วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

การออกแบบองค์กร..ไม้เด็ดของการเปลี่ยนแปลง


ก่อนจะทำอะไรต้องสร้างความเข้าใจร่วมก่อน อันนี้เป็นคัมภีร์ที่ต้องยึดไว้ เพราะที่ไปไม่ถึงไหนมันเนื่องมาจากการมองขอบเขต การให้ความหมายที่ต่างคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน  แต่ขอประทานโทษ..มันคนละเรื่องตลอด เราพูดถึงเรื่องการพัฒนาองค์กร การเปลี่ยนแปลงองค์กรกันเสมอ แต่เราไม่เคยมานั่งคุยกันถึงความเข้าใจพื้นฐาน ว่ามันตรงกันก่อนหรือไม่ คราวนี้ลองมาดูกันว่า ถ้าพูดถึง “องค์กร” เราหมายความถึงสิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่    องค์กรจะมีขอบเขตเกี่ยวพันกับ 10 เรื่องดังต่อไปนี้ จึงสามารถทำให้มองเห็นช้างได้ทั้งตัว มองครบ
  1. อัตลักษณ์ ความเป็นตัวตน: เหมือนคนนะ ต้องมีชื่อ มีธรรมนูญ กฎข้อบังคับ มีความมีชื่อเสียงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และที่สำคัญผลกระทบจากการที่มีองค์กรเราเป็นตัวเป็นตนอยู่บนประเทศนี้อยู่บนโลกนี้มันเป็นยังไงบ้าง เหล่านี้เป็น identity มันจะได้มองกันชัดว่าใครเป็นใคร เราต่าง หรือ เหมือนคนอื่นอย่างไร ตัวตนที่แท้ของเรา คือ อะไร เป็นอย่างไร ถ้าเข้าใจตรงกันตรงนี้ก็เริ่มเห็นช้างเป็นโครงใหญ่ๆแล้ว 
  2. จุดประสงค์ ต้องการอะไร: อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์กรเป็นตัวเป็นตนอยู่ reasons to live  ต้องหันกลับไปและมองไปข้างหน้าถึงตัวค่านิยมหลักขององค์กร วิสัยทัศน์ พันธะกิจ นโยบายหลัก รวมไปถึงตลาดเป้าหมายกันเลยทีเดียว ถึงจะเจอความต้องการขององค์กร หัวช้างเริ่มชัดขึ้น
  3. โครงสร้าง: ตัวช้าง โครงกระดูกช้างมาแล้ว นี่คือเรื่องการทำความเข้าใจกับการเคลื่อนไหวของกายภาพ  องค์กรเคลื่อนได้ยังไง บทบาทคนในองค์กร งานในองค์กร เราแบ่งหน้าที่การทำงานกันอย่างไร โครงสร้างการรายงานที่ทำให้องค์กรเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ มีปัจจัยพื้นฐานภายนอกอะไรบ้างที่ส่งผลต่อ move ของเรา และยังเป็นเรื่องของ workplace อีกด้วย อันนี้แหละที่เป็นตัวการสำคัญในการขับเคลื่อน มันเป็น body มันเป็น engine 
  4. ผู้เล่น: นี่ต้องดูไล่มาเลยตั้งแต่ เจ้าของ ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า suppliers หุ้นส่วน เพื่อนบ้านและกลุ่มคนที่มีบทบาททางอ้อมขององค์กร พูดง่ายๆ คือ stakeholders ทั้งหมด อย่าได้ประมาทคนเชียร์ หรือ พวกข้างสนาม เห็นล่มเมืองได้กันมานักต่อนักแล้ว ต้องเข้าใจแบบให้เห็นช่อง channel ในการจัดการให้ดี 
  5. ตัวกระตุ้น: เลือดลมที่ไหลเวียน ตัวสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ ข้อมูล ทรัพย์สินทางปัญญา ทักษะ ความสามารถหลัก ความสัมพันธ์ เทคโนโลยี ทรัพยากรทางการเงิน ทรัพย์สินต่างๆ เช่น ที่ดิน ตึกรามบ้านช่องที่ใช้ทำงาน 
  6. กิจกรรม: อันนี้เป็นเรื่องของ management เป็นเรื่อง line of business และผลพวงทางอ้อมที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจขององค์กร รวมถึงเรื่องการทำงานของฝ่าย support ที่หล่อลื่นการทำงานหลักที่สร้างรายได้
  7. สิ่งที่ส่งมอบ: จะบอกว่าเป็นขี้ช้างก็ดูน่าเกลียด เอาเป็นว่า มันคือ สินค้า หรือ บริการที่เราจะมอบให้กับลูกค้า
  8. ผู้กำกับ: ไม่ได้เล่นด้วย แต่มีอิทธิพลทำให้เรื่องเปลี่ยนทางได้ เป็นแรงกดดันภายนอกที่มีความสำคัญ เช่น สภาพและระดับความรุนแรงของการแข่งขัน อุปสรรค ข้อห้าม พวกปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เป็นโอกาส เป็นต้น เป็นอาหารการกินของช้างที่ต้องกิน เป็นภาคบังคับที่อาจทำให้ท้องเสีย หรือ แข็งแรง นั่นแล้วแต่จะกินมันอย่างไร หรือจะเลี่ยงไม่กินจะได้หรือไม่ 
  9. วัฒนธรรม: รากเหง้าที่ฝังอยู่ในองค์กร มือที่มองไม่เห็นแต่คุมทุกอย่างได้ชะงัด ตัวอิทธิพลสำคัญทีเดียว ดูได้จากพฤติกรรม management style ขนบธรรมเนียมประเพณีขององค์กร ทัศนคติในการทำงาน การพัฒนาคน แต่จะให้ง่ายกว่านั้นแบบจับต้องได้ ให้ดูที่ผลประโยชน์ต่างๆที่ให้กันในองค์กรหรือภายนอกองค์กร จะเห็นเลย งก หรือ ไม่งก ใฝ่คุณภาพ ใฝ่สำเร็จขนาดไหน 
  10. การเต้นระบำ: อันนี้เป็นเรื่องของ performance เลย เต้นได้สวยมีประสิทธิภาพจนคนหลงไหลภักดีเหมือนสาวกแอบเปิ้ลหรือไม่ มีนวัตกรรมในการทำงานหรือไม่ เป็นเรื่อง scale มุ่งงานใหญ่ขนาดไหน และที่ทำงานด้วยกันนั้นมีความเห็นอกเห็นใจกันอยู่ในการทำงานด้วยหรือเปล่า 
ถ้าเราเริ่มคุยกันด้วยเรื่องทั้งหมดนี้มันเท่ากับว่า มีขอบเขต คำจำกัดความที่ได้ถกและตกลงยอมรับกันแล้ว ค่อยเคลื่อนกำลังต่อไป ทีนี้เราจะพูดกันเรื่องการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงองค์กรเลยหรือเปล่า  ขอบอกว่ายัง ยังก่อน อยากให้คุยเรื่องแนวคิดต่อเพื่อให้มันใส เข้าใจกันได้มากขึ้น  ในการบริหารจัดการองค์กร แนวคิดเป็นเรื่องสำคัญมาก โลกมันเปลี่ยนจากสมัย Adam Smith ไปเป็นซับซ้อนมากขึ้น มันไม่ใช่แค่ division of labour แล้วจบ มันไม่ใช่เรื่องการเน้นเครื่องหรือเน้นคนในศตวรรษที่ 18 หรือ 19 มันเป็นโลกที่ผู้คนเอาใจยาก ไม่เคยมีความพึงพอใจ  ดังนั้นจึงต้องละเอียด ละเมียดกับแนวคิดให้มีการถักทอสอดประสานกันก่อนจึงไปต่อได้  จะเสนอว่าองค์กรสมัยใหม่นี้  ควรคุยให้ชัดเจนว่าเรามีแนวคิดร่วมสมัยกันบ้างไหมดังต่อไปนี้
  • คุมใจไม่ใช่ควบกาย: คนไม่ใช่ม้า จะมาควบมาฟาดกันไม่ได้  องค์กรเชยๆที่ใช้การควบคุมสูง มันเป็นความไม่ไว้ใจ เอะอะอะไรก็อ้างกฎระเบียบหรือกฎเกณฑ์ในการควบคุมการทำงาน มันจะมีความสุขกันได้ยังไง มันไม่ได้ใช้หัวใจในการทำงานและจะทำให้ล้า ทำให้ท้อ  มาตกลงกันใหม่ให้ใช้้ความเชื่อถือ เชื่อใจกันบ้างในการทำงาน มันจะส่งผลให้คนทุ่มเทพลังในการทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ผลการดำเนินงานโดยรวมขององค์กรดีขึ้น อันนี้สามารถคิดเผื่อคิดเลยไปถึงลูกค้า ซัพพลายเออร์ คนภายนอกที่เราติดต่อ ถ้าการทำงานร่วมกันเป็นไปบนพื้นฐานของความเชื่อใจ สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งความไว้วางใจได้อีกต่างหาก 
  • สร้างความรู้ ไม่ใช่แค่สินค้า: นักเศรษฐศาสตร์ชาติที่แล้วบอกว่าทุนและแรงงานเป็นบ่อเกิดของ value  เดี๋ยวนี้ไม่พอ value เกิดจากปัญญา เกิดจากความรู้ knowledge มันถึงมีนวัตกรรมขึ้นได้  และคนที่มีคุณภาพเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาและความรู้ แนวคิดในการบริหารจัดการต้องเปลี่ยนไป อย่าทำเหมือนพวกองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นที่สร้างตึกซะใหญ่โตแทนที่จะเอาเงินมาพัฒนาคนในท้องถิ่นให้มีปัญญา   เวลานี้ทุน ที่ดิน ตึกใหญ่ ช่วยอะไรไม่ได้ สร้าง value ไม่ได้
