ความเป็นมา
อยากเล่าถึงประสบการณ์และความรู้จากการที่ได้ใช้ชีวิต 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 23-27 พฤษภาคม 2548 ที่โรงพยาบาลจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้โครงการ “ซ่อมสุขภาพด้วยการสร้างสุขภาพ” ของฝ่ายการแพทย์ทางเลือกที่มีหมออุดม เกียรติวิชญ์ เป็นโต้โผใหญ่ (หมออุดมที่เป็นคนพิเศษมาก มีเรื่องนินทาอีกเยอะโปรดติดตามต่อไป) ที่ได้เข้าโครงการนี้ก็เป็นความอุปถัมภ์จากเพื่อนผู้มีพระคุณทั้งหลายที่เป็นแรงบันดาลใจ อันที่จริงเป็นแรงฉุดดึงทึ้งลากให้เข้าร่วมโครงการโดยเฉพาะอาจารย์จิ๋มที่ใช้พละกำลังที่เหลือเฟือของหล่อนผลักดันให้อีก 5 คนในกลุ่มเข้าไปอยู่ใน “ค่ายโหด มัน ฮา” แห่งนี้ จริง ๆ แล้วพวกเรา(ตอนนั้น) ก็อายุอานามไม่มากเท่าไหร่ เพียงแค่อีก 4-5 ปีก็จะถึง 50 เท่านั้น!! และยังไม่มีใครเดี้ยงจนต้องได้รับการบำบัด อย่างไรก็ตามพวกเรามีอาจารย์ป๋อม ที่ได้เข้าค่ายนี้มาก่อนแล้วและเธอเป็นแบบอย่างของคนรักสุขภาพเหลือเกินในกลุ่ม ที่คอยแทรกข่าวสารสุขภาพ วิธีการต่าง ๆ เข้ามาในความคิดอันมืดมนของเราอย่างแยบยล เราก็เลยเดินตามหล่อนเข้าไปเป็นรุ่นที่ 83 ของโครงการ ความตั้งใจแรกของเรา 4 คน คือจะลดความอ้วน อีก 2 คนนั้นก็คงเป็นเหตุผลทางสุขภาพคืออยากแข็งแรง ไอ้ที่ว่าอ้วนนั้นบางคนก็อ้วนเอาจริงเอาจัง บางคนก็อ้วนลงพุง คุณโอโมนั้นน้ำหนัก 117 กิโลกรัม อันนี้อ้วนสุด นอกนั้นก็รอง ๆ ลงมาก็เลยคิดว่า เอาละวะแค่ 5 วันลดลงซัก 2-3 กิโลก็โอแล้ว จองที่กันมาตั้งแต่มกราคมต้นปีไม่มีว่างเลย จนกระทั่งโชคดีบุญทำกรรมแต่งมาดี ได้เข้าร่วมอยู่ในโครงการเดือนพฤษภาคม ตัวเองนั้นชอบสูบบุหรี่เป็นอาจิณ ทีแรกก็คิดว่าตายแน่แต่ก็ทนแรงเว้าวอนจากเพื่อน ๆ ไม่ได้ เลยยอม ๆ ไปก่อนอย่างเก่งก็กลับบ้านก่อนเวลาอันควร ไม่เห็นจะยาก (อันนี้คิดจริง ๆ จึงบอกกันว่าเอารถไปสองคัน เผื่อใครทนไม่ได้จะได้บ๊ายบาย ไม่เสียน้ำใจกัน)
ข้อคิดที่ 1 :
เพื่อนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เพื่อนดีเป็นพรอันประเสริฐ
เพื่อนดีย่อมนำเราไปสู่ประตูสวรรค์
เพื่อนดีย่อมบังคับขู่เข็ญเราได้
เพื่อนดีย่อมร่วมทุกข์ร่วมสุข เสียสละ ช่วยเหลือกัน
วันแรกของค่าย
ตื่นกันตั้งแต่ตีห้า รวมพลพรรคและขับรถ 2 คันตามกันไป ไม่อยากบอกเลยว่าคืนก่อนนี้รับประทานสั่งลาอาหารกันเพียบที่ร้านอาหารอิตาเลียน ทั้งออโซปูโก้ พาสต้าครีมสุด ๆ ซุปทะเลและขนมปังทอด โอย !! เพียบจาระไนไปก็อายเขา ยังคิดอยู่ว่าจะลดความอ้วนได้อย่างไร เพราะไอ้ที่กินกันเข้าไปถ้าจะอยู่ในพุงไปอีก 3 ปีแน่ ๆ ยังไม่นับ swing ที่กินแกล้มอาหารอีก เฮ้อ! จริง ๆ แล้วแบบนี้เป็นพฤติกรรมการกินของพวกเราอยู่แล้วเวลา เจอกัน ซึ่งเจอกันบ่อย ๆ ไอ้ความคิดลด ละ เลิก อยู่ในจิตสำนึกของเราเสมอ แต่บังเอิญมันมีคำว่า “เลิกลด” มาต่อท้ายเลยวนเวียนกินกันอยู่อย่างนี้ ในระหว่างเดินทางต่างคนก็ต่างคุยกันให้ลืม ๆ กันว่าจะเข้าค่าย คิดว่าเหมือนไปเที่ยวกัน ไปกินนอนด้วยกันซัก 5 วัน เป็นการปลุกใจตัวเองและพรรคพวก ก่อนเข้าโรงพยาบาลเราได้แวะไหว้พระธาตุจอมทอง สำหรับคนอื่นนั้นไม่ทราบว่าอธิษฐานอะไรกันบ้างแต่ของตัวเองนั้น ขอกำลังใจให้อยู่ครบทั้ง 5 วัน หลังจากไหว้พระสบายใจกันแล้ว ชักหิวกันขึ้นมาจึงหาร้านกินข้าวเช้าก็เป็นร้านข้างวัด เพราะขับรถวนไปวนมาหลงหาร้านที่เขาบอกว่าอร่อยข้างโรงพักไม่เจอ ขนาดอาหารธรรมดาก็หลากหลายอย่างที่สั่งมากินกัน เช่น ลาบคั่ว แกงจืดผักกาดดอง ไข่พะโล้ขาหมู แกงอ่อมหมู ไข่เจียว ก็อร่อยกันไปตามอัตภาพ อิ่มหนำสำราญเสร็จตัวเองก็อัดบุหรี่เพื่อจะอยู่ได้อีก 5 วัน โดยปราศจากควันพิษที่ชื่นชอบ
ข้อคิดที่ 2 :
ไม่รู้จะกินเข้าไปทำไมตั้งเยอะแยะ
กินมาก ๆ ก็อืดท้องอึดอัด พุงป่องโดยใช่เหตุ
เมื่อถึงโรงพยาบาลก็เข้าไปรายงานตัวกับบรรดาพยาบาล ซักประวัติ ชั่งน้ำหนัก วัดรอบพุง เอ็กซเรย์ร่างกาย ฯลฯ ต้องยอมรับว่าระบบการจัดการของฝ่ายแพทย์ทางเลือกนั้นมีการจัดคิวเป็นกลุ่มที่ดีจริง ๆ กล่าวคือคุณพยาบาลก็แบ่งเราเป็นกลุ่ม ๆ รุ่น 83 นี้มีทั้งหมด 13 คน (เลขดีซะด้วย) เราเห็นหน้าเพื่อนร่วมรุ่นเราอีก 7 คนก็รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น เพราะอาวุโสกว่าพวกเราทั้งนั้น ในขณะที่คนหนึ่งซักประวัติ อีกคนก็ชั่งน้ำหนัก อีกคนก็ไปวัดรอบพุง อีกคนก็ไปเอ็กซเรย์ ทำการเหมือน assembly line คือสายพาน ทะยอยกันไป ไม่ต้องรอให้หงุดหงิดและยังมีคุณพยาบาลคอยดูแลพาไปยัง station ต่าง ๆ และให้คำแนะนำตอบคำถามได้ชัดเจนเวลาเราเกิดสงสัยอะไรขึ้นมา
ข้อคิดที่ 3 :
ระบบการจัดการที่ดีทำให้เราไม่หงุดหงิด
ระบบการจัดการที่ดีทำให้เราสบายใจ
การบริการที่เป็นมืออาชีพ ยิ้มแย้ม จริงใจทำให้เราไม่ประสาทกิน
เมื่อกระบวนงานการแปลงเราให้กลายเป็นคนไข้เรียบร้อยแล้วอย่างเป็นทางการ(เพื่อจะได้เบิกประกันหรือหากเป็นข้าราชการจะได้ทำตั้งเบิกได้) คุณพยาบาลและผู้ช่วยก็ทะยอยพาเราขึ้นไปยังหอพิเศษของการแพทย์ทางเลือก ช่วยเรายกกระเป๋าพาเราไปยังห้องพัก ความรู้สึกแรกคือสะอาดจัง ไม่มีกลิ่นเหมือนโรงพยาบาลเลย (ค่อยยังชั่ว) ถึงแม้ห้องพักจะเป็นห้องพักคนไข้โรงพยาบาล เขาบอกเราว่าหอพักนี้ใหม่ค่ะ (แปลว่ายังไม่มีใครตาย) กลุ่มเราเป็นกลุ่มกลัวผีเป็นอันมาก นี่เป็นความลับที่ไม่ได้บอกหมอ ไม่เช่นนั้นอาจถูกเยาะเย้ยได้ เราจึงเตรียมพระมาเพียบเป็นกำลังใจ อุ่นใจ แหม! ก็โรงพยาบาลมันก็ต้องนิดนึง ทุกคนก็เข้าไปพักในห้อง สำรวจกันใหญ่ว่าห้องเหมือนกันหรือไม่ ปรากฏว่าไม่เหมือนเพราะมีห้องประเภท VIP และ deluxe แล้วแต่จองมาราคาต่างกันเล็กน้อย แต่ที่ต่างกันมากคือ วิว ซีกห้อง deluxe เป็น mountain view และแถวห้อง VIP เป็นวิวทุ่งนา นอกจากนี้ต่างกันที่เฟอร์นิเจอร์และขนาดของทีวี แต่ตรงนี้ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เพราะเราไม่ค่อยได้อยู่ห้อง ไม่ค่อยมีเวลาชื่นชมกันนัก เราได้อยู่จริงๆเวลานอนหลับเพราะกิจกรรมทั้งหลายของคุณพยาบาลและคุณหมอที่ทำให้เราไม่มีโอกาสนอนแผ่ได้นาน ๆ ห้องพักก็เหมือนกับห้องในโรงแรมเพียงแต่เตียงนั้นทำให้เราตะขิดตะขวงใจตอนแรกเล็กน้อยเพราะเป็นเตียงมีล้อเป็นเตียงคนไข้จริง ๆ
ข้อคิดที่ 4 :
สถานที่ไม่สำคัญเท่ากิจกรรม
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเตียงธรรมดาได้จะเป็นพระคุณ
