วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การจัดการกับกระบวนงาน...ทางรอดทางเดียวในเวลานี้

อารัมภบท
คนทุกคนที่มีการมีงานทำใช้ชีวิตส่วนใหญ่ “อยู่” ในองค์กร อาจเป็นชีวิตที่ตื่นเต้น สดชื่น หรืออับเฉาก็ขึ้นกับการจัดการชีวิตตัวเองในองค์กรที่ทำงานอยู่ ชีวิตองค์กรก็เหมือนกับชีวิตคนนั่นแหละ มีหลายคนว่า..การจัดการที่มีประสิทธิภาพ คือ หลักการที่ทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพ แคบไปหรือเปล่า...อันที่จริงการจัดการที่มีประสิทธิภาพ....ต้องเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนเจริญ องค์กรเจริญ และช่วยให้สังคมเศรษฐกิจเจริญด้วย มุมมองทางการจัดการที่แท้ จึงเป็นทั้งเรื่องของการสร้างมูลค่า value creation และ นวัตกรรม innovation   ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับการทำกำไรที่ส่งผลถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจและยังต้องตระหนักถึงการเพิ่มศักยภาพของคน แปลว่าต้องมาจากการที่ธุรกิจมีกระบวนการสร้างสินค้า บริการที่ดี สร้างคนดี การเป็นพลเมืองที่ดี ตลอดจนการยึดมั่นในความเป็นเลิศ สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นล้วนมาจากสิ่งที่คิด what do you think ซึ่งอยู่ที่รากของค่านิยมส่วนบุคคล ศักยภาพและโอกาสกับสิ่งที่เราได้ทำ  what you actually did  ในการบูรณาการหน้าที่ทางการจัดการและหน้าที่ทางธุรกิจ


What do you think?
เรื่องนี้ดี จำไม่ได้ว่ามาจากไหน..มีกบเล็กๆหลายร้อยตัวแข่งกันกระโดดขึ้นไปบนภูเขา กติกา คือ กบตัวไหนถึงยอดเขาก่อนเป็นผู้ชนะ  ในการแข่งขันครั้งนี้ถือได้ว่ายากลำบากมากสำหรับกบตัวเล็กๆเพราะว่ายอดเขานั้นทั้งสูงทั้งชัน จึงมีกลุ่มคนสนใจแห่กันมาดูการแข่งขันนี้มากมาย  ในระยะแรกของการแข่งขันผู้คนส่งเสียงเชียร์กึกก้อง   กบตัวเล็กๆเหล่านั้นก็กระโดดแข่งกัน ขึ้นสู่ยอดเขาอย่างสุดใจขาดดิ้น   เมื่อไปถึงระยะที่เริ่มชันกลุ่มคนต่างก็ตะโกนว่า ระวัง ทำไม่ได้หรอก มันสูงเกินไป มีกบหลายตัวร่วงหล่นลงมาออกจากการแข่งขัน ยิ่งการแข่งขันไปสู่จุดที่สูงขึ้น คนยิ่งโห่ร้องอย่างกึกก้องว่า เป็นไปไม่ได้ มันชันมาก ไม่มีทางที่กบตัวเล็กๆจะขึ้นไปถึง  กบเกือบทั้งหมดร่วงหล่นลงมา มีกบตัวเดียวเท่านั้นที่ยังกระโดดจนไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ  เป็นผู้ชนะในการแข่งขัน   ตามธรรมเนียมก็มีสื่อมาสัมภาษณ์เคล็ดลับความสำเร็จในครั้งนี้  ปรากฎว่าไม่ได้มีวิธีการหรืออะไรที่พิเศษไปกว่าการกระโดดเหมือนกบทั่วไป แต่มีอย่างหนึ่งที่แตกต่าง คือ กบตัวนี้หูหนวก....   อันนี้เราคงพอคิดเองได้แล้วว่า อำนาจของความคิดมันมีมากขนาดไหน


