วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กุศลประจำตัวของคน




....ลอกมาจากมหาโชค.คอม คนที่ทำดีทุกวันก็ดีแล้ว.. คนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก็ลองทำเผื่อจะดี และถ้าขยันมากก็ทำของทุกวันที่เขาเกิดกันถึงขั้นประเสริฐ หรือถ้าไม่อยากทำอะไรก็อ่านเล่นม่วนๆไปอีกแบบ ตัวเองต้องสมาธิแล้ว เจริญสติอีกหน่อย สวดพาหุงบ่อยขึ้นเพราะตอนนี้จิตตก..ตกกับสีแดงและโนโหวต เวรกรรม...  วิทยาศาสตร์ไม่ช่วย เหตุผลไม่มี จิตตก เอาแบบบ้านๆไปแล้วกัน

สำหรับคนเกิดวันจันทร์
ผู้ที่เกิดวันจันทร์ ตั้งแต่วันที่ 1-10
ทำความสะอาดบ้านเรือนให้น่าอยู่ กวาดลานวัด ปัดกวาดเช็ดถูหิ้งพระ จัดดูแลโต๊ะหมู่บูชาภายในบ้านให้สะอาด ให้ดูน่าเคารพอย่าปล่อยให้ฝุ่นมาจับ ช่วยทำความสะอาดวัดตามโอกาสและกาลเทศะ สรงน้ำพระพุทธรูปที่บูชาอยู่ ถวายพวงมาลัยดอกมะลิพระที่วัดที่ตนศรัทธา ไม่ต้องไปไหนไกลวัดใกล้บ้านเป็นพอ ทำตามนี้แล้วสิ่งที่ดูหม่นหมองในชีวิตจะกลับมาสดใสอีกครั้ง ทำบุญอื่นๆ ประกอบตามปกติ
ผู้ที่เกิดวันจันทร์ ตั้งแต่วันที่ 11-20
ถวายพระพุทธรูปปางลีลา ขนาดตั้งโต๊ะบูชาให้ทางวัดที่ตนศรัทธาจำนวนหนึ่งองค์ ประกอบกับบุญอื่นๆ ตามปกติ ถ้าจะให้ดีควรมีผ้าอาบน้ำฝน และถังสังฆทานหนึ่งชุด ถวายพร้อมกันในคราวเดียวด้วย ทำได้ภายในเดือนเดียวชีวิตจะแฮปปี้
ผู้ที่เกิดวันจันทร์ตั้งแต่วันที่ 21-31
ถวายพระนอน ขนาดตั้งบูชาองค์ทองเหลือง ปิดทองที่เศียรท่านหนึ่งตำแหน่ง ถวายพร้อมกับผ้าอาบน้ำฝนหนึ่งผืน ถังสังฆทานหนึ่งถัง ปล่อยหอยขม 1 ถัง ปลาไหลจำนวนหนึ่งตามกำลัง บวกบุญอื่นๆ ตามกำลังปัจจัย ทำได้ตามนี้จะเฮงทั้งปี

สำหรับคนเกิดวันอังคาร
ผู้ที่เกิดวันอังคารตั้งแต่วันที่ 1-10
นั่งสมาธิให้ได้อย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่าสามสิบนาที ควรจะเจริญภาวนาทุกวัน ก่อนนอนก็ได้ ตอนเช้าก็ได้ เพื่อจิตใจแจ่มใสพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ เรื่องเครียดๆ อยู่จะได้เบาลงบ้าง อย่าลืมบุญกุศลอื่นๆ ประกอบ
ผู้ที่เกิดวันอังคารตั้งแต่วันที่ 11-20
เดินจงกรมไปมาในห้องหรือที่วัดก็ได้ ไม่ต่ำกว่าสามสิบนาทีเพื่อชำระล้างจิตใจให้ผ่องใส มีสติรู้ตัวตลอดเวลาเพราะคนวันอังคารอาจจะมีเรื่องกลุ้มเข้ามาให้แก้ได้ทุกเมื่อ อย่าลืมบุญอื่นประกอบ
ผู้ที่เกิดวันอังคารตั้งแต่วันที่ 21-31
นั่งสมาธิไม่ต่างจากคนเกิดวันอังคารที่1-10 แต่เสริมด้วยการสวดมนต์คาถาพาหุงมหากาด้วยเพื่อเรียกสติปํญญาสมาธิที่แจ่มใสกลับคืนมา สรุปรวมๆ คนวันอังคารให้เจริญสติสมาธิเป็นหลัก