  • เลิกเดี่ยว รวมทีม: ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นคำตอบสุดท้ายที่จะทำให้องค์กรมีพลัง  เลิกซะทีกับการเป็นพระเอก นางเอกตัดสินใจคนเดียว เพราะมันเป็นสัญญาณของความบ้าอำนาจ คนไม่อยากอยู่แบบนี้และจะไม่คิดมีส่วนร่วม และที่สำคัญคือมันอันตรายมากต่อความอยู่รอดขององค์กร ให้มีแนวคิดที่ใช้ระบบการทำงานเป็นทีม ให้อำนาจทีมในการออกแบบกระบวนการทำงานเอง สามารถติดต่อกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ได้โดยตรง และสามารถเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกระบวนการทำงานตามความต้องการของลูกค้า การตัดสินใจเป็นการตัดสินใจร่วมกันของสมาชิกในทีม  การจ่ายผลตอบแทนก็ต้องเป็น team based performance มันถึงจะทำให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกัน
  • ติดยึดเป็นยืดหยุ่น: ไม่ต้องหลักการ วิชาการมาก ให้ดูตามสถานะการณ์ โลกมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ในทางการบริหารจัดการไม่มีใครบอกได้ว่าแบบไหนดีที่สุดสำหรับทุกสถานะการณ์ ต้องยืดหยุ่น จะมาแนวตั้งการควบคุมการทำงานเป็นลำดับการบังคับบัญชามันเชยสนิท  เอาแนวนอนบ้าง ให้ควบคุมกันเองภายในทีม
  • ปิดเป็นเปิด: ไม่มีองค์กรไหนอยู่ได้โดยไม่พึ่งพาความสัมพันธ์ภายนอก การปิดกั้น คือ ความโง่ ไม่มีวันเข้าถึงคนอื่น ไม่มีทางได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่าคิดว่าจะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ฝันไปหรือเปล่า และไม่ใช่เปิดเฉพาะภายนอก ภายในก็ต้องเปิด โดยเฉพาะเรื่องผลการดำเนินงานขององค์กร เรื่องเงินๆทองๆ ผู้บริหารเชยๆก็จ้องแต่จะให้มันเป็นความลับ ความลับไม่มีในโลก เราต้องเปิดให้คนรับรู้ข้อมูลทางการเงิน มันไม่ใช่เรื่องการโป๊ แต่มันเป็นเรื่องของการสร้างความตระหนัก เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กรร่วมกัน มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นตรวจสอบการทำงานและผลการดำเนินงานขององค์กรร่วมกัน หากพบความผิดปกติอันใดต้องรีบแจ้งเพื่อหาทางแก้ไข และพัฒนาปรับปรุงองค์กรต่อไป
  • จะด่าคน ด่าระบบดีกว่า: จะเปลี่ยนแปลงจะพัฒนาองค์กรได้ อย่าทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว การโทษคนในองค์กรไม่ว่าจะเป็นใคร มันไม่มีวันจบสวย  ใครๆก็บอกว่าปัญหาอยู่ที่คน มันก็จริงอยู่ แต่อยากให้ลองเปลี่ยนแนวคิดมาทางการโทษระบบ โทษกระบวนการทำงานดูบ้าง โลกมันจะสดใสกว่าเยอะ การวิเคราะห์ แก้ไขปัญหาตจะง่ายขึ้นอย่างมาก เพราะระบบหรือกระบวนการทำงาน มันเปลี่ยนได้ อย่างน้อยก็เปลี่ยนได้ง่ายกว่าเปลี่ยนคน การไล่ออกหรือโยกย้ายไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาวได้ องค์กรจะเติบโตไปได้ก็ด้วยการแก้ไขปัญหาที่กระบวนการที่ทำให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การพัฒนาเปลี่ยนแปลงองค์กรมีหลักการ ขั้นตอนกระบวนงานที่พูดไปแล้วจะยาว วันหลังค่อยว่ากัน  ในที่นี้อยากนำเสนอไม้เด็ดที่ต้องทำในการจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง มันเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรก ถ้าจะเปลี่ยน นั่นคือ การออกแบบองค์กรโดยเฉพาะการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร จริงอยู่ที่หลายคนอาจจะบอกว่าการจัดการวัฒนธรรมองค์กร การบริหารโอกาสความก้าวหน้าทางอาชีพ การสร้างผู้ทดแทนตำแหน่ง หรือการบริหารพวก talent สำคัญ  ใช่มันสำคัญทั้งหมด แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดที่ต้องทำก่อนเพื่อน คือ ปรับโครงสร้างองค์กร มันเป็นการจัดกระดูกใหม่ที่จะทำหน้าที่เคลื่อนไหวและค้ำจุนการเปลี่ยนแปลง มันต้องใช้การเป็นทั้งสถาปนิก วิศวกรและศิลปิน แต่ก่อนจะใช้ทักษะเหล่านี้ ต้องมีไฟเขียวก่อน คือ 
  • กลยุทธ์องค์กรต้องมีความชัดเจนและเป็นที่เข้าใจร่วมกัน
  • ตัวผู้นำองค์กรต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงและสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตาเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ในฐานะเสาหลักและการปักธง รวมถึงการมีหน้าที่ในการผลักดันกลยุทธ์ขององค์กร
  • คนในระดับผู้บริหารต้องเชื่อในการเปลี่ยนแปลงและมีความเห็นร่วมกัน ตรงกัน ในการเลือกใช้กลยุทธ์
การออกแบบองค์กรเป็นเรื่องการคิดเชิงกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องในด้านการจัดกระบวนการภายในองค์กร แปลว่าต้องเข้าไปจัดการอุปสรรคในการทำงานให้น้อยลง ไม่ว่าคนจะต่าง วัฒนธรรมจะต่าง ทำงานอยู่ที่ไหนในโลกนี้ต้องมีการทำงานร่วมกันที่ราบรื่นมากที่สุด และในที่สุดมันเป็นการวัดความสำเร็จขององค์กร  ซึ่งต้องคำนึงถึงทั้ง concept และ process ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร
การพิจารณาถึงคุณลักษณะของนักออกแบบองค์กรที่เป็นส่วนผสมของสถาปนิก วิศวกรและศิลปินน่าจะช่วยให้เข้าใจไม้เด็ดของการเปลี่ยนแปลงพัฒนาองค์กรมากขึ้น เพราะว่าคุณลักษณะจะเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆที่ต้องจัดการให้เสร็จด้วย มันจึงเป็นสาระของเครื่องมือในขณะเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนอย่างเป็นมวยได้อย่างดี นักออกแบบองค์กรต้องมีคุณลักษณะต่อไปนี้ คือ 
  • สามารถในการตรวจวิเคราะห์และประเมินองค์กร: ที่ทำพลาด ที่มันเปลี่ยนกันไม่ได้สาเหตุสำคัญคือ ขาดความแจ้งใจเรื่องปัจจัยที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลง  ไม่รู้ถึงความจำเป็นที่จะต้องรื้อระบบโครงสร้างองค์กร และสำคัญอีกอย่างคือ ที่รับสัญญานเสีย ไม่รู้เรื่องภายนอก ไม่รู้ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรม ลูกค้า กฎระเบียบทางการค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มันไปถึงไหนกันแล้ว หรือไม่รู้เรื่องภายในที่เกี่ยวกับการปรับทิศทาง จุดยืนที่องค์กรต้องการมุ่งเน้น แบรนด์ หรือวัฒนธรรม หรือแรงผลักการปฏิบัติการ เช่น ความซ้ำซ้อนของหน้าที่งาน ปัญหาโครงสร้างเดิม เป็นต้น  นักออกแบบที่มีหน้าที่ออกแบบโครงสร้างองค์กรต้องเข้าใจ ให้ความสำคัญ วิเคราะห์ ประเมินปัจจัยหลักต่างๆอย่างแม่นยำ สามารถเรียงลำดับความสำคัญกับปัจจัยที่หลากหลายว่าปัจจัยไหนเป็นหลักและส่งผลกระทบต่อองค์กร  จึงสามารถตอบโจทย์แท้จริงขององค์กรได้ 
