วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คนโง่” ในวัน “พรุ่งนี้”

Alvin Toffler : “The illiterate of the 21st Century are not those who cannot read and write but those who cannot learn, unlearn and relearn” คนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ในศตวรรษที่ 21 นั้น ไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือ เขียนหนังสือไม่ได้ แต่คือคนที่ไม่สามารถจะเรียนรู้อะไรสักอย่าง แล้วลบการเรียนรู้ความเชื่อเก่าๆนั้น เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้

ในสังคมเราที่มีความเชื่อหลายๆอย่าง ที่ฝังรากลึกจนจะก้าวไปไหนกันต่อได้ยาก ถ้าไม่ลอง “ตั้งคำถาม” อย่างจริงจังว่า...ที่เราเชื่อกันนั้นยังจริงอยู่หรือไม่ ด้วยบริบทใหม่ๆของโลกใบนี้ที่ “หมุน” เร็วกว่า ทุกยุคทุกสมัย สิ่งใหม่ๆถูกพัฒนาขึ้นมาแทนสิ่งเก่า อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คนที่ไม่สามารถ ถอดชุดความรู้เดิม ที่เพิ่งได้มา “เมื่อวานนี้” ลง เพื่อรับ “ชุดความรู้” ใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาใน “วันนี้” ก็อาจจะเป็น “คนโง่” ในวัน “พรุ่งนี้” ได้ทันที 

องค์กรที่ทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆซากๆ แล้ว อยากจะได้สิ่งใหม่ ก็เหมือนคน “อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” ในสมัยก่อน “พิการ” ทางด้านการ “เรียนรู้” 

สร้างนวัตกรรมจึงคงเป็นแค่ “วาทกรรม” สวยหรู แค่นั้น !!

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 71



คนเกิดมาทำไม...ช่างมัน แต่เกิดมาแล้วมันมีเรื่องราวให้คิดให้ทำกันเยอะ ที่ส่งผลให้ชีวิตคนมันมีทั้งสุขและทุกข์ใจ แต่จะไม่เสียใจเลยในชีวิต ถ้าเราทำทุกอย่างแล้วมันรู้สึกดี ดูดีและถูกต้อง 

การรู้สึกดี : ไม่ต้องไปคิดถึงชาวบ้าน อะไรที่ทำแล้วรู้สึกดี แฮบปี้ สบายใจก็ทำไป ไม่มีคนทำชั่วแล้วรู้สึกดี แสงแห่งมโนธรรมมันทะลุใจคนได้เสมอ คนทำดีจะรู้สึกดีเสมอ 

การดูดี : มันเป็นเรื่องของความเท่ ชิค คูล รู้จักกาละเทศะ มีมารยาท รักษาความสะอาดเรียบร้อย  เอาให้มันเข้าสายเลือด อยู่ที่ไหน กินอะไร ทำอะไรก็เท่ไว้ก่อน จะดูดีได้นี่ใช้สติมากนะ อยู่กับตัว รู้ตัวตลอดมันจึงเท่ ไม่มีหลุด

ความถูกต้อง : อันนี้สำคัญที่สุด ตายไปคนเขาลือก็คือคนที่ทำทุกอย่างบนพื้นฐานของความถูกต้อง ข้อนี้ต้องใจถึงมากๆนะ เพราะความถูกต้องมันมากับต้นทุนที่มากกว่าในทุกการตัดสินใจของคน อยู่ที่เราเหนียวแน่นกับความถูกต้องจนยอมเสียมากกว่าคนอื่นหรือเปล่า...ในระยะสั้น แต่ระยะยาวมันคุ้มค่าไปจนถึงลูกหลาน ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไม่มีเสื่อม แต่อาจต้องจ่ายแพงหน่อย ซึ่งอาจไม่ใช่เงิน หรือ สิ่งของเท่านั้น มันหมายถึงเวลาและพลังใจด้วย 


