วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตเราได้เกิดมาเป็นคน เกิดมาทำไม


ยิ่งแก่เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วและรู้ว่ามันหาความแน่นอนไม่ได้ มีหนังสือเรื่อง “ชำแหละกฎแห่งกรรม” เขียนโดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่ มีตอนหนึ่งชื่อ "เกิดมาทำไม" ลองมาวิเคราะห์กันดูว่าเราเข้าเกณฑ์ไหนมั่ง เนื้อหาว่าด้วยสาเหตุของการเกิดของคน มี 20 อย่าง แตกต่างกันประมาณนี้
  1. เกิดมาเพื่อใช้กรรม ชาติก่อนทำบุญเยอะ ทำบาปไม่เกิน 30 % ของกรรมทั้งหมด พอตายไปขึ้นสวรรค์ เสวยสุขได้ระยะหนึ่ง เกิดความไม่สบายใจ จึงตัดสินใจลงมาใช้กรรมเก่าชั่วคราว เมื่อเกิดใหม่จะมีความทุกข์ทรมาน แต่ความเดือดร้อนนั้นจะไม่ทำให้หันกลับไปทำชั่วอีก 
  2. เกิดมาเพื่อสร้างบารมี เมื่อโลกมนุษย์วุ่นวาย ความระส่ำระสาย เทพสวรรค์จะคัดเลือกเทพลงมาช่วยแก้สถานการณ์ เทพเหล่านี้เมื่อลงมาเกิดในโลก ตลอดชีวิตจะต่อสู้เพื่อสังคม เพื่อความดีงาม เพื่อเสรีภาพไม่หยุดหย่อน 
  3. เกิดมาเพื่อเป็นประมุข เป็นผู้นำ เทพบางองค์ยอมเสียสละความสุขบนสวรรค์ลงมาเกิดเพื่อเป็นผู้นำหรือเป็นประมุขปกครองคนหมู่มากให้มีความสุข เป็นการสร้างบารมี
  4. หนีนรกมาเกิด สัตว์นรกบางตนใช้กรรมในนรกยังไม่ทันหมดก็หนีมาเกิดในโลก ครั้นนายนิรยบาลทราบเรื่องก็จะให้ยมทูตมาเอาตัวกลับไปทรมานอีก สัตว์นรกในร่างมนุษย์นั้นจะอายุสั้นตายตั้งแต่อายุยังน้อย
  5. หนีแดนโจรมาเกิด สัตว์ในแดนโจรบางตน ทนทุกข์ทรมานในแดนโจรแต่ยังไม่หมดกรรม ก็หนีมาเกิดในโลก ทำให้มาเกิดเป็นคนพิการแต่กำเนิดหรือมีอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นคนพิการในที่สุด
  6. หนีแดนเปรตมาเกิด เปรตที่ยังไม่หมดกรรม หนีมาเกิดในโลก จะเป็นคนที่อดอยากยากไร้หิวโหย หาได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อดมื้อกินมื้อ หรือ กินแต่ของบูดเน่า ของเหลือเดน
  7. หนีแดนปีศาจมาเกิด คนที่ชอบรีดนาทาเร้น คดโกงผู้อื่น ตายไปแล้วต้องไปต่อสู้ฟาดฟันกันเองในแดนปีศาจ บางตนใช้กรรมยังไม่หมดก็หนีมาเกิดในโลก จะเป็นคนอาภัพ ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมและผู้เกี่ยวข้อง
  8. เกิดมาเพื่อเสวยสุข บางคนทำบุญน้อย ทำบาปมาก ต้องไปอบายภูมิเพื่อใช้กรรม เมื่อหมดกรรม ก็ได้กลับมาเกิดในโลกเพื่อรับผลของบุญที่ทำไว้ คนพวกนี้จะมีนิสัยเลวร้ายชอบเอาเปรียบคดโกง แล้วร่ำรวยเพราะการกระทำดังกล่าว เขาจะเสวยสุขเพื่อรอวาระสุดท้ายในชีวิต ซึ่งยมทูตจะมารับกลับไปทรมานในอบายภูมิเช่นเดิม
  9. เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบารมีให้เต็ม เทพบางองค์ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันตสาวก ฯลฯ แม้จะมีบุญบารมีมากมาย แต่ยังบกพร่องในบารมีธรรมบางข้อ จึงได้อำลาพรหมโลก ละทิ้งป่าหิมพานต์ หนีจากแดนบาดาลมาเกิดเป็นคนและจะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเอาแต่บุญบารมี ไม่ยอมสะสมหลักฐานหรือทรัพย์สมบัติใดเพื่อตนเอง จะยอมลำบากลำบน ทำแต่ความดี สร้างบารมี บางครั้งคนทั่วไปเลยหาว่าโง่
  10. เกิดมาเพื่อเสวยสุขและทุกข์ตามกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ บางคนไม่สนใจเรื่องบุญบาป นรกสวรรค์ ทำบุญไว้มากกว่าบาป แต่บุญไม่มากพอที่จะส่งขึ้นสวรรค์ บาปก็ไม่มากพอที่จะส่งลงนรก เมื่อตายไปแล้วจึงต้องกลับมาเกิดอีก เสวยผลกรรมตามที่ทำไว้ในอดีตชาติ จะใช้ชีวิตเช่นสามัญชนทั่วไป แสวงหารักแท้ ดิ้นรนเพื่อหน้าที่การงาน ต่อสู้เพื่อให้มีหลักฐานความมั่นคง ทำดีเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ
  11. เกิดมาเพื่อทำลายล้าง เป็นคนที่มากไปด้วยความแค้น ไม่ยอมใคร หากในอดีตชาติเคยถูกกลั่นแกล้งทรมาน จะต้องหาทางแก้แค้น หากไม่ทันได้แก้แค้นและศัตรูตายไปก่อน ก็จะยังไม่ยอมเลิกรา ด้วยอำนาจความแค้นจะทำให้เขาเกิดร่วมชาติกับศัตรู เพื่อตามทำลายล้างกันตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ลูกชายเจ้าสำราญล้างผลาญทรัพย์สินของพ่อแม่ที่อดออมมาเป็นเวลานาน ภรรยาโขกสับสามี จิกหัวใช้สามีเยี่ยงทาส อาจารย์กลั่นแกล้งนักศึกษาจนต้องลาออกไม่ได้รับประกาศนียบัตร ประกอบการค้าเล็กๆ แต่ก็ถูกนายทุนใหญ่กลั่นแกล้งจนตัวเองล่มจม ประมาณนี้
  12. เกิดมาเพื่อปลดเปลื้องคำสาป บางคนทำบุญไว้มาก แต่ไม่ได้ประพฤติศีลครบถ้วน เมื่อตายไปได้ขึ้นสวรรค์ แต่ไม่รู้จักประพฤติตนให้เหมาะสม เทพสวรรค์จึงใช้อำนาจบันดาลให้ลงไปรับบทเรียนในโลก พวกนี้ลงมาเกิดด้วยฤทธิ์คำสาปของสวรรค์และด้วยบุญที่ทำมามาก จึงเสวยสุขในโลกแต่เป็นแบบมีขอบเขต เช่น มีเงินทองมากมายแต่คิดทำการใหญ่เมื่อใดจะขาดทุนป่นปี้ มีอาการแพ้วัตถุบางอย่าง เช่น ขึ้นเครื่องบินไม่ได้เพราะมีอาการแพ้รุนแรง 
  13. เกิดมาเพื่อทดสอบอุดมคติ บางคนทำความดีไว้มาก ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ได้รับความเมตตาจากเทพฝ่ายบริการ แต่เกิดสงสัยว่าเทพฝ่ายบริการซึ่งบุญบารมีใกล้เคียงกับตนเองจึงมีฤทธิ์เหนือกว่า สามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์ โลกมนุษย์และโลกทิพย์ได้  จึงตั้งความปรารถนาที่จะมีฤทธิ์แบบเทพฝ่ายบริการบ้าง จึงขออนุญาติเทพสวรรค์ลงมาสร้างฤทธิ์อำนาจในโลก พวกนี้จะมาเกิดในหมู่โจร เกิดท่ามกลางคนชั่วคนเลว อันธพาล ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองที่มีอำนาจ ซึ่งเป็นบททดสอบ ถ้ายอมร่วมมือทำความชั่ว จะมีความสุข มีอำนาจในโลกมนุษย์ แต่จะไม่มีฤทธิ์อำนาจตามที่ปรารถนา แต่ถ้าเข้มแข็ง เป็นคนดีในหมู่โจร ไม่ยอมทำความชั่วแม้จะถูกบีบคั้น เมื่อตายในขณะที่คุณความดียังอยู่ สวรรค์จะต้อนรับ จะมีฤทธิ์อำนาจไปมาข้ามห้วงเวลาได้ สามารถปรากฎตัวในโลกมนุษย์เพื่อรับวัตถุทานที่บุตรหลานบำเพ็ญกุศลไปให้ หรือปรากฎตัวในแดนสวรรค์เพื่อเสวยสุข หรือปรากฎตัวในอบายภูมิเพื่อศึกษาเรื่องผลของกรรม
  14. เกิดมาเพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต บางคนเกิดมาทำบุญน้อย ทำบาปมาก หลังจากตายแล้วต้องรับโทษ เมื่อโทษหมดไปประมาณ 90 % ก็กลับมาเกิดเป็นคน และดำเนินชีวิตแบบเดิม คือ ทำบุญน้อย ทำบาปมาก วงจรชีวิตจะหมุนเวียนระหว่างโลกมนุษย์กับอบายภูมิ จนก่อนละโลก ถ้าเริ่มหันหน้าเข้าวัดแต่ผลบุญยังน้อยต้านทานกระแสบาปไม่ได้ ตายไปต้องไปรับทุกข์ในอบายภูมิตามเดิม ก่อนตายได้ตั้งสัตยอธิษฐานว่าจะทำความดีเพื่อไม่ให้ตกต่ำไปกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อเกิดมาก็ยังต้องทนทุกข์ทรมาน เป็นคนอาภัพ ทำคุณคนไม่ขึ้น ปิดทองหลังพระ แต่จะฝืนทำความดี ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นคนดีที่โลกไม่แยแส เมื่อจบชีวิต วงจรชีวิตจะเปลี่ยนไปได้เสวยสุขในสวรรค์
  15. เกิดมาเพื่อก่อตั้งศาสนา เมื่อใดที่ศาสนาเสื่อมทรามจนเหลือแต่หลักวิชาและพระโพธิสัตว์จะมาจุติในโลก เหล่าเทพจะติดตามลงมาเพื่อช่วยกันประกาศหลักธรรม เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่เป็นที่พึ่งของคนทั่วไป
  16. เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์ ในโลกธาตุหนึ่ง จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พร้อมกันสองพระองค์พร้อมกันมิได้ ในขณะที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ครบครันมั่นคง หากจะมีใครคนหนึ่งอ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เขาผู้นั้นเป็นคนโกหกหลอกลวง ขณะที่พระโพธิสัตว์องค์ หนึ่งจุติลงมาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประดิษฐานพระศาสนา พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะติดตามลงมาเกิด เป็นมนุษย์เพื่อรับพุทธพยากรณ์ เป้าหมายของพระโพธิสัตว์ คือ พุทธภูมิ ดังนั้นจะพร่ำสอนชี้แจงอย่างไร พระโพธิสัตว์ก็มิอาจบรรลุคุณวิเศษอันใดได้ พระโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์เท่านั้น