เป็นอันว่า...ทุกอย่างมาจาก we are what we think เหมือนที่เคยได้ยินกันว่า you are what you eat การที่คนเราจะคิดอะไรนั้นอย่างแรกมาจากค่านิยมส่วนบุคคล personal value ซึ่งเป็นรูปแบบความคิด ความเชื่อพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ตนเองถือว่ามีคุณค่าพึงปรารถนและต้องการยึดถือ ค่านิยมนี้มีอิทธิพล เป็นตัวกำหนด กำกับ บุคลิกภาพ ลักษณะท่าทางของคน บงการพฤติกรรม การกระทำของคน   ลองคิดเล่นๆก็ได้ว่า.......เหตุใดประเทศในโลกจึงมีสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่แตกต่างกัน เหตุใดบางประเทศจึงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศที่ทันสมัยมีความก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางประเทศไม่ไปถึงไหน มีแต่ปัญหา (คงจะประเทศนี้แหละ)   คำตอบสุดท้ายก็คงอยู่ที่ค่านิยมที่คนในชาตินั้นยึดถือ     การที่จะทำให้การจัดการเป็นเครื่องมือที่สามารถยกระดับความสามารถของคน ขององค์กรได้ อยู่ที่ค่านิยมของผู้ประกอบการ อยู่ที่ผู้บริหารเป็นหลัก  หากคนเหล่านั้นมีค่านิยมที่ดี อันได้แก่ การมุ่งผลสัมฤทธ์ ใฝ่หาความสำเร็จ การมีวินัย การทำงานหนัก ความรับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ การออมและการลงทุน ตลอดจนความต้องการเป็นอิสระแล้ว  สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ อาณาจักรธุรกิจที่มั่งคั่งเกื้อกูลไปถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม   


อย่างที่สองที่เป็นผลต่อความคิดของคน คือ ศักยภาพ ในที่นี้เป็นศักยภาพแห่งความสำเร็จของผู้ประกอบการ ซึ่งมาจากการสำรวจวิจัยของ USAID ว่าความสำเร็จขององค์กรที่จะสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนนั้นต้องอาศัยกลุ่มคนขับเคลื่อนที่มีคุณลักษณะพิเศษของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพียงแค่บริหารตามหน้าที่ทางการจัดการทั่วไป  ที่ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์กร การอำนวยการและควบคุมเท่านั้น ซึ่งคุณลักษณะที่สำคัญ คือ การแสวงหาโอกาส ความมุ่งมั่น การรักษาพันธะสัญญา  การใฝ่หาคุณภาพและประสิทธิภาพ ความเสี่ยง การตั้งเป้าหมาย การวางแผนอย่างเป็นระบบและการจูงใจ  การแสวงหาข้อมูล การชักชวนและสร้างเครือข่าย  นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องของ management quotient ของ Jo Owen (ไม่ใช่นักบอลนะคะ)  ที่จะทำให้การปฎิบัติทางการจัดการมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการผู้บริหารในยุคนี้สามารถอยู่ได้ สำเร็จได้ในโลกของความเป็นจริงในศตวรรษนี้ ตัว management quotient ประกอบไปด้วย IQ ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจัดการงานและหน้าที่ทางธุรกิจ ความสามารถที่จะอยู่ใน real world แปลว่ามีปัญญา ไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นการรู้   และประกอบด้วย EQ ที่เป็นความสามารถในการจัดการคน จัดการกลุ่ม อันนี้เป็นการจะอยู่ได้ใน emotional world และสุดท้ายคือ PQ เป็นความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและควบคุม เป็นเรื่องของ political world  ทั้งสามส่วนประกอบกันเป็น management quotient เป็นกรอบความคิดที่เข้าท่ามากมาก (ไม่ต้องทอดสมอ)  ทำให้สามารถประเมินและพัฒนาความสามารถทางการจัดการทั้งของตนเองและทีมงาน  กำหนดและสร้าง core skills กฎแห่งการอยู่รอดและสำเร็จของธุรกิจ  (จะเห็นได้ว่าตัว management intelligent นี่แตกต่างกับ academeic intelligent แน่ๆ) ขออธิบายให้ชัดอีกหน่อย.. IQ คือ intellectual ความฉลาดที่ช่วยให้เกิดการตัดสินใจด้วยสัญชาติญาณได้เร็ว แยกแยะปัญหา สาเหตุและจัดลำดับการแก้ไขได้ว่าอะไรด่วน สำคัญสามารถปฎิบัติได้และมีแนวคิดเชิงกลยุทธ์   EQ เป็นเรื่องของ interpersonal skills ทำให้คนเรียนรู้พฤติกรรมที่ถูกต้อง มีทักษะในการจูงใจ โน้มน้าว การกระจายงาน แก้ไขความขัดแย้ง การให้คำแนะนำแบบมองโลกในแง่ดี   PQ จะเป็นส่วนที่ทำให้คนตระหนักในเรื่องของอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจในการหาแหล่งทุน อำนาจการต่อรองกับลูกค้า การจะได้มาซึ่งข้อมูลและทรัพยากรต่างๆในการบริหารจัดการ  มองไปมองมาจะรู้ว่าสามตัวนี้เป็น management DNA ที่ช่วยให้คนได้เรียนรู้ว่า....ไม่ใช่ทฤษฎีไหนที่ใช้ได้ แต่เรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นไปได้ในการปฎิบัติต่างหาก  ถ้ายังไม่เข้าใจ..แบบย่อๆ คือ IQ มีความสัมพันธ์กับงานและปัญหา   EQ เกี่ยวข้องกับคนและ PQ คือ making things happen


