คิดถึงท่านวรบรูณ์
คิดถึง scenario vision ในปีพศ. 4990 ที่ท่านเคยให้มา...
ท่านว่า ลองคิดดูในเวลานั้น คนจะไม่ละอายต่อบาป ไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญากันแล้ว ใช้สัญชาติญาณของสัตว์กันอย่างเดียว พ่อแม่ไม่สามารถสอนลูกได้ว่าธรรม คือ อะไร เพราะพ่อแม่ก็ไม่เคยรู้ คนก็คงไม่รู้จะไปฟังธรรมได้ที่ไหนเพราะพระที่แท้...น้อยลงไปทุกที อาจไม่มีเหลืออีกด้วยในตอนนั้น
ท่านว่า ลองคิดดูในเวลานั้น คนจะไม่ละอายต่อบาป ไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญากันแล้ว ใช้สัญชาติญาณของสัตว์กันอย่างเดียว พ่อแม่ไม่สามารถสอนลูกได้ว่าธรรม คือ อะไร เพราะพ่อแม่ก็ไม่เคยรู้ คนก็คงไม่รู้จะไปฟังธรรมได้ที่ไหนเพราะพระที่แท้...น้อยลงไปทุกที อาจไม่มีเหลืออีกด้วยในตอนนั้น
ถ้าเราตายไปแล้วดันไปเกิดในช่วงนั้น...ชีวิตคงนรกสิ้นดี
พวกเราถือว่าเป็นคนโชคดีที่อยู่ในช่วงเวลาที่พบพุทธศาสนา
มันเป็น window of opportunity ของทุกคน
แต่เราโดดเข้า โดดออก window ตลอด
และโดดออก มากกว่าโดดเข้าใส่
มันต้องมีศรัทธามากกว่านี้ จะได้โดดเข้าไปบ่อยๆ
ท่านวรบรูณ์ว่า...อย่าละความเพียรเป็นอันขาด
มันเป็น window of opportunity ของทุกคน
แต่เราโดดเข้า โดดออก window ตลอด
และโดดออก มากกว่าโดดเข้าใส่
มันต้องมีศรัทธามากกว่านี้ จะได้โดดเข้าไปบ่อยๆ
ท่านวรบรูณ์ว่า...อย่าละความเพียรเป็นอันขาด
ท่านให้ปฎิบัติง่ายๆ คือ มุ่งที่ “กาย”
กายมีอยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อหา ติดมากับตัว
....ให้ระลึกได้ทุกขณะ
.....กาย = ศีล
ทำศีลก่อน.. ไม่ต้องถึงกับแยกขันธ์ 5 ได้ตอนนี้..
....ให้ระลึกได้ทุกขณะ
.....กาย = ศีล
ทำศีลก่อน.. ไม่ต้องถึงกับแยกขันธ์ 5 ได้ตอนนี้..
ให้แค่ “รู้” แล้วจบ
กำลังทำอะไรอยู่.. แค่นี้เหลือๆ
เดี๋ยวสมาธิมา...ปัญญาตาม
เป็นอันจบ..ไม่เสียชาติเกิด
กำลังทำอะไรอยู่.. แค่นี้เหลือๆ
เดี๋ยวสมาธิมา...ปัญญาตาม
เป็นอันจบ..ไม่เสียชาติเกิด
ถึงแม้จะต้องเกิดอีกหลายชาติ..ก็ทำไป
ท่านให้นึกถึงธรรม สิ่งที่ดีงาม ไม่ควรประมาทและเพียรต่อไป
ท่านให้พยายามยึด “กาย = ศีล” เข้าไว้..กำลังทำอะไรอยู่...
ท่านให้พยายามยึด “กาย = ศีล” เข้าไว้..กำลังทำอะไรอยู่...
แต่รู้เลยว่า...ไม่ง่าย..