  17. เกิดมาเพื่ออุปถัมภ์ บางคนเคยทำบุญร่วมกัน แต่ไม่ได้ทำบาปร่วมกัน คนหนึ่งตายแล้วไปสวรรค์ อีกคนหนึ่งเกิดบนโลกมนุษย์ คนที่เกิดบนโลกมนุษย์จะยิ่งได้รับผลบุญมากเต็มที่เมื่ออยู่ร่วมกับคนที่อยู่บนสวรรค์ หากคนที่อยู่บนสวรรค์ลงมาเกิดและอยู่ร่วมด้วย คนที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกบางคนเกิดมาทำให้พ่อแม่ร่ำรวย ค้าขายคล่อง การงานก้าวหน้า แต่ตัวลูกเองประพฤติตัวเกเร ถ้าพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านก็จะทำให้ความเป็นอยู่ของพ่อแม่เดือดร้อนอีก
  18. เกิดมาเพื่อรับใช้อุปัฎฐาก เมื่อเทพจุติลงมาเกิดเป็นคนเพื่อเพิ่มเติมบารมีธรรมให้เต็ม เทพฝ่ายบริการ เทพผู้รับใช้ประจำตัวจะติดตามลงมาเกิด โดยทิ้งช่วงห่างประมาณ 10 ปีถึง 25 ปี เมื่อเทพองค์นั้นในร่างคน สร้างบารมีตนเอง เทพรับใช้ก็จะมามอบตัวเป็นลูกศิษย์คอยช่วยเหลือปฏิบัติดูแล เมื่อเทพองค์นั้นอำลาจากโลก เทพรับใช้ก็จะอยู่ปฏิบัติงานจนเรียบร้อยแล้วก็จะติดตามกลับไปรับใช้ในโลกทิพย์ต่อไป
  19. เกิดมาเพื่อทดสอบพรหมวิหารธรรม เทพผู้สละพรหมโลกมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมีเลื่อนอันดับเป็นเทพผู้ปกครอง ปกติจะเป็นนักบวช อุทิศชีวิตเพื่อความรุ่งเรืองของศาสนาเป็นนักปฏิบัติธรรมผู้ไม่หวังลาภยศ วางเฉยได้ทั้งต่อคำยกย่องและคำด่า เพราะในหัวใจของอัดแน่นไปด้วยธรรมไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับกามตัณหา
  20. เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ ยามใดที่โลกมีวิญญาณชั้นสูงมาเกิดน้อย วิญญาณชั้นต่ำมาเกิดมาก พวกเทพจะอาสามาเกิดเป็นคนเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ เทพเหล่านี้จะได้รับความเจริญในชีวิต ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์เป็นการตอบแทน ประเพณีโบราณได้แก่ ศิลปวิทยาการอันเก่าแก่ เช่น ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดนตรี การขับร้องฟ้อนรำ วรรณคดี จิตรกรรม ประติมากรรม วัฒนธรรม
อ่านจนเหนื่อย.. แต่พอเข้าใจว่ามูลเหตุการเกิดมาของคนมันหลากหลายจริงๆ  ที่รู้อย่างหนึ่ง คือ เกิดมาต้องตายแน่ๆ  แม้จะมีอายุยืนยาวถึงร้อยปี ก็มีแค่สามหมื่นหกพันวันเท่านั้น มันมีความหมายว่าเพียงได้กินข้าวมากกว่าอีกหลายมื้อ สวมเสื้อผ้าต่อไป ใส่ fitflop ต่อไปได้อีกหลายปีเท่านั้น แล้วจะยังไงดี เวลาผ่านไปรวดเร็ว ยังไม่รู้สำนึก ปีแล้วปีเล่าจนแก่ สังขารทรุดโทรม จะกลับใจจะมุ่งหมายงานธรรมก็มีทีท่าว่าอาจจะสายเกินไป มีแต่กรรมชั่ว คิดว่ามีเวลาหนึ่งวันภาวนาหนึ่งวันก็น่าจะดี  แต่ถ้ายังไม่สำนึกรู้ หลงจมวนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์  ท่าจะยากนานและพญายมไม่ไว้หน้าด้วย ความตายมาถึงเร็ว ลมหายใจไม่มีก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะเกิดมาเป็นอะไร 
ชีวิตเราในสังคม ดูๆ ไปสับสนวุ่นวาย มีแต่ความเดือดร้อนรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เราเรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้มากขึ้นๆ ความรู้ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาลตามเหตุปัจจัย เปลี่ยนมันทุกปี วิ่งตามแต่ก็ไม่ทัน หมดแรง สับสน วุ่นวาย ความรู้ไม่เคยช่วยให้มีความสุขที่แท้จริง
"นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"
ไม่รู้ต้องวนเวียนอีกกี่ภพกี่ชาติ แต่ชาตินี้แค่ได้เกิดมาเป็นคนก็บุญหนักหนาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การจะเกิดมาเป็นคนนั้นยากเหลือคณา เหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลมีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าหน่อยหนึ่งลอยอยู่ 1 ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากแค่ไหน โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้มาเกิดเป็นคน... โห... คงต้องใจใส่รักษาความเป็นคนกันไว้ให้เหนียวแน่นเลย เลือกทางดีในชีวิตกันบ้างจักเป็นพระคุณยิ่ง