อย่างที่สามที่เป็นแหล่งเกิดของ what do you think คือ โอกาส   การรับรู้โอกาสของผู้ประกอบการผู้บริหารก่อให้เกิดแนวคิดทางธุรกิจ การสร้างความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ  โลกยุค digital มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  มีการเชื่อมโยงถึงกันอย่างต่อเนื่อง  ส่วนใหญ่โอกาสสำคัญของธุรกิจจะมาจากตลาดมาจากลูกค้า  ตลาดเป็นตัวกำหนดโอกาส และ มาจากใจ คือใจของลูกค้าที่แสดงออกมาผ่านทางอุปสงค์ demand ส่งสัญญาณ หรือคำตอบแก่ผู้ประกอบการ ผู้ขาย ว่าสินค้าใด บริการใดเป็นที่ต้องการ   อย่าลืมว่าลูกค้าของเราในวันนี้ อาจไม่ใช่ลูกค้าของเราในวันพรุ่งนี้  เนื่องจากลูกค้าในปัจจุบันมีความรู้ ระดับการเรียนรู้สูงขึ้น มีความต้องการที่ซับซ้อน  co-creative entrepreneur เท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนกรอบความคิด  สามารถมี fusion and market space ได้ดี


What will you do?
ความจริงของทุกวันนี้ (ไม่ใช่ความจริงวันนี้) ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม การแข่งขัน ตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่คาดการณ์ ติดตามได้ยาก ไม่แน่นอน ไม่มีความคงที่  มันเป็นโลกที่ชวนให้ตื่นเต้น คือ ทั้งโหดและสับสน  คำว่าโหดคงใช้ได้กับเศรษฐกิจที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างที่สุดตามมาด้วยความตกต่ำฉับพลัน  สำหรับสับสนนั้น อธิบายได้ว่าเป็นทิศทางของเศรษฐกิจที่เราเองก็ไม่แน่ใจว่าไปถูกทิศหรือไม่เพราะถูกเหวี่ยงไปมาระหว่างทางเลือกต่างๆอย่างเร็วสุดเหมือนกัน ถูกเหวี่ยงจนเวียนหัว    ถึงแม้เราจะไม่สามารถคาดเดาอนาคต แต่ที่ทำได้คือการจับกระแสที่จะก่อให้เกิดความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน การเปลี่ยนวิกฤติความเสี่ยงให้เป็นโอกาส ซึ่งการจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ต้องสร้างความยืดหยุ่นอย่างมหาศาลในองค์กร  มีหลายองค์กรในปัจจุบันที่ยังมีการบริหารจัดการแบบดั้งเดิม คือยังเน้นเรื่อง function ซึ่งถือได้เป็นอุปสรรคสำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลง (เป็นพวกโง่แล้วยังหยิ่งอีกด้วย)  เพราะการจัดการที่เน้นแค่ function ทำให้การมอง การมุ่งที่ลูกค้าห่างไกลออกไปและทำให้สูญเสียการบูรณาการที่เรียกได้ว่าเป็น flow ของ cross-functional activities ในองค์กร กระทบต่อการออกแบบโครงสร้างองค์กรที่จะสร้างคุณค่าให้ลูกค้าและผู้ถือหุ้น  ไม่สามารถตามข้อมูลและเทคโนโลยีได้ทัน  พวกมี mindset แบบนี้ก่อให้เกิดความเข้าใจอะไรได้ผิดๆ ความเชื่อผิดๆว่า ถ้าเรากำหนดกล่องต่างในโครงสร้างได้ดี ระบุชื่อคนที่คาดว่าถูก เหมาะสมลงไปในกล่องหลักๆ แปลว่าจะทำให้เกิดการพัฒนาองค์กรขึ้นอัตโนมัติ  ซึ่งมีส่วนถูกแต่น้อย  นอกจากนั้นยังเป็นการบิดเบือนมุมมองของการวัด การจ่ายตามผลงาน เปลี่ยนจุดมุ่งเน้นจากการวัดผลงานที่มีความหมายไปสู่การวัดตาม function ตามฝ่ายที่มีความสำคัญน้อยกว่า กลายเป็นการตั้งคำถามถึงขอบเขตความรับผิดชอบ งานที่ต้องทำ คนที่จะช่วยงานทำให้งานออกมาดูดีแทนที่การมุ่งไปที่ความต้องการแท่้จริงของลูกค้า  ซึ่งหนักกว่านั้น คือ นำไปสู่การตั้งเป้าหมาย หรือ การแก้ไขปัญหาที่ล้าสมัยในการปฎิบัติทางการจัดการ รวมถึงลืมเรื่องนวัตกรรมไปด้วย ซวยจริงจริง 


