วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

การกินฉี่

อนุสนธิจากการเชื่อเพื่อน.. เพื่อนทำอะไรทำด้วย ไม่มีคำถาม ไม่หาเหตุผล เกิดมาก็ไม่คิดว่าจะกินฉี่ตัวเองได้ พอเพื่อนกิน.. แล้วคิดว่าตัวเองก็กินได้ จึงเอามั่ง.. กินมันทั้งวันแหละเมื่อวาน ครั้งแรก..อุ่นและเค็ม มันทำให้สำนึกว่ากินน้ำน้อยไปได้ทันที อยากกินให้คล่องกว่านี้.. กินน้ำเข้าไป อือ.. รักษาอาการกินน้ำน้อยได้ชะงัดเลย  ปกติลืมกินน้ำทุกทีทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นคนกินน้ำน้อย  อันนี้มันถือว่า..เข้าตัว เลยต้องแก้ไข ต้องกิน.. ไม่งั้นต้องกินฉี่เค็มๆไป  ครั้งที่สอง..กินแล้วจะอ้วก.. มันเป็นเอง.. ไม่ได้คิดอะไรนะ มันมาเอง แต่ก็ซัดน้ำตามแบบกระหน่ำ ขนลุกขนพองไปหมด.. ครั้งต่อๆมาได้เริ่มพิจารณา.. มันก็แค่นี้ มันแค่น้ำ น้ำอย่างหนึ่ง ความรังเกียจเป็นแค่ความคิด มันไม่มีอยู่จริง ไม่คิดก็ไม่มี คิดก็มา..ดังนั้น ไม่คิด.. ช็อตเดียว เอื้อกเดียว.. ก็กินเข้าไป
ชีวิตนี้เป็นมาตลอดลุยไปก่อน..แล้วค่อยกลับมาใคร่ครวญ.. เออ จะกินมันทำไมเนี่ย.. มันดี หรือ ไม่ดียังไง เลยเกิดความสงสัย..ซึ่งเป็นสันดานอยู่แล้ว ตัดไม่ได้ขายไม่ขาด ลองค้นดูสักเล็กน้อยเพิ่มกำลังใจให้ตัวเองได้กินฉี่ต่อไป  เออ..เริ่มเข้าท่า เขาเรียกกันว่า ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) เป็นการใช้ฉี่ตัวเองเพื่อรักษาโรค โดยไม่ใช้ยาและยังช่วยส่งเสริมสุขภาพด้วย  สืบไปถึงประวัติที่ก็รู้มาเลาๆเป็นเงาๆก่อนหน้านี้บ้าง  แต่ต้องเอาให้ชัด พบว่า หลายชาติพันธุ์ใช้กันอย่างระบาด จะเล่าพอดีๆแล้วกัน มันเยอะไปหมด... เอาเป็นว่าตั้งแต่ยุคกรีกโบราณมีการใช้ฉี่เพื่อบำบัดรักษา ตำราการแพทย์จีนที่เขียนขึ้นช่วงปีพ.ศ. 586 - 754 อ้างว่าฉี่เป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยทำให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น และจีนยังมีพิศดารมากกว่านั้นมีกินฉี่เด็กด้วย..อันนี้ไม่ไหว ขอรู้เฉพาะกินฉี่ตัวเอง ในคัมภีร์พระเวทย์ของฮินดูถือว่าฉี่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดื่มแล้วจะเป็นน้ำอมฤต..ไปนู่นเลย เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่ชาวยิปซีในยุโรปรู้ถึงคุณสมบัติของฉี่ในการรักษาโรคและยังมีโยคี พระลามะในธิเบตต่างก็มีอายุยืนยาวเพราะดื่มฉี่ของตัวเอง ในปีพ.ศ. 600 นักปราชญ์ชาวโรมันแต่งตำราว่าด้วยฉี่เป็นยารักษาพิษต่างๆ  ญี่ปุ่นเองในปี พ.