สำหรับคนเกิดวันพุธ
ผู้ที่เกิดวันพุธตั้งแต่วันที่ 1-10
นั่งสมาธิที่โบสถ์หน้าพระประธานให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง แผ่บุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและตัวเอง เพื่อชะตาที่มีความสุขสมหวังขึ้น อาจมีเรื่องปวดสมองเข้ามา ให้ปล่อยวางอารมณ์เสียบ้าง
ผู้ที่เกิดวันพุธตั้งแต่วันที่ 11-20
ไหว้พระราหูที่วัดใดก็ได้ เพื่อขอพรให้การเงินการงานดีขึ้น ประกอบกุศลอื่นๆ โดยเฉพาะการปล่อยปลา ควรจะเป็นปลาไหล ปลาดุก จำนวนใดก็ได้ตามกำลังปัจจัย และหลายอย่างจะราบรื่นขึ้นอย่างทันตา
ผู้ที่เกิดวันพุธตั้งแต่วันที่ 21-31
สักการะพระพิฆเณศ บูชาท่านด้วยกล้วยหอมหนึ่งหวี มะพร้าวสดหนึ่งลูก ดอกดาวเรืองหนึ่งพวง ขอพรในหน้าที่การงานและการเงิน ส่วนความรักให้ไหว้พระตรีมูรติด้วยกุหลาบแดง ให้เสริมกุศลด้วยการปล่อยนก ละลดทานสัตว์ปีกและเนื้อวัวให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างพลังบริสุทธิ์ในจิตใจ


สำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีตั้งแต่วันที่ 1-10
ไหว้พระพิฆเณศ หรือ พระศิวะ เพื่อขอพรให้หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรืองและราบรื่น สักการะท่านด้วยธูปแขกเก้าดอกและดอกดาวเรือง ประกอบกับการสวดพระคาถาพาหุงมหากา อิติปิโสและตามด้วยพระคาถาชินบัญชรปิดท้ายก่อนนอนทุกคืนตลอดปี
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีตั้งแต่วันที่ 11-20
ไหว้พระพิฆเณศ หรือเจ้าแม่กวนอิมปางพันมือ เพื่อขอพรให้เกิดสิริมงคลในชีวิต  ทานมังสวิรัติติดกันให้ได้สามวัน ประกอบกุศลอื่นๆ ด้วยครับ
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีตั้งแต่วันที่ 21-31
ไหว้พระพิฆเณศ หรือ พระนารายณ์ทรงครุฑ เพื่อขอพรให้ประสบโชคลาภด้านต่างๆ พระคาถาชินบัญชรคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ก่อนนอน และให้ไปปิดทองที่องค์พระพุทธรูปปางสมาธิวัดใกล้บ้านเพื่อขอพรท่านด้วย บวกกุศลอื่นๆ ด้วย

สำหรับคนเกิดวันศุกร์
ผู้ที่เกิดวันศุกร์ตั้งแต่วันที่ 1-10
สักการะพระพิฆเณศเป็นหลัก ด้วยกล้วยหอมหนึ่งหวี พวงมาลัยดอกดาวเรืองหนึ่งพวง เจริญสติปัญญาด้วยการนั่งสมาธิก่อนนอนทุกคืนไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ทำบุญชำระหนี้สงฆ์ ค่าน้ำค่าไฟ เพื่อเสริมดวงด้านการเงินที่มีมากมายหลายทางเหลือเกิน
ผู้ที่เกิดวันศุกร์ตั้งแต่วันที่ 11-20
บูชาพระพุทธชินราชที่วัดเบญจมบพิตร หรือที่พิษณุโลก ไหว้พระสวดมนต์กราบหมอนก่อนนอนทุกคืนจะดียิ่ง เน้นการสวดมนต์เป็นหลัก ประกอบบุญด้านอื่นด้วย
ผู้ที่เกิดวันศุกร์ตั้งแต่วันที่ 21-31
ระลึกถึงหลวงพ่อโสธรเป็นประธานหลักในการเจริญสมาธิ กำหนดภาพท่านไว้ไม่ให้ขาดทุกลมหายใจเข้าออกตอนปฏิบัติกรรมฐาน เน้นการนั่งสมาธิกำหนดภาพพระทุกคืนไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ให้ทานสัตว์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว นก ปลา เพื่อให้ชะตาเปิดรับโชคมากขึ้น

