วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

ความเชื่อ = ความจริงลวง

ความเชื่อ = ความจริงลวง
ความเชื่อ เป็นความคิด ความเข้าใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดมาสนับสนุนหรือพิสูจน์ ทั้งนี้บางอย่างอาจมีหลักฐานอย่างเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ หรืออาจจะไม่มีหลักฐานที่จะนำมาใช้พิสูจน์ให้เห็นจริงเกี่ยวกับสิ่งนั้นก็ได้ มันอันตรายกับคนที่ไม่มีปัญญา เพราะถ้าชมชอบสิ่งใด ก็มักจะเชื่อถือหรือยินยอมคล้อยตามไปกับสิ่งนั้นโดยให้ค่านิยมเป็น ฉันทาคติ คือ ลำเอียงเพราะชอบ และดันไปคิดว่ามัน “จริง” แต่มันเป็น “ความจริงลวง” 

มีคนบอกว่า.... 
“เราไม่ได้เชื่อในสิ่งเราเห็น” แต่ “เราเชื่อในสิ่งที่เราคิดว่าจะได้เห็น” 
มันลำเอียงมาตั้งแต่บ้าน และเจ้าความลำเอียงนี้มันอันตรายต่อการพัฒนาตัวเอง มันขัดขวางการเรียนรู้ การเห็นของแท้ มันจะปิดบังสติปัญญาของเราเอาไว้อย่างมิดชิดและในที่สุดจะ “จมปลัก” แบบไม่รู้ตัว..ไปจนตาย 

บางคนบอกว่า...ก็มันมีเหตุผล !!
แม้ว่าใครจะอาศัยเหตุผลมาคำนวณอย่างสมเหตุสมผลที่สุดแล้วก็ตาม แต่อย่าลืมว่า มันยังเป็นแค่เหตุผล มันไม่ใช่ความจริง เหตุผลอาจเป็นเพียงบันไดขึ้นไปสู่ความจริงเท่านั้น

อย่าเชื่อง่ายๆ...ลบหลู่ไปเลย !!
โดยเฉพาะความเชื่อที่ทำร้ายตัวเอง !!

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 97

การยอมรับในตัวตน คือ ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว
คือ การแก้ปัญหาและก้าวสู่ปัญญา

ตัวเรานั้นบางทีมันร้ายมาก 
มันสร้างกลไกทางจิตอะไรไม่รู้ที่มากลบเกลื่อนตัวเองจนแนบเนียน
.....ขนาดที่เจ้าของยังไม่รู้ตัวเองสักนิด 
มันมีอะไรหลายประเภทที่หลอกตัวเอง กลบเกลื่อนจิต 
เอาจนเชื่อโดยสนิทใจว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น หรือ เราเป็นแบบนั้น
โดยมีเหตุผลร้อยแปดพันประการมากำกับความเชื่อให้เป็นกำแพงกั้นการยอมรับในตัวเอง 
มันเลยทั้งสูงทั้งหนาทั้งหนัก จะพังนี่...ยากมาก

ส่วนใหญ่จะมาแบบ...ฉันไม่ง้อ ฉันไม่แคร์ ฉันทนได้ ฉันสบายมาก
คือมีฟอร์ม เก๊กมาแต่บ้านเลย 
เพราะเชื่อแบบนี้จึงไม่ยอมรับความจริงของตัวเอง
…จนพลาดโอกาสที่สำคัญ คือ การจัดการใจ การรักษาใจตัวเองในขั้นที่ยังรักษาได้
คนที่หลอกตัวเองส่วนใหญ่มักไม่ยอมบำบัด
จึงเลยเถิดไปจนถึงขั้นที่ยากแก่การเยียวยา.....
กลายเป็นเก็บกดวันละนิดวันละน้อย มีเรื่องกระทบใจบ่อยๆ 
และเป็นโรคแอบเครียดสะสมข้างใน
….จนในที่สุดต่อมทรนงมีระเบิดได้ 
ระเบิดแล้วเป็นไง... ขวัญเสีย บ้าบอ สติแตก
ที่แย่ไปกว่านั้น คือ ยอมทำเรื่องที่ลดคุณค่าตัวเอง ลดตัวไปทำเรื่องไม่พึงทำ
และสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง หนักข้อนี่ไร้ศักดิ์ศรี ปวดร้าว ซึมเศร้าไปเลยก็มี