ศ.1782-1832 ยุคอิมเป็งก็กินฉี่เพื่อรักษาโรค  ปัจจุบันญี่ปุ่นก็มีหมอเรียวอิจิ  นากาโอะ  เป็นเจ้าของโรงพยาบาลนากาโอะเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการรักษาโรคต่างๆ    โดยใช้การกินฉี่เป็นหลัก  ริเริ่มเผยแพร่สอนให้คนกินฉี่ในญี่ปุ่น  ตำราไทยโบราณก็พูดถึงการใช้ฉี่รักษาโรคด้วยกับเขาเหมือนกัน แม้แต่ในพระวินัยปิฎกมีเขียนไว้ว่าพระภิกษุปฏิบัตินิสสัยสี่ให้ฉันน้ำมูตรแช่ผลสมอเพื่อแก้โรคต่างๆ ว่ากันว่าเป็นยาวิเศษของพระพุทธเจ้าเลยเชียว   รุ่นหลังๆก็มี จอห์น ดับบลิว อาร์มสตรอง เป็นชาวอังกฤษก็สนับสนุนฉี่บำบัด ไปหาอ่านได้ใน The Water of Life: A Treatise On urine Therapy หรือน้ำแห่งชีวิต เป็นบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน วัณโรค โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ มีปัญหาที่กระเพาะปัสสาวะ มาลาเรีย ไข้ แผล แผลไฟลวก โรคเกี่ยวกับหลอดลม และ โรคอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งรักษาให้หายได้ด้วยการอดอาหารหลังดื่มฉี่ หรือยังไม่สะใจจะไปอ่านของหมอชาวอังกฤษชื่อแซลมอนได้พิมพ์ตำราแพทย์ Salmon’s English Physician ระบุถึงการใช้ปัสสาวะเพื่อรักษาแผลและรักษาอาการป่วยอย่างอื่นๆ  ถ้าไม่ชอบอังกฤษ..เอาของเยอรมันไปก็ได้ มีหลักฐานในเอนไซโคลพีเดียของเยอรมัน Johann Heinrich Zedler’s Grossen Vollst Indigen Universallexikon ค.ศ.1747  บอกว่าในน้ำฉี่ของทั้งคนและสัตว์มีสารที่มีประโยชน์หลายชนิด ฉี่ของคนมีผลเสริมสร้างความแข็งแรงและรักษาโรค... ถ้ายังต้องการความมั่นใจอีกบอกได้เลยว่าเขามี World Conference on Urine Therapy มาตั้งชาตินึงแล้ว...คุยกันเรื่อประโยชน์ของฉี่โดยเฉพาะ 
ไหนๆก็จะกินแล้วลองเข้าไปดูว่าฉี่จริงๆแล้วมันเป็นยังไง ประกอบด้วยอะไรบ้าง.. อ่านได้ความว่าปกติฉี่เป็นกรดอ่อนๆ จะมีสีเหลืองอ่อนๆ ไปจนถึงขาวใส ถ้าปริมาณน้อย จะข้นและมีสารในฉี่แบบข้นมากกว่าแบบใส ซึ่งขึ้นกับอาหารที่รับประทานและสุขภาพของคนๆนั้น มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย  (ไม่ทันได้ดม) ฉี่ของคนปกติจะมีรสเค็มๆ (..ค่อยยังชั่วหน่อย..) ถ้าเข้มมากมีขมนิดๆได้  แต่คนที่เป็นโรคก็ตัวใครตัวมัน ดีซ่านก็เหลืองขมิ้นกระทั่งเป็นสีน้ำตาลมาเลย พวกโรคไตก็จะขุ่นหรือแดง   จากการวิจัยในน้ำฉี่ของเรา 100 cc. ลอกมาเลย..มีอะไรต่อมิอะไรดังนี้ 