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เดินทางไกล สมองใส


Tom Kelly จาก IDEO บริษัทที่ถือว่าสุโค่ยด้านนวัตกรรมและการออกแบบ เคยว่าไว้.. think like a traveler อยากคิดดี คิดได้ คิดสร้างสรรค์ให้คิดแบบนักเดินทาง   เออ..พอมานั่งคิดก็เห็นว่ามันทำให้สมองใสได้ดีทีเดียว เวลาเราเดินทางไปยังที่ต่างๆ ใกล้..ไกล  ช่วงการเดินทางมันทำให้สมองเราโล่ง ว่าง peace of brain จริงๆ   โดยเฉพาะในต่างบ้านต่างเมือง สมองเราจะตื่นตัวสุดๆ super active เลย เพราะมันเป็นการก้าวผ่านวัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้ลิ้มรสความแปลกใหม่ เป็นสภาวะที่สมองรับรู้สูงสุดเกี่ยวกับคนรอบๆตัวเรา  ได้ update มุมมองด้านพฤติกรรมคน  แค่มอง สังเกตุก็ได้อะไรเยอะแยะ ที่ล้วนเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์ชีวิตเรา  สำคัญ คือ จับการเห็น บันทึกไว้และเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์  แต่ที่ดีจริงๆมันเป็นการกระเทาะเปลือกชีวิตเราได้อย่างมหัศจรรย์ การที่เห็นความต่างของคนในการเดินทาง มันทำให้เราได้รู้สึก สำนึกว่า everything is different! มันเกิด มันดับด้วยเหตุปัจจัยที่ต่างกัน  แล้วจะเอาอะไรกันมากมายในชีวิต.. ป่ะ ไปเที่ยวกัน...