มันเหมือนเราขับรถที่สภาพไม่ค่อยได้ อาการไม่ค่อยดี 
....เรายังต้องรีบซ่อม
มันต้องกล้าจะเข้าอู่ เปิดกระโปรงให้รู้กันไปว่าอะไรมันเสียหาย
อันนี้เท่ากับการยอมรับความจริง ยอมรับข้อบกพร่องไป

สแกนสำรวจตัวเองไปก่อนเลย 
อย่าให้ถึงกับสั่นไหวไปแล้ว เห็นโลงศพค่อยหลั่งน้ำตา
ประเมินภาวะตัวเองให้ถูก 

เจ็บก็ว่าเจ็บ
แค้นก็ว่าแค้น
รักก็ว่ารัก
หึงก็ว่าหึง
หลงก็ว่าหลง
งกก็ว่างก
เห็นแก่ตัวก็ว่าเห็นแก่ตัว

อาจโดดเดี่ยว...แต่ไม่เหงาแน่
อะไรมันจะเหงาเท่าการไม่เป็นตัวของตัวเอง 
อะไรมันจะโดดเดี่ยวเท่าการไม่มีความสุขกับตัวตนของตัวเอง
...เป็นไม่มี....

กล้าๆหน่อย...รับไป ตัวตนแท้จริงไม่น่าเกลียดเท่าตัวปลอม
นางฟ้า เทวดานี่บางทีมันปลอมกันไม่ได้นะ นางร้าย ตัวร้ายก็เช่นกัน
ยิ่งปลอมยิ่งยุ่ง คนอื่นไม่รู้จะปฎิสัมพันธ์ยังไง 
มันเดือดร้อน มันรำคาญ มันเป็นปัญหาเรื้อรัง
การยอมรับตัวเองมันคือหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาและทำให้เราค่อยๆเกิดปัญญา
นี่แหละเป็นความงามที่เราทำได้เอง ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ครีมเด้ง....
และยังเป็นจุดเริ่มต้นความสุขเล็กๆอีกด้วย...


ค่อยๆยอมรับไป #บอกตัวเอง ^_^


ร้อยวันคืนที่ใจหาย...ไม่กลับมา

ร้อยวันคืนพระองค์ลับ...ไปกับฟ้า
ร้อยวันคืนน้ำตา...หาเหือดหาย
ร้อยวันคืนคิดถึง...ไม่เว้นวาย

ร้อยวันคืนที่ใจหาย...ไม่กลับมา



พระองค์นี้สถิตในใจนิรันดร์


จะ 100 วัน 100 เดือน....ที่เคลื่อนคล้อย
ใจราษฎร์คอยละห้อยหาองค์ภูมี
พระองค์นี้สถิตในใจนิรันดร์

พระล่วงลับสู่สวรรค์ใจพลันหาย
ไม่เคยคลายทุกข์เศร้าเหงาในอก
โลกนี้ไม่สว่างดังพานพบ
โศกกำสรดเหลือแสนแดนดินไทย
=========================
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น

