วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 40


คิดถึงท่านวรบรูณ์
คิดถึง scenario vision ในปีพศ. 4990 ที่ท่านเคยให้มา...
ท่านว่า ลองคิดดูในเวลานั้น คนจะไม่ละอายต่อบาป ไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญากันแล้ว ใช้สัญชาติญาณของสัตว์กันอย่างเดียว พ่อแม่ไม่สามารถสอนลูกได้ว่าธรรม คือ อะไร เพราะพ่อแม่ก็ไม่เคยรู้ คนก็คงไม่รู้จะไปฟังธรรมได้ที่ไหนเพราะพระที่แท้...น้อยลงไปทุกที อาจไม่มีเหลืออีกด้วยในตอนนั้น 

ถ้าเราตายไปแล้วดันไปเกิดในช่วงนั้น...ชีวิตคงนรกสิ้นดี 

พวกเราถือว่าเป็นคนโชคดีที่อยู่ในช่วงเวลาที่พบพุทธศาสนา
มันเป็น window of opportunity ของทุกคน 
แต่เราโดดเข้า โดดออก window ตลอด
และโดดออก มากกว่าโดดเข้าใส่
มันต้องมีศรัทธามากกว่านี้ จะได้โดดเข้าไปบ่อยๆ 
ท่านวรบรูณ์ว่า...อย่าละความเพียรเป็นอันขาด 

ท่านให้ปฎิบัติง่ายๆ คือ มุ่งที่ “กาย” 
กายมีอยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อหา ติดมากับตัว
....ให้ระลึกได้ทุกขณะ
.....กาย = ศีล
ทำศีลก่อน.. ไม่ต้องถึงกับแยกขันธ์ 5 ได้ตอนนี้.. 
ให้แค่ “รู้” แล้วจบ
กำลังทำอะไรอยู่.. แค่นี้เหลือๆ
เดี๋ยวสมาธิมา...ปัญญาตาม
เป็นอันจบ..ไม่เสียชาติเกิด 
ถึงแม้จะต้องเกิดอีกหลายชาติ..ก็ทำไป
ท่านให้นึกถึงธรรม สิ่งที่ดีงาม ไม่ควรประมาทและเพียรต่อไป
ท่านให้พยายามยึด “กาย = ศีล” เข้าไว้..กำลังทำอะไรอยู่...

แต่รู้เลยว่า...ไม่ง่าย..

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ความล้มเหลวเป็นครู ไม่ใช่สัปเหร่อ

ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยง่าย เผื่อใจไว้ล้มเหลวด้วย 
ความล้มเหลวเป็นโอกาสอันดีในเรียนรู้
....แม้บางครั้งบทเรียนอาจราคาแพงไปบ้าง ก็ช่างมันไป
เพราะในระยะยาว จะพบว่ามันมีคุณค่า
...และเป็นพื้นฐานสำคัญต่อความสำเร็จ...ในอนาคต

วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเรียนรู้ คือ เปิดตา เปิดหู และ เปิดใจ 
ทำความเข้าใจกับความผิดพลาด 
เรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่ทำดีแล้ว 
สิ่งไหนที่ควรทำให้ดีกว่าเดิมและสิ่งไหนที่ไม่ควรทำ

ที่สำคัญต้องตระหนักว่า...
ความล้มเหลวเป็นครู ไม่ใช่สัปเหร่อ
ความล้มเหลวเป็นหลักกิโลบนถนนสู่ความสำเร็จ ไม่ใช่ตะปูตอกโลงศพ
ความล้มเหลวเป็นความล่าช้าชั่วขณะ ไม่ใช่จุดสิ้นสุด 
(นอกจากเราท้อและทำให้มันสิ้นสุดตรงหน้า)
ความล้มเหลวเป็นความล่าช้ าไม่ใช่ความปราชัย
(มันเป็นทางเบี่ยงชั่วคราวไม่ใช่ทางตัน) 
ความล่าช้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
ความกดดันไม่ใช่สิ่งถาวร... 

อยู่ที่มุมมองแล้วว่าสามารถมองความล้มเหลวเป็นโอกาสหรือเปล่า
อยู่ที่มองว่าความล้มเหลว = ครู หรือเปล่า
คงไม่มีใครที่จะอยากล้มเหลวหลายครั้ง 
แต่ถ้ามันจะต้องล้มเหลวอีก ก็ให้คิดว่า เราได้ครูเพิ่มมาอีกคน !!

Bill Gates เคยบอกไว้ว่า...
ความสำเร็จ เป็นครูที่ไม่ดี เพราะมันทำให้คนเก่งๆ หลายคน แพ้ไม่เป็น!

โอบกอดความล้มเหลวไว้ให้แน่น จำไว้ให้มั่น
แล้วเอามันมาเป็นบทเรียน !!

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

stay stupid or fight for being smart

เคยเสียศูนย์ในชีวิตแบบแทบจะยืนไม่ได้ไหม?
เคยเจอกับการเอารัดเอาเปรียบไหม?
เคยสูญเสียใครไปไหม?
ถ้าเคย คงรู้ว่ามันทุกข์ขนาดไหน...
ถ้าเคย คงรู้ว่ามันท้อแท้เพียงใด...
แต่โลกไม่ได้ถล่มทลายหรอก...
โลกยังอยู่ ชีวิตยังอยู่...
อย่าทิ้งชีวิตส่วนที่เหลือ...
คนที่ยังมีลมหายใจ มีค่าเสมอ !!
stay stupid or fight for being smart เลือกเอา !!

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

JUST GO WITH IT !!
















ถ้าคิดว่าทำดีแล้ว...ไม่ต้องกังวล
ทางที่ดีไม่ต้องไปแคร์อะไรมาก
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีเหตุผลของมันอยู่แล้ว

วันนี้อาจจะยังไม่รู้ หรือยังให้คำตอบที่ดีกว่านี้ไม่ได้ว่า...
"ทำไมมันต้องเกิดขึ้น?"
แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเราแก้ไขอดีตไม่ได้
แต่ทุกคนยังสามารถแก้ไขวันนี้เพื่อทำให้อนาคตมันดีกว่านี้ได้เสมอ

ทำใจให้สบาย..อย่าเยอะ !! 
ความเยอะจะทำให้คนไขว้เขว
มอง "ใจ" ให้ดี
ค้น "ใจ" ให้เจอ

ตอบตัวเองให้ได้ว่า "ทำไม" 
แล้วใช้ชีวิตอยู่กับมัน ไม่ไปเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระ....อีกต่อไป..