  • สามารถเข้าใจความสัมพันธ์องค์กรกับคน และสามารถมององค์กรในภาพรวมเชื่อมโยงในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับองค์กรได้  ในบ้านเรายังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่มาก เรามองเฉพาะจุดหรืองานหรือคนที่เรารับผิดชอบ แต่มองภาพรวมทั้งองค์กรหรือความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไม่ได้ นักออกแบบองค์กรต้องเห็นโยงใยครอบคลุม  เข้าไปมีบทบาทในการผลักดันกลยุทธ์ขององค์กรและคิดไปถึงการพัฒนาคนอย่างเบ็ดเสร็จจะทำให้เห็นความสัมพันธ์ที่แท้จริง ซึ่งจะทำให้การออกแบบองค์กรกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับให้เกิดการบูรณาการเพื่อสร้างความเชื่อมโยงให้มีความสอดคล้องเชื่อมได้ทั่วทั้งองค์กร 
  • สามารถวาดภาพในใจถึง end outcome สามารถวางแผนถึงอนาคตขององค์กรและจัดสรรทรัพยากรภายในองค์กรเพื่อให้สอดคล้องผลักดันให้องค์กรไปตามกลยุทธ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ ถ้าใช้จินตนาการและการวางแผนในวังวนเดิมๆ มันจะจบลงที่การเลือกรูปแบบโครงสร้างที่เดิมๆที่คุ้นเคย หรือที่นิยมทำๆกันมา มีหนักกว่านั้น คือ มองๆไปแล้วติดกับข้อจำกัดภายในเรื่องคนเสียจนเปลี่ยนโครงสร้างได้ก็จริงแต่ไม่สามารถเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานหรือสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆได้   สิ่งสำคัญในการวาดภาพในที่นี้ คือ ต้องตระหนักถึงจุดประสงค์ขององค์กรให้แจ่มชัด วิเคราะห์โครงสร้างปัจจุบันแล้วปรับใช้รูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสมกับโจทย์ ไร้ข้อจำกัดในการมองการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่มันควบคุมได้ มันไม่ต่างอะไรกับการที่เราสวมใส่เสื้อผ้าที่วัดตัวตัด มันเป๊ะ  มันไม่ใช่เรื่องของการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป  
  • นักออกแบบองค์กรต้องมีความรู้ดีในเรื่องรูปแบบการออกแบบองค์กร เพื่อที่จะสามารถนำมาปรับใช้กับองค์กร ต้องรู้ว่าโครงสร้างองค์กรแบบไหนเหมาะกับองค์กรแบบไหน เช่น
    • โครงสร้างแบบ function เหมาะกับองค์กรเล็ก สินค้า ตลาดและลูกค้าไม่มีความซับซ้อน
    • โครงสร้างแบบ  divisional / product เหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลาย มีความต่างที่ชัดเจนในระบบปฏิบัติการ ในระดับการแข่งขันของตลาด ตำแหน่งทางการตลาดและช่วงอายุผลิตภัณฑ์
    • โครงสร้างแบบ   divisional / geographic ชื่อก็บอกอยู่แล้ว  ใช้กับองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความเฉพาะตัวตามพื้นที่  ต่างจากชาวบ้านทั้งในแง่ของความต้องการของลูกค้า การแข่งขัน มีกฎเกณฑ์การทำธุรกิจที่ขึ้นกับพื้นที่
    • โครงสร้างแบบ divisional / process ใช้กับองค์กรเน้นกระบวนการทำงานที่ชัดเจน และมุ่งความรวดเร็วและถูกต้อง มุ่งคุณภาพในการตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า
    • โครงสร้างแบบ divisional / customer เหมาะกับองค์กรที่บริหารลูกค้าตามกลุ่ม ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงตามกลุ่มและให้น้ำหนักกับการสร้างแบรนด์ การทำตลาดและลูกค้า
    • โครงสร้างแบบ matrix ใช้ในองค์กรที่มีระบบปฏิบัติการ มีงานประจำของแต่ละส่วนงาน แต่มีภารกิจเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้คนที่ชำนาญการจากหลากหลายส่วนงานมาร่วมปฏิบัติงานกัน
    • โครงสร้างแบบ network เหมาะกับองค์กรนวัตกรรมที่เน้นความเร็วและความยืดหยุ่นสูงอย่างสูงในการนำเสนอสินค้าบริการสู่ตลาด
    • โครงสร้างแบบ cluster เหมาะกับองค์กรที่ต้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจไปยังพนักงาน ซึ่งมีตลาดเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม คนในองค์กรมีความสามารถเฉพาะ มีจำนวนไม่มากเพราะใช้ผู้รับจ้างทำงานให้
    • โครงสร้างแบบ project based เน้นงานและความชำนาญเฉพาะของสมาชิกเป็นสำคัญ ไม่มีโครงสร้างตายตัวหรืองานประจำ มีการรวมตัวและสลายตัวได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ  
อันที่จริงทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คนเขาว่ากันว่าใช่ นักออกแบบอย่างน้อยต้องรู้ตามหลักการ แต่ถ้าเราคิดว่าองค์กรแต่ละองค์กรมีความเป็นอัตลักษณ์ มีความเฉพาะ  นักออกแบบที่รู้เรื่องดีจะรู้ว่าการออกแบบองค์กรแบบไหนที่เหมาะกับความเป็นตัวตน เหมาะกับกลยุทธ์โดยไม่ต้องยึดหลักการมากเกินไป
  • มีทักษะในการเป็นที่ปรึกษาเพื่อที่สามารถเข้าไปวางแผนงานช่วยเหลือองค์กร เพราะการปรับเปลี่ยนบางครั้งแบบสุดลิ่มทิ่มประตู แบบ 360 องศา เกิดความคับข้อง หรือ ยากลำบากในการปรับตัว  นักออกแบบต้องสามารถเป็น counselor ประจำองค์กร เพราะการเลือกกลยุทธ์ ลูกเล่นในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาองค์กร มันกระเทือนไปยังชีวิตการทำงานของสมาชิกทุกคนมากบ้าง น้อยบ้าง เป็นประโยชน์มากขึ้นบ้าง หรือมีคนเสียประโยชน์ที่เคยเป็นเคยได้บ้าง counselor จะช่วยเป็นหมอเยียวยาได้
ไม้เด็ดเรื่องการออกแบบองค์กร การปรับโครงสร้างถือเป็นความศักดิ์สิทธิ์ในการเปลี่ยน แปลงพัฒนาองค์กร ที่ต้องอาศัยการเดินหมากอย่างรอบคอบรัดกุมในทุกขั้นตอน ทุกเรื่อง ต้องมุ่งมั่นกับภาพใหญ่ แต่ต้องพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์ที่อาจพลิกผัน เพราะมันเป็นเรื่องความรู้สึกของคน ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ หมากเด็ดที่เป็นต้นเรื่องซึ่งจะบ่งชี้ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นมือ ต้องมีการให้น้ำหนัก สร้างสมดุลอย่างเหมาะสม หนักไปเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะกลายเป็นบกพร่อง กลายเป็นขาดซึ่งยากที่จะให้ผลที่คาดหวัง เป็นเรื่องหินพอดูเพราะหากไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักขององค์กร ไม่ใช่ไม่บรรลุผลอย่างเดียว แต่จะถึงขั้นเจ๊งเนื่องจากมันจะฉุดรั้งขีดความสามารถขององค์กรลงไป และการออกแบบองค์กรต้องตระหนักว่ากว่าจะเสร็จสิ้นการปฏิบัติการเข้าสู่โครงสร้าง หน้าที่ความรับผิดชอบใหม่ให้อยู่ตัว ต้องใช้ทรัพยากร เวลา และแรงใจยิ่งกว่าที่เราคาดหมายไว้หลายเท่า  แปลว่า...นักออกแบบต้องใจถึง

