได้เต็มที่แค่ไหน ก็รู้มันตอนนี้แหละ เดินดอยนี่มันได้ใจเต้น..อย่างแรง ภาษาหมอคงว่าเป็นสมรรถภาพของระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจ cardio –respiratory fitness มันได้น้ำอดน้ำทน endurance ได้ strength ได้ flexibility เอาเป็นว่าได้ครบที่คนควรได้เวลาออกกำลังกาย คุ้มจริงๆ ถึงแม้ลงมาแล้วจะเดินเดี้ยงไปสองวันก็เหอะ
ทั้งหมดทั้งมวล คือ ใจคุมกาย
ไม่มีอะไรที่คนทำไม่ได้ ถ้าใจถึง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น