วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เวลา คือ ชีวิต



เวลาของแต่ละคนเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป ตัวเองหรือคนอื่นก็ไม่สามารถใช้อีกได้  เวลาจึงเป็น  Private Goods ของใครของมัน...ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละคน และเวลาไม่เคยมีค่า ถ้ามันยังไม่ผ่านเลยไป  หลายคนคงเคยเห็นคำกล่าวต่อไปนี้...

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าแค่ไหน ให้ไปถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ใหัไปถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ให้ไปถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าขนาดไหน ให้ไปถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทางหรือ เครื่องบิน
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าขนาดไหน ให้ไปถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าอยากรู้ว่าเวลา เสี้ยวหนึ่งของวินาทีมีค่าขนาดไหน ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ได้เหรียญเงิน
และถ้าอยากรู้ว่ามิตรภาพนั้นมีค่าขนาดไหน ให้ลองเสียเพื่อนสักคนหนึ่ง

เรื่องในชุดนิทานสีขาวของดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยาที่เกี่ยวกับเรื่องเวลาเรื่องนี้ จะสะท้อนให้เราเห็นว่า...เวลา แม้หนึ่งนาทีมันทรงอานุภาพแค่ไหน  เรื่องมีอยู่ว่า... ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่กระตือรือล้น ทำอะไรชักช้า และขี้เกียจ  ทุกเช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่างแทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นล่ะ เจี๊ยบถึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที
     
"คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้หนึ่งนาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นแล้วแกจะรู้สึก"

การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน ถูกทำโทษให้วิ่งรอบสนามทุกัน แต่เจี๊ยบก็ไม่ได้จดจำเลยแม้แต่น้อย และยังกล้าต่อรองเวลาแม้แต่กับครู   "ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วเจี๊ยบ" ครูร้องเตือนเมื่อเห็นเจี๊ยบยังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในสนามหญ้า ทั้ง ๆ ที่ออดเรียกเข้าชั้นเรียนดังไปพักหนึ่งแล้ว  "ขออีก 1 นาทีครับครู" เจี๊ยบบอกโดยไม่ทุกข์ร้อน
     
วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย แต่พอรุ่งเช้า เจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที  ขออีก 1 นาที" ตลอด ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยาก   สักพักเจี๊ยบก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า "แม่ล่ะครับพ่อ"     "แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก  "อ้าว ทำไมไม่รอผม" เจี๊ยบร้องขึ้นเพราะอยากไปบ้านสวนของยายมาก
     
"แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอก็ทำให้แม่ตกรถได้ นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปสายรถประจำ แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่   "แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอก
     
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของพ่อซีดขาวราวกับกระดาษ  "รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้ง
     
ทันทีที่สองพ่อลูกไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป
     
"แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น   "แม่ แม่ ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่ต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่"   พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมาก"
     
คำพูดนั้นทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีก   "เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า ผมรักแม่ ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา แต่ไม่มีใครฟัง พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัด และหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า.....แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่าตัด
     
เจี๊ยบมารู้ภายหลังว่า รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ อยากได้เงินมากมากจนไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุ
     
พ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตัวเอง ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงไร เพราะ 1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่  ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริง ๆ เขากลับไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่  ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ำไป...ไม่มีเลย

ใครๆก็รู้นะว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า  แต่อันที่จริง เวลาอาจจะไม่ใช่ปัญหา เพราะแต่ละคนต่างเป็นเจ้าของเวลาของตนและก็มีอย่างเท่าเทียมกันคนละ 24 ชั่วโมง  แต่สิ่งที่เป็นปัญหาเมื่อคนมาอยู่รวมกัน คือ  เวลาในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน  เวลาที่ต้องทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดร่วมกัน  อย่ามัวนึกถึงแต่เวลาของตัวเอง เวลาของคนอื่นก็มีค่าเช่นกัน  และแค่หนึ่งนาทีของคนอื่นอาจจะถึงเป็นถึงตายได้   

อย่างไรก็ตาม...เวลาไม่ได้กำหนดชะตาชีวิตเราเสมอไป  เราสามารถกำหนดเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตว่าในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตเราจะทำอะไรบ้าง ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ต้องใช้เวลาอย่างไร อย่าให้เวลาบริหารเรา  เราต้องบริหารเวลา...โดยเฉพาะเมื่อใช้เวลาร่วมกับคนอื่น  และอย่าคิดว่าเวลามีเหลือเฟือ บางทีเวลาที่เราคิดว่าเรามีมากเพียงพอนั้น จะหดหายไปดื้อๆภายในพริบตา    ชีวิตนี้ต้องสร้างเวลาของเราให้มีค่ามากที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นวินาที ชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน หรือปี