สำหรับคนเกิดวันเสาร์
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ตั้งแต่วันที่ 1-10
กราบไหว้บูชาพระปางป่าเลไลยน์ที่วัดใกล้บ้าน ขอพรจากท่านเป็นนิจจะเกิดอานิสงค์มาก น้อมถวายด้วยพวงมาลัยดอกมะลิ และเน้นการสวดมนต์เป็นประจำอย่าขาด
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ตั้งแต่วันที่ 11-20
เน้นปล่อยสัตว์เช่นนก ปลา  ช่วยชีวิตสัตว์ใกล้ตาย ไถ่ชีวิตโคกระบือ ซื้อปลาที่กำลังโดนฆ่าที่ตลาดมาปล่อยอานิสงส์จะแรงมาก ช่วยให้คุณรอดพ้นจากวิกฤตต่างๆ ได้ดี สักการะพระโพธิสัตว์กวนอิมเพื่อขอพร
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ตั้งแต่วันที่ 21-31
สรงน้ำพระพุทธรูปที่บ้าน ถวายด้วยดอกมะลิ ตามด้วยการสักการบูชาศาลหลักเมืองประจำจังหวัดตนเอง ปิดทองที่เสาหลักเมือง และอธิษฐานขอพร ชีวิตจะมีแต่สุขสมทั้งปี

สำหรับคนเกิดวันอาทิตย์
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ตั้งแต่วันที่ 1-10
เติมน้ำมันตะเกียง ถวายเทียน ตีระฆัง ปิดทองลูกนิมิต ชำระหนี้สงฆ์ ถวายพระปางนาคปรกพร้อมถังสังฆทาน และผ้าไตรอีกหนึ่งชุด ทำตามนี้มีแต่เฮง
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ตั้งแต่วันที่ 11-20
สักการะรอยพระพุทธบาท หรือพระบรมสารีริกธาตุที่วัดใดก็ได้เพื่อสิริมงคลในชีวิต ทานมังสวิรัติให้ได้ครบห้าวันในเดือนนี้จะติดกันหรือเว้นช่วงก็ได้ไม่เป็นไร ประกอบบุญอื่นๆ ด้วย
ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ตั้งแต่วันที่ 21-31
ให้ลดละกามารมณ์ให้ได้มากที่สุด เน้นสวดมนต์ นั่งสมาธิเจริญสติปัญญา ขอพรพระบรมสารีริกธาตุวัดใกล้ที่วัดใกล้บ้าน และพระโพธิสัตว์กวมอิมดวงชะตาจึงจะดีทั้งเดือน ประกอบกุศลอื่นๆ ด้วย

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

social enterprise อีกทีเถิด

ขอลั่นระทมสักหน่อย..
สำหรับโลกใบนี้...
การให้คืนกลับแก่สังคม..ดีทั้งนั้น
ในเชิงธุรกิจ..การให้.. มีแบ่งเป็นหลายอย่าง.. อย่างเป็นที่กังขากันอยู่ (ฉันสงสัยเธอ) คือ CSR (corporate social responsibility) กับ SE (social enterprise) ซึ่งต่างกันแน่ๆ อย่าสับสน อย่าสับสน มันปวดใจ..

CSR เป็นโครงการเพื่อสังคมของธุรกิจที่แสวงหากำไรสูงสุด...เพื่อกระเป๋าใครกระเป๋ามัน

SE เป็นธุรกิจแสวงหากำไร....เพื่อประโยชน์ของสังคม


เอาแค่นี้..ต่างกันไหม.. จะสร้างคนให้เป็น social entrepreneur จึงต้องขับเคลื่อน " ใจ " แบบมีนวัตกรรม..(ขอเน้นว่า แบบมีนวัตกรรม) เน้นแค่ใจอย่างเดียว อาจกลายเป็นติดสมถะเป็นพระ เป็นชีไป (ไม่ได้บอกว่าไม่ดี) สำหรับคนทั่วไปคงดีหละ...แต่คงเข้าข่ายคนดีที่ไม่มีนวัตกรรม คิดอ่านอะไรให้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ได้จริง...

