ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คนมักหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเพราะถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล ซึ่งมันก็แปลกอยู่เพราะทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องตายในวันหนึ่ง แต่กลับไม่อยากพูดถึง ย้อนแย้งดีเหมือนกันนะคนเรา คือ การพูดถึงความตาย ไม่ได้ทำให้ตายเร็วขึ้น หรือการไม่พูดถึงความตายก็ไม่ได้ทำให้ตายช้าลง จะตายยังไงก็ตาย ตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ ที่ดีคือการเตรียมตัวตายให้งามๆ ไม่ต้องเป็นภาระคนข้างหลัง คนไทยเรามีสิทธิ์การตายดีนะตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ
“...การตายดีตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ระบุว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้…”
มันแปลว่าเราสามารถวางแผนดูแลตนเองไว้ล่วงหน้า เช่น ถ้าถึงระยะสุดท้ายแล้ว อย่ามารักษา อย่ามารุกราน อย่ามาปั๊มหัวใจ อย่าใส่ท่อนะ ประมาณนั้น เป็นต้น หรือจะเอาให้เต็มที่ในการยื้อชีวิตก็ว่ากันไป แต่ยื้อได้ไม่ได้นี่มันตามบุญตามกรรมไปนะ หมอก็คงรับรองอะไรไม่ได้ พวกหมอเองยังอยากตายดีเลย ไปอ่านมามีการสำรวจพวกหมอเกี่ยวกับการวางแผนการตาย โดยมีสถานการณ์สมมติว่า… ถ้าเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย หมอจะเอายังไง สรุปๆคือ
- ไม่ต้องการ CPR 90%(ไม่ต้องการให้ปั๊มหัวใจ 90%)
- ไม่ต้องการ เครื่องช่วยหายใจ 80%
- ไม่ต้องการสายให้อาหาร 80 %
- ไม่ต้องการ การฟอกไต 80%
- ไม่ต้องการ การผ่าตัด 80%
- ไม่ต้องการ invasive test 80% การตรวจอื่นๆที่ ต้องเจ็บตัว
- ไม่ต้องการเลือด 80%
- ไม่ต้องการสารน้ำ 60%
- ไม่ต้องการยาปฏิชีวนะ 60%
- ต้องการยาแก้ปวดเพื่อจากไปอย่างสงบ 80%
สรุปคือ อยากตายตามธรรมชาติ ไม่ต้องมีสายอะไรมาโยงใยยุ่งยาก คาดว่าคงคิดประมาณยื้อไปก็ตายอยู่ดี อาจยืดเวลาได้แต่ก็ได้นิดหน่อย ไม่คุ้มเจ็บจากการรักษา ที่เจ็บปวดกว่าการเจ็บป่วยจากโรค
การมีแค่ชีวิตอยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ตัดสินใจไม่ได้ พูดอะไรไม่ออก จำตัวเองยังไม่ได้มันคงน่ากลัวกว่าความตายเยอะ เลือกได้ ก็ เลือกตายดีดีกันไป มีคนว่าไว้ “...สิ่งที่มนุษย์ผู้มีสติปัญญาจริงๆต้องการ เมื่อถึงเวลา คือ การเสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี สงบ และ ไม่เจ็บปวดเท่านั้นเอง...”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น