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เวลาที่คนคิดไม่เหมือนเราใครผิด


คนทุกคนมองจากมุมที่ตัวเองเห็น...ในสี่งที่ตัวเองเห็น
แต่ถ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็นอย่างที่เขาเห็น
....ก็ลองเดินไปมองที่มุมของเขา แล้วเราก็อาจจะเห็นอย่างที่เขาเห็น 
แต่ก็ไม่แน่นะ เพราะว่า...บางครั้งนั่งอยู่ที่เดียวกัน มองสิ่งเดียวกันและในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย

ในสังคมนี้....คนมองสี่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน มีมุมมองที่แตกต่าง
แล้วเวลาที่คนคิดไม่เหมือนเราใครผิด ????

เวลาที่เราคิดไม่เหมือนคนอื่น ไม่ต้องโกรธว่าเขาผิด
หรือ ไม่ต้องกลัว กังวลว่าเราผิด เพราะว่า...คนแต่ละคนก็เห็นสิ่งต่างๆ จากขอบข่ายประสบการณ์และสี่งแวดล้อมของตนเอง 

ถ้าอยากเข้าใจนะ....
ก็จะเข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น
เมื่อเรายอมเข้าใจคนอื่น
อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมาที่มุมเราและเข้าใจเรา

ถ้าเลือกได้นะ....
อย่ามองสิ่งต่างๆ เพียงแค่ที่เห็น
ใช้ใจมองบ้างและเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 39

ให้ "ค่า" การ "ให้" 
การให้..เท่าไหร่ ไม่สำคัญ สำคัญที่ทัศนคติในการให้...
ยิ่งอยู่นาน ยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งควรเข้าใจมากขึ้น

คนมีมาก..ให้มากได้ ไม่ได้เดือดร้อน
คนมีน้อย..ก็ให้ไปตามกำลัง

เงินหนึ่งพันบาทของคน...ไม่เท่ากันนะ
หนึ่งพันบาทของคนเงินเดือนหนึ่งล้าน
หนึ่งพันบาทของคนเงินเดือนหนึ่งหมื่น
มันเท่ากันไหม...มันไม่เท่านะ

คนมักชมชอบการให้ที่มาก...ชอบจำนวนมาก
คนที่ให้น้อย มักถูกละเลย ไม่เห็นค่า
ทุกอย่างถูกตีราคาออกมาเป็น "จำนวน"
ทุกอย่างถูกกลืนไปกับ "ปริมาณ"

มันไม่ถูก...
เราเพิกเฉยต่อ "จำนวนน้อย" ทั้งๆที่มันเป็น "จำนวนมาก" ของบางคน
เราร่าเริงต่อ "จำนวนมาก" ทั้งๆที่มันเป็น "จำนวนน้อย" ของบางคน

เราให้ค่า "ความมาก" ที่ผิดๆ 

ในกรณีที่ให้เท่ากัน...เราเฉยๆ ไม่เห็นความต่าง
หนึ่งพันบาทของคนเงินเดือนหนึ่งล้าน = 0.1 %
หนึ่งพันบาทของคนเงินเดือนหนึ่งหมื่น = 10 %
แต่ในกรณีที่ให้ 10 % เท่ากัน
คนจะตาโตกับหนึ่งแสนมากกว่าหนึ่งพัน
(คิดถูกไหมนี่...อ่อนเลข และ อ่อนใจด้วย)

มันถูกแล้วหรือที่จะตื่นเต้นกับ "จำนวน"
แทนที่จะชื่นชมกับ "การให้" ที่แท้ !!

ช่วยกันหันมามอง "ทัศนคติ" ของ "การให้"
โลกมันจะได้น่าอยู่ขึ้นอีกหน่อยนะ...ว่าไหม

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รักในหลวงที่สุด

รักในหลวงที่สุด


พระสถิตย์ในใจไทยทั่วหล้า
ทรงเป็นเทวดาในดวงใจไทยทั้งผอง
ข้าพระพุทธเจ้ามอบชีวีด้วยใจปอง
ใจแซ่ซ้องร้อง "จงรักภักดี"....ตราบชีวีมลาย
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

value vs. devalue

เรามักได้ยินบ่อยๆว่า...
"ใครๆก็ทำกันแบบนี้กันทั้งนั้น"
"อันนี้เป็นธรรมเนียมปฎิบัติ"
"มันเป็นนโยบาย"
"ที่ไหนก็เป็นแบบนี้"

มันแปลว่าอะไร
มัน = ไม่ต้องคิด(ต่อ) จบข่าวอย่างนั้นหรือ

โรงแรมที่ไหนก็สามารถคิดค่าซักผ้าแพงแอนนิมอล เป็นเรื่องปกติ
กินอะไรในตู้เย็นจ่ายมากกว่ากินข้างนอก เป็นเรื่องปกติ
เช็คอินได้เวลาบ่าย เช็คเอ้าท์ต้องก่อนเที่ยง เป็นเรื่องปกติ
การสะสมคะแนนสายการบินปีต่อปี ไม่ใช่คะแนนต่อคะแนน เป็นเรื่องปกติ
การแลกบัตรจอดรถ เป็นเรื่องปกติ
การชารต์เพิ่มเวลารูดบัตร เป็นเรื่องปกติ
และอื่นๆอีกมากมายที่ถือเป็นเรื่องปกติ.......

คิดแบบนี้มัน business for business sake มากเลย
มันไม่มีวัน "จับใจ" คนได้นาน 

อยากถามว่าเรื่องต่างๆที่เราคิดว่าปกติ... มันสามารถทำได้ดีกว่านี้ไหม
ทำได้แน่นอน...แต่ไม่ค่อยมีใครคิดจะ "ฝืนทำ"
อะไรที่ต้องใช้ความคิด ใช้ความพยายามเราถือว่า "ฝืน"
ทั้งๆที่มันเป็นต้นตอของความคิดสร้างสรรค์นะ...ไอ้ "ฝืน"เนี่ย..
แต่เรายังคงยอมลอยไปกับอะไรที่ไม่ต้องฝืน..
บอกเลยว่า...มันผิด 
ไอ้ที่ทำต่อๆกันมานั้น ไม่ได้ถูกต้องไปทุกเรื่อง
แล้วทำไมเราจะฝืนทำให้มันถูกไม่ได้
มีเหตุผลเดียว...กะเพราไก่ไข่ดาว = สิ้นคิด !!
เราชินต่อการทำอะไรตามๆกัน แล้วหลอกตัวเองไปวันๆว่ามันดีแล้ว
อันนี้ คือ หยุดโลกเลยนะ 
ถ้าทุกคนคิดแบบนี้...มันจะมีสินค้า บริการใหม่ๆที่สร้างคุณค่าใหม่ได้ยังไง
ชีวิตมันจะพัฒนาให้ดีขึ้นได้ยังไง...
เราพูดเสมอว่า value เป็นเรื่องสำคัญ ในทางธุรกิจเราบอกว่าต้องสร้าง value แต่ที่เกิดขึ้นจริงตามที่บอกไว้ข้างต้นที่ถือเป็นเรื่องปกติ คือ devalue ลูกค้าชัดๆ 

เลิกเอาความสะดวกของกระบวนงานองค์กรเป็นที่ตั้ง
เลิกสนใจว่าใครๆทำกันมายังไง (จะไปตามคนอื่นทำไม)
เอา value ที่แท้จริงเป็นตัวตั้ง แล้วจะเห็นเองว่า...
เราสามารถพัฒนาอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมายนัก !!

