วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พวกเราทำอะไรไม่ได้แล้วหรือ



ภาพของในหลวงที่พระพักตร์ที่เศร้าหมองในหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง เราซึ่งเป็นพสกนิกรของในหลวงเห็นแล้ว "ไม่รู้สึกอะไร" นี่มันน่าแปลกใจยิ่ง อยากถามว่า "ยังมีในหลวงในใจคนไทย" หรือเปล่า 

พระราชดำรัสที่ว่า "ความสุขสวัสดีของข้าพเจ้า จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองมีความเจริญมั่นคง เป็นปกติสุข" ยังไม่ได้ตอกย้ำในใจอีกหรือว่าตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่มั่นคง ยังไม่ปกติ พระองค์ไม่มีวันมีความสุขได้ อันนี้ยังไม่ต้องพูดถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงตรากตรำทำเพื่อคนไทยให้อยู่เย็นเป็นสุขมาชั่วลูกชั่วหลาน คนไทยได้อาศัยพระบารมีพระมหากรุณาธิคุณพระบารมีให้ร่มเย็นกันทั่วทั้งแผ่นดินมากต่อมากเท่าไหร่

ทุกวันนี้ ความทุกข์ใจอย่างหนึ่ง คือ "ความคิด" ของคนไทยเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะกับ "ในหลวง" เมื่อก่อน เรื่องไม่ดีไม่งาม หรือ คิดไม่ดีต่อในหลวง เรายังไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่เวลานี้ทำไมกลับเป็นเรื่องปกติของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ในสังคมไทยถือว่ามีการศึกษาสูง เป็นครูบาอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง  กลับโหนฐานะทางวิชาการและอาชีพยัดเยียดความคิดแง่ลบกับในหลวง กับสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เด็กรุ่นใหม่ 

ที่เป็นแบบนี้คิดได้สองทาง คือ ติดฝรั่งแบบไร้สำนึก ศึกษาความคิดฝรั่งโดยไม่สำเหนียกว่า ไอ้ความคิดฝรั่งๆเนี่ยมันเป็นอริกับราชสำนักไทยตั้งแต่ชาติที่แล้ว เป็นอคติกันมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และมันเชยสุดสุด มันตั้งกี่ร้อยปีมาแล้ว ก็ยังงมงายไม่ได้ดูบริบทประเทศตัวเองเลย และอีกทาง คือ เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเห็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนของในหลวงมาหลายสิบปีแล้ว และไม่ได้ศึกษาแนวคิด การทรงงานของพระองค์ท่านอย่างถึงรากถึงแก่น  ทำให้เด็กรุ่นใหม่เริ่มสงสัยว่าทำไมต้องเทิดทูนในหลวงและยกย่องในหลวง 

อยากถาม "กองทัพ" ผู้มีหน้าที่รักษาปกป้อง "พระราชา" ผู้เป็นที่รักยิ่ง เป็นดวงใจของปวงชนว่ากำลัง "ทำอะไรอยู่"  (รัฐบาลไม่ถาม เพราะ วาระซ่อนเร้นมันมากเกิน) มันไม่มีอะไรที่ทำให้คนไทยที่รักในหลวงเจ็บแค้นเท่ากับการเห็นคนตั้งตนเป็นอริกับในหลวง แต่ทำอะไรคนพวกนี้ไม่ได้ มันแปลว่าอะไร คนหลายคนที่จาบจ้วง "พระเจ้าแผ่นดิน" คนที่พูดจาจาบจ้วงซึ่งหน้า จาบจ้วงโดยนัยยะ ออกอากาศไปทั่วประเทศ กลับทำอะไรไม่ได้ 


กองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทำอะไรไม่ได้ 
อย่างนั้นหรือ...