ทีนี้ก็มาถึงการปฐมนิเทศ เรามีคุณพยาบาลมาแนะนำว่าต้องทำตัวอย่างไรใน 5 วัน มีกฎเหล็กอะไรบ้าง มีโปรแกรมอะไรบ้าง อะไรที่เสียเงินเพิ่ม กินอย่างไร นอนอย่างไร อย่างละเอียดลออ ทุกคนเข้าใจและยินดีปฏิบัติมีการซักถามพอสมควร พวกเราถึงขั้นโล่งใจเพราะคิดว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกทั้งผู้อาวุโสทั้งหลายที่ร่วมชะตากรรมเขายังดูยินดีปรีดา เราจะมายึกยักคงไม่งามก็เลยร่วมด้วยช่วยกันไป เสร็จจากนี้ก็พากันไปรับประทานอาหารกลางวัน เป็นอาหารที่จืดซะไม่มี แต่คุณพยาบาลว่าเป็นประโยชน์ก็เลยต้องกิน จึงปลอบใจกันว่า ก็ดีเรากินอะไรที่เป็นพิษมามากแล้ว ลองกินที่มันดีต่อสุขภาพคงไม่ถึงกับลงแดงตาย ก็กินกันอย่างเรียบร้อย ที่นี่จัดเป็นบุพเฟต์ ถ้ามีข้าวก็จะเป็นข้าวกล้องเสมอกับข้าวก็จะเป็นผัดผักไม่มัน ต้มหรือแกงจะมีแต่ปลา อย่าได้หวังว่าจะเจอหมู เนื้อ ไก่ ใด ใดทั้งสิ้น และไม่มีน้ำปลาด้วย แต่มีผลไม้คือมะละกอกับฝรั่งเพียบ เชิญกินให้เต็มพุง ช่วงบ่ายของวันแรกเราก็จะเจอกับการวัดสมรรภาพของร่างกาย มีการวัดอยู่ 3 แบบช่วงนี้คือวัดความเร็วและการปรับตัวคือเดินข้ามตารางสี่เหลี่ยม 9 ช่อง ผู้หญิงกับผู้ชายจะมีช่องเล็กใหญ่ต่างกัน เป็นการก้าวข้ามตารางกลับไปมา อันนี้อาจารย์จิ๋มทำได้คล่องราวกับทำมาตั้งแต่เกิด วัดความยืดหยุ่นคือการนั่งเหยียดขาแล้วก้มตัวยืดมือให้ถึงไม้ที่เขากั้นไว้ อันนี้เกือบตาย เกือบถอดใจ เจ็บหลัง ตึงแขนไปหมดเพราะให้นิ่งไว้เวลาก้มตัว เกิดการหงุดหงิดโมโหเล็ก ๆ เพราะคิดว่านี่มันอะไรกันนักหนา ไม่อยากทำแล้วเมื่อย เซ็งแต่ก็เห็นเขาทำกันทุกคนเลยฮึดบ้าง เฮ้อ! ตัวเองนั้นยืดไม่ถึงแน่ ๆ ก็คิดว่าช่างมัน แต่คุณพยาบาลเขาก็ดีไม่บังคับมากคงเป็นวันแรก อย่างที่สามเป็นการวัดน้ำอดน้ำทนคือคล้าย ๆ กับการ sit up ภายใน 1 นาที ทำได้ 20 ครั้งจะตายเอา ถึงขั้นนอนแผ่ คุณพยาบาลก็บอกว่ายังเหลืออีก ยังไม่ครบ 1 นาทีพยายามหน่อยค่ะ ก็ทำได้อีก 3 ที พอแล้ว เลิกกัน! ทุกอย่างมีการจดบันทึกสถิติไว้ (คงไว้ให้หมอมาประจานเราทีหลัง) ยังไม่พอ คุณหมอเริ่มเข้ามาในห้องทำการเปิดดู chart ต่าง ๆ ง่วนอยู่ที่จริงอาจแอบดูพวกเราว่ามันทุเรศทุลังกาขนาดไหน พอจะเยียวยารักษาบำบัดได้หรือไม่ คุณพยาบาลก็ต้องให้เรานอน อ้อ! เปลี่ยนชุดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียก่อน เขาให้เตรียมมาคือชุดรัดรูป สายเดี่ยว ส่วนผู้ชายไม่ต้อง ถอดเสื้อเป็นเห็นหมดเพื่อให้หมอมองเห็นความจริงตามธรรมชาติ นี่คงทำให้หมอปลงไปได้มากเพราะแต่ละคนดูไม่จืดเลย หลังโกง พุงป่อง ตัวเบี้ยว สารพัด เขาให้นอนแบบราบ ลุก โก้งโค้ง ยืน เดินกลับไปมา ตอนนี้มีการบันทึกภาพด้วยวิดีทัศน์อีกต่างหาก
ข้อคิดที่ 5 :
เรานี่มันสมรรถภาพทางกายต่ำจริง ๆ figure ทุเรศจริง ๆ
สมควรมาเรียนรู้ปรับสมดุลร่างกาย
เมื่อครบถ้วนทุกคนแล้วเราก็มารวมกันฟังคำวิพากษ์และข้อแนะนำจากคุณหมออุดมอย่างถึงพริกถึงขิง เธอก็เริ่มแนะนำตัวตามธรรมเนียมด้วยท่าทางมั่นใจแต่ไม่ไร้สติ มีเหตุมีผลเป็นอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสนั่งเก้าอี้ พวกเรานั่งบนเตียง เป็นกลุ่มที่ดูทรุดโทรมและสิ้นหวัง เพราะเพิ่งผ่านการทดสอบสมรรถภาพและเริ่มรู้ความจริงของร่างกายตัวเอง คราวนี้ก็ฉายภาพเป็นรายบุคคล โอ้โห! เจ้าคนถ่ายวิดิทัศน์นี่ช่างเจาะภาพดีๆทั้งนั้น น่าเกลียดพิลึกกึกกือแต่ละคนดูไม่ได้เลย ไม่ใช่เรื่องสรีระอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องโครงสร้างของพวกเราที่ใช้งานกันมานานแบบไม่รู้ตัวว่าใช้อวัยวะ กระดูกกระเดี้ยวอะไรบ้างที่หนักหนากว่ากัน จนทำให้ส่วนของร่างกายไม่สมดุล หลังข้างซ้ายโป่งกว่าข้างขวา เท้าเอียง กระดูกบิด เดินเอียง คอเบี้ยว ฯลฯ ทุกอย่างมีเหตุผลที่คุณหมออธิบายอย่างจะแจ้งว่าเราไม่ได้นึกถึงความสมดุลเวลาใช้งานอวัยวะของเรา ตั้งแต่การนอน นั่ง ยืน เดินหิ้วของและสารพัด การอธิบายของคุณหมอสุดยอดของการอธิบาย simple realistic & sarcastic ในขณะเดียวกัน ทิ่มแทงเหลือเกินแต่เราก็สนุกสนานและได้ความรู้เป็นอย่างมาก ทำให้เราต้องระวังตัว หมายถึงอิริยาบถตลอดเวลากลัวหมอว่าเอา คุณน้องมนตรีเผลอนั่งพับเพียบคุณหมอเธอก็จะบอกว่า เนี่ย! เอียงเชียว มีผลต่อกระดูกนะ เป็นต้น พูดง่าย ๆ คือตาเธอเป็นเรดาร์สังเกตทุกอย่าง ทำให้ทุกคนต้องทำเป็นรู้ตัวตลอดเวลาว่าต้องปรับสมดุลโครงสร้างตัวเอง ซึ่งก็เห็นดีเห็นงามกับคุณหมอทุกประการไม่ใช่เชื่อคนง่ายแต่มันจริง เพราะอะไรก็ตามเริ่มต้นก็ต้องมีโครงสร้างที่ดี อย่างอื่นถึงจะดีตาม ที่จริงอยากอธิบายอีกมากแต่มันเรียนรู้เยอะจริง ๆ เขียนไม่หมด ของอย่างนี้ต้องลองเอง learning by doing บอกไปก็เท่านั้น มันไม่ซึ้ง
ข้อคิดที่ 6 :
ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง
ต้องรู้ตัวเอง ปรับสมดุลตัวเอง
เห็นจะแจ้งในรูปลักษณ์ โครงสร้างตัวเองแล้วต้องแก้ไขเองอีกต่างหาก
ตอนเย็นคุณพยาบาลก็เกณฑ์เราออกไปเดินวัดสมรรถภาพอีก คราวนี้เป็นการเดินเพื่อบันทึกสถิติของแต่ละคน เกิดมาไม่เคยเดินไกลอย่างนี้เลย เดินไป 1.6 กิโลแบบเร็ว ผลปรากฏว่ามีผู้ฟิตอยู่ 4 คนที่เดินจริงจังคือ คุณหมวยน้อย-รายนี้จริงจังตลอดตั้งแต่เกิด คุณไพบูลย์-จากเมืองสุพรรณ อาจารย์จิ๋มและคุณติ๋ม-Tour de France นอกนั้นก็ชมนกชมไม้ หอบหืดกันเป็นแถว ถึงขั้นโทรมเพราะเหนื่อยจริง ๆทำอะไรไม่รู้สารพัดตั้งแต่เช้าจนเย็น ไม่ได้ฟุ้งซ่านคิดเรื่องอื่นเลย คิดแต่ฉันจะรอดได้อย่างไรในแต่ละกิจกรรม มีบ่นด่ากันเองบ้างเล็กน้อยในกลุ่ม แต่ก็มีรสชาติใหม่ของชีวิต สนุกสนานดี ได้พ้นจากงานประจำวันที่จำเจและเหนื่อยหนักสมอง อันที่จริงแล้วอยากสารภาพว่ามีการผ่อนคลายประสาทมาก (เพราะตัวเองทำงานแบบประสาทกินมาตลอด สมองไม่เคยพัก อยู่กับคอมพิวเตอร์มาทั้งปีทั้งชาติ ไม่เคยเห็นเดือนตะวัน-อันนี้มากไปหน่อย) หลังจากนั้นก็กะปลกกะเปลี้ยขึ้นไปบนหอพิเศษ เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ถึงจะจืดแต่ก็เริ่มอร่อยแล้วและชี้ชวนกันชิมนู่นนี่ได้บ้าง มันเป็นอาหารแปลกใหม่สำหรับเราทีเดียว
ข้อคิดที่ 7:
อาหารดีย่อมไม่อร่อยมาก
อาหารอร่อยมากคงไม่ดีเท่าที่ควร
อย่านึกว่าจะได้นอนแผ่สบายในห้องหอเพราะหลังจากนี้คุณพยาบาลก็เรียกพากันไปทำกิจกรรมอีก แต่ตอนนี้ดีหน่อยเพราะเป็นการนวดและ/หรือฝังเข็ม แต่ไม่บังคับ ใครอยากทำอะไรก็ทำไปตามจริตของตัว ใครอยากนวดเท้า นวด ใครอยากนวดน้ำมัน นวด ใครอยากนวดไทย นวด ใครอยากฝังเข็มกับคุณหมอก็ฝัง กลุ่มเราเลือกนวดน้ำมันและฝังเข็ม ตอนนวดน้ำมันนั้นสนุกผ่อนคลายดีมาก สบายเหลือเกิน น้อง ๆ นักนวดของเราเก่งจริง ๆ ตั้งใจและจริงจังกับการนวดตัวเรามาก แต่ตอนฝังเข็มนี่ซิ สยองเล็ก ๆ เพราะไม่เคยฝังเข็มมาก่อนในชีวิต คุณหมอให้ทำสมาธิเพื่อประโยชน์ของการรักษา จริง ๆ แล้วตัวเองเครียดมากจากการโดนขอร้องแกมบังคับให้ออกกำลังกายจนไมเกรนรับประทาน เนื่องจากชีวิตนี้ไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำอะไรเหมือนคนอื่น ดมยาหม่องช่วยชีวิตและแอบกินยาไมเกรนไป 2 เม็ด ก็ยังไม่หาย โดนคุณหมอปักหัวไป 2 เข็ม ปักแขน ปักเท้า เฮ้อ! สบายจังหมายถึงหลังจากนั้น ตอนฝังเข็มกลัวหน่อย ๆ แต่พยายามทำสมาธิให้นิ่ง ใจกล้า ๆ ไว้ ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีโดยคุณหมอ hi touch-low tech มันรู้สึกจริง ๆ ว่า แหม คุณหมอตั้งใจและหวังดีให้ความอบอุ่นเหลือเกิน เพราะคุณหมอต้องมีสมาธิมากกว่าเรา ไม่งั้นคงปักผิด ๆ ถูก ๆ หลังจากนี้นึกว่าจะได้นอนอาบน้ำสบาย เฮ้อ! ต้องมารวมกันฟังวิธีอาบน้ำ “อาโปบำบัด” พร้อมกับน้ำผัก 1 แก้ว อร่อยดี แต่อาจารย์จิ๋มเธอไม่ชอบเลย อยากรู้ต้องลองเองว่าอาโปบำบัดเป็นอย่างไร โอ้โห! เป็นวิธีที่ลูบไล้ตัวเองที่มีจุดประสงค์ในเชิงสร้างสรรค์จริง ๆ เกี่ยวกับตุ่มน้ำเหลือง น้ำลายไปซะอย่างนั้น
อาโปบำบัด (วารีบำบัด)
- การอาบน้ำเย็น มีผลช่วยเสริมสร้างร่างกาย ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า การอาบน้ำเย็นในระยะแรก ทำให้เส้นเลือดหดตัว หลังจากนั้นจะขยายตัว ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น การไหลเวียนดีขึ้น ดังนั้นในตอนเช้าควรอาบน้ำเย็น เพื่อให้การไหลเวียนดีขึ้น เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า มีการศึกษาพบว่าการอาบน้ำเย็น 30 วินาที – 1 นาที ช่วยให้อาการหอบหืดลดลง การหายใจดีขึ้น