คราวนี้มาถึงว่าจะทำอย่างไร เราจะแปลงร่างองค์กรอย่างไร ที่จะทำให้ง่ายต่อลูกค้าในการทำธุรกิจกับเรา คำตอบสุดท้ายในที่นี้ คือ การปรับเปลี่ยนกระบวนงานธุรกิจ business process  ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานที่ยาก การเปลี่ยนแนวคิดไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย  เป็นเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบความคิดที่สำคัญของคน เป็นการมุ่งเน้นลูกค้าแบบ 1 to 1 และการดึงทรัพยากรที่ไม่ใช่เฉพาะในองค์กร แต่เป็นทรัพยากรทั้งโลกมาร่วมด้วยช่วยกัน นั่นคือ management activity ทุกอันต้อง integrate ต้องเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า ทำให้เป็นวัตถุประสงค์ในองค์กร สร้าง business process ใหม่ กำหนดและสร้างความสามารถองค์กรใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้นเพราะการจัดการในรูปแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำให้องค์กรต่อสู้ได้ และไม่มีทางจะสู้ได้อีกต่อไป เพราะนอกจากผิดตั้งแต่สมมุติฐาน การควบคุมไม่ได้เอื้อต่อการฉายแสงศักยภาพของคน ที่จะทำให้คนเปลี่ยนมาคิดอะไรใหม่ๆได้สินทรัพย์ที่มีค่าจะไม่ได้ถูกใช้เต็มที่ในการขับเคลื่อน  องค์กรมันต้องแตกต่างและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงที่สุดในการทำธุรกิจ เลิกลำดับขั้นแบบเดิมๆ โครงสร้างขนมชั้น สร้าง new management model เปลี่ยนผ่านจากการจัดการเป็นการนำ เป็นการจัดการความเปลี่ยนแปลง เป็นการสร้างความเชื่อมั่น เป็นการสร้างผลิตภาพจากการเป็นหุ้นส่วนซึ่งจะทำให้การตัดสินใจของเราแตกต่างได้ มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแบบที่เคยเปลี่ยน not just a tiny bedroom แต่ต้องเปลี่ยนแบบ...from mediocre to great ซึ่งก่อนอื่นต้องแปลงร่างองค์กรเป็น business process driven แทน business function driven   ถ้ายังสงสัยคำว่า กระบวนงาน process อยากรู้..