ถ้าเราบอกว่า social entrepreneurship ต่อยอด แตกแขนง ขยายมาจากแนวคิด entrepreneurship มันต้อง focus อยู่ 3 เรื่องหลัก คือ

CHANGE

OPPORTUNITY และ

ORGANIZATION WIDE RANGE MANAGEMENT 

และต้องมีอีก 2 เรื่องจำเป็นที่ถือว่าอยู่ในข่ายเชิงประกอบการ.. entrepreneurship คือ

QUALITY & INNOVATION

จะเพื่อสังคม หรือ เพื่อกระเป๋าตัวเอง.. มีห้าตัวนี้เป็นได้ก็แล้วกัน.. ไม่มี ไม่ใช่เชิงประกอบการ ชีวิตนี้มันต้องมีคำจำกัดความ หลักเกณฑ์เสียหน่อย..เดี๋ยวจะคุยกันคนละเรื่อง

ส่วนการขับเคลื่อนใจแบบยุให้ กวาดบ้าน ทำความสะอาดองค์กร ปลูกต้นไม้ แล้วทำหนังสือเผยแพร่ประชาสัมพันธ์มาเล่มนึงสองสามเล่ม...มันจะเป็น social entrepreneur ได้อย่างไรตรงไหนหรือ.. เรียกกันแค่ว่า การ "ให้" จะดีกว่าไหม..หรือจะเก๋หน่อยก็ "คืนกำไรให้สังคม" ก็เหมาะเหม็งอีกนิด ไม่ต้องเสียเวลาแปลให้ปวดหัว...เพราะหานวัตกรรมไม่เจอ หา change ไม่เจอ.. change agent อยู่ที่ไหน

ชอบพี่ Milton Friedman ที่ว่า ธุรกิจเอกชนไม่มีกงการอะไรไปยุ่งกับการตอบแทนสังคม หน้าที่หลักคือสร้างกำไรตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นตามบทบาทหลักของตนเอง ไม่ต้องมือถือสากปากถือศีลมาก การบริหารอย่างมีประสิทธิภาพและธรรมมาภิบาลก็ถือว่าเป็น CSR แล้ว.. เอาแค่ไม่โกงภาษี โปร่งใสก็เด็ดจะแย่..แต่มีหลายคนกังขา..ก็ช่างเถิด 

คนเรามันไม่รู้จักพอ..เลยบอกว่า CSR ไม่พอ..ต้องเป็น social enterprise (ซึ่งงงกันหนัก..) เหมือนบอกไปแล้ว...(อยากบอกอีกที...) social enterprise เป็นธุรกิจเอกชนดีๆนี่เอง เป็นการทำมาค้าขาย สร้างกำไร (แต่ไม่สูงสุด) นำกำไรไปสร้างสรรค์สังคมแบบมีนวัตกรรมและสนับสนุนสิ่งแวดล้อมด้วย เป็น triple bottom line เป็น third sector .. social entrepreneur อยู่ใน sector นี้..      ( first sector คือ ภาครัฐ.. second sector คือ ธุรกิจเอกชนล้วนๆไม่ต้องแอบสังคม..แต่เผื่อได้พองาม ) บางคนเรียก ธุรกิจสังคมอริยะ.. ยิ่งยากไปกันใหญ่.. ยากไม่เป็นไร..อย่าสับสนใช้ได้ 

เรื่องแบบนี้ไม่ได้ใหม่..ทำกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว แต่จะทำทั้งที..เลือกให้ถูกเรื่อง พวกอาจารย์ทองนี่แหละตัวดี..เรียกผีผิดๆเข้าสิงคนขับเคลื่อน..เลยขับไปผิดที่ผิดทาง ทำเอาผู้ประกอบการงงกันทั่ว..คิดว่าตัวเองเป็น social entrepreneur ไปซะฉิบ.. ต้องกลับไปดูตัวเป็นๆอย่างในบ้านเราก็คุณมีชัย วีระไวทยะ หรือมองเลยไปนิด..บังคลาเทศ ก็พี่ Yunus แห่ง Grameen Bank ก็น่าจะชัดขึ้นว่าแบบนี้แหละเขาเรียกว่า social entrepreneur ที่สร้าง social enterprise เพื่อเขย่าความสมดุลระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยมไม่ให้เอียง ไม่ใช่การไถ่บาบที่ไปเอากำไรเขาไว้เยอะ... จบดีกว่า..เรียกอุเบกขามาหน่อยเถอะ..