- การอาบน้ำร้อน ทำให้เลือดคั่งตามผิวหนัง เลือดไม่หมุนเวียนทำให้อ่อนเพลีย ความคิดเฉื่อยเนือย ร่างกายไม่กระปรี้กระเปร่าและอารมณ์ซึมเศร้า การอาบน้ำร้อนในระยะแรก เส้นเลือดจะขยายตัว ซึ่งทำให้รู้สึกสบาย หลังจากนั้นจะหดตัวนานถึง 20 นาที ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการซึมเซา อ่อนเพลีย และอยากหลับ ดังนั้นตอนเย็นและตอนค่ำควรอาบน้ำร้อน แต่ควรใช้เวลาสั้นที่สุดประมาณ 2 – 10 นาทีก็พอ
- การอาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็น อาบน้ำร้อนทำให้เส้นเลือดผิวหนังระดับตื้นขยายตัว เลือดมาออกันที่เส้นเลือดผิวหนังระดับตื้น ผิวหนังบริเวณนั้นจะแดง มีเม็ดเลือดขาวมาออยู่ในเส้นเลือดมากด้วย เมื่ออาบน้ำเย็นสลับทำให้เส้นเลือดดังกล่าวหดตัว เลือดจะถูกสูบฉีดกลับเข้าสู่ส่วนกลาง เพื่อเข้าสู่อวัยวะสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ตับ ไต การอาบน้ำร้อน/เย็นสลับกัน ช่วยลดการอักเสบและเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว (ภูมิคุ้มกันของร่างกาย-ฝึกทหาร) เพื่อให้อวัยวะภายในแข็งแรง และร่างกายสดชื่นผ่อนคลาย กระปรี้กระเปร่า การอาบสลับต้องใช้เวลาสั้น ๆ อาบน้ำร้อน 2 – 10 นาที สลับกับอาบน้ำเย็น 1 - 3 นาที
- การอบสมุนไพร อาบน้ำเย็นก่อนการอบสมุนไพร อบสมุนไพรขณะร้อน 2 – 10 นาที แล้วมาอาบน้ำเย็น 1 – 3 นาที พักสักครู่ เข้าไปอบใหม่ ปฏิบัติ 3 รอบ จบลงด้วยอาบน้ำเย็นซึ่งจะส่งผลให้เลือดหมุนเวียนตลอดเรือนร่าง ร่างกายทำงานได้ดี มีชีวิตชีวา หากอบร้อนอย่างเดียวจะเกิดความอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
- การประคบร้อน/เย็นหลังเกิดอุบัติเหตุ ใน 48 ชั่วโมงแรกประคบเย็น เพื่อให้เลือดแข็งตัวเป็นการห้ามเลือดและลดอาการบวม หลังจาก 48 ชั่วโมงใช้ประคบหรือแช่น้ำร้อน/เย็น สลับกันวันละ 2 ครั้ง ประคบร้อน 2 – 3 นาที สลับกับประคบเย็น 1 – 2 นาที 3 รอบ จบลงด้วยประคบเย็น
- การถูผิวหนัง คือการใช้มือลูบผิวหนังจากส่วนปลายเข้าสู่หัวใจ เพื่อเป็นการกระตุ้นการทำงานของระบบน้ำเหลืองและการถ่ายเทของเสีย
วิธีปฏิบัติ
- ลูบตัวขณะตัวแห้ง น้ำหนักมือพอสบายไม่ลูบแรงเกินไป ลูบแบบลากยาว ๆ ลูบจากส่วนปลายเข้าหาหัวใจ ควรทำ ทั้งตัว 3 รอบ
- ลูบจากปลายมือขวา แขนขวา ไหล่ขวา เข้าหัวใจ ใบหน้าซีกขวาลูบลงมาลำคอเข้าสู่หัวใจ ลูบชายโครงขวา หลัง และหน้าอกขวาเข้าสู่หัวใจ
- ลูบจากแขนซ้าย ไหล่ซ้าย เข้าหัวใจ ใบหน้าซีกซ้ายลูบลงมาลำคอซ้าย ลูบชายโครงซ้ายหลังและหน้าอกซ้ายเข้าสู่ หัวใจ รวมทั้งปลายเท้า ขา สะโพก และท้องเข้าสู่หัวใจ
- เน้นบริเวณข้อพับต่าง ๆ ให้คลึงเบา ๆ
- ควรลูบผิวหนังก่อนอาบน้ำและก่อนอบสมุนไพร (อาจทาขมิ้น/มะขามเปียกในลักษณะลูบขึ้น)
ข้อคิดที่ 8:
เราไม่ได้ทำอะไรดี ๆ ให้ตัวเองมานานมาก
การเข้าค่ายโหด มัน ฮานี้เป็นสิ่งดีสิ่งหนึ่งที่อุบัติขึ้นในชีวิต
ทำให้เรามองตัวเอง รู้สึกตัวเองต่างไปจากทุกวัน
ทำให้อยากทำดีกับตัวเอง
เออ...ยังไม่ได้สูบบุหรี่สักตัวเลย
วันนี้มีสอนหายใจด้วยตามเอกสารโรงพยาบาลที่ลอกมาเป๊ะดังนี้
อากาศ/อารมณ์ การเสริมสร้างพลังชีวิต
สังคมตะวันออกตั้งแต่หลายพันปีก่อนมาแล้ว มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างสมดุลอยู่ได้ขึ้นอยู่กับพลังแห่งชีวิตที่มีการเคลื่อนไหวและไหลเวียนอยู่ในทุกส่วนของร่างกายและภายนอกร่างกายอยู่ตลอดเวลา เป็นพลังพื้นฐานของชีวิตที่ทุกคนต้องมีอยู่ นั่นคือพลังลมปราณในวัฒนธรรมอินเดีย พลังชี่กงหรือกี่ของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น นักปราชญ์ศาสดาที่อินเดียเชื่อว่าปราณ ชี้บ่งชีวิต ดังนั้นควรฝึกควบคุมลมหายใจหรือที่เรียกว่าปราณยาม เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุลแก่ชีวิต
วิธีการหายใจแบบโยคะที่ใช้กันมานาน มีหลักการย้ายรูจมูกข้างใดข้างหนึ่งหายใจ ปัจจุบันการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มีการพิสูจน์ได้บ้างแล้วว่า เช่นการทำงานของประสาทอัตโนมัติซิมพาเธติค ที่สลับกับประสาทพาราซิมพาเธติคหรือระดับสูงกว่านั้นคือระดับของกาย/จิต หรือระดับองค์รวมของชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงระดับของจังหวะและความสัมพันธ์ระหว่างกันของดวงดาว ดวงอาทิตย์ กับโลกและดาวเคราะห์อื่น ๆ
รูจมูกขวา พระอาทิตย์ ความร้อน
รูจมูกซ้าย พระจันทร์ ความเย็น
- กผะ ธาตุดิน + น้ำ = ความเย็น
หายใจเข้าทางรูจมูกขวาก่อน หายใจออกทางรูจมูกซ้าย เพื่อสร้างความสมดุลโดยนำความร้อนเข้าร่างกาย
- ปิตตะ ธาตุไฟ = ความร้อน
หายใจเข้าทางรูจมูกซ้ายก่อน หายใจออกทางรูจมูกขวา เพื่อสร้างความสมดุลโดยนำความเย็นเข้าร่างกาย
- วาตะ ธาตุลม
หายใจเข้า-ออก สลับรูจมูกกัน
หายใจสมบูรณ์แบบโยคะ หน้าอกขยายขึ้น เวลาสูดลมหายใจเข้า พร้อมทั้งชายโครงขยาย+ท้องป่อง
ได้มีการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับการหายใจขึ้นในห้องทดลอง โดยอาศัยหลักการและวิธีการโยคะปฏิบัติที่เรียกว่า สวารโยคะ (Svar Yoga) เป็นการเน้นการหายใจด้วยรูจมูกเพียงข้างเดียว
ผลการศึกษาที่วิจัยที่พิสูจน์ได้บางส่วน สนับสนุนทฤษฎีและความรู้ทางโยคะอย่างสอดคล้องกันคือ สมองซีกซ้ายควบคุมการใช้ความคิดเชิงใช้เหตุผล คณิตศาสตร์ การพูดในที่สาธารณะ หากต้องการให้สมองซีกซ้ายเป็นฝ่ายนำ ให้หายใจเข้า-ออกแรง ๆ ผ่านรูจมูกข้างขวาข้างเดียว โดยใช้นิ้วอุดรูจมูกข้างซ้ายไว้ให้แน่น ในทางตรงกันข้าม เมื่อต้องการให้สมองซีกขวาเป็นฝ่ายนำ ซึ่งควบคุมในเรื่องความประณีต ศิลปะ วรรณกรรม การใช้ชีวิตประจำวัน ให้ใช้รูจมูกซ้ายหายใจ โดยเอานิ้วปิดรูจมูกด้านขวาให้แน่น
วิธีปฏิบัติ : เริ่มด้วยการผ่อนคลายร่างกาย หายใจเข้า-ออกช้า ๆ ยาว ๆ เบา ๆ ปล่อยใจว่าง ๆ และน้อมนำพลังชีวิตเข้าสู่ตัว หายใจเข้าช้า ๆ จนสุด กลั้นไว้สักครู่ (นับ 1 – 3) ค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกช้า ๆ จนสุด กลั้นไว้สักครู่ (ถ้าอึดอัด ก็งดเว้นการกลั้นหายใจออกสุด) แล้วเริ่มหายใจเข้าใหม่ ทำช้า ๆ สบาย ๆ อย่าทำจนแน่นหน้าอก
อย่าเครียด อย่าเกร็ง อย่าหายใจเข้า-ออกยาวมากจนอึดอัด
การฝึกเพื่อเสริมสร้างพลังชีวิต เกิดประโยชน์ดังนี้
- เพิ่มประสิทธิภาพในการหายใจ ประหยัดพลังงานที่ใช้ ยืดเวลาความเป็นหนุ่มสาว
- เพิ่มความสามารถในการใช้ความคิดในเชิงเหตุผล ด้วยวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
- เพิ่มความอ่อนโยน เยือกเย็น ความมีอารมณ์สุนทรียะ ความประณีต การใช้ชีวิตประจำวัน
- ลดความประหม่า ลดอารมณ์ตื่นเต้นอ่อนไหว
- บริหารจิตใจ จิตใจจะสงบจากอารมณ์ต่าง ๆ ได้พักใจ ทำให้มีกำลัง มีพลัง มีอำนาจขึ้น
- ร่างกายทำงานอย่างสมดุล เป็นปกติสุข
- ปฏิบัติ 15 นาทีขึ้นไป ทำให้ T – CELL ทำงานมากขึ้น (เพิ่มภูมิต้านทาน) และ Endorphin หลั่งมากขึ้น (กระตุ้นความเบิกบาน)
ส่วนเรื่องจิต/อารมณ์ เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งทีเดียวสำหรับการพัฒนาด้านจิตใจ เพราะจิตใต้สำนึกของเรานั้นยังเป็นดินแดนลี้ลับรอการค้นหาและทำความเข้าใจอีกมาก
มีรายงานการวิจัยหลายต่อหลายฉบับที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับโรคหัวใจ พบว่าคนที่เป็นโรคหัวใจร่วมกับมีอารมณ์เครียดทำให้มีอัตราตายเพิ่มขึ้นกว่าคนที่เป็นโรคหัวใจทั่วไปถึง 2 เท่า และกลุ่มโรคเครียดก็เป็นดัชนีทำนายอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงด้วย ยังมีการตรวจพบว่าความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นหลังการมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงครั้งแรก บ่งชี้ว่าจะมีโอกาสเป็นครั้งต่อไปได้ง่ายกว่าธรรมดา