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อย่าเอาแต่ใจ


เราชอบคิดว่าตัวเองสำคัญ เลยไม่รู้จักคำว่า "คิดเผื่อคนอื่น"
การคิดเผื่อคนอื่นเป็นการให้เกียรติกัน 
เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ
ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถเคารพชื่นชมตนเองได้
....และไม่สามารถมีความสุขร่วมกันได้

มีคนเขียนไว้...
"จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนสายลมที่พัดให้ความสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิ
แต่เข้มงวดกับตัวเองเหมือนเกล็ดน้ำค้างอันเยือกเย็นในฤดูใบไม้ร่วง"

Live & Learn ทุกข์ได้..แต่อย่าทุกข์ฟรี

นึกถึงเพลงของคุณกมลา สุโกศล เพลง Live and learn

....เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน
จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ 
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
จะยอมรับความจริงที่เจอได้เเค่ไหน....

ในชีวิตมันมีสุขทุกข์เข้ามาหาโดยไม่ได้นัดหมาย 
สุขก็ดีไป แต่ถ้าทุกข์ ขัดใจ ข้องใจนั้น...มันต้องจัดการ
เพราะว่า..จะมานั่งกลุ้ม หม่นหมอง มันไม่คุ้มค่าใจเสีย เปลืองเวลาชีวิต
ใช้เหตุการณ์ที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน สิ่งขัดอกขัดใจ ใช้มันฝึกใจ 
ลองไม่ทุกข์ใจดูบ้าง 
ใครต่อว่า...เราไม่ทุกข์
ใครขัดใจ...เราไม่ทุกข์
ใครโกรธ...เราไม่ทุกข์
เจ็บตัว...ไม่ทุกข์
เจ็บใจ...ไม่ทุกข์
แต่หากจะทุกข์แล้ว...ก็อย่าทุกข์ฟรี ๆ หาประโยชน์จากสิ่งเกิดขึ้น
ใช้เรื่องขัดอกขัดใจมาเป็นเครื่องฝึกความอดทน ลดละอัตตาตัวตน
มันน่าจะดีกว่ามาก...มาฝึกกัน
ดีใจ...ดีไป
เสียใจ...ไม่ทุกข์ 

...อยูที่เรียนรู้...อยู่ที่ยอมรับมัน !!


วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 38

พยามคุ้นเคยกับความไม่คุ้นเคยเสียบ้าง

ชีวิตที่ไม่เสี่ยงเลย คือ อับเฉา 
อะไรเดิมๆ ไม่มีวันพัฒนาไปได้
ยิ่งอายุมากขึ้น มันยิ่งเจออะไรที่ไม่ “คุ้นเคย” มากขึ้น
ทำใจรับความเสี่ยงเหอะ
ถามตัวเองไป...ระหว่างนี้จะเลือกอะไร
- ทำไปเดิมๆ หรือ หาวิธีใหม่ในการสู้กับปัญหา
- ออกไปหาสิ่งใหม่ๆ หรือ จะจัดการกับสิ่งเดิมๆในชีวิต (อยู่นั่นแล้ว)

การเสี่ยงต่อความไม่คุ้นเคย ไม่ใช่ว่าจะสมใจเสมอนะ
John F. Kennedy ยังว่า “Nothing worthwhile has ever been accomplished with a guarantee of success.” และอยากต่อว่า...Nothing ever will be !!

แต่การก้าวออกไปเจออะไรที่แปลกใหม่ กล้าผิดพลาด มันทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าแน่ๆ และดีกว่าที่เคยเป็นเคยทำอยู่แน่ๆ

หลายครั้งที่เราไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรที่ผิดแผก แปลกไปจากเดิม เพราะเราเอาความหลัง เอาสิ่งที่เคยพลาดมากำหนดเส้นทางไว้อย่างแน่น มันใช่มั๊ยเนี่ย กับการที่เอาอดีตมาตัดสินในการเลือกอนาคต โอกาสดีดีมันจะเกิดไหม..
ลองคิดดู...จากนี้อีกสิบปีจะได้ไม่มานั่งเสียใจ ว่า..รู้งี้..เฮ้อ
คนที่มีความสุข ตื่นเต้นกับชีวิตล้วนกล้าก้าวออกมาจาก comfort zone ทั้งนั้น
กล้าเสี่ยง
กล้าโง่
กล้าออกมาอยู่กับสิ่งไม่คุ้นเคยบ้าง
S T O P   P L A Y I N G   S A F E !!
มันอาจอึดอัด มันอาจไม่สบายนัก แต่รับรองว่าคุ้ม !!

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Giving yourself a break !!




















ถ้าคิดว่าการทำผิดพลาด คือ ความล้มเหลว คิดใหม่นะ ให้เวลาตัวเองบ้าง สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นในชีวิตมันล้วนใช้เวลา  

การกดดันตัวเองมากเกินไป...ไม่ได้ช่วยอะไรเลย และยังทำให้กำลังใจลดลง ความคิดสร้างสรรค์หดหายด้วย ลองคิดว่าเวลาเราเล่นเทนนิสแล้วตีลูกติดกับตาข่ายกั้น แล้วโค้ชบอกให้เอาไม้ฟาดหัวตัวเอง 10 ที มันจะเล่นดีขึ้นมั๊ย ในทางตรงกันข้าม ถ้าโค้ชแนะนำวิธีการตีลูกข้ามตาข่ายให้ อันไหนมันจะดีกว่ากัน อย่าตีอกชกหัวตัวเองเวลาพลาด หันกลับมาหา self-correction อนาคตจะรุ่งกว่ามาก

เวลาเพื่อนพลาดพลั้ง เรายังปลอบใจ 
ตัวเองพลาดก็รู้จักปลอบใจตัวเองบ้าง 

อย่า double-standard !! 

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 37

จะอ้วน...จงอ้วนฟิต !!
เกิดมานี่มันเหนื่อยนะ...เมื่อก่อนถือว่าเป็นหญิงงามก็ต่อเมื่อมีฟันดำ ต้องตะกายไปกินหมาก ผู้หญิงตะวันตกในยุคสมัยหนึ่งต้องอวบจึงจะถือว่างาม ต้องสรรหาของกินมาทำให้อวบอิ่ม แต่ในปัจจุบันมีแต่คนอยากผอม เนื่องจากค่านิยมผอมบางสวยประโลมโลก ต้องทำทุกวิธี จนตายไปก็มีให้เห็น...

แบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาตินะ 
แต่เป็นความคิดความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นและยึดถือ ทำสืบต่อกันมาเรื่อยๆ 
ค่านิยมความงามจึงนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและสังคม

ค่านิยมสังคมไทยให้ความสำคัญกับผู้หญิง ผู้ชายที่มีหน้าตา รูปร่างสวยงาม ยิ่งปัจจุบันคนยิ่งมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างฉาบฉวย การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมในสังคมที่บูชาวัตถุ ทำให้คนมองว่าร่างกายมันเป็นสินทรัพย์รูปแบบหนึ่ง ขายได้ขายดี ทำให้คนสมหวังอยู่หลายประการ การพัฒนาเทคโนโลยีแห่งความงามก็รุดหน้ามาก หมอสามารถทำศัลยกรรมให้ร่างกายคนไร้ที่ติ สวยหล่อสั่งได้ดังใจปรารถนาและยังจะมีอิทธิพลสื่อที่กระตุ้นค่านิยมเรื่องรูปลักษณ์เรือนร่างเข้ามาเสริมทัพอีก การเปิดรับภาพความสวยความงามแบบนี้ซ้ำๆ กันทุกวัน ทำให้อดไม่ได้ที่จะนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนสวยคนหล่อขาวผอมบาง

คนเราจึงเหนื่อยมาก กดดันมาก
ไม่สามารถเลือกที่จะงามในแบบที่ตัวเองต้องการได้ 
หยุดดดดด......
ไม่เอาแล้ว มันล้าสมัย เชยยยยยย.....
สำหรับคนอ้วน...(ขออภัยใช้คำหยาบคาย)
สวยผอมมันไม่ได้ทำลายสุขภาพกายอย่างเดียว...มันทำให้จิตเสื่อมด้วย
คิดใหม่...อ้วนฟิต อ้วนฟิต
ที่คิดแบบนี้ คือ อ้วนเนี่ยได้ละ เหลือแต่ฟิต 555
อยากกินไร...กิน ไม่ต้องอด
แต่เคลื่อนไหวตัวเองไป จะเดิน จะวิ่ง จะโยคะโยคีอะไรก็ตามจริตตัวเอง
ตั้งเป้าหมายผอม มันยากสำหรับวัยชราที่เผลออ้วนลงพุงไปแล้ว
เอาใหม่..ผอมอ้วนช่างมัน..
ตั้งไว้ที่ "ฟิต" กว่าเดิม ไม่ได้ให้ไปหักโหมทำอะไรเกินวัย..
เอาที่ "สบาย" แต่ "ฟิต" 
ดีไหม....ดีนะ

ชีวิตไม่ต้องมาก...ฝึกแค่ 2 เรื่อง…



เรื่องแรก คือ ฝึกตรวจ focus ตัวเอง 
เรื่องที่เราจดจ่อนั้นมันเป็นแม่เหล็กดึงดูดสำหรับชีวิต  เล็งโอกาส...ประตูเปิด มุ่งที่ปัญหา...อุปสรรคตรึม

ทุกวันนี่เราเล็ง เรามุ่งอะไรระหว่าง...
คนอื่น vs. ตัวเอง
โอกาส vs. ปัญหาสารพัด
รู้คุณคน vs. อิจฉาตาร้อน
วันนี้ vs. เมื่อวาน
ขำขำ vs. ดราม่า
การให้ vs. การเอา
สิ่งที่คุมได้ vs. สิ่งที่คุมไม่ได้

ง่ายๆ คือ มุ่งบวก..บวกมาหา
มุ่งสบายๆ ขำขำไป...เสียงหัวเราะมีอยู่ทุกที่
มุ่งดราม่าชาวบ้าน...จบลงที่ soap opera ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ลองมองไปรอบๆตัว...เราใช้เวลา ใช้เงิน ใ้ช้พลังไปทางไหน....
คำถาม คือ คำตอบ

เรื่องที่สอง คือ ฝึกคุม inputs ที่เข้ามาหา

ใจที่ตั้งรับเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ บางทีมันลืมตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสทางใจนะ มันเลยมีอะไรไม่ดี ร้ายๆเข้ามาก่อกวนอยู่เป็นนิจ โดยที่บางทีไม่รู้ตัวด้วย ไม่ได้เชื้อเชิญ มันมาเองและดันไม่รู้ตัวอีก  

ที่เรียกได้ว่าเวรกรรม คือ มันไม่ "Garbage in, garbage out" 
แต่เป็น"Garbage in, garbage stays.”

ใจมันไม่ค่อยจะแยกแยะนะว่าอะไรดี อะไรไม่ดี  
มันรับมา บันทึก จัดเก็บไปเลย..อย่างเร็ว
ใจจึงเป็นได้ทั้งศัตรูตัวร้าย และ มิตรสหายตัวดี

ง่ายๆ คือ กรองแต่ positive inputs และเราจะสามารถปรับโอกาสตัวเองให้เจอแต่ positive outputs 

วันๆไม่ต้องอะไรมาก...มีสติกับเรื่องที่เข้ามา เช่น TV FB ข่าวต่างๆ ถ้าเจอร้ายๆ ไม่สบายใจก็บอกกับตัวเองว่า..เฮ้ย นั่นมันแค่ข่าว !! ไม่งั้นมันจะบันทึกจัดเก็บ ทีนี้ฝันร้ายทั้งคืน หนักข้อ คือ แค่ชำเลืองมันก็เข้ามาแล้ว ตั้งรับให้ดี คิดเรื่องดีดี หลักการงามๆในชีวิตไว้ก่อนจะดำดิ่งลงไปอ่าน ไปมองเรื่องต่างๆ ก็ช่วยได้  อีกอย่าง คือ คนที่อยู่รอบๆเรามันมีทั้งพวกรันทดหดหู่ ไม่เคยพอใจชีวิต กับพวกชีวิตรื่นรมย์สมหวัง เราไม่สามารถแอบชีวิต ไม่พบไม่เจอได้  มันต้องมี filter สำหรับ negative inputs เพื่อลดขยะที่รกใจ สร้างความเหม็นให้ชีวิตลงให้มาก 

กลยุทธ์ที่ดี คือ การเลือก 
ก็เลือกเอานะ ระหว่าง  positive builders vs. negative destroyers

แอบไม่ได้...แต่เลือกอยู่ได้ 

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 35

การเริ่มยิ้มให้กับตัวเอง


คนที่จะเริ่มยิ้มให้ตัวเองได้ คือ คนที่มี self esteem ที่ไม่ใช่ต้องเป็นคนเก่ง คนดีที่หนึ่ง หรือ คนที่เหนือคนอื่น  แต่เป็นคนที่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น รับรู้ได้ถึงข้อดีและข้อเสียในตัวเอง พอใจ ยอมรับมันได้และรู้สึกดี นั่นคือให้เกียรติตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง คิดแก้ปัญหา เชื่อมั่นในความคิดและความสามารถของตัวเอง สามารถตัดสินใจชีวิตตัวเองแบบไม่แคร์สื่อ  ถือเป็นคนที่มีจิตใต้สำนึกที่แข็งแรงมาก 



