วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

มารยาททางธุรกิจ...เป็นเรื่อง เป็นเรื่อง..


คำว่า มารยาท อาจฟังดูกระแดะ เสแสร้งไปบ้าง.. เพราะบางคนอาจจะคิดว่า เรื่องของกู ซึ่งก็จริง..มันเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นสำนึกปัจเจกบุคคลมากๆ  แต่มันเป็นเรื่อง และจำเป็นสำหรับทุกคนโดยเฉพาะในโลกธุรกิจ  ในปัจจุบันรูปแบบการสื่อสารใหม่ๆ เช่น Facebook Linked In และอีกมากมายหลากหลายที่ละลายเส้นความเหมาะสม หรือ ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความสงสัย งงในหัวใจถึงขอบเขตทางสังคมของการสื่อสาร  ครั้นคิดไปคิดมา..เรื่องมารยาทมันไม่ใช่ขอบเขต หรือการควรทำ ไม่ควรทำ หรือหลักเกณฑ์อะไรมากมายขนาดนั้น คิดไปอีกสักหน่อยจะพบว่ามันเป็นเรื่องของการทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างเรารู้สึกดี เป็นสุขต่างหาก making people feel good !!! มันเป็นพื้นฐานรับประกันความสบายใจของกันและกันในสังคม
มีบริษัทชื่อ Crane Digital (ชื่อนี้เกี่ยวกับมารยาทตรงไหน..) อ้างว่าได้ให้คำปรึกษาเรื่องมารยาทนี้มากว่าสองทศวรรษแล้ว อือ..คนมันไม่ค่อยมีมารยาทกันหรือยังไงเนี่ย.. สรุปมาได้ว่ามารยาททางธุรกิจที่เขาแนะนำว่ายังจำเป็นสำหรับปัจจุบัน คือ
1. การส่งข้อความขอบคุณ
อันนี้ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ศิลปะแห่งการส่งความขอบคุณไปยังคนที่เราติดต่อ ไม่ว่าจะสมัครงานได้สัมภาษณ์งานใหม่ คุยกับเครือข่ายธุรกิจใหม่ เจรจากับลูกค้า  และถ้าเราต้องการงาน ต้องการหุ้นส่วน ต้องการได้ลูกค้า..จงใช้เวลาเขียนโน้ต หรือไปซื้อการ์ดขอบคุณส่งตามไป มันจะสร้างความแตกต่าง มันจะสะท้อนความดีงามของเรา..ขององค์กรเราได้ชะงัด 
2. การจำชื่อ
เรื่องง่ายๆ (บางทีก็ยาก หากแก่ตัวลงไปทุกวัน) ท่านนัน วัดดอนจั่นเป็นพระที่มีผู้คนไปขอความช่วยเหลือแต่ละวันมากมายมาหลายปีดีดัก วันหนึ่งเจอท่านที่สนามบินเชียงใหม่..ท่านเรียกชื่อทักทาย..โอโห มหัศจรรย์ มันยิ่งกว่าประทับใจ เรื่องนี้สำคัญมาก การที่เราจำชื่อใครได้มันแสดงถึงว่าเราให้ความสำคัญ รับรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ มันจะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์อย่างเอกอุ ถึงขั้นลืมไม่ลง ไม่ว่าภายในหรือภายนอกองค์กร การจำชื่อคนได้เป็นการสร้างความประทับใจอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเราทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มผู้บริหารด้วยกัน มันจะทำให้งานฉลุย 
3. อย่าปากเร็วกว่าใจ
ฝรั่งว่าให้รู้จัก 'elevator rule' อย่าโดดวิพากษ์วิจารณ์ทันทีหลังจากออกจากห้องประชุม หรือระบายความรู้สึกในลิฟท์ (ถึงแม้ในลิฟท์จะไม่มีคนอื่นก็เถอะ) กรุณารอจนลิฟท์ถึงชั้นล่างสุดและเราเดินออกจากสำนักงานไปก่อน  ให้สังหรณ์ไว้ ให้ถือเป็นความสุภาพ..อะไรก็ได้สักอย่าง อย่าเสี่ยงที่จะทำลายชื่อเสียงตัวเองโดยการพ่นอะไรออกมาทันทีที่เราเดินพ้นห้องที่นั่งคุยกัน แม้กระทั่งการแสดงอาการน่าเป็นห่วง เช่น ทำปากขมุมขมิบกับพรรคพวก (คำเมืองเรียกว่า..บะดีแป๋งปากแป๊บ)