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

มารยาททางธุรกิจ...เป็นเรื่อง เป็นเรื่อง..


คำว่า มารยาท อาจฟังดูกระแดะ เสแสร้งไปบ้าง.. เพราะบางคนอาจจะคิดว่า เรื่องของกู ซึ่งก็จริง..มันเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นสำนึกปัจเจกบุคคลมากๆ  แต่มันเป็นเรื่อง และจำเป็นสำหรับทุกคนโดยเฉพาะในโลกธุรกิจ  ในปัจจุบันรูปแบบการสื่อสารใหม่ๆ เช่น Facebook Linked In และอีกมากมายหลากหลายที่ละลายเส้นความเหมาะสม หรือ ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความสงสัย งงในหัวใจถึงขอบเขตทางสังคมของการสื่อสาร  ครั้นคิดไปคิดมา..เรื่องมารยาทมันไม่ใช่ขอบเขต หรือการควรทำ ไม่ควรทำ หรือหลักเกณฑ์อะไรมากมายขนาดนั้น คิดไปอีกสักหน่อยจะพบว่ามันเป็นเรื่องของการทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างเรารู้สึกดี เป็นสุขต่างหาก making people feel good !!! มันเป็นพื้นฐานรับประกันความสบายใจของกันและกันในสังคม
มีบริษัทชื่อ Crane Digital (ชื่อนี้เกี่ยวกับมารยาทตรงไหน..) อ้างว่าได้ให้คำปรึกษาเรื่องมารยาทนี้มากว่าสองทศวรรษแล้ว อือ..คนมันไม่ค่อยมีมารยาทกันหรือยังไงเนี่ย.. สรุปมาได้ว่ามารยาททางธุรกิจที่เขาแนะนำว่ายังจำเป็นสำหรับปัจจุบัน คือ
1. การส่งข้อความขอบคุณ
อันนี้ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ศิลปะแห่งการส่งความขอบคุณไปยังคนที่เราติดต่อ ไม่ว่าจะสมัครงานได้สัมภาษณ์งานใหม่ คุยกับเครือข่ายธุรกิจใหม่ เจรจากับลูกค้า  และถ้าเราต้องการงาน ต้องการหุ้นส่วน ต้องการได้ลูกค้า..จงใช้เวลาเขียนโน้ต หรือไปซื้อการ์ดขอบคุณส่งตามไป มันจะสร้างความแตกต่าง มันจะสะท้อนความดีงามของเรา..ขององค์กรเราได้ชะงัด 
2. การจำชื่อ
เรื่องง่ายๆ (บางทีก็ยาก หากแก่ตัวลงไปทุกวัน) ท่านนัน วัดดอนจั่นเป็นพระที่มีผู้คนไปขอความช่วยเหลือแต่ละวันมากมายมาหลายปีดีดัก วันหนึ่งเจอท่านที่สนามบินเชียงใหม่..ท่านเรียกชื่อทักทาย..โอโห มหัศจรรย์ มันยิ่งกว่าประทับใจ เรื่องนี้สำคัญมาก การที่เราจำชื่อใครได้มันแสดงถึงว่าเราให้ความสำคัญ รับรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ มันจะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์อย่างเอกอุ ถึงขั้นลืมไม่ลง ไม่ว่าภายในหรือภายนอกองค์กร การจำชื่อคนได้เป็นการสร้างความประทับใจอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเราทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มผู้บริหารด้วยกัน มันจะทำให้งานฉลุย 
3. อย่าปากเร็วกว่าใจ
ฝรั่งว่าให้รู้จัก 'elevator rule' อย่าโดดวิพากษ์วิจารณ์ทันทีหลังจากออกจากห้องประชุม หรือระบายความรู้สึกในลิฟท์ (ถึงแม้ในลิฟท์จะไม่มีคนอื่นก็เถอะ) กรุณารอจนลิฟท์ถึงชั้นล่างสุดและเราเดินออกจากสำนักงานไปก่อน  ให้สังหรณ์ไว้ ให้ถือเป็นความสุภาพ..อะไรก็ได้สักอย่าง อย่าเสี่ยงที่จะทำลายชื่อเสียงตัวเองโดยการพ่นอะไรออกมาทันทีที่เราเดินพ้นห้องที่นั่งคุยกัน แม้กระทั่งการแสดงอาการน่าเป็นห่วง เช่น ทำปากขมุมขมิบกับพรรคพวก (คำเมืองเรียกว่า..บะดีแป๋งปากแป๊บ)
4. มองหน้า อย่ามองจอ (ภาพ คอมพิวเตอร์ ไอโฟน ไอแพด)
มันยากเหมือนกันนะ เพราะสมัยนี้มันมีอะไรพอพอัพ ติ๊งตั๊ง หรือสั่นไหวมาตลอดบนเครื่องมือสื่อสารเรา มันมัดเราจนอยู่หมัด บางทีเราคิดว่าเราเอาอยู่ ดูเหมือนเป็นคนมีประสิทธิภาพมากในการทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน (ทำบ่อย..กินข้าว เช็คโนติฟิเคชั่น ดูรูปในไอโฟน เช็คอีเมล์ คุยกับเพื่อน..ทำประจำ) มันไม่ใช่ความเจ๋ง ประสิทธิภาพประสิทธิผลอะไรอย่างใดเลย  เวลาประชุม..กรุณาหักห้ามใจ ปิดมันให้หมด เจ้าเครื่องมือแสดงความแจ่มแจ๋วทั้งหลาย กลับไปให้ความสนใจกับการนำเสนอและคนที่กำลังนำเสนออย่างจริงจังตั้งใจ 
5. การตัดสินคนอื่นบนความคิดของเรา
สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นมารยาทอย่างหนึ่งในสมัยนี้ คือ การไม่วิพากษ์วิจารณ์ชาวบ้าน (แหม.. ยากมากเลย..มันเป็นสันดานไปแล้ว..คงต้องขุดกันนานหน่อย)  เอาเป็น..ให้คิดเสียว่า คนทุกคนมี “ทาง” ของตัวเอง มีสิ่งที่ต้องพัฒนาปรับปรุงกันทั้งนั้น  เราอาจไม่เห็นพ้อง ขัดแย้งในการที่คนอื่นใช้วิธีการจัดการกับสถานะการณ์ใดสถานะการณ์หนึ่งในองค์กรที่แตกต่างจากเรา  ซึ่งถ้าเขาทำดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ นั่นก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว  เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินคนอื่นบนพื้นฐานความคิดของเราเอง มันคงไม่ถูกต้องนัก  แค่คิดในใจก็เสียมารยาทแล้ว คงต้องรับผิดชอบเฉพาะกับเรื่องตัวเองเท่านั้น 
ในโลกธุรกิจ..เรายุ่งเกี่ยวกับพวก brand awareness เป็นอันมากจึงเลยเถิดมายังการอยากโดดเด่น อยากให้คนชอบ อยากให้คนยอมรับทั้งในทางสังคมและในความเป็นมืออาชีพ โลกดิจิตัลทำให้มันยากขึ้นไปว่าเรากำลังล้ำเส้นหรืออยู่เปล่า แต่คิดว่ามันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะมารยาทเป็นพลังบวก มันเป็น “ทาง” ของการเป็น การอยู่อย่างธรรมชาติและไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก มันไม่ใช่การบอกว่าแบบนี้ทำได้ หรือ ทำไม่ได้นะ   เอาแค่ว่าก่อนจะสร้าง hashtag หรือ post หรือ text ใครในระหว่างการประชุม  ก็ให้นึกแค่ว่า เราจะทำให้ใครรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า และก่อนจบ.. อยากบอกว่าการที่เราจับปากกาเขียนบนกระดาษ มันสร้างความตราตรึงมากกว่าการตะโกนบนหน้า Twitter หรือ Facebook แน่ๆ  ซึ่งความพิเศษอันนี้สื่อออนไลน์ไม่มีวันทำได้ 

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

ติดหนึบเพราะสมใจ

ความสมใจได้ดังหวัง..บางครั้งทำให้ติดหนึบอยู่ที่เดิม
เพราะพอใจ เพราะดังใจ...จึงหยุด จึงอยู่ในวังวน

แต่ความผิดหวัง การไม่ได้ในสิ่งที่เราโหยหา...กลับทำให้เกิดการเปลี่ยน
สำคัญที่การเปลี่ยนนี่แหละ.. มันทำให้เราได้อะไรใหม่ๆ
ที่บางที..หลายที..ดีกว่าเดิม เดิม

ในชีวิต..มีประตูหลายบานให้ก้าวผ่านไปเสมอ
อยู่ที่เรา..อยู่ที่เราจะกล้าพอที่จะเปิดมันหรือไม่...