ก็พอจะให้ความหมายได้ว่า เป็นกิจกรรมใหญ่เบิ้มของงานตามลำดับ ตามเวลา มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดที่ชัดเจน แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างงาน input และผลลัพธ์  องค์กรที่ใช้การขับเคลื่อนด้วยกระบวนงานจึงเป็นองค์กรที่สนับสนุน กระตุ้น ให้อำนาจคนในการคิดสิ่งใหม่ๆ การทำงานตามกระบวนงานที่มุ่งเน้นลูกค้าจะเน้นที่ผลลัพธ์มากกว่าการจบงานในตัวเองแบบ function ซึ่งผลที่ได้รับจะมาจากการมุ่งปฎิบัติงานในระดับสูงกว่า อย่างน้อยคนที่ทำงานในกระบวนงานจะตอบคำถามได้ว่า หรือรู้ได้ว่า...
    • อยู่ในส่วนใดของกระบวนงานและอธิบายได้ภายใน 25 คำ (เกินไปหรือเปล่า)
    • จุดประสงค์หลักคืออะไร
    • กระบวนงานสร้างคุณค่าให้ลูกค้าอย่างไร
    • งานของตนเกี่ยวข้องกับการสร้างคุณค่านั้นอย่างไร
    • คนอื่นกำลังสร้างคุณค่าอย่างไร
    • ใครอยู่ก่อน หรือ อยู่หลังการทำงานของเรา
    • องค์กรใช้วิธีการวัดผลการดำเนินงานจากกระบวนงานอย่างไร
    • ตอนนี้กำลังวัดอะไร
    • รู้ว่าจะอยู่ถูกที่คิดถูกทางอย่างไร
    • กระบวนงานอื่นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
    • การปรับปรุงกระบวนงานจะต้องใช้อะไร อย่างไร
ประมาณนั้น..ดูดีกว่ามาก.. การจัดการธุรกิจที่เน้นกระบวนงาน เป็นการมองธุรกิจจาก outside-in และ inside-out ที่บูรณาการกระบวนงานให้เข้ากับกลยุทธ์  สร้างแรงบันดาลใจตั้งแต่ระดับผู้บริหารในห้องประชุม ไปจนถึงการกินข้าวกลางวันกับลูกน้อง   เป็นการออกแบบกระบวนงานทางธุรกิจที่ส่งผลถึงการบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร เป็นการออกแบบองค์กรที่จะขับเคลื่อนกระบวนงานทางธุรกิจ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มคุณค่าและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน  ยึดมั่นในระบบการวัดผลตามการดำเนินงานตามกระบวนงาน ที่สำคัญ คือ เป็นการรักษาจุดยืนและการประสานสอดคล้องกันของกิจกรรมทางธุรกิจอย่างเป็นเนื้อเดียว ดูๆไปก็ไม่น่าจะยาก.. ต้องลองแล้วจะรู้ ไม่ทำไม่รู้ ทำแล้วยังไม่รู้...ตัวใครตัวมัน

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สั้นๆกับความรักงามงาม


ความรักเป็นความงามของชีวิต
ความรักมีพัฒนาการ
ความรักมีลำดับและไร้สาร
ความรักไม่ต้องทน
ความรักไม่มีเส้น
ความรักเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ความรักสมใจเสมอ สมหวังไม่เกี่ยว