3 อย่างนี้ทำไปด้วยกัน ไม่เสียชาติเกิดแน่นอน  แต่ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้นะ  เพราะถ้าคนรู้สึกดี ดูดี แต่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดใดในโลกก็ไม่สามารถสนับสนุนให้รู้สึกดี ดูดีตลอดไปได้ ก็มันไม่ถูกต้อง  แนะนำว่าเอา “ถูกต้อง” ตั้งก่อนเลย...ความรู้สึกดี ดูดีจะตามมา 

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เดิมๆเปลี่ยนไม่ได้


ในปี 1968 มีชายคนหนึ่งชื่อ Dick Fosbury เป็นพยายามจะคิดวิธี คิดเทคนิคที่จะทำลายสถิติกีฬากระโดดสูง ซึ่งในเวลานั้นท่าทางที่ใช้มันดูน่าหัวเราะ น่าขำสำหรับคนอื่น แต่เสียงหัวเราะก็ได้หยุดลงเมื่อ Fosbury กระโดดสูงขึ้น สูงขึ้นและสู้ขึ้นเรื่อยๆด้วยวิธีการใหม่จนกระทั่งชนะนักกีฬาคนอื่นและได้รับเหรียญทองโอลิมปิก ลองดูวิดีโอนี้ดูนะ https://www.youtube.com/watch?v=Z_sIwv6SAxc

คือ...ไม่ต้องคิดอะไรมาก...จำไว้ว่า คุณไม่มีทางได้อะไรใหม่ๆดีดี ถ้าคุณยังใช้วิธีคิด วิธีทำในแบบเดิมเดิม การทำงานก็เช่นกัน คุณคาดหวังให้ปัญหาหมดไป คุณคาดหวังงานที่มีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังใช้วิธีคิด กระบวนการทำงาน แม้กระทั่งคนที่ "เดิม" "เดิม" และ "เดิม" คุณฝันไปหรือเปล่า ????

Fosbury แค่เปลี่ยนจากกระโดดสูงแบบคว่ำที่เคยทำ ที่เป็นมาตรฐาน ที่นักกีฬาอื่นทำกัน มาเป็นกระโดดแบบหงายตัวเพราะต้องการทำลายสถิติที่ตัวเองเคยทำ.... มันนิดเดียวนะ มันเปลี่ยนกันไปทั้งวงการ ไม่มีใครกระโดดแบบคว่ำหน้าอีกเลย...จนวงการกีฬากระโดดสูงเรียกการกระโดดแบบนี้ว่า Fosbury Flop !!

อย่าหวังจะถูกหวย ถ้ายังไม่เคยซื้อหวย
อย่าหวังจะรวย ถ้ายังขี้เกียจเหมือนเดิม
อย่าหวังว่าจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นกับชีวิต ถ้ายังประพฤติตัวเดิม...เดิม...