ไม่กล้า ไม่เปลี่ยน...จบเหมือนเดิม
กล้า...เปลี่ยน..เจอดีแน่ ^_^

อย่างก อย่าเบื่อ..มากนัก


ความงก เป็น ความโลภ โง่ หลง
ความเบื่อ เป็น เชื้อโรค
ในชีวิตคน..มันคงต้องมีบ้าง แต่มีมากไม่ได้ 
มันจะกลายเป็นน่าเกลียด อัปลักษณ์

คนเรามักไม่ยอมรับว่า..งก
คิดให้ดี.. การกระทำของเราเข้าข่าย..งก หรือไม่
ตอบให้ตรงคำถาม.. มันต้องใช่อยู่บ้าง
ไม่เป็นไร..เอาแต่พอดี เดี๋ยวไม่มีใครคบ
เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต
อย่าคิดไม่ซื่อต่อตัวเอง

ความเบื่อ..
มาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ ต้องบอกให้มันไปไกลๆบ้าง
เบื่อมา..พัฒนาไม่ได้
ยาเบื่อ..ถึงตาย
ความเบื่อ..หายนะกับชีวิต
เบื่อๆอยากๆ..อันตรายกับความมั่นคง

เลือก..ต้องเลือก


วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

ชีวิตง่ายๆ

ชีวิตง่ายๆ
ถ้าไม่มัวห่วงว่าตัวเองจะไม่ได้หน้า
ถ้าไม่ห่วงหาว่าใครจะได้เครดิต
ก็ทำไปอย่างง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน 
ทำที่รู้ตัว ทำที่อยากทำและไม่เดือดร้อนชาวบ้าน
แค่นี้..สบาย