อารมณ์โกรธ มีความสัมพันธ์กับอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ การมีอารมณ์โกรธอยู่เสมอทำให้ผู้ที่มีอาการของเส้นเลือดหัวใจตีบอยู่แล้วเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากยิ่งขึ้น อารมณ์โกรธจึงไม่ใช่อารมณ์ที่ดีต่อสุขภาพนัก เพราะความโกรธและความวิตกกังวลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการไหลเวียนโลหิต ภายในผนังกล้ามเนื้อหัวใจปริมาณเลือดที่ถูกสูบฉีดออกมาก็เปลี่ยนไป ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขณะที่เกิดความเครียดจะลดลงได้มากถึงร้อยละ 50
ภาวะซึมเศร้าก็เช่นกัน มีผลรายงานที่ศึกษามากว่า 8 ปี ยืนยันว่าภาวะการซึมเศร้าก่อให้เกิดโรคหัวใจ พบว่าคนที่หมดพลังในการทำงานหรือดำเนินชีวิต จะมีโอกาสสูงในการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือในผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า ก็จะมีความเสี่ยง 3 – 4 เท่าที่จะเกิดโรคหัวใจในภายหลัง ภาวะซึมเศร้าทำให้การเต้นของหัวใจผิดไปจากปกติ การไหลเวียนโลหิตภายในกล้ามเนื้อหัวใจไม่คล่องตัว ผลที่ตามมาคือการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ เส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจตาย นอกเหนือจากมีผลกระทบต่อหัวใจแล้ว ยังลดการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองด้วย ส่งผลให้มีโอกาสเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบแคบ สมองขาดเลือดไปเลี้ยงตามมา
จิตนั้นอยู่คู่กับกายเสมอ และยังมีผลโดยตรงต่อร่างกายอย่างมาก จิตที่เศร้าหมอง หดหู่หรือคิดร้ายจะทำลายสุขภาพของเรา ในขณะที่จิตที่คิดดีจะช่วยส่งเสริมสุขภาพได้ จิตกับสมองมีการเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน มีการทดลองมากมายที่แสดงให้เห็นว่าจิตมีอิทธิพลในการหลั่งสารฮอร์โมนจากสมอง จิตที่คิดในแง่บวกจะสั่งให้สมองหลังสารแห่งความสุขจำพวกเอนโดฟินออกมา แต่จิตที่คิดในแง่ลบ อารมณ์เครียด จะทำให้สมองหลั่งสารทุกข์จำพวกอะดรีนาลินิกมาทำลายภูมิต้านทานของตนเอง
วิธีการคิดในแง่บวกนั้นคือการสั่งจิตสำนึกของเราที่ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีดีอยู่เสมอ สิ่งที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ สิ่งนั้นก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายต่อไป อาจกลายเป็นบันไดไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคตได้ หลาย ๆ คนลองทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตของตน พบว่าหลายเหตุการณ์ที่เลวร้ายนั้นกลับส่งผลดีขึ้นในภายหลัง ฉะนั้นขอให้เรามีกำลังใจและคิดในแง่บวกไว้เสมอ จิตสำนึกของเราจะได้ไม่เกิดความเครียดและทำลายสุขภาพของเรา
บาบานัม = มีความรักในตนเอง
เควาลัม = มีความรักในสรรพสิ่ง
ภาษาสันสกฤต
วันที่สองของค่าย
รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาซักพัก อ้อ! เราอยู่ในหอพักพิเศษแพทย์ทางเลือก อ้อ! มีเพื่อนอยู่ห้องข้าง ๆ ค่อยยังชั่ว อ้าว! มีเสียงเพลงหนุงหนิงอีกแล้ว คุณพยาบาลนี่ขยันจริง เรียกแต่เช้าเลย ให้ทำยืดตัวตั้งแต่เช้าตรู่ตี 4 ครึ่ง นอนบนเตียงค่อย ๆ ทำตามที่คุณพยาบาลบอก ยืดเท้า ยืดเข่า ยืดคออีกมากมาย ที่สำคัญเขาว่าอย่าเพิ่งกินน้ำเพราะต้องเจาะเลือดก่อนที่จริงห้ามตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ระหว่างเจาะเลือดก็มีการสัมภาษณ์สารทุกข์สุกดิบเกี่ยวกับสุขภาพของเรา ชั่งน้ำหนักซึ่งทุกคนถามกันเซ็งแซ่ไม่เว้นแม้กระทั่งสาวน้อยอายุเกือบ 50 และกว่า 50 อีก 6 คนที่นอกเหนือจากกลุ่มเราว่าใครน้ำหนักลงบ้าง ปรากฏว่าเน้นสวยผอมกันทั้งนั้น เสร็จแล้วไปออกกำลังกายยกใหญ่ประมาณว่า 65 ท่า บนดาดฟ้า ซึ่งอากาศดีมาก ๆ วิวเด็ดเห็นภูเขาหัวเสือด้วย ทุกคนหลังจากดื่มน้ำ RC ก็พากันพาเหรดไปออกกำลังกายเพื่อความเป็นหนุ่มสาว (คุณพยาบาลบอก) ไม่ต้องแปรงฟัน คุณพยาบาลว่ามีแบคทีเรียชื่อตัวอะไรก็ไม่ทราบเป็นประโยชน์ ก็ออกกำลังกายตามเทปมีคุณพยาบาลและคุณผู้ช่วยประกบตลอด คอยจัดท่าทาง เก้ ๆ กัง ๆ ของพวกเรา เมื่อย ปวด ทรมานสุด ๆ เกิดมาไม่เคยยืดตัวทำท่าต่าง ๆ มากเท่านี้ แต่ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจทำกันด้วยดีโดยเฉพาะคุณพี่ขันแก้วตัวอ่อน เก่งจริงๆ ผู้อาวุโสของเราตั้งใจทุกคน ไอ้ที่ทรมานสุดคือการลากเสียงนับ 1..........2..........3 ของคุณพยาบาลกุ้งหรือฝนหรือจอยนี่แหละ ใครซักคน ที่ยาวเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ยิ่งท่าขาเหยียด แขนยืด ตัวโค้งนี่ยิ่งช้ายิ่งนาน นานกว่าตะตึ่งโหนง-ฟ้อนเล็บที่ว่าช้า ๆ เสียอีก จนมีคนถามว่าคุณพยาบาลเรียนนับเลขมาจากไหน นับเป็นหรือเปล่า เสร็จแล้วก็มีอาหารเช้าขนขึ้นมาให้รับประทานถึงที่ สบายจัง breakfast ท่ามกลางขุนเขาและสายลมเย็นแสงแดดอ่อน แต่วันนี้เป็นที่ต้องทำ detoxification เลยกินกันแต่มะละกอ หรือฝรั่งเพียงอย่างเดียว แปลว่าชีวิตนี้ต้องเลือก ถ้ามะละกอก็มะละกอทั้งวัน ถ้าฝรั่งก็ฝรั่งทั้งชาติ หลังจากอิ่มหนำแล้วคือไม่อิ่มก็ต้องอิ่มเพราะมีแต่ผลไม้อย่างเดียว ตอนนี้เริ่มมีคาราวานใบตองขึ้นมา พวกเราต้องเปลี่ยนชุดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีก ทาน้ำมันมหัศจรรย์ขวดเขียว เป็นน้ำมันงารักษาผิวพรรณ ทุกคนก็ทากันใหญ่ แล้วก็ไปนอนบนแคร่ไม้ไผ่ให้คุณพยาบาลกับผู้ช่วยใช้ใบตองห่มทั้งตัว ดูเหมือนปลาสลิดตากแห้งยังไงยังงั้น นี่เขาว่าเป็นการตั้งนาฬิกาชีวิตให้เซลต่าง ๆ ได้รับรู้ว่าเช้าแล้วนะต้องทำงานหน่อย ร่างกายจะได้คึกคัก ตากไป 15 นาทีแล้วปลาสลิดทั้งหลายก็พลิกตัวห่มใบตองอีกครั้ง เพื่อให้แสงแดดส่องลงบนใบตองรับแสงสีเขียวอันมหัศจรรย์นั่นเองอย่างทั่วตัวทั้งหน้าและหลัง คราวนี้เหงื่อชุ่มย้อยไปทั้งตัว ร้อนจริง ๆ ร้อนจริง ๆ ร้อนจริง ๆ เหมือนไก่ย่างถูกเผา แต่ก็ทำให้พวกเราโล่ง ๆ ตัวดีเหมือนกัน
ข้อคิดที่ 9:
อากาศดี อาหารดี อุณหภูมิดี ออกกำลังดี
เราจะรู้สึกดี....ดีมากมาก
ว่าแล้วก็กลับหอสุขสันต์ มีน้ำแครอทรอท่าอยู่คนละแก้วกินเข้าไป ตอนนี้สำคัญสุดสำหรับคนที่ไม่เคยสวนล้างพิษด้วยกาแฟ คุณพยาบาลฝนอธิบายสรรพคุณไปใหญ่โต ทำให้เราเห็นภาพพวกเราเป็นตู้เย็นเก็บของเน่า ๆ ไว้ตั้ง 40 กว่าปี อี๋อย่างแรง อยากจะลุกไปทำ detox ซะเดี๋ยวนั้น เสร็จแล้วก็เข้าคิวรับถุงกาแฟมีสายยาวยืดเหมือนสายน้ำเกลือ หิ้วเข้าห้องน้ำในห้องส่วนตัวไปคนละถุง ต่างคนก็ต่างทำจัดการด้วยตัวเอง คงไม่ต้องสาธยายมาก อ่านเอกสารโรงพยาบาลดังต่อไปนี้…..ดีกว่า
วิธีการล้างพิษ
ที่นิยมใช้ในแนวธรรมชาติบำบัด คือ อดอาหาร สวนล้างลำไส้ ความร้อน การหายใจ การขัดถูผิวหนังและน้ำ
วิธีการล้างพิษ DETOXIFICATION: คือ การกำจัด TOXIN หรือสารพิษออกจากตัวเรา สารพิษ เกิดจากปฏิกิริยาเคมีของร่างกาย เช่น
การรับประทานอาหาร: รสจัดทุกชนิด มีไขมันมาก โปรตีนมากเกินไป มีแอลกอฮอล์
ระบบขับถ่ายบกพร่อง
สิ่งแวดล้อมไม่ดี มีมลพิษมาก
อารมณ์เครียดเป็นประจำ
COLON DETOXIFICATION: การสวนล้างหรือล้างพิษลำไส้ สะดวก ปลอดภัย เป็นที่นิยม คือ การสวนด้วยกาแฟ
