วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ร่วมกันถวายอายุขัยให้กับในหลวงของปวงชนชาวไทย


มีเพื่อนทางเฟสบุคของคนเจียงใหม่ฮักในหลวง ชื่อ กระแต มหาสารคาม จุดประกายให้อยากอฐิษฐานด้วยแรงจงรักภักดี น้องคนนี้เป็นผู้หญิงไทยธรรมดาคนหนึ่งที่ใจไม่ธรรมดา ใจงดงามอย่างยิ่ง เธอแชตมาว่า ยินยอมลดอายุตัวเองเพื่ออธิษฐานให้พ่อหลวงมีอายุยืนนาน เพื่อคนไทยจะได้พึ่งพระบารมีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้จะคุ้มครองประเทศไทย จึงเป็นเหตุให้ไปค้นดูว่ามีการทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ เลยไปเจอในเวปพลังจิตที่คนเข้ามาเขียนอธิษฐานกันและมีคนเขียนมาถาม..มีคำถามที่น่าสนใจอันหนึ่งว่า... 
ขอถามหน่อยนะครับ แบบว่าไม่รู้
ทำแบบนี้ ช่วยได้จริงหรอครับ
เรื่องการถวายอายุอะ
ผมว่า มันดูฝืน กรรม เกินไปนะครับ
น่าจะเป็นการ ส่งบุญ ให้ท่าน จะไม่ดีกว่า หรอครับ
ขอให้ท่านหายโรคภัย อะไรประมาณนี้

มีคนตอบว่า...
ในเรื่องของการที่เราจะลดอายุตัวเราเอง เพื่อช่วยให้คนที่เรารักมีอายุยาวขึ้น เป็นไปไม่ได้ ฝืนกฎของกรรม กรรมใครกรรมคนนั้น หลวงปู่ฤาษีเคยเคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า ไม่งั้นเราไม่อยากตายเราก็ไปบอกให้ลูกคนนั้น หลานคนนี้รับเอาอาการป่วยไปสิ เอาอายุมาให้พ่อให้ปู่หน่อย
สำหรับในเรื่องขอการถวายอายุขัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำได้หรือไม่ แต่เพื่อความสบายใจของคนไทยในครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวของเราไม่สบายหนัก คนไทยทุกคนยินดีที่จะถวายอายุขัยของตนเองเพื่อให้พระองค์ท่านมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งถ้าคิดในแง่กุศโลบายก็ถือว่าคนทำถวายอายุแล้วสบายใจ พระองค์ท่านที่รับทราบก็ทรงสบายพระทัย ทำให้เกิดกำลังใจสู้เพื่อประชาชนของพระองค์ท่านต่อไป จริงไหม
แต่ถ้าจะถามว่า ถวายอายุขัยของเราไปแล้วได้ผลหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ ดังนั้นเรื่องนี้ ถ้ามีความตั้งใจจะถวายแล้วไม่ต้องถาม ทำไปเลย เพราะคนที่ตายไปแล้วจะเคยถวายอายุหรือไม่เราไม่รู้เพราะเค้าก็มาตอบเราไม่ได้ ต้องไปถามกันเองนะ จะทำอะไร ได้ผลอย่างไร ไม่ต้องถาม ถ้าคิดว่าทำแล้วจะดีกับส่วนรวมเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและมีความตั้งใจที่จะทำจริงๆ ทำไปเลย ผลที่ตามมาเป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น เอาปัจจุบันให้ได้ก่อนว่าตั้งใจแล้วได้ทำหรือยัง อีก 5 นาทีผ่านไปเกิดตายขึ้นมายังไม่ได้ทำสิ่งที่คิดไว้ ก็เสียป่าวจ้า..
มีคนตอบอีกว่า..
การถวายอายุขัยได้หลายอย่างค่ะ ทั้งมรณานุสติ แสดงความกตัญญญู และแสดงให้เห็นว่าเรายกย่องเชิดชูกษัตริย์ของเรา การเอ่ยวาจาเช่นนี้ก็เหมือนเรายอมรับว่าเรารักท่านยิ่งกว่าชีวิตของเรา ถือเป็นปรมัตถ์ ทำแล้วได้ผลานิสงค์ในทันทีคือความสุขใจและอิ่มใจ และเป็นการตัดธาตุขันธ์ของเราไปในตัว ไม่ต่้องคิดว่ามันฝืนกรรม เพราะสำหรับคนที่เรารักยิ่งกว่าชีวิตของเราเจ็บป่วยเป็นใครก็คงกล่าววาจาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมและเป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ