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

การกินฉี่

อนุสนธิจากการเชื่อเพื่อน.. เพื่อนทำอะไรทำด้วย ไม่มีคำถาม ไม่หาเหตุผล เกิดมาก็ไม่คิดว่าจะกินฉี่ตัวเองได้ พอเพื่อนกิน.. แล้วคิดว่าตัวเองก็กินได้ จึงเอามั่ง.. กินมันทั้งวันแหละเมื่อวาน ครั้งแรก..อุ่นและเค็ม มันทำให้สำนึกว่ากินน้ำน้อยไปได้ทันที อยากกินให้คล่องกว่านี้.. กินน้ำเข้าไป อือ.. รักษาอาการกินน้ำน้อยได้ชะงัดเลย  ปกติลืมกินน้ำทุกทีทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นคนกินน้ำน้อย  อันนี้มันถือว่า..เข้าตัว เลยต้องแก้ไข ต้องกิน.. ไม่งั้นต้องกินฉี่เค็มๆไป  ครั้งที่สอง..กินแล้วจะอ้วก.. มันเป็นเอง.. ไม่ได้คิดอะไรนะ มันมาเอง แต่ก็ซัดน้ำตามแบบกระหน่ำ ขนลุกขนพองไปหมด.. ครั้งต่อๆมาได้เริ่มพิจารณา.. มันก็แค่นี้ มันแค่น้ำ น้ำอย่างหนึ่ง ความรังเกียจเป็นแค่ความคิด มันไม่มีอยู่จริง ไม่คิดก็ไม่มี คิดก็มา..ดังนั้น ไม่คิด.. ช็อตเดียว เอื้อกเดียว.. ก็กินเข้าไป
ชีวิตนี้เป็นมาตลอดลุยไปก่อน..แล้วค่อยกลับมาใคร่ครวญ.. เออ จะกินมันทำไมเนี่ย.. มันดี หรือ ไม่ดียังไง เลยเกิดความสงสัย..ซึ่งเป็นสันดานอยู่แล้ว ตัดไม่ได้ขายไม่ขาด ลองค้นดูสักเล็กน้อยเพิ่มกำลังใจให้ตัวเองได้กินฉี่ต่อไป  เออ..เริ่มเข้าท่า เขาเรียกกันว่า ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) เป็นการใช้ฉี่ตัวเองเพื่อรักษาโรค โดยไม่ใช้ยาและยังช่วยส่งเสริมสุขภาพด้วย  สืบไปถึงประวัติที่ก็รู้มาเลาๆเป็นเงาๆก่อนหน้านี้บ้าง  แต่ต้องเอาให้ชัด พบว่า หลายชาติพันธุ์ใช้กันอย่างระบาด จะเล่าพอดีๆแล้วกัน มันเยอะไปหมด... เอาเป็นว่าตั้งแต่ยุคกรีกโบราณมีการใช้ฉี่เพื่อบำบัดรักษา ตำราการแพทย์จีนที่เขียนขึ้นช่วงปีพ.ศ. 586 - 754 อ้างว่าฉี่เป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยทำให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น และจีนยังมีพิศดารมากกว่านั้นมีกินฉี่เด็กด้วย..อันนี้ไม่ไหว ขอรู้เฉพาะกินฉี่ตัวเอง ในคัมภีร์พระเวทย์ของฮินดูถือว่าฉี่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดื่มแล้วจะเป็นน้ำอมฤต..ไปนู่นเลย เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่ชาวยิปซีในยุโรปรู้ถึงคุณสมบัติของฉี่ในการรักษาโรคและยังมีโยคี พระลามะในธิเบตต่างก็มีอายุยืนยาวเพราะดื่มฉี่ของตัวเอง ในปีพ.ศ. 600 นักปราชญ์ชาวโรมันแต่งตำราว่าด้วยฉี่เป็นยารักษาพิษต่างๆ  ญี่ปุ่นเองในปี พ.ศ.1782-1832 ยุคอิมเป็งก็กินฉี่เพื่อรักษาโรค  ปัจจุบันญี่ปุ่นก็มีหมอเรียวอิจิ  นากาโอะ  เป็นเจ้าของโรงพยาบาลนากาโอะเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการรักษาโรคต่างๆ    โดยใช้การกินฉี่เป็นหลัก  ริเริ่มเผยแพร่สอนให้คนกินฉี่ในญี่ปุ่น  ตำราไทยโบราณก็พูดถึงการใช้ฉี่รักษาโรคด้วยกับเขาเหมือนกัน แม้แต่ในพระวินัยปิฎกมีเขียนไว้ว่าพระภิกษุปฏิบัตินิสสัยสี่ให้ฉันน้ำมูตรแช่ผลสมอเพื่อแก้โรคต่างๆ ว่ากันว่าเป็นยาวิเศษของพระพุทธเจ้าเลยเชียว   รุ่นหลังๆก็มี จอห์น ดับบลิว อาร์มสตรอง เป็นชาวอังกฤษก็สนับสนุนฉี่บำบัด ไปหาอ่านได้ใน The Water of Life: A Treatise On urine Therapy หรือน้ำแห่งชีวิต เป็นบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน วัณโรค โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ มีปัญหาที่กระเพาะปัสสาวะ มาลาเรีย ไข้ แผล แผลไฟลวก โรคเกี่ยวกับหลอดลม และ โรคอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งรักษาให้หายได้ด้วยการอดอาหารหลังดื่มฉี่ หรือยังไม่สะใจจะไปอ่านของหมอชาวอังกฤษชื่อแซลมอนได้พิมพ์ตำราแพทย์ Salmon’s English Physician ระบุถึงการใช้ปัสสาวะเพื่อรักษาแผลและรักษาอาการป่วยอย่างอื่นๆ  ถ้าไม่ชอบอังกฤษ..เอาของเยอรมันไปก็ได้ มีหลักฐานในเอนไซโคลพีเดียของเยอรมัน Johann Heinrich Zedler’s Grossen Vollst Indigen Universallexikon ค.ศ.1747  บอกว่าในน้ำฉี่ของทั้งคนและสัตว์มีสารที่มีประโยชน์หลายชนิด ฉี่ของคนมีผลเสริมสร้างความแข็งแรงและรักษาโรค... ถ้ายังต้องการความมั่นใจอีกบอกได้เลยว่าเขามี World Conference on Urine Therapy มาตั้งชาตินึงแล้ว...คุยกันเรื่อประโยชน์ของฉี่โดยเฉพาะ 
ไหนๆก็จะกินแล้วลองเข้าไปดูว่าฉี่จริงๆแล้วมันเป็นยังไง ประกอบด้วยอะไรบ้าง.. อ่านได้ความว่าปกติฉี่เป็นกรดอ่อนๆ จะมีสีเหลืองอ่อนๆ ไปจนถึงขาวใส ถ้าปริมาณน้อย จะข้นและมีสารในฉี่แบบข้นมากกว่าแบบใส ซึ่งขึ้นกับอาหารที่รับประทานและสุขภาพของคนๆนั้น มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย  (ไม่ทันได้ดม) ฉี่ของคนปกติจะมีรสเค็มๆ (..ค่อยยังชั่วหน่อย..) ถ้าเข้มมากมีขมนิดๆได้  แต่คนที่เป็นโรคก็ตัวใครตัวมัน ดีซ่านก็เหลืองขมิ้นกระทั่งเป็นสีน้ำตาลมาเลย พวกโรคไตก็จะขุ่นหรือแดง   จากการวิจัยในน้ำฉี่ของเรา 100 cc. ลอกมาเลย..มีอะไรต่อมิอะไรดังนี้ 