#คนไทยในรัชกาลที่๙

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

ทิ้งไปบ้าง วางก็ดี

บางเรื่อง บางอย่างที่วางได้ 
ถือไว้ก็เหนื่อย เปลืองแรงไป

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

the Power within YOU


ได้รับเชิญจากคณะแพทย์ศาสตร์ มช. ให้ไปพูดเรื่อง the Power within YOU มีตกใจบวกตื่นเต้นเล็กน้อย บอกเขาไปว่าเราไม่ได้เป็นนักพูดที่สร้างพลังขนาดนั้น คงไม่ได้ทำให้คนฮึกเหิมแบบลืมตัวลืมตายได้ มีแต่แนวคิดที่จะแบ่งปัน...เพื่อคนฟังจะได้คิด ได้มีกำลังใจและเห็นทางฮึดด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่าพลังในตัวนั้น มันอยู่ที่คนมีปัญญาจะคิดจะดึงมาใช้  และที่จะพูดไม่ได้เกี่ยวกับพลังพิเศษเหนือมนุษย์มนา ประเภทวิ่งสามวันสามคืนไม่หยุด 7-10 นาทีต่อไมล์แบบนักวิ่งมาราธอนชาวอเมริกาที่ชื่อ ดีน คาร์นาเซส ที่วิ่งต่อเนื่องได้โดยกล้ามเนื้อเสียหายน้อยกว่าคนธรรมดา หรือวิม ฮอฟคนไม่เคยหนาว แช่ในถังน้ำแข็งที่คนธรรมดาอาจตายได้ แต่อุณหภูมิร่างกายพี่เขาแทบไม่ลดลง หรือคุณปู่มิเชล โลติโตที่กระเพาะหนากว่าคนปกติถึงสองเท่า มีน้ำย่อยเป็นกรดแรงสูงสามารถกินเครื่องบินเล็กทั้งลำได้ หรือหนุ่มอัจฉริยะแบบสตีเฟน วิลท์เชียร์ที่จดจำรายละเอียดของทั้งเมืองได้ แค่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์วนรอบเดียว ลงมาวาดแผนที่เมืองได้เลย อันนั้นมันเหนือคน เราไม่นับ 

ที่จะพูดนี้ เกี่ยวกับคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพลังพิเศษอันใด คนธรรมดาที่มีพลังใจในการขับเคลื่อนชีวิต คนที่ปกติที่ทำมาหากิน มีล้า มีท้อ มีเหนื่อย ว่าจะมีวิธีคิดยังไงที่จะทำให้กระทำกิจกรรมการงานได้อย่างมีพลังมากขึ้น 

the Power within YOU start with WHY
มีความเชื่อว่า ทุกชีวิตมี WHY ของตัวเอง มีแรงจูงใจ มีความเชื่อ มีค่านิยมที่พาเราไปทำอะไรๆในชีวิต และ WHY นี่เองที่เป็น “พลังภายใน” ที่แท้ ไม่ต้องใช้พลังเหนือคนเลย

ลองนึกภาพตาม...ตัวอย่างพลังภายในที่ยิ่งใหญ่...ยาวนานที่สุดของ “หนึ่งชีวิต” พลังที่ไม่เคยล้า ไม่เคยท้อ กล้าแกร่ง สาดแสงทั่วประเทศมาตลอดระยะเวลา 70 ปี เป็นพลังของใคร...เรามีทุกอย่างที่ดีในประเทศไทยนี้เพราะใคร... 

start with WHY
พลังของในหลวงภูมิพล เริ่มที่ WHY จากพระปฐมบรมราชโองการ “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”  เพื่อบ้าน เพื่อเมือง เพื่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศทุกคน  ครั้งหนึ่ง หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า.... 
“เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่” 
ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า.... 
“ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือ ความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”

พลังความผูกพัน ความห่วงใยนี้ที่ทำให้ในหลวงทรงทุ่มเท พระวรกายและพระราชหฤทัยคิดค้นหาทางอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้ราษฎรคลายทุกข์และอยู่ดีกินดี อันนี้เป็นพลังภายในที่มาจาก WHY ของในหลวง อยากเรียกพลังนี้ว่า “พลังหลวง” เป็นพลังภายในของในหลวง พลังที่ทำให้พระองค์ท่านเดินขึ้นเขา บุกป่าฝ่าดง เสด็จในที่กันดาร  พลังที่ทำโครงการมากกว่าสี่พันโครงการ ทรงทำมาตลอดแม้ยามทรงประชวร ไม่ยอมเสวยสุขดั่งพระราชาที่อยู่ในนิทาน 
“....เขาบอกพระราชา นั่งอยู่บนบังลังก์ ใส่เสื้อคลุมหนัง บนยอดปราสาทเสียดฟ้า
แต่ว่าราชาของฉัน ทรงเดินอยู่บนผืนหญ้า เก้าอี้ของพระราชา คือ พื้นดิน....”
พลังภายในที่มาจาก WHY ทำให้พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ใดใด  เป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองใจคน เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่หาไม่ได้อีกแล้ว  พลังหลวงนี้ยังแผ่ไพศาลไปทั่วประเทศให้เรา “เย็นศิระ เพราะพระบริบาล” และพลังหลวงจะอยู่กับเราไปนิรันดร์ 

they all started with WHY
คนที่ทำอะไรยิ่งใหญ่ในโลก ล้วนเริ่มที่ “WHY” 
“WHY” ของพี่น้องตระกูล Wright คือ to fly 
ทำให้ผู้คนในปัจจุบันไปไหนมาไหนสะดวกสบายรวดเร็วโดยเครื่องบิน 
“WHY” ของ Martin Luther King ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองชาวอเมริกันผิวสี คือ to change for the better of everyone
“WHY” ของ Steve Jobs คือ to make an impact, a very big impact !!
เป็นที่มาของ i ทั้งหลายที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้