กลไกการขับพิษ การสวนลำไส้ด้วยกาแฟ เกิดผลการขับพิษได้ด้วย 3 กลไก คือ
- การขจัดคราบตะกรันของเศษอาหารที่หมักหมมในลำไส้ใหญ่
- เปิดโอกาสให้สารพิษแพร่ผ่านผนังลำไส้ สู่น้ำที่ใช้สวน ขจัดทิ้งจากร่างกาย
- กระตุ้นการทำงานของตับ ให้ขจัดพิษได้เร็วขึ้น ด้วยฤทธิ์ของคาเฟอีน
โรคและกลุ่มอาการที่ตอบสนองต่อการสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ
- ภูมิแพ้
- หอบหืด
- ผิวหนัง ผื่นคัน
- คลื่นไส้ เวียนศีรษะ
- ปวดศีรษะ / ไมเกรน / เครียด
- ไข้จากมะเร็ง
- การแพ้จากการถ่ายรังสีหรือเคมีบำบัด
ข้อห้าม
- ผู้ที่เคยผ่าตัดลำไส้โดยเปิดลำไส้ให้ขับถ่ายทางหน้าท้อง
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤตที่ยังควบคุมไม่ได้
- เด็กวัยเจริญเติบโต
- หญิงมีครรภ์
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ที่ยังควบคุมไม่ได้
- ผู้สูงอายุที่มีร่างกายอ่อนเพลียมาก
อุปกรณ์การสวนล้างลำไส้
- กาแฟบริสุทธิ์ ไม่ผสมเนยและน้ำตาล
- หม้อสวน/สายสวน/หัวสวน หรือถุงสวนสำเร็จรูป
- ผ้ากรองกาแฟ
- วาสลิน
วิธีการ
เตรียมกาแฟ
ผู้หญิง : น้ำ 500 ซีซี ต้มเดือด + กาแฟ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ กรองจนใส แล้วผสมน้ำต้มสุก 700 ซีซี = 1,200 ซีซี
ผู้ชาย : น้ำ 500 ซีซี ต้มเดือด + กาแฟ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ กรองจนใส แล้วผสมน้ำต้มสุก 1,000 ซีซี = 1,500 ซีซี
ท่านอนสวนและการจัดวางถุงสวน
- แขวนถุงน้ำกาแฟจากตัวผู้ถูกสวน 2 – 3 ฟุต
- ผู้ถูกสวนนอนตะแคงขวา ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอเล็กน้อย
การสวน
- ไล่อากาศออกตามสายยางเพื่อเตรียมสวน
- ใช้วาสลีนหล่อลื่นหัวสวน แล้วใส่เข้าไปในทวารหนักยาวประมาณ 2 นิ้ว เปิดน้ำกาแฟให้ไหลเข้าจนหมด
- กาแฟหมด เอาหัวสวนออก
- ผู้ถูกสวนนอนหงาย ใช้มือคลึงหน้าท้องเบา ๆ ตามเข็มนาฬิกา ประมาณ 10 – 15 นาที
- เข้าห้องน้ำ ถ่ายจนหมด ห้ามเบ่ง
ข้อควรระวัง
- ผู้ที่เคยผ่าตัดไส้ติ่ง ควรใช้ปริมาณน้ำไม่เกิน 1,000 ซีซี
- น้ำกาแฟไม่ร้อนจัดเกินไป เพราะจะทำให้ผนังลำไส้ไหม้
- น้ำเย็นที่ใช้ผสม ควรเป็นน้ำต้มสุก
- ควรสวนล้างหลังรับประทานอาหารหรือท้องว่างประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง
- หลังทำการสวนล้างพิษ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง
เมื่อทุกคนเรียบร้อยแล้วก็ “อาโปบำบัด” แต่งตัวออกมาเข้าห้องคุยกันเรื่องสุขภาพ วันนี้เป็นเรื่องธาตุเจ้าเรือน มีรายละเอียดดังนี้
ธาตุเจ้าเรือนคืออะไร?
ธาตุเจ้าเรือน เป็นภาวะธรรมชาติที่ผู้นั้นเกิดมาช่วงเวลา วัน เดือน ปี ฤดูและเวลาใดของ 1 วัน ย่อมกำหนดจุดอ่อน จุดเด่น ของร่างกายและจิตใจของผู้นั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์จะมีลักษณะที่คล้ายกัน เป็นสิ่งกำหนดนอกเหนือจากภาวะพันธุกรรมที่ได้จากบิดาและมารดา มนุษย์จึงมีความแตกต่างกันไป แม้แต่สายพันธุ์เดียวกัน เมื่อเกิดอยู่ต่างพื้นที่กันก็ยังมีสารเคมีภายใน หรือสารสำคัญภายในปริมาณมากน้อยต่างกัน เป็นสัจธรรมของโลกที่หมุนเวียนรอบดวงอาทิตย์ และตัวโลกเองก็มีความเปลี่ยนแปลงไปตามหลัก อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา จะต้องเกิดและดับไปพร้อม ๆ กับกาแลกซี่นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล
ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทยเชื่อว่าการเกิดชีวิตจะเกิดขึ้นได้ต้องมีพ่อแม่มีลักษณะของหญิง – ชาย ครบถ้วน หมายถึง พ่อมีลักษณะของชายครบ และแม่มีลักษณะของหญิงครบ โดยให้ความหมายของชีวิตไว้ว่าชีวิตคือขันธ์ 5 อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
ทางการแพทย์แผนไทย มีความเชื่อในเรื่องธรรมชาติว่า การเกิดรูปครั้งแรกในครรภ์มารดามีขนาดเท่ากับหยดน้ำมันงาที่ติดอยู่ปลายขนจามรี หลังจากถูกสะบัดถึง 7 ครั้งและด้วยอิทธิพลของธาตุไฟก่อน จึงเกิดธาตุอื่นตามมาจนครบธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม และไฟ แล้วจึงเกิดเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณจนครบขันธ์ 5
ลักษณะเจ้าเรือนคืออะไร?
องค์ประกอบของธาตุที่รวมกันอยู่อย่าปกตินั้น จะมีธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเด่น หรือมากกว่าอย่างหนึ่ง เรียกว่า เจ้าเรือน ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยแต่ละธาตุหลักทั้ง 4 จะมีลักษณะที่แสดงออกเป็นเจ้าเรือน ดังนี้
ธาตุดินเจ้าเรือน
คนที่ธาตุดินเป็นธาตุเจ้าเรือนจะมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมดกดำ เสียงดังฟังชัด ข้อกระดูกแข็งแรง กระดูกใหญ่ น้ำหนักตัวมาก ล่ำสันอวัยวะสมบูรณ์
ธาตุน้ำเจ้าเรือน
คนที่มีธาตุน้ำเป็นธาตุเจ้าเรือนจะมีรูปร่างสมบูรณ์ อวัยวะสมบูรณ์ สมส่วน ผิวพรรณสดใส เต่งตึง ตาหวาน น้ำตามาก ท่าทางเดินมั่นคง ผมดกดำงาม กินช้า กินอะไรชักช้า ทนหิว ทนร้อน ทนเย็นได้ดี เสียงโปร่ง มีลูกดกหรือมีความรู้สึกทางเพศดี แต่มักเฉื่อยและค่อนข้างเกียจคร้าน
ธาตุลมเจ้าเรือน
คนที่มีธาตุลมเป็นธาตุเจ้าเรือนจะมีผิวหนังหยาบแห้ง รูปร่างโปร่งผอม ผมบาง ข้อกระดูกมักลั่นเมื่อเคลื่อนไหว ขี้อิจฉา ขี้ขลาด รักง่ายหน่ายเร็ว ทนหนาวไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ช่างพูด เสียงต่ำ ออกเสียงไม่ชัด มีลูกไม่ดกคือความรู้สึกทางเพศไม่ค่อยดี
ธาตุไฟเจ้าเรือน
คนที่มีธาตุไฟเป็นธาตุเจ้าเรือนมักขี้ร้อน ทนร้อนไม่ค่อยได้ หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกเร็ว มักหัวล้าน หนังย่น ผม ขน หนวด อ่อนนิ่ม ไม่ค่อยอดทน ใจร้อน ข้อกระดูกหลวม มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง ความต้องการทางเพศปานกลาง
ลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะโดยรวมกว้าง ๆ ทุกคนจะมีลักษณะเด่นของธาตุใดมากหรือน้อย หากพิจารณาดูแล้ว มีลักษณะค่อนข้างเป็นลักษณะของธาตุใด ก็เรียกว่าบุคลิกส่วนใหญ่เป็นธาตุนั้น เช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอาจสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับลักษณะที่เป็นมาตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา โดยทั่วไปแล้วธาตุเจ้าเรือนเดิมจะไม่เปลี่ยนแปลงในช่วง 6 ปีแรกของชีวิต
อาหารสมุนไพรประจำธาตุเจ้าเรือน
นอกจากอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว ควรมีการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสมดุลทางร่างกาย เป็นการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ได้แก่
1. ธาตุดิน
คนธาตุดินมักจะมีร่างกายและกล้ามเนื้อแข็งแรง ควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีรสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม เช่น ฝรั่งดิบ หัวปลี กล้วย มะละกอ เผือก มัน ถั่วพู กระหล่ำปลี ผักกะเฉด ฯลฯ
2. ธาตุน้ำ
คนธาตุน้ำมักมีรูปร่างสมส่วน ท้วมถึงอ้วน ผิวพรรณสดใส ควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะเขือเทศ ส้มโอ สัปปะรด มะนาว ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อน ฯลฯ
3. ธาตุลม
คนธาตุลมมักมีรูปร่างโปร่ง ไม่อ้วน ผิวหนังแห้ง ควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเพรา โหระพา ตะไคร้ ข่า กระเทียมขึ้นฉ่าย ขิง ยี่หร่า ฯลฯ
4. ธาตุไฟ