ช่วยกันเปิดไฟเขียวให้ประเทศไทย


เรื่องการบ้านการเมืองมันมีผลกระทบต่อทุกชีวิต เราอาจจะไม่รู้สึกเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่สำหรับข้าพเจ้ามันใกล้มาก มันวนเวียนอยู่ในหัวคิด หัวจิต หัวใจทุกครั้งที่เห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุดในสังคมในบ้านเมืองของเราที่มาจากนโยบาย จากการกระทำของรัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณ   ความเลวทรามต่ำช้าของทักษิณและพวกพ้องนั้นไม่ต้องสาธยายเพราะมีคนบันทึกเอาไว้มาก  คิดว่าคงจะมากที่สุดเท่าที่ช่วงชีวิตของข้าพเจ้าเคยได้รับฟังความชั่วของคนในแวดวงการเมือง เผลอๆชั่วแบบทักษิณนี้จะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยซ้ำ  เพราะมันทำลายทุกอย่างที่เป็นความดีงามของประเทศ ของคนไทย    ความดีงามนั้นถ้าถูกบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ มันก็นรกชัดชัดดีดีนี่เอง หรือเราอยากตกนรกทั้งเป็นกันทั้งประเทศ 

กราบละ..อย่าเป็นไทยเฉย: ถ้าถามว่ายังมีกิน มีใช้ มีเที่ยว หลับนอนสบายไหม  มันสบายยิ่งกว่าสบาย  จะไม่รู้สึกอะไรก็ได้  แต่ทำไมต้องรู้สึก  ข้าพเจ้าว่าไอ้จิตสำนึกแบบนี้แหละที่จำเป็นสำหรับความเป็นชาติ  ชาติเราเกิดขึ้นได้มาเป็นปึกแผ่นก็เพราะคนไทย บรรพบุรุษไทยมีจิตสำนึกที่รักชาติอย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนดีที่รักชาติ หรือได้เสียสละเพื่อชาติมามากขนาดนั้น  แต่อย่างน้อยข้าพเจ้าว่า ไอ้ความกังวลในเรื่องบ้านเมืองมันน่าจะเป็นพื้นฐานของความเจริญที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้ ซึ่งความกังวลมีมากเข้ามันจะกลายเป็นแรงขับให้เกิดการกระทำ  ความกังวลน้อย หรือ ไม่กังวล ไม่สนใจเลยก็จะไม่เกิดการกระทำใดใดที่เป็นการแสดงถึงพลังในการขับเคลื่อนไปสู่สิ่งดีงาม ไปสู่ความเจริญในสังคม  ที่สำคัญการเฉยมันทำให้คนชั่วได้ใจ  ทำชั่วต่อไปได้ไม่สิ้นสุด  การเฉยอันนี้ข้าพเจ้าว่ามันเป็นตราบาปนะ

ไหว้ละ..อย่าตัวใหญ่เกินชาติ: ตอนนี้มีพี่น้องร่วมชาติยืนหยัดกับความลำบาก เสี่ยงต่ออันตรายมาต่อสู้กับระบอบทักษิณอัปรีย์ที่แยกอุรุพงษ์   พลังคนน้อยเหลือเกิน การจัดการการชุมนุมเป็นไปตามความรู้สึกที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจ "เถื่อน"  ที่ว่า "เถื่อน" ก็เพราะถึงแม้จะมามีอำนาจปกครองตามกฎหมาย ถูกเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย  แต่เมื่อเจตนาและการกระทำมีผลต่อการล่มสลายของบ้านเมือง อันนี้ "เถื่อน" แน่นอน  นี่ยังไม่นับพฤติกรรม "เถื่อน" ที่แสดงอำนาจต่อประชาชนอย่างไร้มนุษยธรรม  แบบนี้มันยังไม่หนักหนาพอหรือ..ที่กลุ่มพันธมิตรของสนธิ หรือ ประชาธิปัตย์จะมาแสดงตัวเปิดเผยร่วมกับประชาชน  ทุกกลุ่มที่มีพลังมวลชนแต่ไม่ยอมออกมานี่ ข้าพเจ้าว่าน่าอาย และถ้าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศจะเป็นตราบาปไปชั่วชีวิต  หรือจะต้องรอให้มีคนเจ็บคนตายก่อน  ถึงจะออกมาเป็นฮีโร่กัน ข้าพเจ้าว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ชาติ  ข้าพเจ้ามองไม่เห็นเหตุผลอื่นใดที่มันจะมากไปกว่าการทำเพื่อชาตินะ  ถ้าจะรอเวลา จะรอให้ถั่วงาไหม้ก่อนหรือ ถ้าออกมาต้องชนะ จะชนะไปตอนนั้นชาติก็คงเสียหายมากกว่านี้ คนชั่วก็ลำพองใจ ทำชั่วมากขึ้นได้อีก  ตัวของพวกท่านมันจะใหญ่เกินชาติไทยไปหน่อยละกระมัง 