นักจิตวิทยาและนักเขียนชาวอเมริกัน ชื่อ Virginia Satir สะท้อนเรื่อง self esteem ได้ชัดในคำพูดที่ว่า  “I own me, and therefore I can engineer me. I am me and I am OK.”   เป็นความรู้สึกว่า “ฉันเป็นเจ้าของตัวเอง ฉันสามารถควบคุมจัดการตัวเองได้ ตัวฉัน คือ ตัวฉัน และตัวฉันนั้นดีพอ” 

อะไรมันจะดีไปกว่าการที่เราสามารถมองตัวเองได้เต็มตา แล้วชื่นชมกับตัวตนที่ไม่ใช่การหลงตัวเอง แต่เป็นเรื่องการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง รู้สึกได้ว่าชีวิตเรามีความงดงามในแบบที่เรารู้สึกได้โดยเองไม่ต้องรอให้คนอื่นมาตัดสิน คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา


เอ้า...เริ่มยิ้มให้กับตัวเองได้แล้ว ภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะว่าคนที่ไม่รู้คุณค่าตัวเองและไม่มีความมั่นใจจะไม่มีความหวัง ไม่มีพลังในการต่อสู้ชีวิตและไม่ต้องอยากเป็นคนอื่นให้มันเสียเวลา การอยากเป็นคนอื่น คือ การทำลายคุณค่าตัวเอง !!

คิดวันละอย่าง # 34

โรคโกรธไหลย้อน

โรคโกรธไหลย้อน คือ เรื่องเก่าเอามาคิด ทั้งที่ตอนนั้นอาจไม่ได้คิด คิดไม่ทัน ไม่ได้โกรธมากขนาดนั้น แต่ครั้นนึกขึ้นมาได้กลับโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจมีอาการฟุ้งซ่าน เลิกคิดเลิกโกรธไม่ได้  บางคนถึงกับเดินหน้าในชีวิตต่อได้ยาก 

อาการ คือ หัวใจเต้นแรงและเร็ว หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้นเพราะหายใจเร็วขึ้นเหมือนจะหายใจไม่พอ สิ่งที่ตามมาคือกล้ามเนื้อตึงตัวและเกร็งไปทั่วตัว ทำให้ความร้อนมากขึ้น ตัวร้อนขึ้นและเหงื่อออกมากมาย

โรคนี้เป็นแล้วหงุดหงิด จิตตก !!

ในชีวิตคนย่อมมีเหตุการณ์มากมายที่ยากจะลืมเลือนได้ มันไม่ได้มีแต่เรื่องชื่นชูใจ  มันมีเรื่องราวที่ขมขื่น หนาวเหน็บและเจ็บปวด นึกทีไรความเศร้าโศก โกรธแค้น หรือรู้สึกผิดก็เกาะกุมใจ  ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้อามิกดาลา (สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์) สั่งการให้มีการบันทึกความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ฮอร์โมนดังกล่าวหลั่งออกมามากเท่าไร ความจำในเรื่องนั้น ๆ ก็จะยิ่งฝังลึกโดยมีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปย้ำ มันจึงเป็นตัวการสำคัญที่ตอกย้ำความทรงจำให้ประทับแน่นมากขึ้น ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งลืมเลือนได้ยาก คือ มันโกรธไหลย้อนได้อีก ทั้งโกรธคนอื่น โกรธตัวเอง โดนชาวบ้านโกรธ  และมีทั้งปล่อยออกมาตรงๆ ก้าวร้าว หรือเก็บกดทำเป็นเฉยแต่ในใจโกรธ 

โกรธมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่โกรธสิแปลก 
แต่โกรธไม่เลิก โกรธไหลย้อนนี่ ต้องควบคุมให้เป็น ไม่งั้นอาจมีเสียคน ทำได้โดย...

1. แก้โกรธที่ตัวเอง
อย่ากดดันตัวเอง มันอยู่ที่วิธีเผชิญกับมัน มองสถานการณ์อดีตที่ทำให้โกรธใหม่ว่ามันเป็นเรื่องที่ใครๆก็เป็น ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ทุกครั้งทุกเรื่อง จะโกรธทำไม
2. สร้างการสื่อสารที่ละมุน
ถ้าเริ่มรู้สึกมีอารมณ์โกรธขึ้นมาอีกขณะพูดกัน ทำตัวเองช้าลง ระมัดระวังคำพูดมากขึ้น ฟังมากขึ้น ไม่ด่วนสรุป ถ้าเห็นว่าบรรยากาศไม่ดีให้พัก ถอนหายใจ ยิ้มเบาๆในใจเบรกความตึงเครียด
3. สร้างสมดุลอารมณ์
หายใจเข้าออกช้าๆให้สมาธิไปอยู่ที่ลมหายใจ สักพักหนึ่งค่อยหายใจตามปกติ อย่าใจร้อนหรือรีบใช้คำพูดเสียดสีแบบสะใจ เพราะการโกรธจะซับซ้อนมากขึ้น มองเป็นเรื่องขำขันไป แต่ไม่ต้องฝืนหัวเราะเพราะจะรู้สึกแย่มากขึ้น 
4. เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
ถ้ารู้สึกว่าจะระเบิด ขอเวลานอกเลย ไปสงบตัวเอง หาอากาศปรอดโปร่งสุดเข้าไป  จิบน้ำให้สดชื่น หรือเล่นกับหมาแมวไป ถ้าไม่ดีขึ้นอาจจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อปลดปล่อยแรงขับโกรธไหลย้อนออกมาเช่น ขุดดินปลูกต้นไม้ เล่นกีฬาที่ต้องออกแรงเหวี่ยงไป
 5. ยอมรับความจริงและหาตัวเลือกอื่น
บางครั้งเราก็ออกไปจากสิ่งเร้าอารมณ์กระตุ้นโกรธไหลย้อนไม่ได้ ก็ควรยอมรับในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้แล้วพยามยามปรับตัวอยู่กับสิ่งนั้นอย่างเข้าใจ หรือ หาทางเลือกอื่นๆมาชดเชย เช่น เปลี่ยนที่ทาง หาสิ่งแวดล้อมใหม่
6. ระวังความคิดอัตโนมัติ
คนเราเวลาโกรธไหลย้อน มักคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ไม่ยุติธรรมเลย ความคิดแบบนี้จะกระตุ้นให้โกรธเร็วและแรงขึ้น และตัวเองก็ไม่คิดจะแก้ปัญหาเพราะเห็นว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ หรือถูกกระทำมาก่อน เลยไหลย้อนหนัก ระวังจะอ้วก

ความทรงจำเกี่ยวกับความผิดหวัง เสียศูนย์ สูญเสียในอดีตนั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงมากับความรู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น เศร้าโศกเสมอไป และมันมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมดตรงกันข้ามอดีตมันยังสามารถเป็นต้นทุนที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิตได้ ทำให้เราเข้มแข็งและมีปัญญามากขึ้นอีกต่างหาก  

ระวังโกรธไม่เลิก..ต้องจัดการให้ได้ 

หัวใจจะเป็นสุข โรคโกรธไหลย้อนจะไม่ถามหา



วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 33

ความสุขเป็นก้อน !!