คนธาตุไฟมักมีรูปร่างผอมผิวคล้ำตกกระ กล้ามเนื้อ กระดูกหลวม ควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีรสขม รสเย็น รสจืด เช่น สะเดา แตงโม หัวผักกาด ฟักเขียว แตงกวา คะน้า บวบ มะเขือ ฯลฯ
ใครธาตุอะไรก็ปฏิบัติไปตามนั้น ในกลุ่มพวกเราชาวอ้วนผอมจะคาบลูกคาบดอกคือว่าดูๆไปเหมือนกับจะมี 2 ธาตุในตัว แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไรเพราะชอบกิน ชอบทำอะไรก็แล้วแต่จริตดีกว่าเดี๋ยวเครียด เที่ยงพอดี...รับประทานอาหารกลางวัน เหมือนเดิมคือผลไม้มะละกอกับฝรั่ง มีพิเศษคือตำมะละกอกับตำฝรั่ง พิเศษมาก!! เรียบร้อยก็ไปนวดตัว อบสมุนไพร พบคุณหมอ ซึ่งอันนี้สุดโหด คือคุณหมอเธอจะมีท่าคล้าย ๆ กับโยคะบวกแอโรบิค มาให้พวกเราทำ ซึ่งยากสุดสุด แค่ก้ม ๆ เงย ๆ แต่เหงื่อท่วมตัว ก่อนอื่นเธอก็นำภาพที่ x-ray โครงสร้าง คือ กระดูกของเราเจาะทีละส่วน เช่น คอ หลัง เข่า สะบ้าและเท้ามาให้ดูและเปรียบเทียบของกันและกัน เป็นการเรียนรู้ร่วมกันอย่างดี เป็นกุศโลบายของหมอ ทำให้เห็นข้อแตกต่างและรู้เลยว่าไอ้ท่าทางประจำวันนี่มันก่อให้เกิดความโค้ง งอ สึก งอกและไม่เท่ากันของกระดูก หลังจากโน้มน้าวเราเรียบร้อยด้วยการชี้แจง อธิบายและทำท่ายิ้มๆแล้ว ก็นั่นแหละให้ก้ม ๆ เงย ๆ เมื่อยสุด ๆ ไม่ทำก็จะดูชอบกลเพราะเขาเพิ่งชี้แจงความบกพร่องแล้วจะแล้วจะเพิกเฉยได้อย่างไรเห็นไหมว่าคุณหมอเธอร้ายจริงๆ ทุกคนเลยตั้งหน้าตั้งตาทำจนถึงสี่โมงเย็น คุณพยาบาลก็พาเราไปรำกระบี่กระบอง อันนี้ได้เหงื่ออีก จะสังเกตเห็นว่าเหงื่อโทรมทั้งวัน ตัวเหม็นนิดหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไรอีกเพราะเหม็นเท่าเทียมกัน ไปออกกำลังกายที่สนามหน้าโรงพยาบาล ดูเผิน ๆ เหมือนคนบ้าเพราะใส่ชุดโรงพยาบาลเหมือนกันหมด แล้วก็มีคุณพยาบาลนำทีมอยู่ด้านหน้า เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นหอพักพิเศษ ทานอาหารเย็นที่เป็นมะละกอตำ ตอนกลางวันเป็นตำมะละกอ กินไปตาลอยไปทำให้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วมากเวลาเขาถามว่าใครจะอดอีกบ้าง(อดแปลว่ากินมะละกอหรือฝรั่งแต่อย่างเดียวทั้งปีทั้งชาติ) จึงมีคำตอบสุดท้ายว่าไม่อดจะกินแบบธรรมดา คือขอได้กินข้าวและกับอย่างอื่นบ้างเถิด งานนี้มีคนไม่เข็ด 3 คนคือคุณโอโม ครูจุ๋มจิ๋มและแม่เลี้ยงเวียงป่าเป้าคุณอรทัย ขอได้รับการปรบมือจากสมาชิกที่เหลือ โปรแกรมหลังข้าวเย็นก็เหมือนเดิมคือไปนวด ฝังเข็ม ตามจริตแต่ละคนแล้วถึงจะกลับมาดื่มน้ำผักแล้ว “อาโปบำบัด” แล้วนอน อ้อ! ก่อนนอนก็ยืด ๆ กันอีกเล็กน้อย เฮ้อ! เวลาทุกเวลาเป็นไปเพื่อเสริมสุขภาพเกือบทั้งวัน ยกเว้นเฉพาะกินข้าว อ้าว! ว่าไม่ได้ กินข้าวก็กินแบบสุขภาพ แปลว่า “สุขภาพ” ทั้งวัน
ข้อคิดที่ 10:
หมอดี พยาบาลดี น้องนักนวดดี แม่บ้านและแม่ครัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ไม่เหนื่อยไม่ใช่ฝ่ายแพทย์ทางเลือก(ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกเรา)
ความสุขได้มาจากมาจากหยาดเหงื่อล้วน
วันที่สามและวันที่สี่ของค่าย
กิจกรรมทุกอย่างเหมือนเดิม มีแตกต่างกันนิดหน่อยแล้วแต่เราจะเลือกนวดไทย นวดเท้าหรือนวดน้ำมันในตอนบ่ายและตอนเย็นมีออกกำลังกายกระบี่กระบอง เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อลำตัวหลังและขาเป็นส่วนใหญ่ ช่วยป้องกันและลดอาการปวดหลัง ส่งเสริมคุณภาพชีวิต ซึ่งมีท่าที่ไม่ยาก มี 12 ท่ามีชื่อเรียกที่น่าสนใจคือเขย่าเท้า เหวี่ยงข้าง พายเรือ หมุนกาย/หมุนเอว ตาชั่ง ว่ายน้ำวัดวา กรรเชียงถอยหลัง ดาวดึงส์ นกบิน ทศกัณฑ์/โยกตัว ยกน้ำหนัก/จับไม้ข้ามหัวและนวดตัว ต้องทำ 99 ครั้งในแต่ละท่า อันนี้ของแม่บุญมี เครือรัตน์ แม่ทำได้ 99 แต่พวกเราต่อรองคุณพยาบาลให้เหลือ 20 คราวนี้ทุกคนเห็นด้วยโดยเฉพาะพวกสามสาวที่อด แต่ละคนดูแห้งโหยยิ่งเวลาพวกเรากินข้าว ท่าทางตาลอยไปถึงMKสุกียากี้เรียบร้อย วันนี้มีเกี๊ยวซ่าด้วย คุณโอโมถึงกับให้ครัวช่วยเก็บไว้ให้ในวันพรุ่งนี้เพราะทนอดไม่ไหวแล้ว ต้องยอมรับว่าคุณพยาบาลสาครช่างสรรหาเมนูอาหารเสียจริง น่ากินไปหมด นี่พวกเราคงเริ่มชินกับรสจืด อาหารดีกันแล้วแน่ๆ
ข้อคิดที่ 11:
ความอยากสวยอยากผอมเป็นศัตรูของความแข็งแรง
ความอยากสวยอยากผอมอาจทำให้สุขภาพจิตท่านเสียได้
พอดีจึงจะดี
ที่แตกต่างและตื่นเต้นไม่เหมือนกันแม้แต่วันเดียวคือตอนพบคุณหมอนี่แหละ วันที่สามให้ยกมือพนมยืนขาเดียวสลับกัน นับการยืนแต่ละข้างให้เท่ากัน เช่น ถ้ายืนขาขวานับได้ 30 ยืนขาซ้ายก็ต้องนับ 30 เท่ากันอันนี้ดีเลยเพราะทำได้ แต่แบบนี้คือการเดินถอยหลังแบบมีสตินี้จะยากหน่อย สำหรับคนที่ไม่มีสติและสตางค์อย่างเรา ที่ยากคือเธอก็คอยเอาไม้บ้าง ก้อนหินบ้างมาไว้ข้างหลัง แสบไหมล่ะ กติกาคือเมื่อชนอะไรก็ให้เดินหันกลับและให้ใคร่ครวญว่าทำไมเราเสียหลัก ทำไมเราเหยียบเบา ทำไมเราเหยียบค่อย ให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ที่ชอบสุดสุดคือคุณหมอว่าไม่จำเป็นต้องกลัวอนาคตถ้าเรามีสติและรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งใดในปัจจุบัน ผลลัพธ์ก็จะเป็นตามที่เราทำนั่นแหละ เวรกรรมมีจริง มันจริงมากมาก ที่ขำมากๆคือตอนคุณหมวยน้อยเดินๆ อยู่ซักพักแล้วบอกคุณหมอว่าเสร็จภารกิจการถอยหลังเข้าคลองแล้ว ได้ 199 ก้าว คุณหมอทำท่ายิ้มสะใจมากตอนที่บอกว่า ใครบอก...ต้อง 999 ก้าว!! เฮ้อ คิดดูแล้วกันจะไม่ยกให้เป็นหมอพันธุ์พิเศษได้อย่างไร เรียกได้ว่า rare ที่แสบไปกว่านั้นคือให้นับแต่ละก้าว ถ้าลืมให้นับหนึ่งใหม่ แต่ถ้าถึงร้อยแล้วก็เริ่มต่อจากร้อยนั่นแหละ จะเป็นร้อยเท่าไหร่ก็ช่าง ข้างฝ่ายคุณโอโมก็ประสาทกินเที่ยวถามว่าได้กี่ก้าวแล้ว เลยพากันลืมไอ้ที่นับไว้จึงมั่วๆว่าถึงแล้ว ถึงแล้ว คุณหมอคงรู้แต่ท่าทางไม่อยากตบตีกับพวกเรา ปล่อยไปก่อน
ข้อคิดที่ 12:
อนาคตยังมาไม่ถึง อย่าไปกังวล
ก็มันยังมาไม่ถึงจะกังวลทำไม ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
อดีตก็เหมือนกัน ผ่านไปแล้ว ทำอะไรก็ไม่ได้อีก
อยู่กับปัจจุบันนี่แหละ ให้รู้ตัว มีสติ รู้ว่ากำลังทำอะไร หายใจให้ดี
อะไรที่จะเกิดขึ้นคือผลจากการกระทำของเราเอง
ที่จริงเขาให้เดินอย่างมีสมาธิแต่ไอ้พวกเราก็เป็นขาฮา คิกคักกันอยู่นั่นแหละแม้กระทั่งเวลานวดหรือฝังเข็มที่ห้องเขาปิดไฟมืด ต้องการสมาธิ มีเพลงเสียงหนุงหนิง(สารภาพว่าฟังแล้วออกจะโมโห มันซ้ำ ตอกย้ำเหลือเกินว่าให้เงียบๆ) เราก็อดหัวเราะกันไม่ได้ ก็มันขำมองไปเห็นคุณน้องมนตรีหลังขาวยิ่งกว่าแสงนีออน หมอแทบไม่ต้องเปิดไฟเวลาฝังเข็ม คุณโอโมก็เข็มเต็มพุง โรคภัยไม่สน ข้าจะผอมอย่างเดียว อาจารย์จิ๋มก็มีเข็มปักที่หน้าผากเหมือนในหนังเรื่อง hell raiser ยังไงยังงั้น จะไม่ให้ขำกันได้อย่างไร จนคุณพยาบาลบอกว่าเงียบๆค่ะ หมอมาแล้ว เขาว่าตั้งแต่เปิดบริการมามีพวกนี้แหละที่เฮฮาที่สุด น้องๆที่นวดพลอยหัวเราะเบิกบานไปด้วยเนื่องจากพี่ๆป้าๆปรึกษากันดังมากเหลือเกินตัดสินใจไม่ถูกว่าเวลานวดน้ำมันจะต้องใส่ชั้นในหรือไม่ แหม เปลี่ยนเป็นผ้าถุงแล้วไม่ใส่ชั้นในท่าทางจะไม่เป็นมงคล บางทีอาจารย์จิ๋มก็ให้น้องนวดเท้าไปหัวเราะไปเพราะจั๊กกะจี๋เท้า ที่เราว่าดีคือเพื่อนร่วมรุ่นเราแม้จะรำคาญเรานิดๆแต่ก็ยังอดหัวเราะไม่ได้ โดยเฉพาะคุณป้าจรวย นี่ก็ขำพวกเราทั้งวัน โดยเฉพาะวันหลังๆแค่เห็นหน้าเราก็หัวเราะซะแล้ว ลืมเจ็บขาตัวเองไปเลยรวมถึงคุณพี่ทั้งหลายสาวๆจากลำปาง คือ คุณพี่ขันแก้ว คุณพี่จริยา คุณพี่วรารักษ์ ยกเว้นคุณพรรณทิพาจากเชียงใหม่ที่กระตือรือร้นพูดคุย(จนลิงอาจหลับได้)และคุณลุงไพบูลย์ที่หลังจากฟิตไปวันแรกตอนเดินมาราธอนก็แอบซุ่มหัวเราะด้วยเหมือนกัน ดูๆไปคุณหมอกับทีมน่าจะมีความสุขปนกลุ้มใจนิดหน่อยเพราะพวกเราถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขกันมากและมีสุขภาพดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะสุขภาพจิตเพราะหัวเราะกันทั้งวัน คุณหมออาจต้องทบทวนวิธีการเสริมสุขภาพใหม่ด้วยการเรียกพวกเราไป entertain กลุ่มต่อๆไป