Urea nitrogen 682 ม.ก.
Urea 1,459 ม.ก.
Creatinine nitrogen 36 ม.ก.
Creatinine 97.20 ม.ก.
Uric acid nitrogen 12.30 ม.ก.
Uric acid 36.90 ม.ก.
Amino nitrogen 9.70 ม.ก.
Ammonia nitrogen 57 ม.ก.
Sodium 212 ม.ก.
Potassium 137 ม.ก.
Calcium 19.50 ม.ก.
Magnesium 11.30 ม.ก.
Chloride 314 ม.ก.
Total sulphate 91 ม.ก.
Inorganic sulphate 83 ม.ก.
Inorganic phosphate127 ม.ก.
ไม่ค่อยเข้าใจ..แต่คาดว่าไม่เป็นพิษก็ใช้ได้ แต่ที่น่าม่วนซึ่งไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม คือ มีสารอื่นด้วย เช่น ตัวเอนไซม์: Amylase (diastase) Lactic dehydrogenase (LDH) Leucine amino-peptidase (LAP) และ Urokinase ซึ่งม่วน คือ รู้ว่าพวกหลากหลายนี้ใช้ละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตันเฉียบพลัน..ป้าดโท๊ะ แค่ฉี่เนี่ยนะ และยังมีฮอร์โมนต่างๆนานาที่รู้มั่งไม่รู้มั่งแต่คิดว่าน่าจะดี (ยกเว้น steroids ดูแปลกๆหน่อย) คือ Catecholamines 17–Catecholamine Hydroxy–steroids Erythropoietin Adenylate cyclase Prostaglandins Growth hormones ฮอร์โมนเพศ อินซูลิน ฯลฯ ใครรู้ช่วยแจงทีเหอะ..ไม่ไหวเยอะไป..ไม่ใช่ทางด้วย 
เอาทางวิทยาศาสตร์ต่อเลยนะ....ดร.อัสเบิร์ต เซนต์ กีออร์กี นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลทดลองใช้สาร methyl gloxal ซึ่งพบในฉี่ ทำการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งและได้ผลเป็นที่น่าพอใจหลายรายอยู่และสารพวกนี้ี้แม้จะมีปริมาณน้อยในฉี่ แต่พบว่าอยู่ในรูปแบบที่มีศักยภาพสูง..ฮั่นแน่.. เมื่อกินเข้าไปจะซึมผ่านเยื่อบุกระเพาะอย่างรวดเร็วและเกิดผลต่อร่างกาย.. เริ่มมั่นใจ กินต่อไปได้  มีงานวิจัยอีกอันหนึ่งซึ่งกล่าวถึงกันมากในวงการกินฉี่ คือ งานวิจัยชิ้นใหญ่ในประเทศอินเดียของ นพ.ธรรมาธิกรี รัฐมหาราษฎร์ (ชื่อหรือนี่..) ได้ทดลองให้ผู้ป่วยจำนวน 200 คน กินฉี่ของตนเองและติดตามผลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด ได้ข้อสรุปว่า ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นและอัตราเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้นในผู้ป่วยทุกรายและปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดก็สูงขี้นด้วย และพี่แกเชื่อว่าแบบนี้ช่วยให้เกิดการบำบัดรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยได้หลายกรณี ด้วยกลไกของเอนไซม์ ฮอร์โมนและเกลือแร่และช่วยให้ภูมิต้านทานดีขึ้นอีกด้วย  ยังไม่หมดคนสนใจเรื่องฉี่..มีการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียสองคน พบว่า เมื่อกินฉี่จะทำให้มีสมาธิ จิตใจสดชื่นอารมณ์ดีขึ้น แจ่มใสเพราะในฉี่มีฮอร์โมน ชื่อ Melatonin.. อันนี้ดีแน่..ซึ่งพบในฉี่ช่วงเช้า งานวิจัยนี้ว่าฉี่ของแต่ละคนจะมีผลต่อการทำงานในร่างกายของแต่ละคน โดยจะทำหน้าที่เป็นวัคซีนธรรมชาติ เป็นตัวต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ทำให้เกิดความสมดุลกับฮอร์โมนและช่วยเรื่องภูมิแพ้ (natural vaccine antibacterial antiviral anti-cancer agents hormone balance allergy relievers..ป้าดโท๊ะ อีกที)
มาพิจารณาทางหลักฐานจากพระสงฆ์ของเรากันบ้าง.. มีผู้พบข้อความการวิจัยของหลวงปู่โง่น  สรโย  วัดเขาลาภ จังหวัดพิจิตร  ท่านว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบมา 2,500  กว่าปี  ก่อนนักวิทยาศาสตร์ใดๆ ในโลก อายุของท่านในตอนละสังขาร 94 ปี ไม่เคยเจ็บป่วย  ร่างกายและสุขภาพแข็งแรงดีมาก  ชีวิตนี้ไม่เคยปวดฟัน เวลาขึ้นเขาลงเขาหนุ่มๆสู้ไม่ได้ก็แล้วกัน ท่านฉันปัสสาวะมาหลายสิบปีแล้ว  ฉันมังสวิรัติมาตลอดไม่ฉันเนื้อสัตว์   ท่านได้ทำการวิจัยไว้ว่า  ปัสสาวะของท่านมีสารหลายอย่าง..  
  • ธาตุฟอสฟอรัสช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง   ป้องกันโรคไขข้อ   โรคอ้วน   โรคอ่อนเพลีย   โรคเบื่ออาหาร   ตื่นแต่เช้าดื่มปัสสาวะ  1  ถ้วยแก้ว   เป็นยาเรียกน้ำย่อยอย่างดีจะทำให้ทานอาหารอร่อย   
  • ธาตุแมกนีเซียมแก้โรคกระสับกระส่าย    สับสน    ท้องเสีย  แก้ไตเสื่อมไม่ทำงาน  
  • ธาตุทองแดง   แก้โรคโลหิตจาง   โรคอ่อนเพลียละเหี่ยใจ (โรคนี้เป็นกันเยอะ..ควรกิน) 
  • ธาตุโปรตัสเซียม  แก้โรคท้องผูก   แก้สิวฝ้า   ช่วยกล้ามเนื้อแข็งแรง   
  • ธาตุเหล็ก   แก้โรคโลหิตจาง   แก้โรคอ่อนเพลีย   แก้โรคเล็บมือเล็บเท้าเปราะผุ   และฉีกง่าย   
  • ธาตุสังกะสี   แก้โรคตับ   โรคไตช้า   แก้โรคต่อมลูกหมาก   โรคเบื่ออาหาร  
  • ธาตุโอไอดีน   แก้โรคประสาท   โรคกระสับกระส่าย   แก้ผอมแห้ง   ผมหงอกเร็ว   ผมร่วง   เม็ดผื่นคัน   
อ่านแล้วทึ่ง..ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปเท่าใด  ก็ยังตามหลังของธรรมชาติอยู่ดี  การที่เราเข้าใจกันว่ายาเท่านั้นที่สามารถรักษาโรคได้นั้นมันกลายเป็นสิ่งไม่แน่นอนไปเสียแล้ว  