หนึ่ง...รักแม่ รักพ่อ... รักตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดมาชาติไหนก็รักเสมอ...ขอเป็นลูก เป็นรักอมตะนิรันดร์กาล รักไม่รู้ดับ รักไม่รู้จบ เป็นรักเดียวที่อยากรักข้ามภพข้ามชาติ
สอง...รักลูก... รักผูกพัน รักกันเหนียวแน่น รักไม่ต้องอธิบาย รักไม่ต้องบอก รักที่มีแต่ให้ เติบโตแค่ไหนก็ยังรักเหมือนเดิมเพิ่มทุกวัน
สาม...รักเพื่อน.. รักนี้รักจริงไม่มีจาง ด่ากันก็ยังรัก ตัดไม่ขาดแม้บางครั้งบาดใจเกิน รักมันไปเรื่อยๆ รักไปขำไป รักได้รักดี  รักนี้ต้องมีเมตตา สำหรับบางคน....ถ้าแอบรักเพื่อน อาจซวยได้ เสียเพื่อนและเพื่อนเสีย แต่วันหลังๆจะยังรู้ว่างามอยู่
สี่....รักคนน่ารัก รักไปซึ้งไป รักไปซ่อมไป เป็นความงามของกรรม (ระยะหลังไม่ค่อยเจอ ไม่ค่อยซาบซ่าน เขียนได้น้อย)
ห้า...รักคนน่าเกลียด รักยาก แต่รักได้จะงาม รักต้องฝึกหัด งามตัว ไม่งามหน้า (นี่ก็น้อยเหมือนกัน ไม่ค่อยมีแล้ว)
หก...รักคนที่เขาไม่รักเรา รักไม่ได้คำตอบ แต่ยังรัก งามอยู่
เจ็ด...รักคนมีเจ้าของ งามได้ถ้าเนียน รักหวังดี ไม่หวังได้ พยายามให้กลายเป็นรักเพื่อน จะงามมาก
แปด...รักคนแก่ รักไปฟังธรรมไป รักชื่นชม รักดูแล
เก้า...รักเด็ก ชีวิตสดใส (...ดูได้จากป้าแอ) รักเติมใจให้เด็กลง ต่อวัย ต่อชีวิต
สิบ...(ถ้าคนไม่รัก) รักหมา อันนี้ รักยังไง ได้ตอบมาเสมอ ได้ความซื่อสัตย์เสมอ มีรักในแววตาบอกมาทุกครั้ง รักอ้อนวอน รักที่คิกคัก รักบริโภคแบบบริสุทธิ์ รักเป็นธรรมชาติ และรักไปขำไป...คล้ายรักเพื่อน

ใครคิดอะไรออกว่ามีอะไรงามอีกในความรัก... บอกต่อ...บอกมา

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฟ้ามีอยู่ทุกที่ ความรู้สึกดีหาไม่ยาก

ภาษาฟ้า... เชียงคาน

 
ฟ้าบอกกาลเวลา ตรงๆ ชัดๆ ทุกวัน ทุกวัน
คนมีกาละเทศะ ตามจริต เปลี่ยนได้ทุกวัน ทุกวัน
ฟ้าไม่เหนื่อยเพราะไม่โกหก แต่คนจะล้าเพราะจำไม่ได้
สมองมีจำกัด...ใช้อย่างฉลาด ไม่โกหก แปลว่าไม่ต้องจำ

แต่งดินถึงฟ้า.. วัดแม่ริม ขุนช่างเคี่ยน 

  
ฟ้าเปลี่ยนเอง ไม่ต้องแต่ง...
ปรุงไปก็เท่านั้น สวยแล้วยังไง ดีแล้วยังไง
แค่ฟ้า แค่คนที่เกิดใต้ฟ้า อาศัยกายอยู่ไม่นาน..ก็ไปกันหมด
ปัญหา คือ จะไปยังไง ไปแบบไม่ต้องกลับมาอยู่ใต้ฟ้าอีกหลายภพหลายชาติ
.. จะไปได้ไหม 

ฟ้ากับน้ำนิ่ง.. แปงกอง อินเทอลาเกน

 
ฟ้ากับน้ำ...นิ่ง สว่าง สงบ เป็นบางครั้ง 
เรา...นิ่ง สงบ เป็นบางคราว แต่ไม่ค่อยสว่าง
ไหลตามน้ำ..ดี หรือว่า.. ไม่ดี
ไม่ดี... เพราะไม่รู้ว่าน้ำไปไหน ไปที่อโคจร จะอกุศล
ตั้งใจดี ไม่ไหล ไม่ไป ไม่อยู่ ไม่รู้บ้างก็ดี....