พลังยิ่งใหญ่มาจากใจที่ใหญ่กว่า
ถ้าสังเกตุดู WHY ของคนที่ยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นพลังใหญ่ในตัว จะพบว่าพลังนั้นเป็นพลังเมตตา พลังที่ให้ พลังแห่งจิตสาธารณะ พลังบุญล้วนๆ 

a life lived for other is a life worth living - Albert Einstein 

exist on your OWN terms
คราวนี้มาถึงเรามั่ง ชื่อมันก็บอกว่า the power within YOU ไม่ต้องไปขอ บนบาน ศาลกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ขอไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น กลับทำให้เสียนิสัย งอมืองอเท้า ไม่ยอมใช้ความสามารถตัวเอง พลังนอกตัวไม่ได้ช่วยอะไร  มันไม่ใช่คำตอบ 

WHY คือ พลังข้างใน คือ ศรัทธาในตัวเอง มัน คือ พลังศรัทธา ซึ่งอาจจับต้องไม่ได้ มันเหมือนกับ wifi มองไม่เห็น แต่มี power ที่จะเชื่อมต่อไปยังสิ่งที่เราต้องการ 

ชีวิตนี้พึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งตัวเอง พึ่งตัวเองก่อนจะเรียกร้องให้ใครมาช่วย คนอื่น คือพลังนอกตัว เอาไว้เมื่อหมดมุก ใช้ของตัวเองไปสุดๆแล้ว ค่อยว่ากัน 

การจะมีศรัทธาในตัวเองมันขึ้นกับว่าเรายอมรับตัวเองได้แค่ไหน 
พอใจหรือไม่กับที่เราเป็น อยู่ คือในทุกวันนี้  
รับไม่ได้ = พลังหดหาย
รับได้ = พลังมา (ชาร์ตแบตกันเลย)

เหนือสิ่งอื่นใด คือ ไฟในตัวเอง คือ passion 
และมันต้องมาจาก WHY แนวคิดนี้ได้มาจากหนังสือ “Start with Why” ของ Simon Sinek ซึ่งเขียนเรื่องนี้เพื่อให้คนที่เป็นผู้นำสามารถจะ inspire คนได้

คนที่จะใช้พลังของตัวเอง ต้องมาจาก WHY ของตัวเอง
ถ้าทำไปวันๆ ไม่รู้ WHY คนอื่นทำอะไรก็ทำตาม ไม่มีวันจะได้ใช้พลังภายใน
สะกด the Power within YOU ไม่เป็นกันเลยทีเดียว

Simon Sinek มีโมเดลคิดที่เรียกว่า Gloden Circle ประกอบด้วยวงในสุด คือ Why วงกลาง คือ How และวงนอกสุด คือ What  ใช้ในการตอกย้ำว่า..ทุกอย่างเริ่มต้นที่ Why ที่อยู่วงในสุด ปกติคนจะลืม แต่จะเห็นแค่ What  เรากำลังทำอะไร คนอื่นทำอะไร แค่นั้น ซึ่งถ้าคิดจากวงนอกเข้ามา มันจะเป็นการทำตามคนอื่น outside-in เป็น conventional thinking ไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ทรงคุณค่า ไม่ทรงพลัง  แต่ถ้าคิดจากในออกมา inside-out จะสามารถสร้างพลังให้ตัวเองได้มากกว่า เกิดอะไรที่ remarkable ได้  การทำตามคนอื่นมันคือการไม่คิด ตามธรรมเนียม ตามบรรทัดฐาน ตามที่เขาทำๆกัน มันจะเกิดพลังในตัวได้ยังไง ตรงกันข้ามมันทำให้แบตเราเสื่อมด้วยซ้ำไป