น้ำใจนักกีฬา


อนุสนธิจาก World Photo Day ได้เห็นรูปจาก IG ของ The Economist เป็นรูปของ Andre de Grasse จาก Canada และ Usain Bolt จาก Jamaica หลังจากวิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขัน men's 200m semi-finals จาก Rio 2016 Olympic Games Athletics เป็นรูปที่น่ารักมาก ทำให้นึกถึงเรื่อง "น้ำใจนักกีฬา" เมื่อแข่งแล้วเสร็จ ยิ่งมีความเป็นเพื่อนมากขึ้น !!
The spirit of sports หรือ น้ำใจนักกีฬา เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเล่นกีฬาทุกประเภท เช่นกันกับการบริหารธุรกิจ มันคือการแข่งขัน มันคือเรื่องแมนๆที่คนต้องมีถึงแม้จะมีเรื่องการแข่งขันต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ก็ตามที ปัจจุบัน " น้ำใจนักกีฬา " เริ่มลดน้อยถอยลง มีการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ มันเป็นสิ่งหลายคนลืมนึกถึง ลืมไปว่าส่วนสำคัญของการแข่งขันกีฬา หรือ การแข่งขันทางธุรกิจ คือ การสร้างมิตรภาพ ซึ่งสิ่งทีทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดี คือ " น้ำใจนักกีฬา “
การมีน้ำใจนักกีฬาไม่ได้ยากขนาดนั้น เราทุกคนทำได้ คือ
1. เล่นตามกฎกติกาการแข่งขัน
การจะเป็นผู้แข่งขันที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาต้องเล่นตามกฎกติกาการแข่งขัน ยอมรับกฎ ยอมรับมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้
2.หลีกเลี่ยงการวิวาทโต้เถียง
การไม่ยอม การโต้เถียงมีแต่จะทำให้อุณหภูมิในการแข่งขันดุเดือด คนมีน้ำใจนักกีฬาควรจะรู้จักหลีกเลี่ยงการโต้แย้งและพุ่งความสนใจไปที่การแข่งขันมากกว่า 
3.เล่นเป็นทีม
มีความรับผิดชอบต่อทีมร่วมกัน เพราะไม่ว่ากีฬา หรือ ธุรกิจเป็นเรื่องของทีม ความประพฤติของแต่ละคนล้วนส่งผลกระทบต่อทีม ทุกคนจึงควรรับผิดชอบร่วมกัน ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาไปด้วยกัน
4.เล่นอย่างขาวสะอาด
ชัยชนะที่ได้มาจากการแข่งขันต้องเกิดจากการเล่นอย่างขาวสะอาด ไม่ใช่มุ่งหวังแต่ผลชนะ หรือผลประโยชน์ด้วยการสู้อย่างรุนแรง เล่นสกปรก หรือใช้วิชามารอย่างไร้จริยธรรม 
5.เคารพความสามารถของคู่แข่งขัน
ไม่ว่าคู่แข่งจะดีกว่าหรือแย่กว่า เมื่อลงสนามควรจะเคารพคู่แข่ง ไม่โทษคู่แข่งเวลาที่ทีมตัวเองทำผลงานได้แย่กว่า แต่ต้องยอมรับผล และหากเล่นได้ดีกว่า ก็ไม่ควรประมาทหรือดูถูกฝีมือคู่แข่งเช่นกัน
6.จบเกมอย่างราบรื่น
จบ คือ จบ แมนๆไป ความรู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการแข่งขันควรจะจบตามไปด้วย โดยเฉพาะความคิดในแง่ลบทั้งหลาย เช่น ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ เพื่อให้เป็นการจบที่ราบรื่นและยังสามารถคงสายสัมพันธ์ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้

คนใจเข้ม

คนใจเข้ม คือ....
จะยังไง..เกิดอะไรขึ้น...ก็ก้าวต่อไปได้
ควบคุมเบ็ดเสร็จ...โดยเฉพาะใจตัวเอง
สามารถโอบกอดการเปลี่ยนแปลง
อยู่ที่ไหน อยู่ได้อย่างแฮบปี้
ถ้าจะเสี่ยง ก็ได้คำนวณ ใคร่ครวญแล้ว
ใช้พลังที่มีอยู่กับปัจจุบัน..ไม่ว่อกแว่ก
รับผิดชอบเต็มที่กับสิ่งที่ได้ทำ สิ่งที่กำลังทำแะสิ่งที่จะทำ
ชื่นชมกับความสำเร็จของผู้คน
ยินดีที่จะล้มเหลว
อยู่คนเดียวก็ได้ สบายใจและเป็นสุข
พร้อมทำทุกอย่างด้วยความสามารถตัวเอง
มีความเข้มในตัวเสมอ...ผู้กล้าย่อมเข้มแข็ง
ประเมินความเชื่อของตัวเอง...ไม่หลงตัวเอง
มีใจ ใช้ใจ ไม่โง่
คิดเรื่องผล คนมีคุณภาพ
อดทนต่อความอึดอัด อุปสรรคไม่ใช่ปัญหา
แสดงออกถึงความก้าวหน้า ไม่ยอมล้าหลัง

เรื่องที่น่ากลัวสำหรับบทบาทคนเป็นหัวหน้า คือ.....