เมื่อพระองค์ทราบว่ามีคนที่ไม่อยากให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์  

"ขอให้บอกเรานะว่า จะให้เราปรับตัวอะไรบ้าง"  
ได้เห็น ได้ฟัง ได้รู้แล้ว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อซึม คับอกคับใจ

คนที่ไม่สำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ คนเนรคุณในหลวงมีอย่างล้นฟ้าทั่วแผ่นดินในทุกวันนี้ เพียงเพราะคนเพียงไม่กี่คนที่ต้องการ "อำนาจ" คนเหล่านั้นทำได้ทุกอย่าง แม้แต่จ้องทำลายสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทย


นายทหาร นายตำรวจทั้งในอดีตและปัจจุบัน หากเคย "สาบานตน" ต่อ "ธงชัยเฉลิมพล" หรือต่อหน้าพระพักตร์ "ในหลวง" ยังจำคำปฎิญาณว่า 
"....ข้าพเจ้าจะเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า....ข้าพเจ้าจักรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..." 



ยังจำได้หรือไม่?

อย่าให้เงินหรืออำนาจมาทำให้สูญเสียสัตย์อันสูงเกียรติ..ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เป็นสุขทุกวัน

ความสุขของคน..ไม่ควรมีเงื่อนไข
มีแล้วเป็นทุกข์..สุขหาย

ความเหงาเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของคน
การเลือกที่จะติดกับใครบางคน มันเป็นเงื่อนไขแห่งทุกข์
...ไม่มีวันอิสระในชาตินี้...

การมีครอบครัว มีเพื่อน มีคนรัก..มันเป็นความสัมพันธ์ที่วิเศษ
ทำให้คนเป็นสุข.. แต่มันเป็นกับดักของสังคมมนุษย์ กับดักความทุกข์
ติดปุ๊บ..เค้าลางแห่งทุกข์มาทันที..เพราะไม่มีอะไรที่ยืนยงถาวรอยู่กับเราได้ตลอดเวลา
...หรือ ตลอดไป

อย่างที่ว่ากัน..คนเราเกิดมาคนเดียว...ตายคนเดียว
ต่อให้มีแบบตายหมู่..ก็ยังตายแบบตัวใครตัวมันอยู่ดี

...อยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว ก็เป็นสุขได้
...เป็นเพื่อนกับตัวเอง... ไม่มีเหงา มีเรื่องให้คิดใคร่ครวญได้เยอะแยะ