Urea nitrogen 682 ม.ก.
Urea 1,459 ม.ก.
Creatinine nitrogen 36 ม.ก.
Creatinine 97.20 ม.ก.
Uric acid nitrogen 12.30 ม.ก.
Uric acid 36.90 ม.ก.
Amino nitrogen 9.70 ม.ก.
Ammonia nitrogen 57 ม.ก.
Sodium 212 ม.ก.
Potassium 137 ม.ก.
Calcium 19.50 ม.ก.
Magnesium 11.30 ม.ก.
Chloride 314 ม.ก.
Total sulphate 91 ม.ก.
Inorganic sulphate 83 ม.ก.
Inorganic phosphate127 ม.ก.
ไม่ค่อยเข้าใจ..แต่คาดว่าไม่เป็นพิษก็ใช้ได้ แต่ที่น่าม่วนซึ่งไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม คือ มีสารอื่นด้วย เช่น ตัวเอนไซม์: Amylase (diastase) Lactic dehydrogenase (LDH) Leucine amino-peptidase (LAP) และ Urokinase ซึ่งม่วน คือ รู้ว่าพวกหลากหลายนี้ใช้ละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตันเฉียบพลัน..ป้าดโท๊ะ แค่ฉี่เนี่ยนะ และยังมีฮอร์โมนต่างๆนานาที่รู้มั่งไม่รู้มั่งแต่คิดว่าน่าจะดี (ยกเว้น steroids ดูแปลกๆหน่อย) คือ Catecholamines 17–Catecholamine Hydroxy–steroids Erythropoietin Adenylate cyclase Prostaglandins Growth hormones ฮอร์โมนเพศ อินซูลิน ฯลฯ ใครรู้ช่วยแจงทีเหอะ..ไม่ไหวเยอะไป..ไม่ใช่ทางด้วย 
เอาทางวิทยาศาสตร์ต่อเลยนะ....ดร.อัสเบิร์ต เซนต์ กีออร์กี นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลทดลองใช้สาร methyl gloxal ซึ่งพบในฉี่ ทำการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งและได้ผลเป็นที่น่าพอใจหลายรายอยู่และสารพวกนี้ี้แม้จะมีปริมาณน้อยในฉี่ แต่พบว่าอยู่ในรูปแบบที่มีศักยภาพสูง..ฮั่นแน่.. เมื่อกินเข้าไปจะซึมผ่านเยื่อบุกระเพาะอย่างรวดเร็วและเกิดผลต่อร่างกาย.. เริ่มมั่นใจ กินต่อไปได้  มีงานวิจัยอีกอันหนึ่งซึ่งกล่าวถึงกันมากในวงการกินฉี่ คือ งานวิจัยชิ้นใหญ่ในประเทศอินเดียของ นพ.ธรรมาธิกรี รัฐมหาราษฎร์ (ชื่อหรือนี่..) ได้ทดลองให้ผู้ป่วยจำนวน 200 คน กินฉี่ของตนเองและติดตามผลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด ได้ข้อสรุปว่า ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นและอัตราเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้นในผู้ป่วยทุกรายและปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดก็สูงขี้นด้วย และพี่แกเชื่อว่าแบบนี้ช่วยให้เกิดการบำบัดรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยได้หลายกรณี ด้วยกลไกของเอนไซม์ ฮอร์โมนและเกลือแร่และช่วยให้ภูมิต้านทานดีขึ้นอีกด้วย  ยังไม่หมดคนสนใจเรื่องฉี่..มีการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียสองคน พบว่า เมื่อกินฉี่จะทำให้มีสมาธิ จิตใจสดชื่นอารมณ์ดีขึ้น แจ่มใสเพราะในฉี่มีฮอร์โมน ชื่อ Melatonin.. อันนี้ดีแน่..ซึ่งพบในฉี่ช่วงเช้า งานวิจัยนี้ว่าฉี่ของแต่ละคนจะมีผลต่อการทำงานในร่างกายของแต่ละคน โดยจะทำหน้าที่เป็นวัคซีนธรรมชาติ เป็นตัวต่อต้านแบคทีเรียและไวรัส ต่อต้านสารก่อมะเร็ง ทำให้เกิดความสมดุลกับฮอร์โมนและช่วยเรื่องภูมิแพ้ (natural vaccine antibacterial antiviral anti-cancer agents hormone balance allergy relievers..ป้าดโท๊ะ อีกที)
มาพิจารณาทางหลักฐานจากพระสงฆ์ของเรากันบ้าง.. มีผู้พบข้อความการวิจัยของหลวงปู่โง่น  สรโย  วัดเขาลาภ จังหวัดพิจิตร  ท่านว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบมา 2,500  กว่าปี  ก่อนนักวิทยาศาสตร์ใดๆ ในโลก อายุของท่านในตอนละสังขาร 94 ปี ไม่เคยเจ็บป่วย  ร่างกายและสุขภาพแข็งแรงดีมาก  ชีวิตนี้ไม่เคยปวดฟัน เวลาขึ้นเขาลงเขาหนุ่มๆสู้ไม่ได้ก็แล้วกัน ท่านฉันปัสสาวะมาหลายสิบปีแล้ว  ฉันมังสวิรัติมาตลอดไม่ฉันเนื้อสัตว์   ท่านได้ทำการวิจัยไว้ว่า  ปัสสาวะของท่านมีสารหลายอย่าง..  
  • ธาตุฟอสฟอรัสช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง   ป้องกันโรคไขข้อ   โรคอ้วน   โรคอ่อนเพลีย   โรคเบื่ออาหาร   ตื่นแต่เช้าดื่มปัสสาวะ  1  ถ้วยแก้ว   เป็นยาเรียกน้ำย่อยอย่างดีจะทำให้ทานอาหารอร่อย   
  • ธาตุแมกนีเซียมแก้โรคกระสับกระส่าย    สับสน    ท้องเสีย  แก้ไตเสื่อมไม่ทำงาน  
  • ธาตุทองแดง   แก้โรคโลหิตจาง   โรคอ่อนเพลียละเหี่ยใจ (โรคนี้เป็นกันเยอะ..ควรกิน) 
  • ธาตุโปรตัสเซียม  แก้โรคท้องผูก   แก้สิวฝ้า   ช่วยกล้ามเนื้อแข็งแรง   
  • ธาตุเหล็ก   แก้โรคโลหิตจาง   แก้โรคอ่อนเพลีย   แก้โรคเล็บมือเล็บเท้าเปราะผุ   และฉีกง่าย   
  • ธาตุสังกะสี   แก้โรคตับ   โรคไตช้า   แก้โรคต่อมลูกหมาก   โรคเบื่ออาหาร  
  • ธาตุโอไอดีน   แก้โรคประสาท   โรคกระสับกระส่าย   แก้ผอมแห้ง   ผมหงอกเร็ว   ผมร่วง   เม็ดผื่นคัน   
อ่านแล้วทึ่ง..ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไกลไปเท่าใด  ก็ยังตามหลังของธรรมชาติอยู่ดี  การที่เราเข้าใจกันว่ายาเท่านั้นที่สามารถรักษาโรคได้นั้นมันกลายเป็นสิ่งไม่แน่นอนไปเสียแล้ว  