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ลังกาหลัง..กลับตัวกันดีกว่า



มีเพื่อนส่งอีเมล์มาให้ของสมคิด ลวางกูร...วลีกวนตา...วาจากวนตีน... เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง อ่านแล้วบาดใจดี..เลยสรุปๆมาให้อ่าน..เผื่อจะบาดกันต่อๆไป
เขาว่า..คนที่เป็นโรคซึมเศร้า เนื่องมาจาก...
ต้องพูด...ในสิ่งที่...ไม่ชอบและไม่อยากพูด
ต้องอยู่...ในสถานที่ที่...ไม่ชอบและไม่อยากอยู่
ต้องกิน...ในสิ่งที่...ไม่ชอบและไม่อยากกิน
ต้องทำ...ในสิ่งที่...ไม่ชอบและไม่อยากทำ
ต้องคุย...กับคนที่...ไม่ชอบและไม่อยากคุยด้วย
ต้องอยู่...กับคนที่...ไม่ชอบและไม่อยากอยู่
ต้องอยู่...ในสภาพแวดล้อมที่...ไม่ชอบและไม่อยากอยู่
คนบางคนต้องทนรับสภาพแบบนี้มานาน (...ไม่รู้จะทนไปหาพระแสงอะไร...) เพราะอ่อนแอ ไม่ปรับตัว ไม่รู้จักให้ ไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง..เวรแท้ๆ  และที่ตามโรคซึมเศร้ามา คือ โรคกรดไหลย้อน โรคเครียด โรคภูมิแพ้และอีกหลายสิบโรคที่ยังหาสาเหตุไม่เจอ  จะหยิบจะจับอะไรใส่ปากก็ลำบากแพ้มันไปเสียหมดเสียสิ้นทุกอย่าง  พอทำการรักษาก็หมดเงินไปโขอยู่  ไปๆมาๆก็รู้ว่า...ตัวเองโง่...และเดินมาผิดทาง (...แล้วก็ยังเดินอยู่..) 
เอาง่ายๆว่าอารมณ์ คือ ตัวกำหนดสุขภาพ
อวัยวะทั่วร่ายกายทำงานประสานกับอารมณ์แน่ๆ
อารมณ์ดี...ร่างกายจะหลั่งสารสุขออกมา เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้ร่างกายดี สดชื่น แจ่มใส ผิวพรรณดี แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยและสำคัญดูอ่อนกว่าวัย
อารมณ์เสีย....ร่างกายจะหลั่งสารพิษออกมา สารพิษทำลายภูมิต้านทานและทำลายทุกอวัยวะในร่างกาย ทำให้ร่างกายเกิดโรคซึมเศร้า เหี่ยวเฉา ผิวพรรณเหี่ยวย่น อ่อนแอ ขี้โรค ดูโทรมและแก่กว่าวัย (ว้าย...)
มาดูอารมณ์ที่ทำให้เกิดโรคกันดีกว่า...
พวกโกรธ...โมโห...หงุดหงิด = โรคตับ
พวกเก็บกด...เบื่อหน่าย...ซึมเศร้า...เจ้าน้ำตา...นั่งตัวงอ = โรคปอด
พวกกลัว...หวาดระแวง = โรคหัวใจ (อันนี้ไม่เกี่ยวใจง่าย ใจเร็วด่วนได้นะฮะ)
พวกวิตก..กังวล...เป็นทุกข์ = โรคม้าม
เครียด วิตก กังวล มีปัญหากดดันจิตใจ = อาการทางกายที่เกิดตามมา คือ หายใจลำบาก หายใจติดขัด หอบ หายใจเร็ว หายใจไม่อิ่ม หายใจไม่เต็มปอด = ผลที่เกิดตามมา คือ อากาศเข้าไปเลี้ยงสมองไม่พอ คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในเลือดลดลง สารเคมีในเลือดผิดปกติ เส้นเลือดหดตัวทั่วร่างกาย (แหมคิดไปถึงสายยางที่หมออุดมทำให้ดูเลยเนี่ย) ทำให้ร่างกายขาดเลือด แคลเซียมในเลือดลดลง = โรคที่เกิดตามมาคือ หน้ามืด เวียนหัว ใจสั่น ชาบริเวณปากและนิ้วมือ (..ดีว่าไม่ชาไปถึงนิ้วตีน..)