ไม่เชื่อก็ลบหลู่ไปเลย...ลองดู..แล้วจะรู้ว่าทุกคนทำได้..อย่างเป็นสุขทุกวัน



วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วัด วัง เวียง

ขอบ่น...
คนทุกวันนี้มันเหลือทนจริงๆ เมื่อวานรถติดอยู่แถวถนนคันคลองชลประทานข้างมอชอ ติดเป็นทิวเป็นแถว ได้ยินเสียงหวอๆๆวิ้ดหวอมาข้างหลัง รถหวอพยายามแทรกออกซ้าย ไอ้เราก็พยายยามเบี่ยงขวาสุดๆ คันอื่นๆก็เห็นมองหาลู่ทางหลีกให้ เพราะรู้ว่ามันเร่งด่วน มีคนเจ็บคนป่วยที่ต้องไปให้ถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด ข้างๆรถเราเยื้องไปข้างหลังมีเด็กหนุ่มไม่รู้ร้อนรู้หนาว หูดับไม่สนว่ารถหวอกำลังอยากแทรกและแซงรถของตัว เพราะข้างซ้ายของรถไอ้เด็กเปรตนั่นมันมีทางเบี่ยง ถ้ามันหลีกขวาให้นิดเดียว รถหวอก็จะออกซ้ายไปได้ฉลุย  ไอ้เด็กคนนั้นนั่งทำอะไรรู้ไหม...มันนั่งกดโทรศัพท์ ไม่เล่นเกมก็อะไรสักอย่างง่วนเฉยอยู่ ไม่หลีก ไม่สน ไม่มองเฉยอยู่อย่างนั้น.. ไม่รู้ว่าพ่อแม่มันสอนกันมายังไง ชั่วร้ายมาก เป็นลูกเราหน่อยไม่ได้..เจอบ้องหูไปแล้ว กำลังจะลงจากรถไปเคาะกระจกมันอยู่แล้ว พอดีรถคันหน้าเคลื่อนเลยอดด่าลูกชาวบ้านเลย พ่อแม่สมัยนี้มีเงินซื้อรถให้ลูกขับแต่ไม่มีปัญญาจะสอนมารยาท ความมีน้ำใจ และจิตสำนึกกันเลย เรื่องแบบนี้มันไม่ต้องสอนเป็นคำพูดยาวๆตลอดเวลาก็ได้  มันอยู่ที่การปฎิบัติต่อกันในครอบครัว บ้านนี้คงห่างวัดอย่างยิ่ง ห่างวัดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเข้าวัดนะ หมายถึงการมีธรรมประจำใจ ธรรมที่มุ่งเน้นความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ธรรมที่เป็นธรรมที่การเกิดมาเป็นคนเขาต้องทำกันน่ะ   อันนี้มันเรื่องคอขาดบาดตาย แต่ก็ยังมีคนไม่สำเหนียกอีกแน่ะ  เออ..มันเป็นอะไรกันไปแล้วประเทศนี้  นี่มันเป็นความบกพร่องของคนกันเลยนะ  พอไม่ใช่เรื่องของตัว ก็ไม่สน ความเดือดร้อนของคนอื่นไม่สำคัญไปซะงั้น  นี่เราต้องอยู่ในสังคมแบบนี้ไปจนแก่ตายหรือยังไง 

เมื่อก่อนวัดเคยมีบทบาทกำกับพฤติกรรมคนดั่งมือที่มองไม่เห็น มันมีอำนาจพอที่จะให้คนละอายต่อชั่วละอายต่อบาป ทำให้สังคมเป็นธรรม เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว อีกเรื่องที่เพิ่งเจอหมาดๆก็เรื่องสายวัดไม่มีอำนาจต่อรองกับสายเงินสายผลประโยชน์ที่คนบริหารกุมอำนาจอยู่เบ็ดเสร็จ  โรงเรียนคาทอลิกดังๆในปัจจุบัน จะไปฝากเด็กเข้า..อย่าไปฝากสายวัดเด็ดขาด ถ้าต้องการให้ลูกเข้าเรียน อำนาจมันอยู่ที่มือที่มองไม่เห็นเหมือนกับสมัยโน้น แต่เป็นสายเวียง สายบริหาร สายที่มือที่เลอะไปด้วยมิจฉาทิฐิ ความโลภ ความอยากอำนาจ กลโกง เอาเฉพาะพวก  ไม่ใช่มือที่เมตตา มือที่กุมหลักการ มือสะอาดของนักบวชอีกต่อไป  มันสกปรกไปหมด  ถ้าลูกเราตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมของกลุ่มคนที่มีแนวคิดแบบนี้  จะเป็นคนดีคนมีสำนึกถูกต้องได้อย่างไร  

นี่อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่มันสะท้อนถึงเบ้าหล่อหลอมเด็กไทย ว่าเป็นเบ้าบิดเบี้ยวที่จัดรูปความคิด พฤติกรรมเด็ก คือ เบ้าพ่อเบ้าแม่ เบ้าโรงเรียน มันเพี้ยนไป แล้วรูปหล่อที่ออกมามันจะดีได้ยังไง ไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องเหล่านี้มันส่งผ่านกันมานานเท่าไหร่แล้ว  สังคมเราจึงกลายเป็นสังคมห่างวัด ห่างความดี ถ่างสำนึกผิดชอบชั่วดีออกไป  จนมากระทบสายวังแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้  มันไม่ได้มีการสำเหนียกว่าทุกวันนี้ที่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน เกิดเป็นโรงเรียน เกิดเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมอันดีงามได้ ล้วนแล้วแต่สายวัดสายวังทั้งนั้น สายเวียงที่รับบริหารกลับเป็นสายหลักที่กุมอำนาจอยู่มันทุกที่ในประเทศ เป็นสายที่ลุแก่อำนาจ จัดการคนอย่างไม่นึกว่าคนยังเป็นคน เอาความสมัยใหม่ที่ไร้ราก เอาความหยาบมาขัดถูประโยชน์จากทุกแหล่ง ผลประโยชน์สายเวียงเป็นที่ตั้ง วัดวังไม่ต้องพูดถึง หยามได้หยาม ล้มได้ล้ม เราต้องทนอยู่กับมันไปตลอดชีวิตหรือนี่...วังเวง