เรื่องที่น่ากลัวสำหรับบทบาทคนเป็นหัวหน้า คือ.....
การเป็นหัวหน้าแบบยึดถืออำนาจ (Authoritative) บทบาทที่หัวหน้ารวบอำนาจการตัดสินใจไว้ที่ตัวเองคนเดียว ออกแนวฮิตเลอร์เผด็จการ ไม่ใช่ไม่ดีทั้งหมด แต่ต้องเลือกใช้ บทบาทนี้เลือกใช้ได้ตอนที่เวลาจำกัด เรื่องด่วน ไม่มีเวลามากและลูกน้องพร้อมและเข้าใจ แต่ต้อง coaching ให้ลูกน้องทราบได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ไม่ใช่การเอาแต่ออกคำสั่ง ใช้อำนาจ วางตัวเหนือลูกน้องมากจนเกินเหตุและใช้คำพูดที่แสดงความไม่ให้เกียรติลูกน้องตัวเอง

ถ้าหัวหน้าเป็นแบบนี้ตลอด ถือได้ว่าไม่เป็นมืออาชีพ อำนาจมีแต่ไม่ยอมแบ่งใคร คือ กลัวสูญเสียความสำคัญ อะไรก็เก็บไว้ตัดสินใจเองแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ไม่เปิดโอกาสให้ลูกน้องได้เงยหน้าอ้าปาก ลูกน้องจึงไม่ได้พัฒนาความสามารถตัวเอง นานๆไปลูกน้องจะชินกับการไม่ตัดสินใจ จะมีแต่ลูกน้องไม่เก่ง ง่อยเปลี้ยเสียขา ต้องรอฟังคำสั่ง ถือว่าใจแคบมากและไม่แมนเลย เพราะแย่งซีนลูกน้องตลอด (แย่งซีน = ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เจ๋งจริง)

ใครสวมบทบาทนี้อยู่ช่วยขยับบทบาทกันบ้าง เขามีแบบประชาธิปไตย (Participative) ให้เลือกด้วย คือ การเปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในกระบวนการทำงาน ให้โอกาสคนได้เกิด ให้โอกาสนำเสนอแนวคิด โดยไม่ต้องเอามาเป็นของตัวเอง เป็นการให้เกียรติคนที่ทำงานในทีม เพราะการทำงานให้สำเร็จได้มันต้องอาศัยความรู้ความสามารถ จุดอ่อนจุดแข็งที่ต่างกัน ไม่มีใครที่เก่งอยู่ได้คนเดียว ให้ลูกน้องแต่ละคนได้ใช้ศักยภาพและความเป็นมืออาชีพของตนอย่างเต็มที่และมีความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของทีมอยู่เสมอ

หัวหน้า...มีหน้าอยู่แล้ว...ไม่ต้องอยากได้หน้า
หัวหน้า...มีความสำคัญอยู่แล้ว...ไม่ต้องทำตัวสำคัญตลอดเวลา
หัวหน้า...มีเวทีให้เล่นตลอด...ไม่ต้องแย่งซีนชาวบ้าน
หัวหน้า...เก่งอยู่แล้ว...ไม่ต้องแสดงทุกเวที

งานนั้น...ทำให้สำเร็จคนเดียวไม่ได้
ทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสียในงานที่สำเร็จร่วมกัน

เปิดใจ เปิดโอกาส เปิดเวทีให้คนอื่นได้เล่นบ้าง จักเป็นพระคุณยิ่ง
ได้บุญใหญ่นะ..ช่วยให้คนได้แสดงศักยภาพของตัวเองเต็มที่น่ะ
LEAD TO SERVE !!

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อารมณ์อันตราย !!

เรื่องอารมณ์เป็นอะไรที่อยู่คู่คน มันจะมีอารมณ์ที่ทำให้คนเจ๊งได้ เสียศูนย์ได้อยู่ไม่กี่อย่าง มาดูกัน....