การบำบัดรักษา = อย่าสะสมอารมณ์เหล่านี้ไว้ในร่างกายเด็ดขาด
เมื่ออารมณ์เสีย  = ต้องระบายออก...โดยเร็ว โดยการรีบปรับสมดุลย์ของร่างกายและจิตใจ ทำร่างกายและจิตใจให้ทำงานสัมพันธ์กัน
เมื่อเกิดอารมณ์ไม่ดี...อารมณ์เสีย
  • สติมา สมาธิเกิด...หยุดคิดเรื่องที่ทำให้เครียด
  • ยิ้มให้อวัยวะต่าง ๆ ที่กำลังเกิดความเครียด (แหมอันนี้ชอบมาก ปวดตับ ก็ยิ้มให้ตับนะฮะ)
  • ผ่อนคลายโดยปล่อยวางอวัยวะทุกส่วนตามสบาย ไม่เกร็ง
  • มองความคิด...เราจะเห็นความเครียด...สิ่งที่ทำให้เครียด...ที่ทำให้อารมณ์เสีย รู้แล้วหยุด
  • หยิบเอาพวกอารมณ์เครียด อารมณ์เสียปล่อยทิ้งให้ลอยไปในอากาศ แล้วเอาอารมณ์ดี ความคิดดีๆม่วนๆ สนุกสนานใส่เข้าไปแทน 
  • เสร็จแล้วก็ให้ยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุข (อย่ามาก..มันเหมือนคนบ้า) แล้วกลับไปทำงาน หรือ ทำสิ่งต่างๆอย่างแจ่ม...ด้วยความคิด...มุมมอง...และทัศนคติใหม่...คิดบวก
  • ออกกำลังกายทุกวัน (อันนี้ยาก..ใครทำได้ก็ลองดูฮะ) 
  • ก่อนนอน ทำนิ่ง หรืออยากดูดีก็นั่งสมาธิ...ทำจิตใจให้สงบ
  • เอาอารมณ์เครียด อารมณ์เสียทิ้งมันไปทุกวัน
ถ้าทำได้ตามนี้...สุขภาพจะดี...ห่างไกลโรค...มีชีวิตที่มีความสุข...ไม่เศร้า ไม่บ้า  โรคที่รักษาไม่หาย...ถ้ารักษาด้วยยา...จะต้องกินยาไปตลอดชีวิต (หูย...) ถ้าอยากหาย...ไปเปลี่ยนนิสัย...ไม่ต้องกินยา...หายป่วย...โดยไม่ได้เสียเงินเยอะ
การดำเนินชีวิตธรรมดาให้มีความสุข
  • กินข้าวตรงเวลาทุกมื้อ (มีก็กินไป ไม่มีจะกินแล้วจะลำบาก)
  • กินอาหารจืด ไม่กินรสจัด เผ็ดจัด (ว้า..มากไปนะเนี่ย ต้องการรสชาดฮะ) 
  • กินแค่จานเดียว...เลิก...ไม่ว่าจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม... (เออ อันนี้ดี..)
  • มื้อสุดท้ายกินก่อน 6 โมงเย็นแล้วไม่กินอะไรอีกเลย ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม
  • อารมณ์ดีตลอด...ยิ้ม...หัวเราะ...ทำตัวให้มีความสุขทั้งวัน... (อันนี้ก็ดีด้วย)
ผลที่เกิดตามมาคือ...
  • พุงหายไป ไม่อึดอัด หายใจสะดวก...สุขภาพดีขึ้น...ไม่เป็นโรคอ้วน
  • บุคลิกภาพดีขึ้น...ความมั่นใจเพิ่มขึ้น
  • ไม่ง่วงนอน...ไม่อ่อนเพลียเวลาทำงาน
  • การทำงานและการเคลื่อนไหวร่างกายคล่องตัวขึ้น
สิ่งมีค่าที่สุด คือ การได้รู้ว่าโรคภัยไข้เจ็บ 90 % ไม่ได้เกิดจาก"เชื้อโรค" แต่เกิดจาก"เชื้อเลว" ในการดำเนินชีวิตทั้งนั้น ถ้าดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามธรรมชาติที่คนดีๆเขาทำกัน มีสุขนิสัยที่ดี ไม่งก ไม่เห็นแก่ตัว จะไม่ป่วย ไม่เป็นโรค ไม่ต้องไปหาหมอ...หมอและยามีไว้รักษาและขายให้คนที่โง่เท่านั้น (ว้าย...)
เขาสรุปสุดท้ายว่า....เลิกโง่กันเถอะเพื่อน...