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รักชาติ รักในหลวง


จะรักเจ้าเช้ายันค่ำให้หนำจิต
ใครจะคิดอย่างไรฉันไม่สน
มีกินมีใช้ทั่วทุกตัวคน
ใครกันทนลำบากตรากตรำงาน

พระวรกายเหนื่อยล้าแสนสาหัส
ทุกข์บำบัดให้ราษฎร์ไร้เศร้าหมอง
ผองไทยสุขกันทั่ว ขอจงตรอง
พระเมตตาแผ่คุ้มครองทั้งแผ่นดิน

อ้ายและอีตัวใดไร้ซึ่งคิด
วิปริตจาบจ้วงลวงคนหลง
ขอให้ผีนรกปลดชีพลง
ให้ตายโหงตายห่าพากันตาย

เผาบ้านเผาเมืองแผ่นดินแม่
เลวแท้แท้ไม่สำนึกยังฮึกเหิม
สะสมไพร่กระฎุมพีสีแดงแดง
ให้กำแหงเปลี่ยนประเทศทุเรศใจ

ขอพี่น้องผองไทยอย่าไร้คิด
อย่าหลงผิดหลงเงินเพลินสุขสม
ชาติไทยอยู่ได้เพราะใจตรง
ใจมั่นคงรักในหลวงดวงเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 วิธีบริหารจัดการ Generation Y