ข้อคิดที่ 13:
ยิ้มไว้ชาติไทยเจริญ
เครียดทำไมชาติไทยหม่นหมอง
มีเรื่องน่าสนใจทุกวันตอนสิบเอ็ดโมง หลังจากกินน้ำมะระขมปี๋ที่คุณพยาบาลกุ้ง ฝนและจอย พูดเหมือนกันว่า พี่เบิร์ดกินเป็นขวดทุกวัน มีเอกสารที่ให้ดูไปแล้วเรื่องธาตุเจ้าเรือนต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ลอกมาอีกจากเอกสารโรงพยาบาลเผื่อจะเป็นประโยชน์ ลองอ่านดู
กินอาหารให้เป็นยา
อาหารสุขภาพ คือ สิ่งที่กินได้ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย สุขภาพ (WHO) คือ ภาวะที่มีความสมบูรณ์ทั่วร่างกาย จิตใจและวิญญาณ
คานธี “เราจะกินอาหารให้เป็นยา”
ฮิปโปเครติส “อาหารนั่นแหละ คือยา”
อาหารกาย เข้าทางปาก เข้าทางจมูก
อาหารใจ เข้าทางจมูก อานาปานสติ สมาธิ
อาหารแนวธรรมชาติ
- กินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด 5 – 6 ส่วนของอาหาร
- อาหารโปรตีนกินวันละไม่เกิน 100 กรัม โปรตีนจากพืช ปลา ดีกว่าเนื้อสัตว์
- กินไขมัน 10 เปอร์เซ็นต์ของแคลลอรี่ แต่ละวัน ควรเป็นไขมันไม่อิ่มตัว (เท่ากับ 1 ช้อนโต๊ะ)
- กินผักสดและผลไม้สดรวมกันวันละ 5 ส่วนของอาหาร (0.5 กก.) เน้นสีเขียว เหลือง แดง รสเปรี้ยว ฝาด
- แคลเซียม วันละ 800 – 1500 mg เพื่อป้องกันกระดูกผุ แต่ไม่จำเป็นต้องกินนม
- จำกัดเกลือไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา เพื่อป้องกันความดันเลือดสูง
- งดอาหารขยะ
- ปริมาณอาหารที่กินเข้าไปควรได้สัดส่วนกับการออกแรงในแต่ละวัน
อนุมูลอิสระ (Free Radical)
เกิดทุกครั้งเมื่อมีการเผาไหม้ และมีการรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศ เช่น ปอกผลไม้ทิ้งไว้ เป็นปฏิกิริยา oxidation มีคนเราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปก็จะ oxidation และการทำลายเซลล์เช่นกัน เด็กเกิดมาหายใจแรกจะมี oxidation แต่จะมองไม่เห็น ไม่ชัดเจน เพราะเด็กโตเร็ว จะเห็นชัดเมื่ออายุ 10 ปีขึ้นไปดูจาก
- เส้นเอ็นยืดหยุ่น
- ผิวหนัง
อนุมูลอิสระ ทำลายเซลล์ในทุกส่วนทั้ง DNA mitchondria/cell membrane แก่/เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด/ข้ออักเสบ/มะเร็ง ฯลฯ
สารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินเอ เซเลเนียม Phytmutrient (กระหล่ำ) กากใยอาหาร (omega fatty acids)
วันที่สี่เอาตอนพบคุณหมอนี่แหละ มันดี วันนี้ท่าพวกเราจะโดนหนักกว่ากลุ่มอื่นเนื่องจากไอ้ความคิกคักตอนวัดสมรรถภาพที่ครูจุ๋มจิ๋มทำรวดเร็วราวกับเต้นร็อคจนคุณพยาบาลจอย 2 ต้องนับใหม่เพราะมัวแต่ขำ และเป็นช่วงที่เราอบสมุนไพรก็คุยกันจ๊อกแจ๊กจอแจ เสียงก็คงเล็ดลอดเข้าไปถึงกลุ่มที่คุณหมอเขากำลังให้คำปรึกษาคือกลุ่มมนตรี คุณน้องได้ยินเสียงพี่โอโมชัดแจ๋วกว่าเพื่อนทำให้สมาธิเขาแตกกระจายหมด พอพวกนี้ถึงคิวพบคุณหมอเลยเจอให้ทำท่าดอกไม้หุบ ค่อยๆบานอยู่นั่นแหละ คือท่าโหดสุดๆที่ได้ทำอยู่กลุ่มเดียว สงสัยว่าเป็นการแก้แค้นแทนกลุ่มอื่น อุตส่าห์คอยถามคุณพยาบาลก่อนแล้วว่ามีอะไรบ้าง เธอก็ว่าไม่มีอะไรท่าง่ายๆ ผลกรรมมีจริงคุณพยาบาลจอย 1 เลยโดนทำให้เราดูเป็นตัวอย่างก่อน มันเป็นท่าพิสดารมากเหลือเกิน นอนเหมือนศพแล้วค่อยๆ (แปลว่าโคตรค่อยหรือค่อยโคตรๆ) ยกขาแบบงอเข่าแล้วค่อยๆเหยียดตรงตั้งฉากกับลำตัวตรึงไว้และเบี่ยงซ้ายทีตรึงไว้ ขวาทีตรึงไว้แบบค่อยๆเลื่อนขาทั้งสองข้างออกไปพร้อมกัน อธิบายไปก็อาจไม่เข้าใจ ไปลองกันเอาเองดีกว่า รู้ไว้แต่ว่าเหงื่อไม่รู้มาจากไหนเสื้อเปียกไปหมด หน้าท้องเกร็งจนปวดทีเดียว เราทำได้ไม่ค่อยดีนัก เลยให้คุณหมอเจ้าตำรับช่วยทำให้พวกเราดูหน่อย ทีนี้ถึงตาเราวิพากษ์คุณหมอบ้าง อย่าขมวดคิ้วค่ะ ขาตึงๆหน่อย นิ่งๆไว้เป็นต้น ก็แกล้งเธอไปอย่างนั้นแต่เธอก็ทำแบบ Perfect 10 จริงๆ ตอนนับคงได้ซัก 100 พวกเรานับ 30-40 ก็เหนื่อยจะแย่ คราวนี้มีสอนกดจุดด้วย เป็นประโยชน์มากเผื่อเจอคนเป็นลม เป็นลมบ้าหมูชักนี่สบายเราเลยจะกดให้ดู รับรองหายและร้องจ๊ากเหมือนเราโดนกด เจ้ติ๋มโดนหนักกว่าเพื่อนงานนี้ทั้งตบทั้งกด แต่ทุกคนก็เรียนรู้จากคุณหมอได้มากมายตอนเย็นย่ำนึกว่าจะได้สบายเพราะพรุ่งนี้จะกลับแล้ว ปรากฏว่าต้องทดสอบสมรรภาพด้วยการเดินเร็วแบบวันแรกเพื่อเปรียบเทียบเวลากัน ทุกคนยินยอมหมดยกเว้นคุณโอโมที่แอบซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์คุณพยาบาลขากลับ
คืนวันที่สี่มีห้ามกินหลังจากปล่อยเข้านอนแม้กระทั่งน้ำเพราะจะต้องเจาะเลือดอีก อ้อ ก่อนหน้านั้นคุณหมอชวนดูวิดิทัศน์นางงอม เป็นพวกเราเอง ภาพกิจกรรมทั้งหลายระหว่างอยู่ค่าย ดูไปหัวเราะไปแต่ละคนมีท่าทีต่างๆนาๆ เรียกได้ว่าดูไม่จืดใครอย่าเอาไปโชว์เชียวเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน มันเป็นเรท X และ sex อาจล้มเหลวได้ก่อนวัยอันควร ไม่เชื่อต้องลบหลู่
ข้อคิดที่ 14:
สติเท่านั้นทำให้เราอยู่กับปัจจุบันและเรียนรู้ได้อย่างมีคุณภาพ
วันสุดท้ายของค่าย
เช้านี้ทำเหมือนทุกเช้า ออกกำลัง สวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟยกเว้นการเจาะเลือดก่อน และมีช้อบปิ้งของทั้งหลาย เช่น เครื่องมือสวนล้าง น้ำมันงา มะขามอาโปบำบัด ยาสีฟันเกลือ น้ำเต้าหู้ แม้กระทั่งเห็ดถอบ คนกรุงอาจเรียกเห็ดเผาะ ก็ซื้อกันใหญ่ หลังจากนั้นก็เก็บของกัน เดินคุยกัน ที่ลืมไม่ได้ต้องไปจ่ายเงินด้วยเพราะอยู่ กิน เล่นของเขามาหลายวัน แต่ละคนจะไม่เท่ากันขึ้นกับว่าใครนวดอะไร ฝังเข็มกี่วันเป็นต้น รู้สึกว่าคุ้มค่าจริงๆ ชีวิตนี้เสียเงินไร้สาระมามากแล้วควรจ่ายเงินเพื่อชะลอความโทรมของร่างกายเราบ้างก็เป็นการดีมาก นี่ตั้งใจกันเหลือเกินว่าทุกคนจะกลับมาอีก(คาดว่าจะเดือนมกราคมปีหน้า – คุณหมอและคุณพยาบาล โปรดระวัง) และจะนำญาติโยมมาด้วยกันอีกต่างหาก ก่อนจากเรามีรายการปัจฉิมนิเทศกับเขาเหมือนกันเป็นการอ่านผลประกอบการ ประกอบกรรมที่ได้กระทำไว้ คือเปรียบเทียบผลเลือดและสมรรถภาพ เป็นที่น่าชื่นใจที่ทุกคนมีพัฒนาการดีขึ้นมากๆเลยยิ้มกันใหญ่ คลอเลสโตรอล ไตรกีเซอไรด์ลดลงฮวบฮาบจนเข้าข่ายปกติ แต่คุณพยาบาลกุ้งยังอุตส่าห์ให้ทำกิจกรรมส่งท้ายเรื่องอิริยาบถเป็นเรื่องไม่ยากแต่มีประโยชน์มากซึ่งมีรายละเอียดที่ลอกมาอีกดังนี้
อิริยาบถ
ในชีวิตประจำวันคนเราต้องทำงานอยู่ในท่าต่าง ๆ แตกต่างกัน บางคนนั่งทำงานท่าเดียวนาน ๆ บางคนยืนและเดินตลอดทั้งวัน หากเราอยู่ในท่าเดียวนาน ๆ แล้วไม่มีการยืดเส้นยืดสายหย่อนคลายจะทำให้การหด/ยืดของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ซึ่งนำไปสู่การโดนรัดของเส้นประสาท/เส้นเลือดในที่สุด ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่ออวัยวะต่าง ๆ ตามมาภายหลังได้ ดังนั้นจึงควรรู้อิริยาบถที่ถูกต้อง ดังต่อไปนี้
- ยืน หน้าตรง คางไม่ยื่น ยืดอกไม่ยกไหล่ แขม่วพุง มองด้านหน้าไม่คด มองด้านข้างไม่ค่อม ไม่พุงยื่น