ความสุขมันมีก้อนเล็กก้อนใหญ่ 
เราชอบมองที่ 
"ความสุขก้อนใหญ่"
เช่น ครอบครัวอบอุ่น รักกันตลอดไป ชีวิตมั่นคง ฯลฯ แบบนี้เป็นการมองแบบก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่เราต้องได้มาเป็นของเรา 

....มันเป็นไปไม่ได้...

ครอบครัวไม่ได้อบอุ่นทุกวัน
...มันมีอบอุ่น ไม่อบอุ่น
ความรักไม่ได้มีตลอดเวลา
...มันมีเบื่อ มีอยาก
มั่นคงก็ไม่ตลอดไป
...มันมีช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนอยู่
ไอ้สุขก้อนใหญ่นี้มัน ไม่จริง
มันผสมๆทุกข์อยู่
มันใหญ่เกิน เราคาดหวังเกิน

ลองหันมามองพวก "ความสุขก้อนเล็ก" 

แล้ว...ค่อยๆเก็บไประหว่างทาง แน่นอนกว่านะ
เช่น...
หายใจได้อากาศสดชื่นสะอาด...ก็เป็นสุข
เห็นสีเขียวๆของใบไม้...ก็เป็นสุข
เจอดอกไม้เล็กๆริมทาง...ก็เป็นสุข
ดื่มชานมเย็น...ก็เป็นสุข
ได้รอยยิ้มจากแม่ค้า...ก็เป็นสุข
แต่ละวันรับก้อนความสุขเล็กๆ แบบนี้ได้มากกว่าก้อนไม่สุข ก็ถือว่าดีแล้ว

พอเมื่อไรก็สุขเมื่อนั้น ยิ่งหา..ยิ่งหาย...

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ชวนเข้าวัด..


วัดความดี วัดอารมณ์และวัดศีลธรรม

บางทีการได้ใคร่ครวญเงียบๆอยู่กับ “วัดในใจ” ก็ดีกว่าไปนุ่งขาวห่มขาวในวัดแต่ไม่ได้พิจารณาตัวตน 
เริ่มเลยก็แล้วกัน...
วัดแห่งที่ 1 : วัดความดี

ความดี คือ ทำในสิ่งใดก็ตามที่เราได้ทำแล้วใจและกายมีความสุขและทำให้คนอื่นเป็นสุข ส่วนความเลว คือ ทำแล้วเบียดเบียน ไม่เกิดประโยชน์ ทำแล้วคนอื่นเดือดร้อน
มันอยู่ที่ “มโนสุจริต” ความดีความงามทางใจ เห็นชอบ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ไม่พยาบาทป้องร้าย คิดง่ายๆ คือ ทำอะไรมันต้อง “ถูกต้องและถูกใจ” ที่ไม่ใช่ความดี คือ ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ / ถูกต้อง ไม่ถูกใจ / ถูกใจ ไม่ถูกต้อง 

วัดแห่งที่ 2 : วัดอารมณ์

เราตัดอะไรได้แค่ไหน ไม่ต้องถึงกับตัดเครื่องรัดร้อยกิเลส สังโยชน์ 10 เอาแบบคนธรรมดา อารมณ์ใด ๆ มากระทบจิตกระทบใจแล้วปลดไม่ได้ ก็ถือว่าอารมณ์ไม่ดี เป็นกิเลส เกิดทุกข์เศร้าหมอง ถือว่ายังปลดไม่พอ จะให้เข้าใจง่ายขึ้นกว่านี้เรื่องอารมณ์ ก็อย่าเป็น “ชาวเกาะ” เกาะขันธ์ 5 ตัวเอง เกาะขันธ์ 5 ชาวบ้าน เกาะงาน เกาะกังวลความเป็นอยู่ของชีวิต เกาะความเจ็บป่วย เกาะมันไปหมดทุกอย่าง อันนั้นอารมณ์คับคั่งเกิน เหมือนรถติดตอนฝนตก ไปไหนไม่รอด หงุดหงิด ยุ่งยากใจ ปวดหัว ใครก็ช่วยไม่ได้ แต่ “สติ” ของตัวเอง คือ คำตอบสุดท้ายที่ช่วยปลดได้
วัดแห่งที่ 3 : วัดศีลธรรม

อันนี้คนละเรื่องกับศาสนา ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ศาสนาไม่ได้เป็น “เครื่องชี้วัดศีลธรรม” คนเข้าวัดไม่ใช่คนที่มีศีลธรรมกันทุกคน คนนุ่งอะไรที่ไม่ใช่สีขาว ไม่เข้าวัดก็ไม่ใช่คนไร้ศีลธรรม ศีลธรรมเป็นเรื่องอิสระโดยสมบรูณ์จากศาสนา (เดี๋ยวมาจะพุทธ คริสต์ อิสลาม ใครดีกว่าใคร มันจะยุ่ง) ศีลธรรมเป็นหลักการที่จะนำไปสู่ความสงบสุขในสังคม ทำให้คนทั้งหลายในโลกนี้มีความสุข ไม่มีใครเอาเปรียบกัน หรือ ฆ่ากันหน้าด้านๆ 
ดังนั้นหากเราไม่ลัก ไม่ฆ่า ไม่โกหก ไม่เพ้อเจ้อ ไม่หยาบคาย ไม่ทำร้ายใครด้วยกาย วาจา ใจ ไม่โลภอยากได้ในทางที่ผิด มีจิตเมตตาไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ศีลธรรมก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ถ้าไม่มีเวลาเข้าวัด...ไม่เป็นไร
มาเที่ยววัดความดี วัดอารมณ์ วัดศีลธรรม...วัดเหมือนกัน
“วัดความดี” “วัดอารณ์” และ “วัดศีลธรรม” 
อยู่ข้างๆกัน อยู่ใกล้กันมาก  

....มาเยี่ยมบ่อยๆ ไม่เสียเวลามากนัก...ไม่เปลืองทรัพยากร
ไม่ว่าตัวอยู่ที่ไหนก็เข้าไปสามวัดนี้ได้...แบบสบาย

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 32


คนต้องการเวลานอก !! 

ไปอ่าน Why you really should go out for lunch today เขียนโดย Anne Fisher ลงใน Fortune เมื่อวาน เขาว่า...