กลุ่ม Generation Y มีคนเรียกไว้หลายอย่าง เช่น พวก Millenials พวก Echo Boomers คนกลุ่มนี้มีมุมมองที่แตกต่างจากผู้บริหาร  พวกนี้ไม่ได้เล่น Pac Man แต่เล่น Halo 4 ไม่ได้ดู the X Factor ไม่รู้จัก Jordache jeans แต่มี H&M เต็มตู้เสื้อผ้า โตมากับ Facebook มือถือ และสถานะการณ์โลกร้อนที่หล่อหลอมการมองโลก   ผู้บริหารจึงมีปัญหาในการจูงใจคนกลุ่มนี้เพราะเป็นกลุ่ม unique เป็นตัวของตัวเองมาก ไม่มีความเชื่อเรื่องการอยู่กับบริษัทเดียวไปตลอดชีวิต  ตรงกันข้ามกลุ่มนี้จะวางแผนย้ายที่ทำงานตลอดเวลา แต่เป็นกลุ่มที่เติบโตใน segment ที่เป็นกำลังคนขององค์กร ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้พวก Generation Y สามารถสร้าง value ให้องค์กร ให้อยู่กับองค์กรไปนานๆ เพราะปล่อยให้ย้ายบ่อยๆไม่ได้ การสร้างคนมันไม่ได้ง่าย มันใช้เวลา ปัญหาจะทำอย่างไรจูงใจให้จงรักภักดีกับองค์กร เพราะการที่พนักงานจงรักภักดีส่งผลถึงการจงรักภักดีของลูกค้าด้วยเหมือนที่ Richard Branson เจ้าพ่อ Virgin Group ว่าไว้ว่า “Loyal employees in a company create loyal customers, who in turn create happy shareholders.”  
คนเสนอวิธี 10 ประการในการบริหาร Generation Y เป็นลูกน้อง Richard Branson ชื่อ Andrew Bridge เป็น MD ของ Virgin Mobile Canada ที่สร้างให้ Virgin Mobile เป็นแบรนด์ที่จับใจวัยรุ่นเป็นที่หนึ่ง ว่างๆก็ออกมาช่วยเหลือกลุ่มวัยรุ่นไร้บ้าน ไร้ที่อยู่ในโครงการ Virgin Unite Canada  เขาว่าจะบริหารจัดการ Generation Y ต้อง....
  1. ให้เห็นทิศทางที่จะเติบโตชัดเจน: มันไม่ใช่แค่เรื่อง promotion การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง แต่มันเกี่ยวกับการเสนอโอกาสที่สามารถพัฒนาได้ในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสการเติบโตใน career path ที่หลากหลาย หรือการย้ายงานได้หลายพื้นที่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยากเปลี่ยนแปลงของพวก Generation Y (...อ่ะ อ่ะ พวกอยู่ไม่สุข)
  2. ทำให้เห็นว่า Generation Y สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่าง: Generation Y เป็นพวกจ่ายดะตามอำนาจการซื้อ อยากสร้าง bigger impact สำหรับโลกใบนี้  (ช่างห้าวหาญเสียจริง) ผู้บริหารต้องมีกลยุทธ์ที่แน่นอน ชัดเจนว่าองค์กรสามารถสร้างโลกนี้ให้น่าอยู่กว่าเดิม ให้เห็น impact ตรงๆที่องค์กรทำได้จริง 
  3. สนับสนุนการเป็นตัวของตัวเอง: อันนี้หมายถึงอาจจะต้องโยนเรื่องแบบแผนทั้งหลายทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นระเบียบการแต่งตัว เวลาพัก หรืออะไรที่มันเป็น pattern มากๆ  ต้องให้ Generation Y มีสิทธิ์มีเสียงในการที่จะสร้างบรรยากาศในการทำงานที่สบายๆและมีการทำงานที่สร้าง value ได้ เพราะพวกนี้เป็นพวกมั่นใจ ฉลาด สามารถทำอะไรหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน 
  4. ใช้ social media:  digital และ social media มีบทบาทยิ่งใหญ่ในชีวิต Generation Y ทั้งในงานและส่วนตัว สนใจเทคโนโลยีอย่างยิ่ง ชอบสื่อสารและสื่อกันในหลายรูปแบบ ในฐานะผู้บริหารคงต้องยอมรับและหาทางให้ทำงานได้ด้วยการเลือกใช้เครื่องมือที่เป็น social media ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าเข้าใจ เห็นความสำคัญและยอมรับในวิถี Generation Y 
  5. พูดแล้วต้องทำ:  Generation Y เป็นพวกที่มีความภาคภูมิใจแปลกๆ อย่างหนึ่งที่ถือกันว่าเจ๋งสำหรับกลุ่มนี้ คือ การจ้องจับผิดองค์กรที่ให้สัญญาแล้วทำไม่ได้ อันนี้เป็นที่ฮิต ถ้าผู้บริหารสัญญาอะไรกับลูกค้าแล้วทำไม่ได้ หรือ ไม่ทำตามสัญญา อันนั้นเท่ากับเปิดประตูให้ Generation Y ออกไปจากองค์กรทันใด  กลุ่มนี้ผู้บริหารจะไม่มีโอกาสได้ไล่ออก พวกนี้เผ่นไปก่อนแล้ว
  6. ตรง ตรง: ผู้บริหารต้องให้รายละเอียดของธุรกิจและบอก Generation Y ได้ว่าเขาเป็นส่วนของความสำเร็จองค์กรตรงไหน  สำคัญคือต้องซื่อสัตย์ ต้องตรง ไม่ใช่ให้แต่ข่าวดี อะไรที่เป็นด้านลบ ข่าวร้ายก็ต้องบอกไปตรงๆ  ถ้า  Generation Y เห็นตัวเองในกระบวนงานแล้วเขาก็จะทุ่มสุดๆเหมือนกัน 
  7. ให้งานที่ท้าทายและน่าสนใจ: ในฐานะที่เป็นกลุ่มเด็กสุดในองค์กร  Generation Y ต้องการพิสูจน์ตัวเองและต้องการเด่นออกมาจากกลุ่มคนทั่วไป  โครงการในองค์กรที่มีอยู่อาจธรรมดา แต่ต้องให้งานที่ไม่ธรรมดา แปลว่างานที่ทำอยู่ต้องสามารถจูงใจให้ทำได้เต็มที่ ให้เห็นว่าเขามีโอกาสฉายแสงได้เจิดจรัส 
  8. รับการบกพร่องโดยสุจริต: ผู้บริหารต้องสร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์  การทำผิดครั้งเดียวไม่เป็นไร เพราะเราต้องการความคิดสร้างสรรค์จากกลุ่มนี้ ให้โอกาส Generation Y เรียนรู้จากความผิดพลาด เพราะบางครั้งอะไรดีๆที่เกิดขึ้นในองค์กรก็มาจากการ “ลุย” ไปเลยนี่แหละ 
  9. location location location: สำหรับ Generation Y การทำงานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น  ที่ตั้งของสถานที่ทำงานที่สะดวกเหมาะกับชีวิตด้านอื่นๆจึงจำเป็นสำหรับกลุ่มนี้ ไม่ใช่ต้องโหนรถเมล์ หรือ ต้องซื้อรถเพื่อมาทำงาน     Generation Y ชอบจะขี่จักรยานหรือเดินมาทำงานได้ ไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนแล้วกลับมาทำงานต่อได้ หรือสามารถสนุกสนานกับสถานที่รอบๆที่ทำงานได้  
  10. ม่วน: สนุกอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา  แต่อย่าลืมว่า fun workplace คือ  happy workplace อันนี้ไม่ใช่เฉพาะให้ Generation Y ม่วนกันเอง  แต่ผู้บริหารต้องม่วนด้วย  นี่เป็นสิ่งที่ Richard Branson พูดเสมอว่า การสังคม การพักผ่อนกับพนักงานเป็นวิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการสร้างความจงรักภักดีและยังได้ข้อมูลดีๆจากลูกน้องด้วย
ดูๆไปเรื่องเยอะนะ Generation นี้ แต่สำคัญเพราะเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เริ่มเข้าสู่การทำงานในองค์กรมากขึ้น มีพฤติกรรมและความต้องการด้านการทำงานในแบบฉบับของตนเองที่ผู้บริหารต้องเอาให้อยู่เพราะมีความสามารถด้านเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายองค์กรต่างก็ต้องการเพื่อสร้างนวัตกรรม