- เดิน เดินหน้าตรง ไม่เดินหลังค่อม ไม่เดินเอียง
- นอน นอนหงาย หู – ไหล่ – สะโพก อยู่ในแนวเดียวกัน นอนตะแคง ต้องมีหมอนรองศีรษะเสมอขนาดใหญ่เท่าช่วงไหล่ หาหมอนแน่น ๆ มารองเข่าท่อนบน และปลายเท้าไม่ให้สะโพกหุบและบิด คนที่มีรูปร่างอ้วนควรหลีกเลี่ยงการนอนตะแคง เพราะทำให้กระดูกสันหลังคดหรือที่เรียกว่า “ตกท้องช้าง”
- นั่ง เลือกเก้าอี้ที่เหมาะสม
ถ้าเก้าอี้สูงเกินไป เข่าจะอยู่ต่ำกว่าสะโพก ทำให้หลังตึง
ถ้าเก้าอี้ต่ำเกินไป เข่าอยู่สูงกว่าสะโพก จะเมื่อยต้นขาบริเวณขาหนีบ
ควรนั่งเก้าอี้ขนาดพอดี ใช้มือสอดบริเวณท้องขาใกล้หัวเข่าได้ เก้าอี้ตัวใหญ่เบาะนุ่มพิงสบายก็มีปัญหาเวลาลุกต้องก้ม ตัว ถ้านั่ง-ลุกบ่อย ๆ มีปัญหาที่หลังได้
ควรหาหมอนมารองหลังช่วงล่างบริเวรเว้าเหนือก้น
โต๊ะก็มีความสำคัญด้วย โดยโต๊ะกับเก้าอี้ต้องมีความสูงสัมพันธ์กัน
ถ้าโต๊ะสูง ต้องยกไหล่ทำให้ปวดบริเวณกล้ามเนื้อสะบักไหล่ อาจทำให้ปวดศีรษะตามมาได้
ถ้าโต๊ะต่ำ ต้องก้มตัวเขียน ทำให้ปวดหลังได้
- การยกของ ห้ามก้มตัวลงเพื่อยกของหนัก น้ำหนักตัวและของขณะก้มจะทำให้ความดันในหมอนรองกระดูกสันหลังสูงขึ้น เป็นผลให้หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาทได้ ทำให้ปวดร้าวลงขา หรือมากถึงขั้นอัมพาตได้ ดังนั้นควรย่อเข่าเพื่อเก็บ/ยกของ (หากไม่มีอาการปวดเข่า)
- สถาปนิกต้องเรียนวิชาเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์และสถานที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับการใช้งานของร่างกายทุกส่วน
หลักการในการใช้งานร่างกาย
-ทำงานในอิริยาบถที่ถูกต้องและไม่อยู่ในอิริยาบถนั้นนาน ๆ
-หากมีการล้า / ตึง / เกร็ง ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เช่น นั่งพิมพ์งานแล้วรู้สึกเมื่อย ให้ยืดตัว เหยียดมือ หรือลุดเดินสักครู่
-ถ้ายืนนาน ๆ อาจหาที่พักเท้ามาวางเท้า เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังหย่อนไม่ตึง
-ต้องไม่รู้สึกเกร็ง / ฝืน /ขัด /ตึง ขณะใช้งานร่างกาย ควรเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
-ต้องหมั่นยืดบ่อยๆ เปรียบเสมือนการฝนมีด ใช้งานมีดทุกวันมีดจะทื่อ ต้องฝนบ่อย ๆ เหมือนร่างกายคนเราอยู่ในท่าเดียวนาน ๆ จะหด/ยืด ถ้าไม่ใช้งานเลย ข้อจะติด (มีดไม่คม – เป็นสนิม) เพราะฉะนั้นต้องหมั่นยืดร่างกายทุกส่วน ทั้งส่วนที่ใช้บ่อยและส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้
ที่น่าเสียดายคือคุณหมอต้องออกไปพิทักษ์โลกคือว่าในวันนั้นมีวิทยากรเป็นด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล มาบรรยายเรื่องผลวิจัยเกี่ยวกับว่าโลกจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกนอกจาก Tsunami อะไรประมาณนั้น เธอเลยไม่ได้มาปรากฏตัวในตอนปัจฉิมนิเทศ พวกเราก็ขอฝากกราบงามๆไว้ตรงนี้ที่ช่วยให้เรามีชีวิตชีวามากขึ้นและคาดว่าจะมีอายุยาวขึ้นด้วย และจะพยายามทำ stretching บวก aerobic บวก yoga ตามที่สอนไว้ทุกอย่างทุกเช้าหรือเย็นแล้วแต่เวลาจะอำนวย รวมทั้งการควบคุมอาหารการกินของพวกเราให้อยู่กับร่องกับรอยที่ได้เรียนรู้มา แต่คงไม่ถึงกับลด ละ เลิกแบบทีมงานคุณหมอ
บทส่งท้าย
การตั้งนาฬิกาชีวิต
หลายคนอาจเคยประสบปัญหาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืน ซึ่งส่งผลทำให้ง่วง มีอาการอ่อนเพลียในตอนกลางวัน ตื่นเช้ามาไม่สดชื่น ซึ่งสาเหตุของการนอนไม่หลับเช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า โรคเบาหวาน โรคหอบหืดหรือภูมิแพ้ อาหาร / เครื่องดื่ม กิจกรรมก่อนเข้านอน การออกกำลังกาย เป็นต้น ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ เต็มอิ่มตลอดคืน การตั้งนาฬิกาชีวิต เป็นวิธีการหนึ่ง
การตั้งนาฬิกาชีวิต เป็นการไขลานนาฬิกาในตัวเราเอง เพื่อให้ร่างกายได้ทำงานและพักเมื่อถึงเวลา โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วง 7.00 – 9.00 น. เป็นผู้จัดการให้ ทำให้เราทำงานได้อย่างกระปรี้กระเปร่าตลอดทั้งวัน และผ่อนคลายอยากนอนพักเมื่อครบ 12 ชั่วโมง ในช่ว 19.00 – 21.00 น.
นอกจากนี้แสงแดดอ่อน ๆ ในช่วง 7.00 – 9.00 ยังช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานของร่ายกายอีกด้วย
วิธีปฏิบัติง่าย ๆ คือ
- แต่งกายด้วยเครื่องปกปิดน้อยชิ้น นอนลงในแสงแดดอ่อน ๆ
- ใช้น้ำมันที่เตรียมไว้แล้ว ทาให้ทั่วร่างกาย รวมทั้งใบหน้าด้วย น้ำมันนี้เตรียมโดยใช้น้ำมันมะกอกใส่ในขวดแก้วสี เขียว แล้วตั้งทิ้งไว้รับแดดก่อนหน้านี้สัก 1-2 วัน
- นอนลง ใช้ใบตองกล้วยที่สะอาดคลุมร่างกายหมดทุกส่วน รวมทั้งศีรษะ
- นอนรับแสงตะวันอยู่เช่นนั้น 15 นาที แล้วเปลี่ยนมานอนคว่ำ ใช้ใบตองกล้วยคลุมตัว เช่นเดียวกันนอนรับแสงตะวัน ต่อไปอีก 15 นาที เสร็จแล้วอาบน้ำชำระร่างกาย
- ถ้าไม่สามารถปฏิบัติดังกล่าวข้างต้นได้ ให้นั่งอยู่หน้าตู้ไฟสัก 2 ชั่วโมงทุกเช้า จะช่วยตั้งนาฬิกาชีวิตเราให้เร็วขึ้น ทำให้นอนหลับได้เร็วขึ้น นานขึ้น และหลับลึกมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นด้วย (ควรหลีกเลี่ยงแสง จ้าในตอนเย็น โดยเฉพาะหน้าจอโทรทัศน์หรือจอคอมพิวเตอร์)
ประโยชน์
- ช่วยแก้ไขในเรื่องอาการนอนไม่หลับ ซึ่งส่งผลทำให้ง่วงและมีอาการอ่อนเพลียในช่วงกลางวัน ตื่นมาไม่สดชื่น
- ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี
- ลดอาการซึมเศร้า
- ความร้อนจากแสงแดดเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว
- หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย คล้ายการออกกำลัง ทำให้กระปรี้กระเปร่า ผู้ป่วยเรื้อรังฟื้นตัวเร็ว
- เหงื่อออก ทำให้รู้สึกสบายตัว
- ช่วยลดอาการจากแดดเผา ผิวคล้ำ
บทความข้างต้นเป็นการตั้งนาฬิกาชีวิตของฝ่ายแพทย์ทางเลือกโรงพยาบาลจอมทองแต่สำหรับตัวเองคำว่า “ตั้งนาฬิกาชีวิต” กินความกว้างกว่านั้น มันไม่ใช่เพียงเพื่อการพักผ่อนร่างกายที่ดีอย่างเดียว มันไม่ใช่การเอาใบตองคลุมตัวเพื่อรับสารที่เป็นประโยชน์จากแสงตะวันเท่านั้น มันเหมือนกับการปรับชีวิตตัวเองทั้งระบบ ปรับโครงสร้างทั้งร่างกาย การเป็น การอยู่ การกินของตัวเราเพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ทุกคนสามารถทำได้เพื่อตัวเองและยังสามารถเผยแพร่ให้เพื่อนร่วมโลกได้รับรู้ ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลตัวเองซึ่งเป็นพื้นฐานของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่จะส่งผลให้สังคมรอบตัวเราเป็นสังคมที่แข็งแรง แค่หวังใจว่าผู้ที่รับผิดชอบและกินเงินเดือนจากภาษีของเราในกระทรวงสาธารณสุข กรม กองและโรงพยาบาลเองคงตระหนักถึงการตั้งนาฬิกาชีวิตของประชาชนคนไทย จะให้การสนับสนุนส่งเสริมอย่างจริงจังและจริงใจ (โดยไม่ต้องเต้นแอโรบิคออกทีวี) คนไทยต้องเรียนรู้การกินอาหารและดูแลสุขภาพอีกมากประเทศไทยต้องการทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพเพื่อช่วยกันพัฒนาและสร้างสังคมที่มีความสุข ทุกคนอยู่ดีกินดี ดังนั้นถึงเวลาตั้งนาฬิกาชีวิตแล้วก่อนจะสายไป
ติดต่อตั้งนาฬิกาชีวิตของท่านได้ที่: ฝ่ายการแพทย์ทางเลือก
โรงพยาบาลจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160
เบอร์โทรศัพท์: 0-5334-1218-9 ต่อ 1183 หรือ 1260
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น