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อุทาหรณ์สำหรับคนรุ่นหลัง


Karl Pillemer  อาจารย์จาก Cornell  ได้ทำการสัมภาษณ์คนแก่ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปกว่า 1,200 คน โดยตั้งคำถามว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิต อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้วเอามาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living แต่ 30 เยอะไป..ลองมาดู Top 10 Lessons for Living กัน..
  1. เลือกอาชีพที่รักที่ชอบมากกว่าผลตอบแทนทางการเงิน (choose a career for the intrinsic rewards, not the financial ones) คนแก่ๆว่ามันเคยเป็นความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพ เพราะไปเลือกที่ผลตอบแทนมากกว่าจะทำในสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ
  2. ให้ทำราวกับจะต้องใช้ร่างกายนี้ไปอีกสักร้อยปี (act now like you will need your body for a hundred years) แปลว่าให้ลด ละ เลิกพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย ที่ทำอยู่มันไม่ได้ทำให้เราตายทันทีแต่มันจะทรมานเราตอนแก่นี่แหละ 
  3. ตอบรับโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต (say "Yes" to opportunities) มีอะไรดีๆ แจ๋วๆผ่านเข้ามา อย่าไปปฎิเสธมันเพราะจะต้องมานั่งเสียใจ เสียดายทีหลังแน่นอน  
  4. เลือกคู่ทั้งที เล็งให้ดีเสียก่อน (choose a mate with extreme care) อย่าด่วนตัดสินใจ ให้ใช้เวลาทำความรู้จักให้ถ่องแท้ มีคนให้สัมภาษณ์คนหนึ่งว่า "Don't rush in without knowing each other deeply. That's very dangerous, but people do it all the time." เวรแท้ๆ
  5. เที่ยวเข้าไว้ (travel more) อันนี้ถูกจริตมาก เมื่อมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวก็ไปเถิด ก่อนจะไปไม่ไหว คนส่วนใหญ่ที่ถูกสัมภาษณ์บอกว่ามันเป็นคุณค่า เป็น highlights ของชีวิตเลยเชียว  หลายคนเสียดายเมื่อมองย้อนไปแล้วพลาดการท่องเที่ยวผจญภัยในชีวิต มีคนแก่คนนึงว่า "If you have to make a decision whether you want to remodel your kitchen or take a trip -- well, I say, choose the trip!"
  6. อยากจะพูด อยากจะบอกก็พูดก็บอกเสียเดี๋ยวนี้ (say it now) ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเมื่อยังมีโอกาสพูด คนแก่มักจะเสียใจและเสียดายว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เจ้าตัวอยากจะพูดกับหลายๆ คน เพราะเราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น 
  7. เวลามีค่า (time is of the essence) ความจริง คือ ชีวิตนี้สั้นนัก แต่ไม่ควรเศร้า เราควรทำสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้  อายุมากขึ้น เวลายิ่งโบยบินไปอย่างเร็ว  มีป้าคนหนึ่งว่า "I wish I'd learned that in my thirties instead of in my sixties!"  เฮ้อ...เหมือนกันเลยฮะป้า
  8. ความสุข คือ การเลือก สิ่งที่เลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากเงื่อนไข (happiness is a choice, not a condition) ความสุขไม่ใช่ความสมบรูณ์แบบ หรือ เป็นไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นที่คาดหวังของคน เราสามารถสุขได้เพราะเราเลือกที่จะสุขไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆในชีวิต คนแก่ให้คำแนะนำว่า จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา
  9. การเอาเวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ เป็นการเสียเวลา (time spent worrying is time wasted) หยุดกังวลนะฮะ หรือ อย่างน้อยตัดกังวลออกไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น 
  10. คิดเล็กๆ (think small) ไม่ต้องคิดใหญ่ การซึมซับสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นเรื่องสวยงาม เป็นสิ่งดีๆในชีวิต เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับมัน 
แม้กระทั่งคนแก่อย่างเรา คาดว่ายังไม่สายนะ ลังกาหลังกลับตัวไปน่าจะทันอยู่ บ้านเราก็น่าจะมีใครทำแบบนี้มั่ง เผื่อจะมีอะไรดีๆแบบไทยๆให้ลูกหลานได้คิด 