ฟ้ากับเขา.. สิกขิม ใจหิมาลัย

 
ฟ้ากับเขา เป็นเราที่ต่าง
ฟ้าเดียวกัน ยืนต่างที่ ฟ้ายังเป็นฟ้า แต่เราไม่เป็นเรา
เรารับเรื่องเขามาอยู่กับเรา เฮ้อ เหนื่อย
ปล่อยเรื่องเขาให้เป็นของเขา.. เรื่องของเรายังเอาตัวไม่รอด ใจไม่นิ่ง ไม่เห็นของจริง
ฟ้ากับเขา เราขอลาก่อน.. 

ช่องฟ้า.. เชียงคาน ฟิเรนเซ่ เอลเจม

  

ไม่ว่าจะมืดมาก มืดน้อย ทุกที่..มีช่อง... มองไปสว่าง 
เลือกที่ชอบ ช่องที่ใช่ ถูกใจอาจไม่ถูกต้อง
หัดมอง ลองใจตัวเอง...แม่นแค่ไหน

ฟ้าเมืองไทย....ที่บ้าน

 
ไม่ว่าฟ้าตอนเช้า ตอนเย็น...บ้านเราแสนสุขใจ
พอใจที่ได้ ใจที่พอดี  พอใจที่มี ใจที่....พอเพียง
อยู่สบาย อยู่กันดีดี อยู่แบบสุขขี อยู่แบบ...เพียงพอ

ฟ้าเชียงดาว.. ฟ้ามัว 

ไป(ใจ)มืด..กลับ(ใจ)สว่าง  นานๆไปใจยังมืด..ได้อีก 
 ไปหาสติ ไปหาอาหารใจ 
(อาหารกาย อยู่ที่เชียงดาวเนส ^_^)
มืดมืดมัวมัว  สลัวสลัว ไม่ชัดเจน 
ช่วยกันรู้ ช่วยกันมีสติ


ขอบฟ้า..อินทนนท์

 
ฟ้ายังมีขอบ กรอบเอาไว้แหก ใจยังไม่แยก กายยังอยู่ดี
ต้องแหก ต้องแปลก ต้องเปลี่ยน
ไม่เปิด ไม่เปลี่ยน อยู่เลี่ยนๆจะอยู่ไปทำไม....

ฟ้าตูนิเซีย..หลายอารมณ์
 
ดูดีดี ไม่มีเศร้า คนมีความเหงาเป็นมิตรและเป็นนิจ
มาเลย..เหงาๆเนี่ย ชอบ ฝึกสันโดษดีนักแล
วุ่นวายมันไม่ใช่ที่  ที่ดีๆ คือที่เงียบๆ
ดูดีดี ดูตัวเองชัดๆ ดูจริตให้ขาด

ฟ้าเมืองเลลาดัค...ฟ้าเป็นฟ้า

  
ฟ้าใสไม่มีแม้แต่ขี้เมฆ ฟ้าจริงจริง
ตัวตน ตัวจริง ตัวเป็น 
คนนั้นแท้จริงตัวสกปรก ใจไม่สะอาด เลยต้องปรุงแต่ง...เลยเหนื่อย
แบกมาจนล้า ไข่วคว้าจนเพลีย
ต้องละ..บ้าง ต้องวาง..บ้าง โลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญขนาดนั้น....

ฟ้าใต้กระโปรง.... คนติดกับดัก

มองเลยไป..อย่าหยุดที่กระโปรง
ถ้าหยุด จะติด ฟ้าจะหาย...
ติดกรอบ ติดคน ติดใจ 
คิดผิด ติดมันหมดทุกอย่าง.. ตายแน่ ตายแน่

ฟ้าต่างที่พาโร ภูฐาน และ อัครา อินเดีย


 
ต่างแค่ไหน ติดดิน กินบนปราสาท....ตายเหมือนกัน
ความสวยงามของชีวิตได้มาเท่ากัน จะมองเห็นหรือเปล่า อยู่ที่ปัญญา...การรู้
คว้ามาก.. กลายเป็นไม่รู้ คว้าน้อย หรือ ไม่คว้า กลายเป็นว่าสุขสม
เลือกเกิดไม่ได้...จะเลือกตายหรือเปล่า...