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดอยหลวงเชียงดาว: ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว



เพิ่งรู้ซึ้งถึงคำพูดของคนโบราณที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ก็คราวนี้.. การไปเดินดอยหลวง เชียงดาวมันใช้ “ใจ” ที่มีสติควบคุม “กาย” ให้ตื่น เผลอไม่ได้ เพราะทุกย่างก้าวมันหมายถึงประมาทอาจลื่นล้ม เจ็บตัว เผลอมากๆอาจตกดอยเดี้ยงได้  เหมือนคำพระว่าสติเป็นเครื่องตื่นในโลก ขาดไม่ได้  ทำให้เรียนรู้ว่าสติมันมีอยู่แล้วในสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ช่วยสนับสนุนสัญชาตญาณการอยู่รอดของชีวิต  จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอยู่จริงๆ  ใช้ได้ในทุกกรณี ทุกอารมณ์ ทุกเวลา ทุกสถานที่  มันทำให้เราระลึกได้  ให้รู้สึกตัวในการเคลื่อน การไหว  ใจมันจดจ่อ.. ก้าว วาง ก้าว วาง ไม้เท้าค้ำไว้ รู้เกร็ง รู้ผ่อน รู้เท่า รู้ทัน  ซึ่งตัวเองคิดว่ามันดีกว่านิ่งๆอยู่มาก เพราะเคยทำนิ่งๆมาก่อนหน้านี้ตอนไปที่โกเอนก้า ไม่เคลื่อนไหว มันเลยเข้าไปในความคิดซะ ไม่มีอะไรดึงไว้   แต่การเดินครั้งนี้มันรับรู้การเคลื่อนไหวของกายเราอย่างยิ่ง ไม่คิด เอาปัจจุบันเท่านั้น อดีต อนาคต อนางอวางไปหมด  ถึงแม้จะถอนใจเบา หนัก หรือแม้กระทั่งโวยดังๆ ก็ยังรู้ทุกขณะ  มันสุดยอดจริงๆ