ท้ายสุด..ถ้าไม่มีพลังขับไล่คนชั่วไปจากแผ่นดินไทย  ประชาชนอย่างเราก็คงได้แต่ยอมให้โจรมันเชือดเนื้อเถือหนังกันต่อไปจนกระดูกก็จะไม่เหลือ  และจะต้องปวดร้าวใจกับการข่มเหงสถาบันสูงสุด   เจ็บใจกับนโยบายสามานย์โกงกิน  เศร้าใจกับการทำลายความยุติธรรมในบ้านเมือง  เราจะทนได้อีกต่อไปแค่ไหนที่ปล่อยให้โจรครองเมือง ข่มขืนประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก  

ออกมาพี่น้อง...แสงแห่งมโนธรรมมันต้องแรงกล้ากว่าอำนาจอธรรม  ถ้าเราเชื่อว่าความดีงามเท่านั้นที่จะจรรโลงชีวิตลูกหลานไทยในอนาคต  ออกมา..เปิดไฟเขียวให้กับประเทศ  ติด "ไฟแดง" กันมานานพอแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อยากคิดนอกกรอบ..เห็นกรอบแล้วหรือยัง...


คนเราใช้ชีวิตกับความคิดเดิมๆ การกระทำเดิมๆ มานาน ทำซ้ำๆกันเป็น pattern เดิมๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เหมือนเสืออยู่ในป่า มันก็หากินตามความเคยชิน มันไม่เคยเห็นภาพป่า ลองเอามันขึ้นเครื่องบินมองลงมา มันคง..wow เห็นภาพชัดเจนขึ้น คนเราก็เหมือนกันเราชิน เราตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆอย่างอัตโนมัติ ซึ่งนี่คือ "ข้อจำกัด" ในการใช้ชีวิต 

มีนิทานที่เล่ากันมาเรื่องสร้างเครื่องบินกระดาษ อาจทำให้เราเห็นภาพการ "ติดกรอบ" "ข้อจำกัด" มากขึ้น เรื่องมีอยู่ว่า...ครูสั่งให้นักเรียนยืนชิดติดผนังห้อง แล้วส่งกระดาษให้คนละแผ่น ก่อนตั้งโจทย์แบบฝึกหัดง่าย ๆให้ทำกันทั้งห้อง

"ให้ทุกคนทำกระดาษให้เป็นเครื่องบินและปาจากผนังที่ยืนอยู่ให้ไปถึงผนังฝั่งตรงข้าม"

นักเรียนทั้งหลายก็พยายามพับกระดาษเป็นรูปเครื่องบินต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบตามที่คิดว่าจะทำให้พุ่งได้ไกลที่สุด ทุกคนปาเครื่องบินกระดาษอย่างแรงที่สุดแต่ไม่มีลำไหนพุ่งถึงผนังฝั่งตรงข้ามเลย ครูจึงบอกว่า ให้ทุกคนดูฝีมือการพับกระดาษระดับแชมป์โลก ที่ใช้เวลาพับเครื่องบินไม่ถึง 5 วินาที "เครื่องบิน" ไม่มีปีก "เครื่องบิน" เป็นรูปทรงกลม จากนั้นครูก็ขยำกระดาษให้เป็นก้อนกลม ขยำให้แน่นที่สุดแล้วปาไปที่ผนังฝั่งตรงข้ามสุดแรง "เครื่องบินกระดาษ" ไปถึง "เป้าหมาย" แม้จะไม่มีปีก

นักเรียนก็เหมือนเราทุกคนที่ติดอยู่กับ "กรอบ" เดิมๆว่า เครื่องบินกระดาษมันต้องเป็นแบบที่เคยเห็น ต้องมีหน้าตาแบบเครื่องบินกระดาษ ทุกลำต้องมีปีก การติดกรอบความคิดแบบนี้มันทำให้ไม่ไปถึงเป้าหมายที่คาดหวัง