1. อารมณ์อิจฉา : อันนี้อาจมีบ่อยๆ เห็นคนรวยได้ด้วยการซื้อหุ้น หรือทำธุรกิจ ก็เอามั่ง อยากได้อยากมีด้วยคน เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง แต่ไม่ได้ถาม หรือ หาข้อมูลว่าทำไมคนนั้นจึงลงทุน มันอาจจะมีบางอย่างที่สะกิดใจเราว่า เฮ้ย ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำแล้วรวยได้ ความอิจฉาอาจทำให้เรามุ่งสู่ unrealistic gains ก็เป็นได้

2. อารมณ์กลัว : อารมณ์นี้อาจทำให้เราวิ่งหนีสิ่งดีดีในชีวิตไป แทนที่จะยืนนิ่งๆชิวๆรอคว้าโอกาส ของดีดีบางทีต้องรอ อย่าเพิ่งกลัว 

3. อารมณ์หวัง : การมองโลกในแง่ดีก็ดีอยู่ แต่ถ้าดีเกินไป มันทำให้คนพลาดหวังได้ง่ายๆ เพราะเราจะมองภาพรวมที่เป็นจริงไม่ออก มันต้องทุกมุม อย่าให้อารมณ์หวังมาทำให้อนาคตไม่สวย

4. อารมณ์ดื้อ : จริงๆแล้วหลายครั้งเราต้องออกมาจากสถานการณ์ไม่ดี มันคนละเรื่องกับความมุ่งมั่น เพราะมุ่งมั่นแปลว่าเห็นทางสว่างอยู่ แล้วมุ่งไป แต่ดื้อ คือ เห็นปัญหา จมกับปัญหา มองไม่เห็นทางออก แต่ยังลุยเข้าไป หนักเข้าอาจมีหนี้สินล้นพ้นตัว เพราะอารมณ์ดื้อนี่แหละเป็นตัวสร้างหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้เงิน หนี้ชีวิต

5. อารมณ์หยิ่ง : การหยิ่ง คือ การคิดว่าตัวเองฉลาด เก่ง เลิศกว่าคนอื่น มันก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดมานักต่อนัก เนื่องจากเคยประสบความสำเร็จอย่างมากจึงคิดว่าตัวเองถูกเสมอ แต่คงลืมคิดไปว่า เวลาผ่านไปปัจจัยทุกอย่างไม่ได้เหมือนเดิม

ชีวิตนี้ช่วยทำการบ้านอารมณ์บ้าง 
ลดอคติในตัวบ้าง 
อารมณ์อันตรายนี่มันทำลายคนมามากแล้ว !!

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 70

มิตร กับ มิตรภาพ...ไม่เหมือนกัน

ถ้าถามว่าเพื่อนมีกี่คน (ไม่ใช่ในเฟสบุค ทวิตเตอร์นะ)...ตอบ
ถ้าถามว่าเพื่อนแท้มีกี่คน....ตอบ
คำตอบต่างกันไหม...
แล้วถ้าถามคนที่มีชื่อในรายการเพื่อนของเราอีกที...มันจะมีชื่อเราอยู่ในนั้นไหม...อาจไม่มีก็ได้นะ
เพราะว่าการให้ความหมายของคำว่า “เพื่อน” มันต่างกัน
แต่ไม่ว่าใครจะให้ความหมายว่าอย่างไร คุณ Robin Dunbar ยืนยันว่าเราไม่มีทางมีเพื่อนเป็นโหลๆ เพราะมันมี different layers ของการเป็นเพื่อน มันอาจมีคนหรือสองคนที่เราให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ และมีอีกพวกนึงสิบคนที่เราเจอกันบ่อย ใช้เวลาสนุกสนานด้วยกัน และมันยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่เรามีมิตรภาพให้แก่กัน Dunbar's number จะประมาณ 150 คนในสังคมของเราเอง

มันแปลว่า มิตรภาพ กับ มิตร นั้น...แตกต่างกัน
"friendly" and "friends" are two very different things !!
และแปลได้อีกว่า...เรามีเพื่อนแท้ได้ไม่กี่คนเท่านั้น
มิตรภาพมันอาจปลอม มันอาจไกล มันอาจไร้ความหมาย
คนที่มีแค่มิตรภาพอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตซึมเศร้า เหงาตายเอาง่ายๆ