4. มองหน้า อย่ามองจอ (ภาพ คอมพิวเตอร์ ไอโฟน ไอแพด)
มันยากเหมือนกันนะ เพราะสมัยนี้มันมีอะไรพอพอัพ ติ๊งตั๊ง หรือสั่นไหวมาตลอดบนเครื่องมือสื่อสารเรา มันมัดเราจนอยู่หมัด บางทีเราคิดว่าเราเอาอยู่ ดูเหมือนเป็นคนมีประสิทธิภาพมากในการทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน (ทำบ่อย..กินข้าว เช็คโนติฟิเคชั่น ดูรูปในไอโฟน เช็คอีเมล์ คุยกับเพื่อน..ทำประจำ) มันไม่ใช่ความเจ๋ง ประสิทธิภาพประสิทธิผลอะไรอย่างใดเลย  เวลาประชุม..กรุณาหักห้ามใจ ปิดมันให้หมด เจ้าเครื่องมือแสดงความแจ่มแจ๋วทั้งหลาย กลับไปให้ความสนใจกับการนำเสนอและคนที่กำลังนำเสนออย่างจริงจังตั้งใจ 
5. การตัดสินคนอื่นบนความคิดของเรา
สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นมารยาทอย่างหนึ่งในสมัยนี้ คือ การไม่วิพากษ์วิจารณ์ชาวบ้าน (แหม.. ยากมากเลย..มันเป็นสันดานไปแล้ว..คงต้องขุดกันนานหน่อย)  เอาเป็น..ให้คิดเสียว่า คนทุกคนมี “ทาง” ของตัวเอง มีสิ่งที่ต้องพัฒนาปรับปรุงกันทั้งนั้น  เราอาจไม่เห็นพ้อง ขัดแย้งในการที่คนอื่นใช้วิธีการจัดการกับสถานะการณ์ใดสถานะการณ์หนึ่งในองค์กรที่แตกต่างจากเรา  ซึ่งถ้าเขาทำดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ นั่นก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว  เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินคนอื่นบนพื้นฐานความคิดของเราเอง มันคงไม่ถูกต้องนัก  แค่คิดในใจก็เสียมารยาทแล้ว คงต้องรับผิดชอบเฉพาะกับเรื่องตัวเองเท่านั้น 
ในโลกธุรกิจ..เรายุ่งเกี่ยวกับพวก brand awareness เป็นอันมากจึงเลยเถิดมายังการอยากโดดเด่น อยากให้คนชอบ อยากให้คนยอมรับทั้งในทางสังคมและในความเป็นมืออาชีพ โลกดิจิตัลทำให้มันยากขึ้นไปว่าเรากำลังล้ำเส้นหรืออยู่เปล่า แต่คิดว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะมารยาทเป็นพลังบวก มันเป็น “ทาง” ของการเป็น การอยู่อย่างธรรมชาติและไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก มันไม่ใช่การบอกว่าแบบนี้ทำได้ หรือ ทำไม่ได้นะ   เอาแค่ว่าก่อนจะสร้าง hashtag หรือ post หรือ text ใครในระหว่างการประชุม  ก็ให้นึกแค่ว่า เราจะทำให้ใครรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า และก่อนจบ.. อยากบอกว่าการที่เราจับปากกาเขียนบนกระดาษ มันสร้างความตราตรึงมากกว่าการตะโกนบนหน้า Twitter หรือ Facebook แน่ๆ  ซึ่งความพิเศษอันนี้สื่อออนไลน์ไม่มีวันทำได้ 

2 ความคิดเห็น:

  1. เรานี่ช่าง...ไร้มารยาทสิ้นดี

    ตอบลบ
  2. เป็นคุณสมบัติพิเศษ ที่คนรักกันทั้งประเทศ

    ตอบลบ