อยากนอกกรอบ อยากสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยากไปให้ถึงเป้าหมาย เรามองเห็นวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิตของตัวเองหรือยัง เห็นกรอบที่ปิดกั้นอยู่ไหม เอาแค่ว่า..โกรธ.. เวลาโกรธเรามักพุ่งไปที่ "คนอื่น" ที่ทำให้เราโกรธ แต่ไม่ค่อยมีสติกลับมาดู "ความคิด" ว่าเราคิดอย่างไรเราถึงได้โกรธ หรือที่คนสมัยนี้เป็นกันบ่อย คือ ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด อันนี้ก็ติดกรอบเหมือนกัน ใครจะนำเสนออะไรไม่สน ตัวเองมีธงปักไว้ มีกรอบตั้งอยู่ ก็จะว่าไปตามนั้น ไม่ยอมหันมาพิจารณาว่าคนอื่นเขาหมายถึงอะไรกันแน่ อันนี้ก็ทำให้ "ติด" นานๆไปจะกลายเป็น "ยึด" และในที่สุดกลายมาเป็นสันดานที่แก้ยาก สร้างสรรค์ไม่ออก คิดใหม่ไม่เป็น

ข้ออ้างก็เป็นอีก "กรอบ" หนึ่งของชีวิต
-ฉันไม่เคยทำ
-ฉันเรียนมาน้อย
-ฉันทำไม่ได้
-คนอื่นคงไม่ชอบ
-คนอื่นคงไม่เชื่อ
และอื่นๆอีกมากที่กลายเป็นกรอบในการใช้ชีวิต ทุกวันนี้ลองถามตัวเองว่าข้อจำกัดและกรอบมันเยอะเกินไปหรือเปล่า จะคิดอะไรดีดีเลยไม่ได้คิด จะทำอะไรใหม่ๆเลยไม่ได้ทำ แบบนี้มันเสียเวลาชีวิต

การจะเห็นกรอบตัวเองต้องใช้ "สติ" อย่างมากทีเดียว ใช้สติจับความคิด จับคำพูด จับการกระทำ ฝึกสติและสำรวจตัวเองบ่อยๆ จะเห็นกรอบที่มันขังเราอยู่..เราจึงจะออกมานอกกรอบได้

ออกมายืนห่างๆตัวเอง..มองไปกว้างๆ ฟ้าสว่าง..โลกสดใสกว่าเดิม 

ความสวยงามของโลกใบนี้



เรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Stanford ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1892 นักศึกษาคนหนึ่งอายุ 18 ปีต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมเพราะเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครได้ เด็กหนุ่มคนนี้เกิดมีไอเดียขึ้นมาในการหาทุนช่วยค่าเล่าเรียน คือ การจัด musical concert ขึ้นใน campus ซึ่งในสมันนั้นก็ถือว่าแจ๋วน่าดูชม เขากับเพื่อนอีกคนจึงพากันไปหานักเปียโนที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ Ignacy J. Paderewski

ผู้จัดการของ Paderewski เรียกร้องเงินค่าจ้างถึง 2,000 เหรียญสำหรับการแสดง สองหนุ่มจึงต้องทำงานกันหนักเพื่อให้คอนเสิร์ตประสบความสำเร็จ แต่โชคร้ายตั๋วขายไม่หมด สองคนเก็บเงินได้แค่ 1,600 เหรียญเท่านั้น ถึงแม้จะผิดหวังแต่พวกเขาก็ได้ไปหา Paderewski และอธิบายให้ฟังถึงรายได้จากคอนเสิร์ต และจ่ายเงินให้ไป 1,600 เหรียญบวกกับเช็คมูลค่า 400 เหรียญ ซึ่งพวกเขารับรองด้วยเกียรติว่าจะจ่ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

Paderewski ปฎิเสธว่าแบบนี้เขารับไม่ได้ ว่าแล้วก็ฉีกเช็คทิ้งไป และเอาเงินคืนให้กับสองหนุ่มพร้อมกับบอกว่า

" เอาเงินคืนไป และกรุณาหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด เหลือเท่าไหร่ ค่อยเอามาให้ก็แล้วกัน"

เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง สองหนุ่มรีบกล่าวขอบคุณด้วยความเต็มตื้นใจ

ทำไม Paderewski ต้องช่วยเหลือคนที่เขาเองก็ไม่รู้จัก นี่คือเหตุการณ์ที่เราทั้งหลายคงเคยพบเจอมาแล้ว แต่เราคงประมาณว่าคิดมาก คิดว่าช่วยแล้วจะยังไง ก็คนไม่รู้จักกัน แต่คนที่ยิ่งใหญ่จริงๆไม่คิดมาก แต่จะคิดบนพื้นฐานของความถูกต้อง คือ ถ้ามีคนเดือดร้อน ไม่ช่วยเขา แล้วเขาจะทำยังไง จะอยู่ยังไง ซึ่งการคิดแบบนี้ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรตอบแทนเลย ทำไปเพราะควรทำ ทำเพราะรู้สึกว่ามันถูกต้องที่จะทำ