เพราะว่า WHY คือ จุดประสงค์ คือ แรงบันดาลใจ สิ่งที่เราเชื่อ ส่วน How มันมาจาก WHY เป็นกระบวนการที่เราจะทำให้เกิดผลลัพธ์ คือ What มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไปถึง WHY ของเรา ว่าทำไมเราถึงทำและผลมันเป็นแบบนี้

แต่เรื่องเศร้า คือ คนในโลกนี้รู้ว่ากำลังทำอะไร บางคนรู้ว่าจะทำยังไงกับสิ่งที่ต้องการ แต่น้อยคนที่จะรู้ชัด ตระหนักในใจว่า “ทำไมถึงต้องทำ”

ขอยกตัวอย่างชัดๆจากบริษัท Apple บริษัทนี้เริ่มต้นที่ WHY ของ Steve Jobs คือ to make an impact, a very big impact ! เชื่อในความท้าทายและการทำอะไรที่แตกต่าง dare to be different, think different มันจึงออกมาเป็น How คือ กระบวนการดีไซน์ที่ล้ำ สวยงามและการใช้งานที่ง่าย user friendly และในที่สุดค่อยมาเป็น What คือ สินค้า i ทั้งหลายที่เอาเงินไปจากกระเป๋าเราอย่างที่เราเต็มใจ 

WHY นี่ช่างทรงพลัง !!
Simon Sinek ถึงว่าไว้ คนซื้อเพราะ WHY มันแตกต่าง มันได้หน้า มันฟิน ไม่ได้ซื้อที่สินค้าหรือ What มันคือ passion ที่ขับเคลื่อนออกมาจนเป็น What !! เป็นสินค้า 
ที่ว่ามานี้มันอาจดูไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือทฤษฎีที่พิสูจน์มา แต่อยากให้อีกมุมมองที่เป็นทางวิทยาศาสตร์ด้วย มันเกี่ยวกับสมองคนนะ สมองที่เรียกว่า Limbic Brain มันเป็นสมองส่วนของความรู้สึก การตัดสินใจ มันเป็นส่วนที่คนจะฟินหรือไม่ฟินนั่นแหละ และส่วนนี้ มัน คือ WHY และ How ส่วน What นี่อยู่ในส่วนของ Neocortex เป็นส่วนของวิเคราะห์ เหตุผล  เราซื้อ Apple เพราะมันฟิน มัน Why ไม่ได้พิจารณาอะไรมากมายด้วยซ้ำ หรือพิจารณาเหตุผลก็น้อยนัก หนักเข้านี่ซื้อเพราะ passion  ถ้าเปรียบเทียบไปมันมีสินค้าแบบโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพสมราคามากกว่านี้นะ เช่น Huawei กล้องก็ดีกว่า บางคนว่า Samsung สีสวยกว่า อีกมากมาย แต่ลองไปถามพวกที่ใช้ Apple ดู มันล้วนมาจาก WHY !!

โลกปัจจุบันมันเป็นโลกของ Experience Economy โลกที่สนใจเรื่อง “ฟิน” “feeling” “relationship” เราจะเอาส่วน Neocortex มาเป็นพลังได้ยังไง มันเชยไปแล้ว มัน conventional มันเป็น passive consumption มันไม่ remarkable ไม่ active participation มันไม่ขับเคลื่อนพลังภายใน 

the Power within YOU เป็นพลังที่มาจาก WHY มาจาก Limbic Brain ที่มันได้ feel และ feel ได้ = พลังภายใน สาย “ฟิน”

การจะ inspire ตัวเอง จึงต้องเริ่มที่ WHY เพราะว่าเราสื่อสารกับตัวเองด้วย...จุดประสงค์ ความเชื่อของเรา ความรู้สึก...พฤติกรรม...การตัดสินใจจะถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางนั้น มัน คือการกระตุ้นสมองส่วนที่ inspire behavior 

ถามตัวเอง WHY ของเรา คือ อะไร 
  • อะไรที่ทำให้เรา special 
  • how do you think 
  • อะไรที่เราเห็นว่าสำคัญ 
  • อะไรที่ต้องทำ 
  • ความเชื่อของเรา 
  • why you do what you do 
  • เหตุผลที่ตื่นขึ้นตอนเช้าทุกวัน 
  • คนพึ่งพาเราเรื่องอะไร 
  • เรายึดติดกับอะไร