ความเป็นมา...เริ่มมาจากที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยได้รับจดหมายในขณะที่ท่านทรงประชวรหนัก  ชายคนหนึ่งเขียนจดหมายถวายพระองค์ท่านส่งมาที่สวนจิตรลดาว่า...เขายินดีถวายอายุขัยชีวิตเขาเพื่อให้พระองค์หายพระประชวร.. และในหลวงท่านเมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนั้นแล้ว ท่านทรงตื้นตันพระหฤทัย ตรัสว่าอาการประชวรราวกับหายไปเป็นปลิดทิ้ง นี่จึงเป็นที่มาเรื่องการถวายอายุขัยและส่งผลต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงขึ้นและเป็นแรงบันดาลใจว่า หากพสกนิกรชาวไทยทั้งหลาย มีจิตน้อมในความกตัญญูและจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเมื่อทรงทราบแล้วจะเกิดกำลังพระหฤทัยเกษมชื่นบานขึ้น มากหรือน้อยก็ย่อมเกิดผลดี
จิตเจตนาของเรา....การอธิษฐานอย่างแรงกล้ารวมเป็นอานุภาพใหญ่ยิ่ง
ผลที่เกิดจากเจตนาที่ดี ย่อมเป็นสิ่งดี
หากจิตเชื่อมั่นศรัทธาและจงรักภักดีมากพอก็พึงอธิษฐาน...
"ข้าพเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายอายุขัยชีวิตแห่งข้าพระบาทในชาติปัจจุบันนี้ของข้าพระพุทธเจ้า 1 ปี เพื่อสืบพระชะตาวารแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแม้เพียงเพิ่มอีก 1 วันก็ดี ขอหมื่นคำอธิฐาน แสนคำอธิฐานนี้ จงสืบต่อพระชนมวารพระองค์ท่านตราบ 120 พระพรรษาจนเป็นผลด้วยเทอญ ด้วยอำนาจแห่งสัจจาธิษฐานและแรงกตัญญูกตเวทิตาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอเทพยดาทั้งปวง จงโปรดเมตตาอวยพรให้คำอธิฐานของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์อย่างอัศจรรย์ ขอพระอาการประชวรจงปราศนาการไปอย่างฉับพลันด้วยเทอญ"

ขออาราธนาอานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยเจ้า และคุณความดีทุกๆประการที่เป็นสัมมาทิฏฐิของข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชองค์ในหลวงผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ทรงพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเจริญ และข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายอายุไขให้พระองค์ ๑ ปี ขออธิฐานจิตให้พระองค์ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนานและทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การถีบหัวเรือส่งแบบแนบเนียน