ภายหลัง Paderewski ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ Poland เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่โชคร้ายเกิดสงครามโลกขึ้น ประชาชน 1.5 ล้านคนของ Poland ได้รับความลำบากยากเข็ญ ประเทศอยู่ในภาวะอดอยากแร้นแค้น ไม่มีงบประมาณที่จะมาจัดหาอาหารให้กับประชาชน Paderewski จึงร้องขอความช่วยเหลือจาก US Food and Relief Administration ที่เป็นองค์กรความช่วยเหลือของประเทศสหรัฐอเมริกา

ผู้นำอเมริกาในขณะนั้น คือ Herbert Hoover ซึ่งภายหลังได้เป็นประธานาธิบดี Hoover ตกลงส่งความช่วยเหลือไปทันทีทันใด อาหารของแห้งต่างๆได้ถูกส่งไปทางเรือเพื่อช่วยเหลือผู้อดอยากชาวโปแลนด์ ความยากเข็ญจึงได้รับการบรรเทาเบาบางลง Paderewski โล่งใจ เขาตัดสินใจเดินทางไปพบกับ Hoover เพื่อขอบคุณด้วยตัวเอง

เมื่อ Paderewski ได้พบกับ Hoover ขณะที่กำลังจะค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณ Hoover รีบบอกว่า " ไม่ต้องขอบคุณหรอกท่านนายก ท่านอาจจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่หลายปีก่อนท่านได้ช่วยเด็กหนุ่มไว้สองคน หนึ่งในนั้น คือ ตัวผมเอง"

โลกนี้มันช่างสวยงามจริงจริง
What goes around comes around 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เลือกให้ดี..คนมีหลายแบบ

ประเภทร้าย..ไม่ต้องคบ
หน้าเนื้อ ใจเสือ
พวกนี้ดูดี สวย หล่อ ทำให้หลงได้ง่ายแต่ใจร้ายชะมัด  ทำได้ทุกอย่างทุกที่ทุกเวลาที่จะเอาเปรียบคนอื่นแบบหน้าตายิ้มๆ  เหมือนพวกแม่ค้าพ่อค้าที่อยากขาย แต่ตัวเองได้เต็มๆคนอื่นเสียเต็มๆ  คบไป..วันดีคืนดี...หมด...ไม่รู้ตัว

งูเห่า
ดูไปก็ธรรมดา แต่ใจซ่อนพิษ เมื่อมีโอกาสจะฉกฉวยทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนลำบาก คบไปก็ไว้ใจไม่ได้ เสียเวลาระวัง

ผีห่า ซาตาน
หน้าตาดูไม่ได้แล้วยังใจเลวด้วย มันดีอยู่อย่าง คือ มันชัด เราเจอแล้วเผ่นไปได้ทัน ไม่เหมือนพวกงูเห่ากับหน้าเนื้อใจเสือ

ประเภทคบได้..ไม่ดีขึ้น ไม่คบ..ไม่มีอะไรจะเสีย
รู้หน้า ไม่รู้ใจ
คบได้เพลินๆ ดูสบายตา แต่ถึงเวลาเดือดร้อน ไม่ลงเรือลำเดียวกันแน่ๆ

เฉยชา
พวกนี้ก็คนธรรมดาทั่วไป แล้วแต่สถานะการณ์ ไม่ดีไม่ชั่ว กลางๆ ไม่สนใจใคร เอาแต่ตัวเองรอดไป

ผีเข้า ผีออก
ดูแล้วไม่เจริญหูเจริญตา แถมเดาใจไม่ออกว่าจะเอายังไง หลีกได้ก็หลีก ไม่คบก็ไม่เสีย

ประเภทดีสุดขั้ว...ต้องคบ..ไม่คบไม่ได้
นางฟ้า เทวดา
ใครเจอและได้เป็นเพื่อนถือว่ามีบุญ พวกนี้เป็นเพื่อนแท้ที่หายาก หน้าตาดีแล้วยังใจดีเป็นเลิศ อยู่ด้วยมีแต่ได้  เต็มใจช่วยเหลือด้วยรอยยิ้มและใจอาทรเสมอ

ธรรมดา..ที่ไม่ธรรมดา
หน้าตาไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ใจเต็มร้อย เคียงข้างไม่ทิ้งกัน อยู่ด้วยมีความสุขแน่ๆ

ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
หน้าตาไม่เป็นอุปสรรคต่อการคบหา บางคนกลับมองข้ามไป  ต้องมองที่ใจจะเห็นทองแท้ที่ฉายแสงอบอุ่นให้เสมอ