ที่ว่ามานี้
...ไม่ใช่จะบอกให้มีเพื่อนมาก
...ไม่ใช่ให้ไปหาเพื่อนเป็นโหลๆ
แต่จะบอกว่าเพื่อนอาจมีแค่สอง สาม สี่คนที่เป็นเพื่อนแท้ ส่วนพวกมีมิตรภาพต่อกัน อาจไม่ใช่เพื่อน แต่สามารถพบปะ มีประโยชน์เอื้อกัน มีความสนใจอย่างเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าต้องเป็นมิตรกันน้อยลง แต่มันสามารถสร้างสมดุลให้ความสัมพันธ์ยืนยาวได้ด้วยเช่นกัน คือ
- อย่าคิดว่าการมาจอยกันจะต้องสร้าง sense of belonging มันไม่ใช่ การที่คนในอาชีพเดียวกัน เคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน ใส่เสื้อทีมเหมือนกัน ชอบอะไรเหมือนๆกัน มันเป็นแค่การประกาศถึงตัวเอง ไม่ใช่เรื่องการรักกันเป็นเพื่อนแท้เหนียวแน่น เพราะการเป็นเพื่อนจริงๆนั้นใช้ความพยายามมากกว่านั้น..มากมาก มันใช้เวลาเรียนรู้กันนะ ยิ่งกลุ่มไหนเข้าง่าย กลุ่มนั้นยิ่งมีความหมายน้อยลง..จริงไหม
- เพื่อนแท้ไม่มีข้อแม้เรื่องเวลา บางคนอาจมีเพื่อนเยอะ แต่ไม่มีเวลาให้เพื่อนก็มี มันจะมีสักกี่คนที่เราสามารถโทรไปหาได้ตอนตีสามแบบไม่เกรงใจ เรื่องทุกข์เดือดร้อนมันไม่ค่อยเลือกเวลานะ มันจะมีสักกี่คนที่เราสามารถเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟังได้ มันจะมีสักกี่คนที่สามารถนั่งเงียบๆสบายๆโดยไม่ต้องพูดกันเลยสามชั่วโมง จะมีเพื่อนแบบนี้ได้...ง่ายมาก ทำตัวแบบนี้ก่อนก็เท่านั้น ให้...ไม่ต้องหวัง ให้...ไม่มีเงื่อนไข รัก..แบบไม่ต้องเรียกร้อง
- คิดในสิ่งที่คิดว่าทำไปแล้ว คนจะมีความสุข ก็ทำไป มิตรภาพอาจสนใจเรื่อง “ความเอาใจใส่” แต่มิตรสนใจเรื่อง “เอาใจใส่” ต้องการมิตรแท้อย่าสนใจคำนาม ต้องทำให้มันเป็นกิริยา เพื่อนแท้ต้องออกมาจาก comfort zone ของตัวเองได้เพื่อเพื่อน แม้จะไม่ถูกจริต แต่ก็ทำเพราะ “เอาใจใส่” มันก็ไม่ได้ยากอะไรนะ แค่ to do something selfless เพื่อนอยากให้สนับสนุน ก็สนับสนุน อยากได้กำลังใจ ก็ให้ไป อยากได้ความช่วยเหลือต้องทันที ถ้าไม่รู้ว่ามันอยากได้อะไร ก็แค่ “ถาม” มันก็เป็นกิริยาแล้ว

จบข่าว “มิตร” กับ “มิตรภาพ” อย่าสับสน !!

เป็นแม่ให้ชิวๆ สบายๆไป

คนเป็นแม่ทุกคน...สุขใจเมื่อไม่คาดหวัง...มากนัก 
(คนเป็นพ่อก็เหมือนกัน)

แม่มีรังสีนวล นุ่ม อุ่น ใครอยู่ใกล้ก็เย็นใจ
เป็นคนเดียวในโลกที่หวังดีเสมอ
แต่แม่ก็เป็นคน...ที่บางทีคาดหวังกับลูกมาก
...เป็นแม่...ต้องเย็นเข้าไว้..หวังได้ ไม่ต้องเยอะ

ลูกมีชีวิตของตัวเอง
ลูกมีทางเดินของตัวเอง
ให้ลูกโตไปตามที่ได้เลือก
มันเป็นสิ่งที่สวยงามที่ลูกอาจหาไม่ได้จากคนอื่นในโลกนี้