WHY งามๆ 
  • เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง
  • เพื่อแสวงหาความเชี่ยวชาญและความเข้าใจ
  • เพื่อการคิดที่แตกต่าง
  • เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มีพื้นฐานบนความไว้ใจ
  • เพื่อการพัฒนาและสร้างคุณค่า
  • เพื่อหนทางที่ดีกว่า
  • เพื่อเสียสละประโยชน์ส่วนตนให้ส่วนรวม
  • To Change
  • To Simplify

WHY  = ความชัดเจน = พลัง 
คนส่วนมากมีชีวิตที่ขาดพลัง เพราะว่าไม่มีความชัดเจนกับชีวิตของตัวเอง ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วต้องการอะไร ต้องการมีชีวิตแบบไหน แม้แต่ที่บอกว่าต้องการมีความสุข ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องการประสบความสำเร็จ……แต่ตอบไม่ได้ว่า...………ความสุข ความสำเร็จ และชีวิตที่ดีขึ้นที่บอกนั้นคืออะไร

WHY = “เต็มที่” 
การลงมือทำสิ่งต่างๆให้สุดความสามารถ คือ เครื่องมือชั้นดี ที่ช่วยสร้าง “พลัง” และแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง

WHY = การเรียนรู้ 
การเรียนรู้จากทุกๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น คือกุญแจสำคัญอีกดอกที่จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจได้อย่างต่อเนื่อง

WHY = การเห็นคุณค่า และ รู้จักขอบคุณ 
การจะมีพลัง แรงบันดาลใจได้อย่างต่อเนื่อง คือ ต้องรู้บุญคุณของสิ่งที่มี และรู้จักขอบคุณสิ่งเหล่านั้น

No WHY vs Know WHY
เมื่อรู้ชัด...ทำไมต้องทำ และรู้ว่าจะทำอย่างไร จะแสดงออกอย่างไร นั่นคือ เกิด passion แล้ว passion คือ  พลังภายใน ที่ขับเคลื่อนชีวิต พิชิตความฝัน

Passion ที่มีสามารถพกพาติดตัวไปยังทุกแห่งหน การมี Passion กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหมายถึงเราทำสิ่งเหล่านั้นอย่างเต็มที่และมีความสุข ไม่ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน มันจะทำให้เราเป็นคนที่เต็มไปด้วยพลัง ความกระตือรือล้น ความมีชีวิตชีวา และความสุข  เพื่อการมีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ

อย่าลืมว่า... เราคือผู้สร้างและควบคุมตัวเอง เราไม่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ ไม่สามารถควบคุมคนอื่นๆ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกได้ แต่เราควบคุมตัวเองได้ว่าจะคิดหรือตอบสนองอย่างไรกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น 

ชีวิตของเราในวันนี้....เราเลือกเอง ไม่ว่าดีหรือร้าย สำเร็จหรือล้มเหลว เกิดจากทางที่เลือกเอง ต้นเหตุของทุกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือตัวเอง ต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง 100%

เรามีโอกาสที่สามารถทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอ โลกในทุกวันนี้มีโอกาสมากมาย หากไม่ชอบอะไร ก็ย้ายก็เปลี่ยน คนเรามีโอกาสและความสามารถที่จะทำทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ

แผ่นสรุป  



รู้ตัวเอง รู้การปฎิบัติของตัวเอง รู้เวทีรู้ขั้นตอนและ live your WHY 

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

เวลากับผลงาน

บางทีเราตั้งเป้าหมายใหญ่ แล้วใช้เวลาในการทำงานเยอะมาก เพราะเข้าใจผิดว่ายิ่งใช้เวลาทำงานมาก (ใส่เป็น input เข้าไป) ยิ่งจะได้ผลลัพธ์ (output) ออกมามาก จึงกำหนดชั่วโมงในการทำงานให้มากเข้าไว้ แล้วหวังเอาเองว่าเมื่อถึงกำหนด จะมีผลลัพธ์ที่ใหญ่ตามเป้าหมาย อันนี้เป็นความเชื่อผิดๆ เพราะมันจะไม่ได้ตามนั้น

อย่าลืมว่า marginal productivity of labour ผลผลิตที่จะได้มาจากการทำงานเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งชั่วโมง จะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อใช้เวลาทำงานมากจนเกินไป ถึง output จะได้ แต่ก็ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป และอาจไม่ได้ outcome ที่คาดหวัง 