จากบทความของบริษัทที่ปรึกษา The Energy Project กับ Harvard Business Review ที่ไปสำรวจชีวิตประจำวันของพวกผู้บริหารในอเมริกาประมาณ 20,000 คน พบว่า พวกที่ลุกจากโต๊ะทำงานสองสามครั้งต่อวันในการทำงาน โดยเฉพาะออกไปกินข้าวเที่ยงข้างนอก รายงานว่าประมาณ 40% รู้สึกผูกพันต่อการทำงานมากขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นกว่าพวกที่อยู่กับที่เคี้ยวข้าวกลางวันให้มันจบๆไป และมีถึง 81% ที่อยากอยู่ทำงานต่อกับองค์กร 

ไม่น่าแปลกใจที่บริษัทอย่าง Google เลี้ยงอาหารกลางวันฟรีแก่พนักงาน มันไม่ใช่เรื่องอาหาร แต่เป็นเรื่องการได้ chill chill ชั่วขณะ (ก็ยังดี) ได้พบปะพูดคุย มีโอกาสเห็นไอเดียใหม่ๆของคนอื่น 
Tony Schwartz, CEO ของ The Energy Project ว่าการที่คนออกจากโต๊ะทำงาน ไปกินข้าวกลางวัน มันช่วยคลายเครียดจาดเรื่องหนักๆตอนทำงานช่วงเช้า มันทำให้การกลับมาทำงานช่วงบ่ายม่วนใจ๋ยิ่งขึ้น มีพลังมากขึ้น 

อันนี้เด็ด...
“Taking back your lunch is the first step in taking back your life.”

มันเหมือนชีวิตเลยนะ...ต้องมีเวลานอก พักครึ่ง เพื่อเดินหน้าต่ออย่างสดชื่น
ใครมันจะบ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำ งกเงินได้ขนาดนั้น...มันเสียพลังชีวิต

เชื่อว่าทุกคนมีเวลานอกของตัวเอง
และยืนยันว่าต้องหาเวลานอกให้ได้ ไม่งั้น..มันเฉานะ
เฉา (แห้งแล้ง ไม่มีเวลารดน้ำตัวเอง)
เปื่อย (เบื่อ เซ็ง ซ้ำๆอยู่ทุกวัน)
ป่วย (โรคภัยเริ่มมาเคาะประตูชีวิต)
ป่ะ..ไปเอาชีวิตกลับคืนมามั่ง

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 31


ตัด ตัด ตัด

สิ่งสำคัญในชีวิตเรา จริงๆแล้วมีน้อย...

พี่บรูซ ลีว่าไว้...

“Absorb what is useful, Discard what is not, Add what is uniquely your own.”

การ "ตัด" มันไม่ได้ใช้ความพยายามมากขนาดนั้น...

เป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่สบายใจ

อยู่กับสิ่งที่ชอบ ที่ถนัด 

อันไหนตัดได้..ตัดไป 

อันไหนตัดไม่ได้..ทำมันให้ไว ให้มันเสร็จๆไป

สิ่งที่ไม่สำคัญ ทำไมเราต้องสนใจ

ปฏิเสธสิ่งที่ไม่สำคัญในชีวิตเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คนแฮบปี้ได้จริง

...แล้วไปทุ่มในสิ่งที่สำคัญสำหรับตัวเอง ดีกว่ามั๊ย...

อะไรมันจะดีเท่ากับสิ่งที่ตรงจริตตัวเอง

ทุกวันที่ผ่าน..ตัดไป ไม่ต้องเพิ่ม

ชีวิตจะเบาขึ้นมาก...

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 30

ใครสักคนว่าไว้...travel makes one modest !! 

อันที่จริงอยู่กับบ้าน อยู่กับสังคมเพื่อนฝูงมันก็สนุก สบายใจดี
แต่มันไม่ค่อยได้กะเทาะเปลือกแห่งชีวิต...
มันทำให้ลืมความจริงไปว่า...เรามันเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆในโลกนี้
อยู่บ้าน..อยู่ที่ทำงาน...มันใหญ่ อัตตามันเยอะ
มันทำให้เราตัว "ใหญ่" ขึ้นทุกที

เวลาเดินทางท่องเที่ยวมันเห็นทั้งวิถีชีวิตตัวเอง วิถีชีวิตคนอื่น
เห็นความเจริญ เห็นความยากจนในอีกมุมที่ต่างจากที่เราอยู่..
มันต้องปรับตัว มันต้องทำใจ
มันต้องยอมรับว่ามันเป็นไปแบบไม่ตามใจเราทุกเรื่อง...

และ...มันรู้เลยว่า...
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้
ไม่มีใคร มีอภิสิทธิ์เหนือใคร
ทุกชีวิต มีสิทธิ์ในการใช้ชีวิตบนโลกนี้
อย่าง...เสมอภาคกัน อย่าง...เท่าเทียมกัน

โลกมีไว้ให้ "สำนึก" 

มีชีวิตนี้เพียงครั้งเดียว (บาปเยอะ ชาติหน้าอาจไม่ได้เกิดเป็นคน)
โอกาสมี..ฉกฉวยโอกาส
เที่ยวได้..เที่ยวไป....มันได้คิด !!
travel is my therapy kiki emoticon

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 29


เมื่อวานพวกเราเหมือนกลุ่มหมอๆไปราวนด์วอร์ดเลย 555 
....น้องเลิฟป่วย เพื่อนเลิฟขาหักอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน เฮโลขึ้นลงเยี่ยมไข้

ปัญหาในชีวิตพวกเราตอนนี้ไม่หนีเรื่องเจ็บตัว ปวด ป่วย 
บางอย่างไปติดมาจากที่อื่น
บางอย่างเพราะพักไม่พอ
บางอย่างสติไม่ค่อยดี
บางอย่างสังขารล้วนๆ

มันก็เป็นแบบนี้นะชีวิต...
แต่เห็นสองคนนี้แล้วนับถือเลย...กำลังใจดีมาก
นิ่ง ยอมรับและสนุกอีกต่างหาก..สุดยอดมนุษย์ !!

เออ..ทุกข์เป็นทุกข์ ป่วยเป็นป่วย
สำคัญที่กำลังใจของตัวเองจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นอะไร อะไรจะเกิดขึ้น...รับมันไป ดูมันไป สู้กับมันไป...

เรื่องเจ็บป่วย ถึงมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา คือ มาบ่อยเกิน...
แต่มันยังคงทิ้งรอยเล็กๆไว้ให้นึกถึง
เหมือนเราคัน..ไปคันที่มันเป็นรอย...ยิ่งเกา ยิ่งลุกลาม ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งร้อนใจ
รู้ทันมันซะ มันก็แค่เรา "คิด"
ยิ่งคิด ยิ่งติด ยิ่งคัน ยิ่งเกา..โฮ้ย ไม่ไหว เกาไม่รู้ตัวเลย
นิ่งๆ สงบ สติอย่างเดียวที่จะระงับอาการ "คันคิด"
ใจมั่นไว้..มันก็แค่เวทนานะ...