คราวนี้มาวิธีกิน..วิธีใช้  คาดว่าจะสนใจเฉพาะกินนะ..แต่เอาเรื่องใช้มาดูด้วยก็ได้..วิธีการใช้ฉี่บำบัด เขาว่ามี 2 แบบ คือ
1. แบบใช้ภายใน
กิน..กินฉี่ตอนเช้า ช่วงกลาง โดยเริ่มต้นจาก 5-10 หยด ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มจนถึง 1 แก้ว ประมาณ 100 cc. มีประโยชน์ในการรักษาโรคทั่วไป (..ว้าย..กินพรวดเข้าไปแล้ว..ไม่ได้รีรอ) ถ้าจะล้างพิษ กินมันตลอดทั้งวัน (ยกเว้นตอนเย็น) และดื่มน้ำสะอาดด้วย เป็นการล้างพิษออกจากร่างกาย โดยทำให้เลือดสะอาดขึ้น พิษจะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางอุจจาระ เหงื่อ และทางหายใจ ถ้าปวดฟัน เจ็บคอ ไอเป็นหวัด ให้กลั้วคอ..อันนี้..ยังไม่ไหวฮะ  หรือจะล้างพิษแบบสวนทวาร detoxification โดยการสวนฉี่เข้าไปในทวารเพื่อล้างลำไส้และเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย..อันนี้ขอบายเช่นกัน และยังมีอีกเอาไว้หยอดหู หยอดตา เมื่อมีอาการหูและตาอักเสบ โดยการใช้ฉี่ผสมกับน้ำสุกที่สะอาดหยอดหูและตา..อันนี้มากไป.. ขอบายด้วย  ต่อไป..จัดหนักฮะ..สูดเข้าจมูก สูดเอาฉี่สดๆ ตอนเช้าเข้าจมูกทั้งสองข้าง เพื่อล้างโพรงจมูก สำหรับคนที่เป็นไซนัส เป็นหวัด ภูมิแพ้ พวกขี้มูกไหลเป็นประจำ...โห..ไม่ไหวมังพี่ แค่กินก็พอได้นะ ถึงขั้นสูด สวน ขอลาก่อน..
2. แบบใช้ภายนอก
มีให้ทาและนวดผิวหนัง โดยการนวดร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วนทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกจะช่วยรักษาโรคผิวหนังได้หรือผิวหนังที่โดนแดดเผาได้.. ท่าจะปล่อยให้แดดมันเผาต่อไปฮะ   อันนี้ค่อยยังชั่ว.. ใช้ล้างเท้า กรณีมีปัญหาที่ผิวหนังและเล็บเท้า หรือสระผม..ไอ้หยา ใครจะลอง.. ช่วยทำให้ผมสะอาด นุ่มสลวย และทำให้ผมดกขึ้น
มาขนาดนี้แล้ว.. ขอกินแต่อย่างเดียวก็พอนะฮะเพราะยังไม่เคยมีรายงานว่าคนกินฉี่แล้วตาย หรือมีผลข้างเคียงแต่อย่างใด  อย่างอื่นเอาไว้ก่อนถึงแม้นักวิจัยจะบอกว่าฉี่โดยธรรมชาติเป็นน้ำสะอาดปราศจากเชื้อและมีสารประกอบพิเศษมากมายที่มีประโยชน์ทางการแพทยก็ตาม....      เอาเป็นว่ากินตอนตื่นนอน 1 ถ้วยแก้ว..เล็ก   และก่อนนอน 1 ถ้วยแก้ว..เล็ก  ถ้าอยากลองด้วย...แต่ยังอิหลักอิเหลื่ออยู่ ให้ง่ายก็่ผสมยาหอมแก้ลมสักครึ่งช้อนชา  แล้วคนให้เข้ากัน  กลั้นใจดื่มอึดเดียวให้หมดถ้วย  แล้วก็รีบเอาน้ำเปล่าบ้วนปากหรือจะถึงขั้นแปรงฟันก็เอา  เสร็จแล้วจะอมยา อมฮอลล์ก็ยังได้อีกเท่านี้ก็เรียบร้อย  ได้สักครั้ง.. ครั้งต่อไปก็ไม่มีปัญหาแล้วสบายมาก 
เอ้า..ชนแก้ว ^_^

2 ความคิดเห็น:

  1. แลคเตท ดีไฮโดรจีเนส เอนไซม์ตัวนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมากทีเดียวครับ

    ทำให้ปริมาณของเมล็ดเลือดแดงมีปริมาณมากเพื่อที่จะเป็นตัวป้องกันเชื้อ

    โรคที่เข้ามา ดูจากสารประกอบของปัสสาวะนั้น อาจดีต่อระบบการทำงาน

    ในหลายส่วน ทั้ง ตับ ไต และเลือด รวมทั้งการทำงานของต่อมต่างๆด้วย

    และน่าจะเป็นยาทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็งได้ดีทีเดียว

    ตอบลบ