เรื่องประเภท...เป็นลูกต้องรู้และตอบแทนบุญคุณ
....เป็นลูกต้องดูแล เลี้ยงดูพ่อแม่
....เป็นลูกต้องอยู่ใกล้ๆ
....เป็นลูกต้องเชื่อฟัง เคารพ...
....เป็นลูกต้องพาแม่ไปกินข้าววันแม่
ฯลฯ
อันนั้นมันเป็นเรื่องของลูก ไม่ใช่เรื่องของแม่
ลูกต้องสำนึกเอง รู้เอง
เป็นแม่ให้ชิวๆ สบายๆไป
สวัสดีวันแม่

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คนใจดี

เรื่องของคนใจดี 
ใจดี...รู้จักชม
ใจดี...ต้องอดทน
ใจดี...ให้ความเป็นส่วนตัว
ใจดี...ให้โอกาส
ใจดี...ให้ความจริง
ใจดี...ให้ความรัก
ใจดี...ให้อิสระ
ใจดี...ให้ความเคารพ
ใจดี...ให้มีเป้าหมาย...ไม่ใช่คาดหวัง

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 69

law of attraction

คน : พบเจอใคร คนเหล่านั้น คือ คนที่จะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยความบังเอิญ

เรื่อง : พบเจอเรื่องราวอะไร มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด จะดีหรือร้าย ก็ต้องยอมรับมัน มันไม่มีเรื่องบังเอิญ เราต้องทำอะไรไว้แน่ๆไม่ชาตินี้ก็ชาติที่แล้ว

เวลา : เวลาที่เกิดเรื่อง เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด มันคือเวลาของมัน ไม่เกิดไม่ได้ เพราะมันต้องเกิด ปัจจัยทั้งหลายพร้อมตอนนั้น มันจึงเกิด มันเหมาะแล้ว

สิ้นสุด : จบข่าว แปลว่า จบ ต้องยอมรับว่าจบ ไม่ต้องรั้ง โหยหา อาลัย สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป 

อย่าไปสนใจเวรกรรม หรือ อดีตมากนัก 
คิดไปไม่มีประโยชน์ ทำอะไรกับกรรมเก่าๆได้ที่ไหน ไม่ได้แล้ว....


ทำกรรมดีไป กรรมดีในปัจจุบันสำคัญที่สุด !!

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

คิดวันละอย่าง # 68


เอาที่สบายใจ...
เราอยู่ในโลกแห่งความแตกต่าง แม้จะอยู่ใกล้ชิดกัน..มันต่างอยู่ดี
ยืนยัน...ยังไงก็แตกต่าง...
บางครั้ง..มีเหตุอันทำให้เสียใจ หงุดหงิด ผิดหวัง
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องคิด คือ ทุกคนล้วนมีปัญหาของตัวเอง ไม่อะไรก็อะไร

ถ้าจะให้สบายใจ....ก็คงต้องคิดว่า...
บางทีคนอาจมีปัญหาครอบครัว
บางทีคนอาจกลุ้มเรื่องงาน
บางทีคนอาจแบกศักดิ์ศรีจนเหนื่อย
บางทีคนอาจผิดหวังรักคุด
บางทีคนอาจกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ
บางทีคนอาจเจ็บป่วย
บางทีเข้าไว้...นึกถึงใจคนไว้....

การที่คนทำให้เราหม่นหมอง มันมีสาเหตุแน่นอน
คงไม่ใช่อยู่ดีดีจะมาตั้งธงโบกสบัดให้เรารำคาญ เป็นทุกข์
มันต้องมีเหตุ...ไม่ตัวคนอื่น ก็ตัวเรานี่แหละ...ตัวดีนัก

มันต้องสู้กับใจตัวเองนะ...สู้ไปไม่รอดก็ให้เวลาตัวเองไป...
ทุกอย่างมันผ่านไปแค่ขณะลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
หายใจเข้า...เปลี่ยนไปแล้ว
หายใจออก...เปลี่ยนไปอีก
เอาที่สบายใจ...ที่คิดไปแล้วได้เมตตา ได้อภัย...พอละกระมัง