วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การถีบหัวเรือส่งแบบแนบเนียน



มีเรื่องสั้นอ่านนานแล้วจำไม่ได้ว่าใครแต่ง เรื่องบุรุษไปรษณีย์ เป็นเรื่องสั้นที่ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมและจิตใจมนุษย์ เป็นเรื่องบุรุษไปรษณีย์ชื่อ ลุงพร้อม ลุงได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์มาเป็นเวลา 25 ปี คนเขียนเปรียบบุรุษไปรษณีย์ว่าเหมือนคนแจวเรือจ้าง เมื่อส่งคนถึงฝั่งแล้วคนแจวเรือก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป เขาจึงถีบหัวเรือส่ง  ลุงพร้อมเคยทำหน้าที่ส่งหนังสือ ส่งของ ส่งข่าวคราว ความรู้สึกนึกคิด และความรักความระลึกถึงจากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง แต่ลุงพร้อมไม่เคยได้รับสิ่งปรารถนาที่ลุงพร้อมเป็นสื่อนำส่งไปให้แก่คนอื่น ลุงพร้อมทำงานของตัวเองในเขตชานเมืองแห่งหนึ่งที่แต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาที่เวิ้งว้าง มืด วังเวง และเปล่าเปลี่ยวตามที่คนเขียนว่า  แต่ 25 ปีต่อมาพื้นที่นี้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว มีถนนลาดยางตัดใหม่สายยาว มีถนนซอยแตกกิ่งก้านออกไปซ้ายและขวา บ้านสวยผุดขึ้นมาอย่างคับคั่งสองฝั่งถนนและซอยต่างๆ เจ้าของที่ดินเดิมไม่ได้เป็นเจ้าของที่อีกต่อไป ต้องถอยหนีออกไปสู่อนาคตที่ปราศจากเงินและที่ดิน ที่ดินทำกินของชาวนาตกอยู่ในความครอบครองของคนรวยและเปลี่ยนมือไปอีกเรื่อยๆ ตามอำนาจของเงิน ลุงพร้อมเห็นการเปลี่ยนมือของที่ดินของบ้านใหญ่ๆ ตึกสวยๆ จากคนรวยคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งซึ่งรวยกว่า ลุงพร้อมเคยส่งจดหมายให้บ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าคุณคนหนึ่งแต่พอหลังสงคราม จดหมายส่งมาบ้านหลังนั้นจ่าหน้าซองถึงใครไม่รู้ที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง  ยิ่งปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมาย เขาไม่ต้องการลุงพร้อมอีกต่อไป  เขาส่งกันทางโทรศัพท์ อีเมล์  ลุงพร้อมก็คงจบกันแค่นั้น  
อันนี้ที่จริงแล้วที่เป็นธรรมชาติของคน...มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คนเราเมื่อเวลาที่ไม่ต้องการใครหรือใครหมดประโยชน์แล้ว ก็จะไม่ค่อยมีศิลปะในการกำจัด มันตรงกับคำพังเพยของไทยที่ว่า “ถีบหัวเรือส่ง” จริงๆ ภาพมันชัด  ถ้าเราเป็นคนโดนถีบก็เจ็บหน่อย แต่ต้องเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ใครจะสามารถแจวเรือส่งคนได้ทั้งชาติ ต้องรู้จักเหนื่อยบ้าง สำหรับคนถีบควรต้องมีเมตตาสักหน่อย เอาให้เนียน เพราะมันทำร้ายจิตใจคน เราจึงต้องระมัดระวัง  เอาแค่โอบไหล่แล้วคุยกันดีดี ค่อยๆพาเดินออกไป มันคงสวยกว่ามากกว่าถีบแบบไร้ศิลปะ  เพราะคนถีบต้องคิดว่าสมัยก่อนอาศัยลุงพร้อมเป็นคนส่งข่าวสาร ส่งความรู้สึกเหมือนเป็นตัวกลางประมาณนั้น  คิดไปคิดมาไม่มีลุงพร้อมเวลานั้น หลายคนคงแย่หรืออาจไม่มีวันนี้  ความจริงลุงพร้อมแกก็คงเข้าใจดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร  ทุกอย่างมันต้องเปลี่ยนตามยุคตามสมัย  
อันนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนที่ชัดๆอีกอันหนึ่งที่แสดงว่า โลกมันโหดของมันตามธรรมชาติแบบนี้เอง  สังคมทำให้จิตใจคนไม่ละมุนอีกต่อไป  การกระทำของเราที่ตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจล้วนกระทบต่อคนอื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  สิ่งที่เราต้องทำ คือ มีสติและระวังความคิด คำพูด  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..มันคงอยู่ที่ค่านิยมของคนว่าเป็นคนอย่างไร  แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่ทำให้คนเราทำอะไรก็ได้  ถ้าเรายังเห็นความสำคัญของสายสัมพันธ์ เราจะไม่ทำให้มันขาดวิ่นบิ่นไป  ยกเว้นแต่เราไม่สนใจ ไม่แคร์ อันนั้นอีกเรื่องหนึ่งที่คงเป็นการถีบแบบให้คนได้เจ็บไป  แต่อยากแนะนำการถีบหัวเรือส่งที่มันแนบเนียน ไม่มีใครเสียหน้ามาก เสียความรู้สึกจนไม่เหยียบเงาไม่เผาผี  มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือ เมตตา ที่เป็นหนึ่งในพรหมวิหาร 4 แผ่ไปได้อย่างไม่สิ้นสุด มันเป็นภาษาที่คนใบ้ยังได้ยินและคนตาบอดสามารถเห็นได้  มันเป็นความปรารถนาดีที่ทำให้คนอื่นเป็นสุขได้แม้ถูกถีบ  ที่สำคัญมันเป็นเหมือนโรคติดต่อ ยิ่งเมตตามันยิ่งกระจาย  คนถีบสบายใจคนถูกถีบรู้สึกดี..มันเป็นไปได้เหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น