พี่ Charlie Chaplin ว่าไว้...
Life is a tragedy when seen in close-up, but a comedy in long-shot.
ขำขำไป..สบายใจดี ป่วยก็รักษา ไม่มีอะไรมาก อยู่กันไป ม่วนกันไปนะ

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 28


ไม่ต้องให้ใครเข้าใจ...เข้าใจตัวเองก็พอ
ทุกคนมีเรื่องราวของตัวเอง...บางทีมันเยอะ มันสับสน..
จนต้องไปขอความเข้าใจจากคนอื่น
ซึ่งมันหายาก ปากว่าเข้าใจ แต่ใจเต้นว่า "อะไรของมึง" ก็มี...

ถ้ากำลังคิดว่าจะมีใครเข้าใจเรามากกว่าตัวเองนั้น..
มันโกหก...หรือไม่ก็หลอกตัวเองไปวันวันว่าฉันยังมีคนที่เข้าใจ

ไม่ต้องหาให้ลำบาก...ภาวนาให้ตัวเองเข้าใจตัวเองไป..
ในชีวิตเรา...หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรู้จักตัวเอง และ เข้าใจตัวเอง
และถ้าทำได้ มันคือความสุข

รักตัวเอง เข้าใจตัวเองได้..ไม่ต้องเหงา ไม่มีเหงา
เพราะแค่เรื่องตัวเองก็ยุ่งจะตายชักอยู่แล้ว...
(แค่ไม่อยากแก่ ไม่อยากป่วย โห...ขั้นตอนมันเยอะ 555)

มั่วกับตัวเองอย่างเดียวอาจดูเหมือนเห็นแก่ตัว..แต่ก็ยังดีกว่าสูญเสียตัวตน
ถ้ายังเปิดใจให้ใครไม่ได้สุดสุด..ไปเปิดใจตัวเองให้เข้าใจก่อน
ตัดสินใจด้วยตัวเอง..จะเป็นยังไง..มันดีกว่าการถูกครอบงำด้วยคนอื่น !!

ที่สำคัญ..ยิ่งมองเข้าไปในตัวตนและเข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่... 

...เราจะ "ตัดสินคนอื่น" น้อยลงไปด้วย...

คิดวันละอย่าง # 27

ไม่เอาน่ะ..เกรงใจ !!

คนใกล้ คนไกล เกรงใจไว้แหละดี

คนอื่นให้ความเป็นเพื่อน...
อำนวยความสะดวกสบายให้..ต้องยิ่งเกรงใจ
เป็นหนี้ให้...รีบจ่าย
ใครทำอะไรให้...รีบคืน คืนแบบสมน้ำสมเนื้อ...
ใจเขาใจเรานะ....

ใส่ใจ กับ เกรงใจ นี่คล้ายกัน

ไม่เกรงใจ = ไม่ใส่ใจ = มักง่าย

กับข้าพเจ้านั้น..เพื่อนไม่ต้องเกรงใจ...มันได้ทุกอย่าง
แต่ว่า...กับคนอื่น ช่วยกันเกรงใจชาวบ้านด้วย
มันจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์....
เกรงใจกันและกันเถอะ..จะได้อยู่กันไปนานนาน...

อย่า "ไม่เกรงใจ" เพราะผู้ดีจะกลายเป็นผู้ร้าย !!


วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คิดวันละอย่าง # 26


ชีวิตนี้ไม่มีบังเอิญและ "กรรม" ยุติธรรมที่สุด

ทุกสิ่งที่คิด ทุกสิ่งที่พูด หรือ ทุกสิ่งที่ทำ = กรรม
ส่งให้เกิด บาป บุญ คุณ โทษ แก่ชีวิตเสมอ
คนบางคนเกิดมาเพื่อโทษตัวเองและจมดิ่งลงไป
คนบางคนเกิดมาเพื่อโทษและโยนความผิดให้คนอื่นเพื่อให้ตัวเองสบายใจ
คนบางคนเกิดมาเพื่อยอมรับและพร้อมจะยอมแก้ไขเริ่มต้นใหม่

อย่าลืมว่า...เราเจอในสิ่งที่เราต้องเจอ
มีเหตุมีผลสมควรจะเจอ เราก็ต้องเจอ
มันไม่ใช่ “ชะตากรรม” มันคือ “กรรม”
ที่ส่งผลต่อชีวิตของคนให้แตกต่างกัน

ทุกสิ่งที่ปรากฏขึ้นในชีวิตนี่มันสมควรแล้ว พอดีแล้ว ยุติธรรมที่สุดแล้ว
ไม่มีรางวัล ไม่มีการลงโทษ ไม่มีความลำเอียง
what goes around comes around !!
มันเป็น universal law of cause and effect !!

แต่เรามักจะหาเหตุผลล้านแปด เพื่อสนับสนุนตัวเองบ้าง โทษชาวบ้านบ้าง
เราพยายามปลอบใจตัวเอง ด้วยการหลอกตัวเอง
หลอกให้เชื่อว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้น เพราะไม่มีทางเลือก

กรรม = เลือกเอง

“กรรม” คือการกระทำที่ทุกคน “เลือกเอง”

มันยากนะ ถ้าจะเฝ้าฝันถึงแต่อะไรดีดี แต่ไม่ได้ลงมือพยายามทำเหตุที่ดี
ทุกอย่างบนโลกนี้ ล้วนเป็นเหตุเป็นผลต่อกันอยู่เสมอ
การเป็นเราในทุกวันนี้...มันไม่มีบังเอิญและมันยุติธรรมที่สุดแล้ว !!

คิดวันละอย่าง # 25



โลกนี้กว้างใหญ่ เราตัวเล็กนิดเดียว

เราจึงไม่ควร...เอาใหญ่

เราจึงไม่ควร...เอาโด่งดัง

เราจึงไม่ควร...เอาเกียรติยศใดใด

เราจึงไม่ควร...เอาทรัพย์สมบัติมากเกิน

เราจึงไม่ควร...เอาคำสรรเสริญปลอมๆ

เราจึงไม่ควร...เอาเก่งคนเดียว

เราจึงไม่ควร...เอาชนะไครให้มันเวียนหัว

เราจึงไม่ควร...เอาแต่แย่งสิ่งใดของใคร

เราจึงไม่ควร...เอามิตรภาพมาเหยียบเล่น

มันมีสารพัดที่ไม่ควร "เอา"

แล้วจะพบความ "หยุด" ไปเอง

เพราะความจริงเราไม่มี เราไม่ได้ 

เพราะวันนึง..เราก็หมดที่จะมี ที่จะเอา...

และมันใกล้เข้ามาแล้ว !!