คราวนี้มาวิธีกิน..วิธีใช้  คาดว่าจะสนใจเฉพาะกินนะ..แต่เอาเรื่องใช้มาดูด้วยก็ได้..วิธีการใช้ฉี่บำบัด เขาว่ามี 2 แบบ คือ
1. แบบใช้ภายใน
กิน..กินฉี่ตอนเช้า ช่วงกลาง โดยเริ่มต้นจาก 5-10 หยด ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มจนถึง 1 แก้ว ประมาณ 100 cc. มีประโยชน์ในการรักษาโรคทั่วไป (..ว้าย..กินพรวดเข้าไปแล้ว..ไม่ได้รีรอ) ถ้าจะล้างพิษ กินมันตลอดทั้งวัน (ยกเว้นตอนเย็น) และดื่มน้ำสะอาดด้วย เป็นการล้างพิษออกจากร่างกาย โดยทำให้เลือดสะอาดขึ้น พิษจะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางอุจจาระ เหงื่อ และทางหายใจ ถ้าปวดฟัน เจ็บคอ ไอเป็นหวัด ให้กลั้วคอ..อันนี้..ยังไม่ไหวฮะ  หรือจะล้างพิษแบบสวนทวาร detoxification โดยการสวนฉี่เข้าไปในทวารเพื่อล้างลำไส้และเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย..อันนี้ขอบายเช่นกัน และยังมีอีกเอาไว้หยอดหู หยอดตา เมื่อมีอาการหูและตาอักเสบ โดยการใช้ฉี่ผสมกับน้ำสุกที่สะอาดหยอดหูและตา..อันนี้มากไป.. ขอบายด้วย  ต่อไป..จัดหนักฮะ..สูดเข้าจมูก สูดเอาฉี่สดๆ ตอนเช้าเข้าจมูกทั้งสองข้าง เพื่อล้างโพรงจมูก สำหรับคนที่เป็นไซนัส เป็นหวัด ภูมิแพ้ พวกขี้มูกไหลเป็นประจำ...โห..ไม่ไหวมังพี่ แค่กินก็พอได้นะ ถึงขั้นสูด สวน ขอลาก่อน..
2. แบบใช้ภายนอก
มีให้ทาและนวดผิวหนัง โดยการนวดร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วนทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออกจะช่วยรักษาโรคผิวหนังได้หรือผิวหนังที่โดนแดดเผาได้.. ท่าจะปล่อยให้แดดมันเผาต่อไปฮะ   อันนี้ค่อยยังชั่ว.. ใช้ล้างเท้า กรณีมีปัญหาที่ผิวหนังและเล็บเท้า หรือสระผม..ไอ้หยา ใครจะลอง.. ช่วยทำให้ผมสะอาด นุ่มสลวย และทำให้ผมดกขึ้น
มาขนาดนี้แล้ว.. ขอกินแต่อย่างเดียวก็พอนะฮะเพราะยังไม่เคยมีรายงานว่าคนกินฉี่แล้วตาย หรือมีผลข้างเคียงแต่อย่างใด  อย่างอื่นเอาไว้ก่อนถึงแม้นักวิจัยจะบอกว่าฉี่โดยธรรมชาติเป็นน้ำสะอาดปราศจากเชื้อและมีสารประกอบพิเศษมากมายที่มีประโยชน์ทางการแพทยก็ตาม....      เอาเป็นว่ากินตอนตื่นนอน 1 ถ้วยแก้ว..เล็ก   และก่อนนอน 1 ถ้วยแก้ว..เล็ก  ถ้าอยากลองด้วย...แต่ยังอิหลักอิเหลื่ออยู่ ให้ง่ายก็่ผสมยาหอมแก้ลมสักครึ่งช้อนชา  แล้วคนให้เข้ากัน  กลั้นใจดื่มอึดเดียวให้หมดถ้วย  แล้วก็รีบเอาน้ำเปล่าบ้วนปากหรือจะถึงขั้นแปรงฟันก็เอา  เสร็จแล้วจะอมยา อมฮอลล์ก็ยังได้อีกเท่านี้ก็เรียบร้อย  ได้สักครั้ง.. ครั้งต่อไปก็ไม่มีปัญหาแล้วสบายมาก 
เอ้า..ชนแก้ว ^_^