มันรู้สุข รู้ทุกข์ เป็นระยะระยะ  เพราะเดินเนี่ยมันโคตรเหนื่อย แต่ตามทางมันมีวิวดอยที่งาม มีดอกไม้เล็กๆน้อยๆให้เห็นให้รู้  และจริงๆแล้วมันสุขจากข้างในมาเอง มันมาแบบสะอาดๆ นิ่งๆ อิสระของมัน  ยิ่งตอนที่อยู่ในเต้นท์คนเดียว เพราะชาวบ้านเขาไปดูทุ่งดอกไม้ ไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราก็ไม่สามารถ  คือ ขึ้นมาถึงแคมป์ได้ก็บุญแล้ว หมดเรี่ยวแรงจะไปไหนต่อได้  แค่เดินไปเต้นท์ลูกหาบไปกินข้าวก็ยังต้องจิกเท้าไปจนเหนื่อยกว่าจะถึง  ตอนนั้นเป็นตอนที่สงบจริงๆ มันหนิงมาก มันสุขในโดยไม่ต้องอาศัยวัตถุภายนอกมาเสนอความอยาก  มันจริงที่ว่าสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี มันไม่ต้องดิ้นรนค้นหา มันนิ่ง มันเงียบ มันเย็นใจ   อีกทีที่รู้สึกก็ตอนขาลง ตอนที่เจ้าหมู่กำลังรุมถ่ายรูปกล้วยไม้อะไรสักอย่างที่ว่าช่อเดียวมีหลายสี พอดีมันเพิ่งออกเลยเห็นแต่เหลืองๆเลยแอบเดินลิ่วไปก่อน  ตอนนั้นมันแฮบปี้สุดๆ มันเดี่ยวๆกลางดงพงไพร มีแต่เสียงเดิน เสียงหญ้าที่เราผ่านมัน  ก้าวไปสบายๆ ก่อนจะเจอทางดำลื่นและชัน อันนั้นก็ได้ฝึกสติหนักอีกที  

ที่รู้อีกอย่าง คือ ร่างกายคนเรานั้นมันทนยิ่งกว่าควาย ไม่คิดว่าจะทนได้ มันก็ไปได้ของมัน  มันไม่ยักกะตายแฮะ เรามีความสามารถใช้ร่างกาย อวัยวะต่างๆของเราได้เต็มที่แค่ไหน ก็รู้มันตอนนี้แหละ เดินดอยนี่มันได้ใจเต้น..อย่างแรง ภาษาหมอคงว่าเป็นสมรรถภาพของระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจ  cardio –respiratory fitness มันได้น้ำอดน้ำทน  endurance ได้ strength ได้ flexibility เอาเป็นว่าได้ครบที่คนควรได้เวลาออกกำลังกาย  คุ้มจริงๆ ถึงแม้ลงมาแล้วจะเดินเดี้ยงไปสองวันก็เหอะ 

ทั้งหมดทั้งมวล คือ ใจคุมกาย
ไม่มีอะไรที่คนทำไม่ได้ ถ้าใจถึง