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หมัดเด็ดท่านอานันโท


andragogy: การศึกษายิ่งบริโภคยิ่งอ่อนแอ.. เพราะทำให้เกิดกฎกติกา ไม่ใช่ความสุข อยากจะสอนคนอื่นให้มีความรู้ต้องละลายเครียดก่อน คนเราล้วนแบกความทุกข์อยู่ อาจเครียดเรื่องครอบครัว เรื่องเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง เครียดเรื่องต่างๆอยู่ในใจ อารมณ์รับรู้เรียนรู้ไม่มี แต่เรามุ่งยัดความรู้เข้าไปในคนทุกข์..มันจึงล้น มันจึงยากที่จะแลกเปลี่ยน เรียนรู้ (ครูนี่แหละตัวดี ชอบจับยัดอะไรเดิมๆ คิดเดิมๆ ไม่พัฒนา ไม่เปลี่ยน ไม่รู้จัก learn how to learn...)

energizer: ต้องทำให้ "สุข" (หรือสุกก่อน..ค่อยกิน ดิบๆกินยาก..ยกเว้นบางอย่าง อย่างปลาดิบ อ่ะ อ่ะ) มันเป็นการทำลายความเศร้า ความเครียด ก่อนก่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน 

สุข = อิสระ
สุข = ลดขั้นตอน
สุข = ขยายผล 

องค์ความรู้จะมีคุณภาพได้ คือ ต้อง "สุข"
แต่ทุกวันนี้องค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มันทำให้เกิดแต่ทุกข์ เกิดเป็นสิ่งร้อยรัดกายใจให้มีแต่กฎเกณฑ์ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่จะทำให้เกิดสุข ทำตัวเองตกอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แพ้ทั้งชาติ...

ต้องอยู่เหนือการเปลี่ยนแปลง เราทุกคนมีกฎกติกาผูกมัดตัวเองไว้เยอะ เจอการเปลี่ยนแปลงที่เป็นอนิจจังก็ไม่เข้าใจมัน มันไม่มีอะไรไม่เปลี่ยน แค่เข้าใจก็อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว  

ท่านว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงเมื่อนึกถึงลูก ทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกแบบไร้เงื่อนไข ไร้กฎเกณฑ์ แต่ลูก (อย่างเรา) กลับมีเงื่อนไขตลอดเวลากับพ่อแม่  ลูกไม่สบายฝนตกหนัก พ่อแม่ไม่สนใจฟ้าฝน ต้องพาลูกไปหาหมอให้ได้  ถึงตาลูกแม่ขอให้พาไปธุระ กลับว่า โห ฟ้าฝนไม่เป็นใจ วันนี้รอไปก่อน ซะงั้น.. ฟังแล้วเจ็บ (โดนหมัดเด็ดไปหนึ่งดอกเมื่อวาน) ลูกยังอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลง ภายใต้กฎเกณฑ์ของตัวเอง ไม่มีวันอิสระ  รู้ว่า"ดี" ยังไม่ทำ

"ดี" ไม่ได้เป็นของใคร 
"ดี" เป็นมรดกโลก
"ดี" เกิดก่อนศาสดาและศาสนา 
"ดี" คือ ศีล สมาธิและปัญญา
พระพุทธองค์เข้าใจความเป็นจริงของโลก โลกนี้มีอยู่สองอย่างเท่านั้น คือ สิ่งที่มีชีวิตกับสิ่งที่ไม่มีชีวิตซึ่งย่อมเปลี่ยนตามกาลเวลา อันนี้พระพุทธองค์ไม่สงสัย แต่เรากลับไม่เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร์ก็ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่หนักกว่านั้นดันเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางโลก  มีแต่ "ทำ" แต่ไม่มี "ธรรม"  ที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นตามความจริง (เราก็คงท.ทหาร มากกว่า ธ.ธง เหมือนกัน) 

ท่านตบท้ายสอนมาอีกหมัดว่า...ทั้งหมดทั้งมวลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น...ที่หนีไม่พ้น ที่ต้องเข้าใจ คือ กรรม มันเป็นจ๊อกกี้ควบขี่เราอยู่ทุกวันทุกคืน เอาสั้นๆว่า
มีความรู้สึก = มีกรรม
มีเหตุผล = มีกรรม
มีข้ออ้าง = มีกรรม
ไปคิดเอาเอง.. หมดความรู้สึกก็หมดกรรม หมดทุกอย่าง
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