มีเรื่องสั้นอ่านนานแล้วจำไม่ได้ว่าใครแต่ง เรื่องบุรุษไปรษณีย์ เป็นเรื่องสั้นที่ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมและจิตใจมนุษย์ เป็นเรื่องบุรุษไปรษณีย์ชื่อ ลุงพร้อม ลุงได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์มาเป็นเวลา 25 ปี คนเขียนเปรียบบุรุษไปรษณีย์ว่าเหมือนคนแจวเรือจ้าง เมื่อส่งคนถึงฝั่งแล้วคนแจวเรือก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป เขาจึงถีบหัวเรือส่ง  ลุงพร้อมเคยทำหน้าที่ส่งหนังสือ ส่งของ ส่งข่าวคราว ความรู้สึกนึกคิด และความรักความระลึกถึงจากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง แต่ลุงพร้อมไม่เคยได้รับสิ่งปรารถนาที่ลุงพร้อมเป็นสื่อนำส่งไปให้แก่คนอื่น ลุงพร้อมทำงานของตัวเองในเขตชานเมืองแห่งหนึ่งที่แต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาที่เวิ้งว้าง มืด วังเวง และเปล่าเปลี่ยวตามที่คนเขียนว่า  แต่ 25 ปีต่อมาพื้นที่นี้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว มีถนนลาดยางตัดใหม่สายยาว มีถนนซอยแตกกิ่งก้านออกไปซ้ายและขวา บ้านสวยผุดขึ้นมาอย่างคับคั่งสองฝั่งถนนและซอยต่างๆ เจ้าของที่ดินเดิมไม่ได้เป็นเจ้าของที่อีกต่อไป ต้องถอยหนีออกไปสู่อนาคตที่ปราศจากเงินและที่ดิน ที่ดินทำกินของชาวนาตกอยู่ในความครอบครองของคนรวยและเปลี่ยนมือไปอีกเรื่อยๆ ตามอำนาจของเงิน ลุงพร้อมเห็นการเปลี่ยนมือของที่ดินของบ้านใหญ่ๆ ตึกสวยๆ จากคนรวยคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งซึ่งรวยกว่า ลุงพร้อมเคยส่งจดหมายให้บ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าคุณคนหนึ่งแต่พอหลังสงคราม จดหมายส่งมาบ้านหลังนั้นจ่าหน้าซองถึงใครไม่รู้ที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง  ยิ่งปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมาย เขาไม่ต้องการลุงพร้อมอีกต่อไป  เขาส่งกันทางโทรศัพท์ อีเมล์  ลุงพร้อมก็คงจบกันแค่นั้น  
อันนี้ที่จริงแล้วที่เป็นธรรมชาติของคน...มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คนเราเมื่อเวลาที่ไม่ต้องการใครหรือใครหมดประโยชน์แล้ว ก็จะไม่ค่อยมีศิลปะในการกำจัด มันตรงกับคำพังเพยของไทยที่ว่า “ถีบหัวเรือส่ง” จริงๆ ภาพมันชัด  ถ้าเราเป็นคนโดนถีบก็เจ็บหน่อย แต่ต้องเข้าใจว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ใครจะสามารถแจวเรือส่งคนได้ทั้งชาติ ต้องรู้จักเหนื่อยบ้าง สำหรับคนถีบควรต้องมีเมตตาสักหน่อย เอาให้เนียน เพราะมันทำร้ายจิตใจคน เราจึงต้องระมัดระวัง  เอาแค่โอบไหล่แล้วคุยกันดีดี ค่อยๆพาเดินออกไป มันคงสวยกว่ามากกว่าถีบแบบไร้ศิลปะ  เพราะคนถีบต้องคิดว่าสมัยก่อนอาศัยลุงพร้อมเป็นคนส่งข่าวสาร ส่งความรู้สึกเหมือนเป็นตัวกลางประมาณนั้น  คิดไปคิดมาไม่มีลุงพร้อมเวลานั้น หลายคนคงแย่หรืออาจไม่มีวันนี้  ความจริงลุงพร้อมแกก็คงเข้าใจดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร  ทุกอย่างมันต้องเปลี่ยนตามยุคตามสมัย  
อันนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนที่ชัดๆอีกอันหนึ่งที่แสดงว่า โลกมันโหดของมันตามธรรมชาติแบบนี้เอง  สังคมทำให้จิตใจคนไม่ละมุนอีกต่อไป  การกระทำของเราที่ตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจล้วนกระทบต่อคนอื่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  สิ่งที่เราต้องทำ คือ มีสติและระวังความคิด คำพูด  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..มันคงอยู่ที่ค่านิยมของคนว่าเป็นคนอย่างไร  แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่ทำให้คนเราทำอะไรก็ได้  ถ้าเรายังเห็นความสำคัญของสายสัมพันธ์ เราจะไม่ทำให้มันขาดวิ่นบิ่นไป  ยกเว้นแต่เราไม่สนใจ ไม่แคร์ อันนั้นอีกเรื่องหนึ่งที่คงเป็นการถีบแบบให้คนได้เจ็บไป  แต่อยากแนะนำการถีบหัวเรือส่งที่มันแนบเนียน ไม่มีใครเสียหน้ามาก เสียความรู้สึกจนไม่เหยียบเงาไม่เผาผี  มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือ เมตตา ที่เป็นหนึ่งในพรหมวิหาร 4 แผ่ไปได้อย่างไม่สิ้นสุด มันเป็นภาษาที่คนใบ้ยังได้ยินและคนตาบอดสามารถเห็นได้  มันเป็นความปรารถนาดีที่ทำให้คนอื่นเป็นสุขได้แม้ถูกถีบ  ที่สำคัญมันเป็นเหมือนโรคติดต่อ ยิ่งเมตตามันยิ่งกระจาย  คนถีบสบายใจคนถูกถีบรู้สึกดี..มันเป็นไปได้เหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555