ลองดูว่าเปลี่ยนจากชั่วโมงในการทำงาน มาเป็นเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในวันนี้ เช่น วันนี้ต้องทำให้ได้ 10 % ของโครงการที่รับผิดชอบ ที่จะต้องสำเร็จในอีกสามเดือนข้างหน้า ต้องประเมินผลงานลูกน้องให้ได้ 30 % ก่อนส่งปลายเดือน เป็นต้น แบบนี้จะใช้เวลาได้ดีกว่า และหาจุดหยุดทำงานเพื่อไปทำอย่างอื่นได้อีกมาก ที่สำคัญเมื่อถึงเดดไลน์แล้วเราจะมี output ที่รวมๆ กันใหญ่ สำเร็จพร้อมที่จะส่งได้

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

คิดวันละอย่าง # 96


ให้รู้ให้เห็น...ที่มันเป็นจริงๆ
คนมักตกเป็นเหยื่อของ hot-cold empathy gap มันคือการที่ประเมินอะไรผิดเพี้ยน มากไปหรือน้อยไปจากความเป็นจริง ภายในเราจะถูกอิทธิพลของ cold state หรือ hot state มาขับเคลื่อนการตัดสินใจ พฤติกรรมภายนอก
เราประเมินพวกนี้ต่ำเกินไป ไม่ได้คิดดีดี เช่น เวลาหิวนี่ hot state มาเลย เดินในซุบเปอร์มาร์เกต แทบจะคว้าทุกอย่างที่ขวางหน้ามาใส่ล้อเข็น แต่ตอนอิ่มนี่ มัน cold state แทบไม่อยากหยิบจับอะไร ก็มันอิ่ม มัน cold state ไม่ได้นึกว่าจะมีหิว hot state ขึ้นมาเลย
ผลของการตัดสินใจในขณะที่อยู่ใน cold state กับ hot state นั้น
....ต่างกันโดยสิ้นเชิง...
เวลาเราฟิน กับ เวลาเราจ๋อย
การตัดสินใจกับพฤติกรรมของเรามันคนละเรื่องกัน
นอกจาก “ดูตัวเอง” ดีดีแล้ว เราคงยังต้อง “ดูคนอื่น” อย่างเข้าใจมากๆอีกด้วยว่ามันอยู่ใน state ไหน ถึงได้ทำแบบนี้ คิดแบบนี้
ที่ว่า everything happens for a reason นั้นมันคงอยู่ที่ state dependent นี่แหละ ว่า...ในขณะนั้นเรากำลังรู้สึกยังไง เราอยู่ในสถานะการณ์ไหน ซึ่งมันไม่มีทางที่ใครจะเข้าใจมากไปกว่าคนที่กำลังรู้สึก !!
และเพราะเจ้า hot-cold empathy gap นี้แหละที่อาจจะทำให้เราคิดตอนที่อยู่ใน cold state ว่า “ไม่มีทางหรอกที่เราจะทำอย่างนั้น” “ทำแบบนั้นมันเสื่อม” แต่อย่าลืมว่าเมื่อตัวเองตกอยู่ใน hot-state แล้ว....อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สำหรับพัฒนาตัวเอง อาจต้องรอให้ “เย็น” อยู่ใน cold state แล้วค่อยว่ากัน และอย่าพยายามอย่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดของ hot-state ขึ้น คงจะดี จะได้ไม่โอละพ่อ หรือ โอ้ละหนอดวงเดือนเอย...เกินไป
แต่สำหรับการจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น คงได้แต่พิจารณา state dependent ว่ามัน hot หรือ cold และทำความเข้าใจไป...คนอื่นกำลังหนาว หรือ คนอื่นกำลังร้อน และเราคงไม่เอาความหนาว หรือ ร้อนของเราไปผสมกับคนอื่นด้วยการตัดสินไปว่ามันดี หรือ ไม่ดี
สรุป สรุป...ดีที่สุด คือ สติที่รู้ร้อน รู้หนาว
อยู่ state ไหน ก็รู้มันไป
รู้ตามที่รู้สึก รู้ตามที่เป็นจริง
เลี่ยง hot-cold empathy gap ที่หลอกหลอนเราบ่อยๆ ให้ได้
...สู้กับมันสักตั้งนะ...